เครื่องไม้เครื่องมือความปลอดภัยส่วนบุคคล

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เครื่องไม้เครื่องมือความปลอดภัยส่วนบุคคล  (อ่าน 17 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ManUThai2017
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16265


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2018, 07:18:36 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

เครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองป้องกันอันตรายเฉพาะบุคคล (Personal Protection Equipment) หรือเรียกสั้นๆว่า พี พี อี (PPE) หมายถึง เครื่องมือที่ใส่ปกคลุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะภาวะรวมทั้งสิ่งแวดล้อมในขณะปฎิบัติงาน โดยทั่วไปสำหรับในการทำงานจะมีการคุ้มครองและก็ควบคุมสิ่งแวดล้อมของการทำงานก่อน โดยการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทางวิศวกรรม อาทิเช่น การเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร เปลี่ยนแปลงการทำงาน ฯลฯ แม้กระนั้นในเรื่องที่ไม่สามารถปฏิบัติงานดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ จะต้องใช้เครื่องใช้ไม้สอยคุ้มครองปกป้องอันตรายส่วนบุคคลมาใช้เพื่อช่วยคุ้มครองอวัยวะของร่างกายไม่ให้เป็นอันตรายที่บางทีอาจเกิดขึ้นในขณปฎิบัติงาน
ประเภทของเครื่องมือคุ้มครองอันตรายส่วนตัว
1.วัสดุอุปกรณ์ป้องกันหัว (Head Protection) เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับคุ้มครองป้องกันศรีษะจากการเช็ดกกระแทก หรือวัตถุจากที่สูงตกลงมากมายระแทก และคุ้มครองป้องกันตรายจากกระแสไฟฟ้ารวมทั้งสารเคมีเหลว ซึ่งเครื่องใช้ไม้สอยป้องกันหัวที่สำคัญ คือ หมวกกันน็อก (Safety Hat) และก็หมวกกันหัวชน (Bump Hat) ามมาตรฐาน ANSI Z89.1-2003 แบ่งหมวกกันน็อกออกได้ตามลักษณะของการกันชน รวมทั้งการป้องกันไฟฟ้า
โดยธรรมดาหมวกนิรภัยควรจะป้องกันการเกิดการกระแทกได้ในแบบจำพวก 1 หรือไม่ก็ประเภทที่ 2
หมวกกันน็อก จำพวกที่ 1
หมวกนิรภัยจำพวกนี้จะถูกวางแบบให้สามารถกันกระแทกจากข้างบน แต่ไม่ดีไซน์สำหรับป้องกันกระเทือนจาก้านข้าง
หมวกนิรภัย จำพวกที่ 2
หมวกนิรภัยจำพวกนี้จะถูกออกแบบให้สามารถกันกระแทกได้อีกทั้งจากด้านบนรวมทั้งข้างๆ
หมวกกันน็อก จำพวกที่ E ตัว E ย่อมาจาก Electrical ดังนั้นหมวกกันน็อกจำพวกนี้ก็เลยวางแบบเพื่อสามารถกันกระแสไฟฟ้าได้ดิบได้ดี โดยต้องผ่านทดสอบการกันไฟฟ้าถึงที่กะไว้ 20,000 โวลต์ (ดูก่อนยละเอียดเพิ่มเติมข้างล่าง) หมวกนิรภัย ชนิดที่ G ตัว G ย่อมาจาก General หมวกกันน็อกประเภทนี้ต้องผ่านทดลองการกันไฟฟ้าถึงที่เหมาะ 2,200 โวลต์ หมวกนิรภัย ประเภทที่ C ตัว C ย่อมาจาก Conductive หมวกกันน็อกจำพวกนี้ไม่กันกระแสไฟฟ้า และไม่มีการทดสอบการป้องกันกระแสไฟฟ้า การเจาะจงสัญลักษณ์ หมวกกันน็อกควรจะมีชื่อ หรือสัญลักษณ์ของผู้สร้าง วันที่ผลิต สัญลักษณ์มาตรฐาน ANSI แล้วก็ขนาดหมวก
2.เครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองดวงตา (Safety Glasses) ใช้สำหรับป้องกันดวงตาจากการกระแทกกับของแข็ง คุ้มครองสารเคมีหรือวัตถุกระเด็นเข้าตาจนเกิดอันตรายในขณะปฎิบัติงาน ตั้งแต่แมื่อเริ่มมีการใช้เลเซอร์ในห้องแลปในตอนปี คริสต์ศักราช 1960 ก็ได้มีการพิจารณาถึงความปลอดภัยสำหรับการใช้เลเซอร์ ซึ่งอันตรายที่เกิดขึ้นมาจากเลเซอร์มี 3 ส่วนสำคัญๆเป็น
อันตรายจากลำแสงเลเซอร์ ซึ่งจะส่งผลต่อดวงตาของผู้คนมากยิ่งกว่าส่วนอื่นของร่างกาย
อันตรายจากความต่างศักย์สูง ที่อยู่ในเลเซอร์และแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า
อันตรายจากสารเลเซอร์ ในเลเซอร์บางชนิด เป็นต้นว่า Dye laser, Eximer laser
อันตรายต่อนัยน์ตา
 ลำแสงเลเซอร์กำลังสูง ดังเช่นว่าที่ใช้สนการตัดเหล็ก และยังรวมไปถึงแกะสลักไม้ ก็สามารถทำอันตรายผิวหนังได้ แม้กระนั้นที่อันตรายที่สุดเป็น เมื่อลำแสงเลเซอร์เข้าตา ด้วยเหตุว่าตาเป็นส่วนที่ไวแสงสว่างสูงที่สุด ยิ่งไปกว่านี้เลนส์แก้วตายังรวมแสงให้จุดโฟกัสบนเรตินา ทำให้ความเช้มแสงสูงขึ้นกว่าที่ตกบนแก้วตาราว 1 แสนเท่า
ส่วนประกอบของนัยน์ตามนุษย์
 หลายคนคงจะพอรู้ว่าการจ้องมองดวงตะวันช่วงกลางวันเพียงแป็บเดียว สามารถทำให้ตามองไม่เห็นได้ชั่วช้าครู้ แล้วก็การให้ลำแสงเลเซอร์ที่มีความเข้ม มากพอไปสู่ตา สามารถทำให้ตาบอดได้ แม้กระนั้นดังนี้ก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประเภท ไม่เพียงแค่ความเข้มแสงสว่างเท่านั้น ยังสังกัดความยาวคลื่นแสงสว่าง รวมทั้งตอนที่ได้รับแสงด้วย
เหตุอันตราย: ความยาวคลื่นแสง
 ความยาวคลื่นเป็นเรื่องค่อนข้างจะสำคัญที่จำต้องทำความเข้าใจ ถึงแม้ว่าตาของมนุษย์เราสามารถเห็นแสงที่มีความยาวคลื่นได้เฉพาะช่วง 400 - 700 นาโนเมตร แต่ว่าไม่ว่าแสงความยาวคลื่นตอนไหน ทั้งๆที่แลเห็นและก็ไม่เห็น ถ้าหากเข้าถึงตาก็สามรารถรังแกอย่างมากได้
 โดยปกติ แสงสว่างในตอน 400 - 1500 นาโนเมตร ซึ่งครอบคลุมช่วงที่ตาพวกเรามองเห็นแล้วก็ช่วงที่เป็นอินฟราเรด จะสามารถผ่านเลสน์ตาเข้าไปถึงเรตินาได้ ซึ่งช่วงที่เป็นรังสีอินฟาเรดไม่ว่าจะมีความเข้มมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่อาจจะมองเห็นได้ แต่ว่าจะสามารถทำอันตรายต่อเรตินาได้ เหมือนกันกับคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ ที่อยู่ในช่วงอนฟราเรด ก็สามารถตัดผ้าหรือเจาะหม้ได้ ส่วนแสงสว่างในช่วงรังสีเหนือม่วง (ความยาวคลื่นราว 100 - 400 นาโนเมตร) แม้ว่าจะผ่านไปถึงเรตินาได้ไม่ดีเท่ากับช่วง 400 - 1500 นาโนเมตร แต่ว่าสามาถทำร้ายต่อแก้วตาแล้วก็เลนส์ส่วนนอกได้ ซึ่งจะมีผลให้ตาบอดถาวรได้ด้วยเหมือนกัน
 การจะเข้าใจเนื้อหาในเรื่องพวกนี้ก็ต้องรู้เรื่องว่าตามีองค์ประกอบคืออะไร และก็มีทรัพย์สมบัติเชิงแสง ยกตัวอย่างเช่น ค่าการดูดกลืนแสงสว่าง เป็นยังไง หากจะสรุปโดยง่ายก็คือ เลเซอร์ ไม่ว่าตอนความยาวคลื่นไหนๆก็สามารถรังแกต่อตามนุษย์ถึงกับขนาดทำให้ตาบอดได้ การปลดปล่อยเลเซอร์ประเภทที่เป็นพัลส์แล้วก็สม่ำเสมอ ก็มีอันตรายแตกต่างกัน เลเซอร์จำพวกพัลส์โดยยิ่งไปกว่านั้นที่มีช่วงเวลาของพัลส์น้อยกว่า ไม่ลลิวินาที แค่เพียงพัลส์เดียวก็อาจจะส่งผลให้ตาบอดได้ แต่ถ้าหากเป็นแบบต่อเนื่องก็ต้องใช้เวลานานกว่านี้สำหรับเพื่อการทำร้ายต่อตา
ต้นเหตุอันตราย: ระยะห่างจากบ่อเกิด
 ระยะห่างจากต้นตอแสงสว่างเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ดี ถ้าลำแสงเลเซอร์เข้าตาไม่ว่าพวกเราจะอยู่ห่างเท่าไร ก็ยังเกิดอันตรายออกจะสูง ด้วยเหตุว่าแสงที่ออกจากเลเซอร์มีทรัพย์สินประการสำคัญที่ไม่เหมือนกับแสงสว่างจากแหล่งอื่นๆคือ แสงสว่างจะคงสภาพเป็นลำแสงค่อนข้างจะดี ไม่ค่อยบานออกมากนัก ทำให้ความเข้มแสงของเลเซอร์ที่ระยะห่างต่างๆจากเลเซอร์จะไม่ได้ต่างอะไรกัน ถ้าเกิดเป็นในกรณีที่เลเซอร์ไปตกกระทบหรือสะท้อนผิววัสถุที่ตะปุ่มตะป่ำก่อน อาจจะทำให้แสงสว่างที่สะท้อน ออกมากลดภาวะการเป็นลำแสงลงไปบ้าง โดยแสงสว่างจะบานออกค่อนข้างเร็ว โน่นเป็นถ้าอยู่ห่างจากจุดที่สะท้อน ก็จะทำให้ลดอันตรายจากแสงได้ เพราะแสงมีความเข้มลดน้อยลง แม้กระนั้นถ้าแสงสะท้อนจากวัสดุที่เป็นกระจกหรือโลหะเรียบก็ยังคงมีภาวะเป็นลำแสง แล้วก็มีความเข้มสูง ซึ่งเป็นอันตรายดังการมองลำแสงโดยตรงที่ไม่ได้สะท้อนอะไรเลย
อันตรายต่อผิวหนัง
 ส่วนในกรณีที่เลเซอร์ตกกระทบผิวหนังก็ยังก่อให้เกิดอันตรายอยู่ แม้ว่าจะน้อยกว่ากรณีที่แสงเข้าตา เนื่องจากว่าผิวหนังจะสามารถสะท้อนแสง ได้ส่วนหนึ่ง และโดยมากจะไม่ไวต่อแสงมากเท่าไรนัก แม้กระนั้นถ้าความเข้มของเลเซอร์สูงพอ ก็อาจตัดหรือทะลุผิวหนังทำให้เป็นแผลได้ และพึงระวังในกรณีที่เป็นเลเซอร์ทในช่วงรังสีเหนือม่วง เพราะแสงสว่างในตอนนี้สามารถนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในองค์ประกอบของเซลล์ได้ ซึ่งอาจจะเป็นผลให้กำเนิดเป็นโรคมะเร็งได้
การคุ้มครองอันตรายจากเลเซอร์
 จากอันตรายที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะมองเห็นได้ว่าแสงเลเซอร์ไม่ว่าจะมีประโยชน์มากมายเพียงใด ก็ยังสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องจะต้องมีความระวังสำหรับการใช้งาน ผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะมีความรู้ความเข้าใจในเลเซอร์ที่ใช้อยู่ โดยสรุปเป็นข้อๆได้ดังต่อไปนี้ คอย่าให้เลเซอร์เข้าตา คงไม่มีผู้ใดต้องการจะจ้องลำแสงเลเซอร์ตรงๆแต่ว่าแสงเลเซอร์บางทีอาจจะเข้าตาพวกเราได้ โดยที่พวกเราไม่ได้นึกฝัน ยกตัวอย่างเช่น มีเหตุที่เกิดจากการสะทั้อน หรือเป็นช่วงๆที่เรามองไม่เห็น ดังนั้นการปกป้องคุ้มครองทำเป็นดังนี้
จัดทางเท้าของแสงสว่างให้เหมาะสม ดังเช่น ไม่ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี (ควรสูงขึ้นมากยิ่งกว่าตาหรือต่ำลงมากยิ่งกว่าตา) พยายามกำจัดสิ่งต่างๆที่อาจส่งผลให้เกิดการสะท้อนแสงเลเซอร์มาเข้าตาโดยที่พวกเราไม่ได้นึกฝัน
มีเครื่องป้องกันแสงส่วนที่ไม่ได้อยากต้องการออกจากเลเซอร์ หรือวัสดุอุปกรณ์ที่เราใช้งาน ได้แก่ มีฉากกั้นแสง เพื่อกั้นแสงทั้งๆที่สะท้อนหรือกันลำแสงโดยตรงซึ่งอาจจะออกมาได้
ใส่แว่นพิเศษ เป็นการคุ้มครองป้องกันที่ตัวเราเอง โดยแว่นนี้จะลดความเข้มแสงสว่างลงจนกระทั่งอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อตาของพวกเรา ซึ่งแว่นนี้ก็จะเป็นประเภทไหน ลักษณะอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นแสงและความเข้มของเลเซอร์ที่ออกมา ควรจะใส่แว่นสายตานี้เมื่อใดก็ตามทำทำงานหรือเข้าไปในบริเวณที่มีการใช้งานเลเซอร์ ให้ระวังมากยิ่งขึ้นเป็นพิเศษถ้าเกิดเลเซอร์ที่พวกเราใช้งานเป็นแสงสว่างในบริเวณที่ไม่เห็น ยกตัวอย่างเช่น รังสีอินฟาเรด หรือรังสียูวี เนื่องจากแสงที่ไม่เห็นก็ทำให้ตาบอดได้
3.อุปกรณ์คุ้มครองหู (Ear Protection) เป็นอุกรณ์ที่ใช้สำหรับปกป้องเสียงที่ดังเกินกว่าที่หูมนุษย์เราจะสามารถรับได้ คือมีระดับเสียงสูงมากเกินไปกว่า 85 เดซิเบล (เอ) โดยถ้าหากระดับเสียงในขณะดำเนินการสูงมากเกินไปกว่า 130 เดซิเบล (เอ) นับว่าเป็นตรายต่อการได้ยินของหู ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ปกป้องหูที่สำคัญแล้วก็เหมาะสมกับการใช้แรงงาน อย่างเช่น ปลั๊กลดเสียง (Ear Plug) เป็นเครื่องใช้ไม้สอยคุ้มครองป้องกันอันตรายจากเสียงที่ดังเหลือเกิน โดยสิ่งของที่ทำจากยาง พลาสติกอ่อน ทีมีขนาดพอดิบพอดีกับรูหู และสามารถลดเสียงได้ไม่น้อยกว่า 15 เดซิเบล (เอ)
ครอบหูลดเสียง (Ear Muffs) เป็นวัสดุอุปกรณ์คุ้มครองตรายจากเสียงแบบครอบหู โดยมีก้านโค้งครอบศรีษะแล้วก็ใช้วัสดุที่มีความอ่อนนุ่มห่อทับ ในส่วนของตัวครอบหูนั้นถูกดีไซน์ให้มีลักษณะแตกต่างตามการใช้งาน และก็สามารถลดเสียงได้ไม่น้อยกว่า 25 เดซิเบล (เอ)
ชนิดของวัสดุอุปกรณ์ปกป้องเสียง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทอย่างเช่น
1.ที่ครอบหู (ear muff) ลดเสียงได้ตั้งแต่ 30-40 dB ลดเสียงที่ความถี่สูงขึ้นมากยิ่งกว่า 400 Hz เจริญ มี 2 จำพวกเป็นแบบที่เป็นโลหะและที่เป็นพลาสติก
2.ที่อุดหู (ear plugs) ลดเสียงได้ตั้งแต่ 15-25dB ลดเสียงที่มีความถี่ต่ำยิ่งกว่า 400 Hz ได้ดี ทำมาจากวัสดุหลายประเภท อย่างเช่น โฟม ใยหิน ใยแก้ว อื่นๆอีกมากมาย
การเลือกเครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองป้องกันเสียง
การเลือกเครื่องมือคุ้มครองเสียงต้องนึกถึงปัจจัยต่างๆกลุ่มนี้
1.ไม่เป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมที่ทำ
2.ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูดคุยหรือติดต่อสื่อสาร
3. ระดับเสียงที่อยากลด รวมทั้ง ความสามารถลดระดับเสียงของวัสดุอุปกรณ์
ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการลดเสียงของวัสดุอุปกรณ์คุ้มครองเสียง
การที่จะรู้ว่าเครื่องใช้ไม้สอยคุ้มครองปกป้องเสียงจะลดระดับเสียงได้กี่เดซิเบลสามารถหาได้ด้วยวิธีดังนี้
ระดับเสียงที่ได้รับขณะใส่เครื่องใช้ไม้สอย = ระดับเสียงก่อนใส่อุปกรณ์ - derated NRR* - Co
* derated NRR (Noise Reduction Rating) = NRR - (K x NRR)/100
โดยค่า NRR(Noise Reduction Rating) เป็นค่าความรู้ความเข้าใจในการลดเสียงของวัสดุอุปกรณ์ซึ่งระบุจากโรงงาน ซึ่งค่านี้ได้จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ
ค่า K คือเปอร์เซ็นต์ของ NRR ที่ใช้ลบกับ NRR ซึ่ง National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) ได้เสนอแนะความรู้ความเข้าใจของอุปกรณ์แต่ละประเภทในการลดระดับเสียง ( ค่า K ) ไว้ดังต่อไปนี้
K = 25 กรณีเครื่องไม้เครื่องมือเป็นที่ครอบหู
K = 50 กรณีอุปกรณ์เป็นที่อุดหูทำมาจากโฟม
K = 70 กรณีอุปกรณ์เป็นที่อุดหูทำจากวัสดุอื่นๆสำหรับค่า
Co จะขึ้นกับช่วงความถี่ของเสียงที่ได้ยิน (Frequency) ซึ่งโดยธรรมดาจะแบ่งเป็นช่วงๆ ได้ดังต่อไปนี้
Co = 0 กรณีระดับเสียงก่อนใส่เครื่องไม้เครื่องมือ มีความถี่ของเสียง ในตอนความถี่ C
Co = 7 กรณีระดับเสียงก่อนใส่เครื่องมือ มีความถี่ของเสียง ในตอนความถี่ A ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน
4.วัสดุอุปกรณ์คุ้มครองมือ (Hand Protection) ในขณะปฎิบัติงานที่ต้องใช้ส่วนของมือ นิ้วมือ และก็แขน นั้นมีความเสี่ยงอันตรายจากการสัมผัสกับสิ่งของ วัสดุอุปกรณ์ หรือสารเคมีที่อาจส่งผลให้กำเนิดอันตายรุนแรงได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยต้องมีเครื่องใช้ไม้สอยคุ้มครองปกป้องมือประเภทต่างๆซึ่งต้องเลือกให้มีความเหมาะสมกับลักษณะของงานดังนี้
ถุงมือยางกันกระแสไฟฟ้า: ใช้สำหรับงานที่จำต้องสัมผัสกับกระแสไฟเพื่อคุ้มครองกระแสไฟฟ้าดูดในขณะปฎิบัติงาน
ถุงมือกันความร้อน: บางทีอาจเป็นถุงมือหนังหรือถุงมือผ้าขึ้นอยู่กับลักษณะของการทำงาน โดยถุงมือจะต้องมีความหนารวมทั้งทนเมื่อใช้สัมผัสกับวัตถุหรือวัสดุอุปกรณ์ที่มีความร้อนต้องไม่ฉีกจนขาด ถุงมือยางชนิดไวนีลหรือนีโอพรีน ใช้สำหรับงานที่ต้องสัมผัสสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดเซาะหรือซึมผ่านผิวหนังได้ สวมเพื่อลดการเจ็บของอวัยวะส่วนนิ้ว มือ รวมทั้งแขน อันเนื่องมาจากการทำงาน มีหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น
1.ถุงมือคุ้มครองปกป้องความร้อน ใช้สำหรับงานที่ต้องสัมผัสกับวัตถุที่ร้อน เป็นต้นว่า งานเป่าแก้ว รีดเหล็ก ถลุงโลหะ เป็นต้น อุปกรณ์ที่ใช้เพื่อทำถุงมือมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของวัตถุที่ต้องสัมผัส ตัวอย่างเช่น ถุงมือที่ทำจากอุปกรณ์ที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน อะ

Tags : อนุสรณ์,bestsafe



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ