งาดำที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: งาดำที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง  (อ่าน 21 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ณเดช2499
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2018, 03:05:46 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

งาดำ
ชื่อสมุนไพร งาดำ
ชื่อสามัญ  Black Sasame seeds Black
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn
วงศ์ Pedaliaceae
บ้านเกิด  งามีบ้านเกิดในทวีปแอฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังประเทศอินเดีย จีน และประเทศต่างๆในแถบเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการบอกว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่พ่อค้าชาวอาหรับ รวมทั้งเมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ และก็ ยุโรป
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผู้พบหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามายาวนานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล รวมทั้งใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา แล้วก็ของกิน ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes บอกว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกเอาไว้ในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แต่ปรากฏว่าสภาพอากาศไม่เหมาะกับการปลูก แล้วก็ในช่วงปลายศตวรรษที่17 รวมทั้ง18 มีการนำงามาปลูกในอเมริกาโดยขี้ข้าชาวแอฟริกัน
ด้านการใช้ผลดีจากงาดำนั้นประเทศอินเดีย จีน และก็ประเทศอื่นๆในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อประกอบอาหาร ส่วนคนยุโรปจะนำงามาทำขนมเค้ก ไวน์ และนํ้ามัน รวมถึงใช้ในการทำกับข้าว และก็เป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ ประทัด และก็พอกผิวหนัง และใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงฯลฯ
ลักษณะทั่วไป
งาดำ เป็นพืชล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรง บางทีอาจแตกกิ่งหรือเปล่าแตกกิ่งแขนง ลำต้นสูงราวๆ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะสีเหลี่ยม มีร่องตามแนวยาว ไม่มีแก่น มีลักษณะอวบน้ำ รวมทั้งมีขนสั้นปกคลุม เปลือกลำต้นบาง มีสีเขียว  ใบงาดำ ออกเป็นใบลำพัง เรียงตรงข้ามกันเป็นชั้นๆตามความสูง ประกอบด้วยก้านใบสั้น ยาวประมาณ แผ่นใบมีรูปหอก สีเขียวสด กว้างโดยประมาณ 3-6 ซม. ยาวประมาณ 8-16 ซม. โคนใบมนกว้าง ปลายใบแหลม ขอบของใบหยักนิดหน่อย มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบตรงข้ามกันเป็นคู่ๆยาวถึงขอบของใบ ดอกงาดำเป็นดอกลำพังหรือเป็นกรุ๊ปตรงซอกใบ จำนวน 1-3 ดอก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น มีกลีบรองดอก จำนวน 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นกรวย ห้วยลงดิน กลีบอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกเมื่อบานมีสีขาว ยาวโดยประมาณ 4-5 เซนติเมตร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กลีบด้านล่าง แล้วก็กลีบบน โดยกลีบล่างจะยาวกว่ากลีบบน ข้างในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ มี 1 คู่ยาว ส่วนอีกคู่สั้นกว่า ส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน มีก้านเกสรยาว 1.5-2 ซม. ปลายก้านเกสรวิ่นเป็น 2-4 แฉก  ผลงาดำเรียกว่า ฝัก มีลักษณะทรงกระบอกยาว ผิวฝักเรียบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง และก็แบ่งได้ร่องพู 2-4 ร่อง กว้างประมาณ 1 ซม. ยาวราว 2-3 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุม ฝักแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเบาๆกลายเป็นสีดำอมเทา แล้วต่อจากนั้น ร่องพูจะปริแตก เพื่อเมล็ดร่วงลงดิน  ด้านในฝักมีเมล็ดขนาดเล็ก สีดำจำนวนไม่ใช่น้อย เม็ดเรียงซ้อนในร่องพู เม็ดมีรูปรี และก็แบน ขนาดเม็ดประมาณ 2-3 มม. เปลือกเมล็ดบางมีสีดำ มีกลิ่นหอมสดชื่น แต่ละฝักมีเม็ดราวๆ 80-100 เม็ด
การขยายพันธุ์ งาดำแพร่พันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ซึ่งนิยมปลูกด้วยกัน 2 แบบเป็นการหว่านเมล็ด และก็โรยเม็ดเป็นแถว แบ่งตอนปลูกออกเป็น 3 ตอน เป็น

  • ช่วงต้นหน้าฝน โดยประมาณพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน และก็เก็บเกี่ยวในตอนเดือนกรกฎาคม-ส.ค.
  • ช่วงปลายหน้าฝน ราวเดือนกรกฎาคม-ส.ค. และก็เก็บเกี่ยวในตอนเดือนกันยายน-ตุลาคม
  • ช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าว ราวๆเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงม.ค.-ก.พ.

การเตรียมแปลงปลูก ในพื้นที่ที่มีระบบระเบียบชลประทานเข้าถึง สามารถปลูกงาดำได้ทุกฤดู ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานมักปลูกลงในช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ
พื้นที่แปลงปลูกจะต้องไถกลบดิน 1 รอบก่อน รวมทั้งตากดินนาน 7-10 วัน จากนั้น หว่านด้วยปุ๋ยหมัก ประมาณ 1-2 ตัน/ไร่ ก่อนไถลูกพรวนดินกลบอีกรอบ หรือหว่านปุ๋ยมูลสัตว์ตั้งแต่ตอนไถรอบแรก (ใช้สำหรับพื้นที่ไม่เกลื่อนกลาดมากมาย) เพราะรอบต่อมาจะเป็นการหว่านเม็ดได้เลย ส่วนการปลูกแบบหยอดเม็ด ให้ไถร่องตื้นหรือใช้คราดดึงทำแนวร่องก่อน
การปลูก

  • การปลูกแบบหว่านลงแปลง ข้างหลังไถกลบรอบแรกหรือไถลูกพรวนดินในรอบ 2 แล้ว ให้หว่านเม็ดงาดำ อัตรา 0.5-1 กก./ไร่ ควรหว่านเมล็ดให้กระจายให้สูงที่สุด ก่อนไถลูกพรวนหน้าดินตื้นๆกลบ
  • การปลูกแบบหยดเมล็ดเป็นแนว หลังไถยกร่องหรือดึงคราดทำแนวร่องเสร็จ ให้โรยเม็ดตามความยาวของร่อง ให้เม็ดห่างกันอย่างสม่ำเสมอ ใช้เม็ดในอัตราเดียวกับการหว่านเม็ด ก่อนคราดหรือเกลี่ยหน้าดินกลบ

การรักษา หลังการหว่านเม็ด แม้ปลูกเอาไว้ในตอนแล้ง เกษตรมักติดตั้งระบบให้น้ำ ซึ่งควรให้บ่อยๆ 2-3 ครั้ง/อาทิตย์ ส่วนการปลูกในหน้าฝน เกษตรมักปลดปล่อยให้งาดำเติบโตโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ทั้งนี้ ถ้าเกิดเจอโรคหรือแมลงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัด ส่วนการใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในระยะ 1-1.5 เดือน แรกหลังปลูก แล้วก็บางทีอาจใส่ร่วมกับปุ๋ยมูลสัตว์ อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ส่วนการกำจัดวัชพืช ให้ลงแปลงถอนวัชพืชด้วยมือบ่อยๆ ทุก 2 ครั้ง/ เดือน โดยยิ่งไปกว่านั้นใน 1-1.5 เดือนแรก
การเก็บเกี่ยวผลผลิต งาดำ สามารถเก็บเกี่ยวเม็ดได้ข้างหลังการปลูกโดยประมาณ 70-120 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยพิจารณาจากฝักที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ส่วนใบจะเริ่มสีเหลือง และก็บางจำพวกมีการหล่นแล้ว ดังนี้ จะต้องเก็บฝักก่อนที่จะเปลือกฝักจะปริแตก ส่วนพันธุ์งาดำที่นิยมนำมาปลูกในปัจจุบันนั้นมีด้วยกัน 4 จำพวกเป็น

  • งาดำ บุรีรัมย์ จัดเป็นชนิดพื้นเมือง มีลักษณะเด่นหมายถึงฝักแบ่งได้ 4 กลีบใหญ่ เมล็ดมีขนาดใหญ่ สีแทบดำสนิท แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง โดยประมาณ 90-100 วัน ได้ผลผลิต ราว 60-130 กิโล/ไร่
  • งาดำ จังหวัดนครสวรรค์ จัดเป็นประเภทพื้นบ้านที่นิยมมากมายในเกือบทุกภาค โดยเฉพาะภาคกึ่งกลาง เหนือ แล้วก็อีสาน มีลักษณะเด่นเป็นลำต้นค่อนข้างจะสูง มีการเลื้อย และก็แตกกิ่งก้านมากมาย ใบมีขนาดใหญ่ มีลักษณะค่อนข้างจะกลม ส่วนเมล็ดมีสีดำ อวบ รวมทั้งขนาดใหญ่ แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง โดยประมาณ 95-100 วัน ได้ผลผลิต 60-130 กิโลกรัม/ไร่
  • งาดำ มก.18 เป็นชนิดงาดำแท้ ที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในตอนปี 2528-2530 ที่ได้จากการผสมของงาชนิด col.34 กับงาดำ นครสวรรค์ มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นออกจะสูง มีการทอดยอด แม้กระนั้นไม่แตกกิ่ง ลำต้นมีข้อสั้น ทำให้ปริมาณของฝักต่อต้นสูง เม็ดมีสีดำสนิท 1,000 เม็ด มีน้ำหนักราวๆ 3 กรัม ถ้าหากในฤดูฝนจะแก่การเก็บเกี่ยวโดยประมาณ 85 วัน แม้ปลูกฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง มีอายุการเก็บเกี่ยว ราว 90 วัน ได้ผลผลิต แต่ออกจะสูง ในตอน 60-148 กิโลกรัม/ไร่
  • งาดำ มข.2 เป็นประเภทไม่ไวต่อช่วงแสงที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีประเภทดั้งเดิมหมายถึงงาดำ ประเภท ซีบี 80 ที่นำเข้ามาจากจีน มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นสูงราว 105-115 เซนติเมตร ลำต้นมีการแตกกิ่ง แต่แตกน้อย ราว 3-4 กิ่ง/ต้น เม็ดสีดำสนิท 1,000 เมล็ด หนักโดยประมาณ 2.77 กรัม มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าชนิดอื่นๆประมาณ 70-75 วัน ได้ผลผลิตปานกลางถึงสูง ราว 80-150 กิโลกรัม/ไร่ เป็นชนิดที่ทนแล้ง รวมทั้งต่อต้านต่อโรค เน่าดำได้ดี
ส่วนประกอบทางเคมี
ในเมล็ดมีน้ำมันอยู่ราว 45-55% มีกรดไขมันเป็นต้นว่า oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, นอกเหนือจากนั้นยังมี สารกรุ๊ป lignan, ชื่อ Sesamin , sesamol, 
d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆดังเช่นว่า sitosterol  (สารกันเหม็นหืนคือ sesamol ทำให้น้ำมันงาไม่เหม็นหืน)
                นอกนั้นงาดำยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของงาดำ (งาดำ 100 กรัม)
น้ำ                           4.2          กรัม
พลังงาน                 603         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.6        กรัม
ไขมัน                       48.2        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        21.8        กรัม
ใยอาหาร                                9.9          กรัม
เถ้า                           5.2          กรัม
แคลเซียม                               1228       มิลลิกรัม
เหล็ก                       8.8          มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                              584         มก.
 
ไทอะมีน                 0.94        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                           0.27        มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  3.5          มก.
กรดกลูดามิก                         3.955     กรัม
กรดแอสพาร์ตำหนิก                     1.646     กรัม
เมไธโอนีน                              0.586     กรัม
ทรีโอนีน                  0.736     กรัม
ซีสหนอีน                   0.358     กรัม
ซีรีน                         0.967     กรัม
ฟีนิลอะลานีน                        0.940     กรัม
อะลานีน                 0.927     กรัม
อาร์จินีน                 2.630     กรัม
โปรลีน                    0.810     กรัม
ไกลซีน                    1.215     กรัม
ฮิสทิดีน                   0.522     กรัม
ทริปโตเฟน                             0.388     กรัม
ไทโรซีน                   0.743     กรัม
วาลีน                      0.990     กรัม
ไอโซลิวซีน                              0.763     กรัม
ลิวซีน                      1.358     กรัม
ไลซีน                       0.569     กรัม
ธาตุแคลเซียม                        975         มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก                               14.55     มก.
ธาตุซีลีเนียม                          5.7          มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม                           11           มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                      629         มก.
ธาตุสังกะสี                            7.75        มก.
ธาตุโพแทสเซียม                   468         มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม                     351         มก.
ธาตุแมงกานีส                       2.460     มก.
ธาตุทองแดง                          4.082     มก.
 
ผลดี/คุณประโยชน์ งาดำนิยมประยุกต์ใช้เป็นสัดส่วนประกอบของของหวานต่างๆอาทิเช่น ไอติมงาดำ , คุกกี้งาดำ , ขนมเค้กงาดำ , นมงาดำ , กระยาสารท ฯลฯ หรือใช้เป็นส่วนผสมภัณฑ์เสริมความสวยสดงดงามต่างๆตัวอย่างเช่น สบู่ โลชั่นสำหรับบำรุงผิว อื่นๆอีกมากมาย ส่วนสรรพคุณทางยาของงาดำนั้นสามารถช่วยทำนุบำรุงร่างกายแทบทุกรูปร่าง ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ ก็เลยเหมาะกับทุกวัย แม้กระทั่งเด็กที่มีลักษณะป่วยอยู่แล้ว หรือสตรีที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นมากอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยคุ้มครองโรคสภาวะกระดูกพรุนอย่างเห็นผล โดยในตำราเรียนยาไทยกล่าวว่า ใช้น้ำมันระเหยยากที่บีบจากเม็ด หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผล และผสมเป็นน้ำมันทาถูนวดแก้เคล็ดลับปวดเมื่อย ฟกช้ำ ปวดบวม ลดการอักเสบ ใส่แผลรักษาอาการผื่นคัน ทำน้ำมันใส่ผม เป็นยาระบายอ่อนๆทาผิวหนังให้นุ่มแล้วก็เปียกชื้น หญิงไทยโบราณใช้ทาเพื่อประทินผิว คุณประโยชน์พื้นเมืองกล่าวว่า เมล็ด ก่อให้เกิดกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่ว่าทำให้ดีกำเริบเสิบสาน น้ำมัน ทำน้ำมันใส่แผล ใส่แผลเน่าเปื่อย มักใช้ผสมยาใช้ภายนอกสำหรับกระดูกหัก บำรุงเอ็น ไขข้อ ทานวดแก้กลยุทธ์ยอก ปวดบวม หรือใช้ทาบำรุงรากผม
ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก เกลื้อน น้ำร้อนลวก ไฟไหม้
           ตำรับยาน้ำมันที่เจาะจงในแบบเรียนพระยาพระนารายณ์: มีรวม 3 ตำรับ ที่ใช้น้ำมันงาเป็นส่วนประกอบ ดังนี้ “น้ำมันทรงแก้พระผมหล่น (ผมร่วง)ให้คันให้หงอก” ประกอบด้วยสมุนไพร 19 จำพวก เอามาต้มแล้วกรองกากออก เติมน้ำมันงา แล้วหุงให้เหลือแค่น้ำมันใช้แก้พระผมหล่อน คัน หงอก “น้ำมันแก้ยุ่ยพัง” มีคุณประโยชน์ แก้ขัดเบาหรือปัสสาวะไม่ออก แก้ปวดขบ แก้หนอง มีรวม 2 ตำรับ แต่ละตำรับ ประกอบด้วยสมุนไพร 12 จำพวก และน้ำมันงาพอสมควร หุงให้เหลือแค่น้ำมัน ยานี้ใช้ ยอนเป่าเข้าไปในลำกล้อง (ทางเท้าเยี่ยวในองคชาติ)
ส่วนแบบเรียนแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่าสารออกฤทธิ์ในงาดำมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ต้านทานการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต้านเซลล์มะเร็ง  รักษาอาการไอ จากการเจาะจงคุณภาพการดูแลรักษาโรคของเมล็ดงาโดยฐานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ที่ว่าช่วยบรรเทาอาการไอ นับมีประโยชน์ข้อเดียวของงาดำและงาขาวที่มีข้อมูลสูงที่สุดในตอนนี้  ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันงายอดเยี่ยมในน้ำมันจากพืชที่กล่าวกันว่าดีต่อสุขภาพ โดยเชื่อว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันประเภทดีที่ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลรวมทั้งในน้ำมันงานี้ยังพบไขมันอิ่มตัวในจำนวนน้อย วัยทอง หญิงที่เข้าสู่วัยหมดระดูซึ่งเป็นสภาวะของความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกต่อไป บางทีอาจได้ใช้ประโยชน์จากสารเซซามิน (Sesamin) ในเม็ดงาที่มั่นใจว่าเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกจุลินทรีย์ในลำไส้แปรไปเป็นสารสำคัญอย่างเอนเทอโรแลกโตน (Enterolactone) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนแล้วก็มีโครงสร้างทางเคมีเหมือนฮอร์โมนเอสโตเจนของเพศหญิงอย่างไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) งาเป็นของกินที่มีธาตุมากมายที่สำคัญหมายถึงธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยปริมาณแคลเซียมที่พบจะมีมากกว่าผักทั่วๆไปกว่า 40 เท่า และฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักทั่วๆไปกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นธาตุที่ทำหน้าที่เสริมสร้างกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก แล้วก็สตรีวัยหมดประจำเดือน กรดไขมันไลโนเลอิค และกรดไขมันประเภทโอเลอิค ช่วยในการลดระดับไขมันจำพวกต่างๆในเส้นโลหิต และช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดเกล็ดเลือด แล้วก็ลิ่มเลือด  งามีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณตํ่า แต่ว่ามีวิตามินบีทุกชนิดสูงจึงถือได้ว่างามีวิตามินบีอยู่ดูเหมือนจะทุกประเภท จึงมีคุณประโยชน์ช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ทุเลาอาการเหน็บชา แก้ร่างกายอ่อนล้า แก้ลักษณะของการปวดปวดเมื่อย แล้วก็แก้การเบื่อข้าว  งามีจำนวนใยอาหารในจำนวนสูง ปฏิบัติหน้าที่สร้างเสริม รวมทั้งกระตุ้นหลักการทำงานของไส้ ทั้งการย่อย การดูดซึม รวมทั้งการขับถ่าย ช่วยคุ้มครองป้องกันท้องผูก ยั้ง รวมทั้งดูดซับพิษ พร้อมขับออกทางอุจจาระ ทำให้คุ้มครองปกป้องมะเร็งในไส้ และควบคุมระดับไขมันในเลือด      กรดไลโนเลอิคเจอในเม็ดงาเยอะมาก เป็นกรดที่มีหน้าที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต และก็ช่วยรักษาความชื้นของผิวหนัง เพราะทำให้ฝาผนังเซลล์ด้านในด้านนอกดำเนินงานอย่างปกติ
ต้นแบบ/ขนาดการใช้ ในปัจจุบันงาดำนั้นส่วนมากจะนิยมเอามาทำเป็นขนมหรือส่วนผสมของขนมแล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคมากกว่าการใช้ผลดีในด้านอื่นๆแต่ว่าก็มีตำรายาไทยแผนโบราณที่ได้กำหนดจำนวนการใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆตัวอย่างเช่น

  • รักษาลักษณะของการปวดตามข้อ ใช้งาคั่วกิน 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการอ่อนล้า เมื่อตามร่างกาย กินงาคั่ว 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการเหน็บชา คั่วเม็ดงา 1 ลิตร ร่วมกับรำข้าว 1 ลิตร แล้วก็กระเทียมหั่น 1 กำมือ จากนั้น ตำบดผสมกัน แล้วก็ผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลกิน 1 เดือน
  • รักษาอาการคัดจมูก ใช้งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกับข้าวสุกหรือน้ำนมถั่วเหลืองกิน 2-3 วัน
  • รักษาอาการเป็นหวัด กินงาคั่ว วันละ 4 ช้อนโต๊ะ
  • รักษาอาการท้องผูก ใช้งาคั่วผสมกับเกลือกินร่วมกับข้าว
  • รักษาลักษณะของการปวดระดู รับประทานงาผง ½ ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง
  • ใช้บำรุงสมอง และระบบประสาท ใช้งาคั่วผสมกับมะขามป้อม และก็น้ำผึ้ง รับประทานวันละ 1 ครั้ง
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ      สาร sesamin จากน้ำมันเม็ดงา เมื่อกระทำการทดสอบโดยผสมลงในของกินของหนูถีบจักร และก็ป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดการติดโรค แล้วก็การอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งหนูที่มีการอักเสบจะมีการหลั่งสาร dienoic, eicosanoids, TNF-a (tumor necrosis factor-a) และ cyclooxygenase เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากผลของการทดลอง พบว่าสาร sesamin ในน้ำมันเม็ดงา มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่ลำไส้ของหนูได้ โดยลดการผลิตสารพวก Prostaglandin E2 (PGE2), Thromboxane B2 (TXB2) รวมทั้ง TNF-a อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ (1) เมื่อทำทดลองในชายปกติ 11 คน โดยฉีดสารที่นำมาซึ่งการอักเสบ Auromyose ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ของ TNF-a, PGE2 แล้วก็ leukotriene B4 (LTB4) ต่อจากนั้นให้ชาย 11 คน กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 18 ก./วัน นาน 12 อาทิตย์ รวมทั้งกระทำวัดระดับ TNF-a, PGE2  และก็ LTB4 ในกระแสเลือดทั้งยังก่อนแล้วก็ข้างหลังให้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา พบว่าระดับของสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบดังที่ได้กล่าวมาแล้วไม่มีความเคลื่อนไหว มีความหมายว่าน้ำมันงาไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (2) 0.5 ก. ของสารสกัดเมทานอล 100% จากเม็ดงา 100 กรัม ไม่เป็นผลยั้ง cyclooxygenase 2 และก็ nitric oxide ในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกรั้งนำโดย lipopolysaccharide (3)
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย        สารสกัดอัลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากเม็ดงา ความเข้มข้น 25 มคก./มล. (4) รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 80% จากใบ ลำต้น ราก รวมทั้งผล ความเข้มข้น 500 มก./มิลลิลิตร (5) ไม่มีผลยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (4, 5) รวมทั้งเชื้อ Pseudomonas aeruginosa (5)
การเรียนรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของงาดำและงาขาวที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดสอบในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีลักษณะอาการไอจากโรคหวัด โดยให้รับประทานน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนติดต่อกัน 3 วัน เพื่อลดความร้ายแรงรวมทั้งความถี่ของการไอ คำตอบพบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่รับประทานน้ำมันงาดีขึ้นกว่ากรุ๊ปกินยาหลอก แต่อยู่ในระดับไม่มากนัก แล้วก็เมื่อผ่านไป 3 วัน เด็กทั้ง 2 กรุ๊ปต่างมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้น และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงาก่อเกิดผลกระทบอะไรก็แล้วแต่ศึกษาวิจัยผู้ป่วยที่บาดเจ็บในโรงพยาบาลทั้งปวง 150 คน โดยกรุ๊ปหนึ่งให้การรักษาด้วยการทาน้ำมันงาพร้อมกันไปกับการดูแลรักษาธรรมดา ส่วนอีกกรุ๊ปให้การดูแลรักษาธรรมดาเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความร้ายแรงของความเจ็บปวดรวมทั้งทำให้ผู้เจ็บป่วยกินยาแก้ปวดลดน้อยลง
ภาควิชาแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นพบว่าในเมล็ดงาดำ มีสารเซซาไม่นอยู่ภายในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยสำหรับในการยับยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้เกิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมประสานกับกระดูกมากขึ้นนอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดตันในสมองเส้นโลหิตแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซามินจะเข้าไปช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพท้ายที่สุดก็เป็นโรคโรคมะเร็ง ที่ถือเป็นโรคที่เกิดมากมายเป็นอันดับ 1 ในช่วงเวลานี้ซึ่งเซลล์ของมะเร็งนั้นจะแพร่ขยายไปอย่างเร็วเนื่องจากมีเส้นโลหิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหล่อเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งนั้นๆจากนั้นก็จะแพร่กระจายไปบ่อยซึ่งสารเซซาไม่น ก็จะเข้าไปคุ้มครองป้องกันเซลล์กับตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งพร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กลับมา
โดยผลงานวิจัยในห้องแลปที่ได้ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท ได้ทดลองกับไข่ไก่ที่ปกติแล้วต่อจากนั้นได้กระทำฉีดเซลล์หรือสารพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะกำเนิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นโรคมะเร็ง แล้วหลังจากนั้นก็กระทำฉีดสารเซซาไม่น เข้าไปก็พบว่าการฟื้นฟูของเซลล์เริ่มกลับมาและก็ได้ทดสอบด้วยการฉีดสารเซซาไม่นเข้าไปในไข่ไก่ธรรมดา แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการคุ้มครองป้องกันเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ไม่ถูกฉีดสารเซซาไม่นอย่างเห็นได้ชัด
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา

  • การทดลองความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นปริมาณครึ่งเดียว (LD50) มีค่าพอๆกับ 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำมันจากเมล็ดงาไม่เจาะจงความเข้มข้น พบว่าเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง และก็เมื่อฉีดน้ำมันจากเมล็ดงาเข้าทางเส้นเลือดดำของกระต่าย พบว่า MIC มีค่าพอๆกับ 0.74 มิลลิลิตร/กิโลกรัม เมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด เม็ดฝ้าย น้ำมันที่ทำจากมะกอก และก็น้ำมันงาให้กับหนูเพศผู้-ภรรยา ในขนาด 0.1, 0.5% ของของกินเป็นระยะเวลานาน 105 วัน พบว่าหนูทุกตัวมีการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันที่ตับ แล้วก็ในหนูเพศภรรยา เยื่อที่
ต่อม thyroid ชนิด microfollicular จะมีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ  และในหนูทุกตัวที่ป้อนอาหารที่มีส่วนผสมในขนาด 0.5% ของอาหาร พบว่าน้ำหนักของหัวใจเพิ่มมากขึ้น

  • ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรายงานว่าคนรับประทานเมล็ดงา แล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ในคนเพศชายพบว่ามีอาการแพ้ด้วยการสูดดม และทำ skin prick tests ผล positive และเมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 2 มก./วัน พบว่าเกิดอาการผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ นอกจากนี้มีรายงานในคนเพศหญิง เมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 10 ก./คน และสูดดม พบว่าเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มีอาการหอบ จมูกอักเสบ และมีผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ และมีรายงานว่าผู้ที่รับประทานเมล็ดงา  และเกิดอาการแพ้แบบ anaphylactic shock เนื่องจากสารในเมล็ดงาไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันชนิด non-IgE ผู้ป่วยอายุ 46 ปี เกิดอาการแพ้หลังจากการใช้น้ำมันงาในเยื่อหุ้มฟัน ทำให้เกิด anaphylactic shock ด้วยเช่นกัน มีรายงานในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารที่มีงาเป็นส่วนผสม และเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง 10 ราย ผู้ป่วยทุกคนทำ skin prick test ต่องา และตรวจ IgE antibodies พบว่าได้ผล positive ทั้ง 2 ชนิด ทุกคน  และพบว่าสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงในงาคือ 2S albumin
  • พิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัดเมล็ดด้วยบิวทานอล เอทานอล (95%) และน้ำ เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียขนาด 3.05 ก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 200 มก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล:น้ำ (1:1) เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียทางปากขนาด 200 มก./กก.  พบว่าไม่มีพิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเบนซีนและปิโตรเลียมอีเทอร์  เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ทางสายยางให้อาหารขนาด 150 มก./กก. พบว่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน น้ำมันจากเมล็ดงาเมื่อป้อนให้หนูที่ตั้งครรภ์ทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร ในขนาด 4 มล./ตัว  โดยให้ในช่วงสัปดาห์ที่ 6-10 ของการตั้งครรภ์ พบว่าไม่มีผลทำให้เกิดความพิการของตัวอ่อน
  • พิษต่อเซลล์ สารสกัดทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) ขนาด 0.25 มก./มล. พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวในคน (Lymphocytes Human) และสารสกัดเดิมเมื่อทำการทดสอบกับ Cells vero, Cell-CHO (Chinese Hamster Ovary) และเซลล์ Lymphoma Daltons พบว่าขนาดที่มีผลทำให้เกิดพิษต่



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ