พญายอเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมารักษาโรคได้อย่างดีเยี่ยม

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พญายอเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมารักษาโรคได้อย่างดีเยี่ยม  (อ่าน 10 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หนุ่มน้อยคอยรัก007
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2018, 05:34:38 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

ชื่อสมุนไพร  พญายอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน เสมหะพังพอนตัวเมีย , พญาข้อทอง พญาปล้องดำ (ภาคกลาง) , พญาข้อคำ (ลำปาง) , ผักมันไก่ , ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่) , โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง) , ชิงเจี้ยง หนิ่วซิ้วฮวา (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni  Nees
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นเกิด สมุนไพรพญายอเป็นสมุนไพรเขตร้อน ดังเช่นทวีปแอฟริกา บราซิล และก็อเมริกา กลาง ส่วนในทวีปเอเชียมีการกระจัดกระจายในประเทศอินโดนีเซีย ไทย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ และเป็นสมุนไพรที่มีแพทย์พื้นบ้านประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย จีน ใช้รักษาผื่นผิวหนัง แมลงสัตว์กัดต่อย งูกัด แมงป่องต่อย มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว ส่วนในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นตามป่าเบญจพรรณ หรือเจอปลูกกันตามบ้านทั่วไป ทั่วทุกภาคของประเทศ พญายอ หรือ เสลดพังพอนตัวเมียมีชื่อคล้องจองกัน ซึ่งก็คือ เสมหะพังพอนเพศผู้ แม้กระนั้นต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนตัวผู้มีหนาม สรรพคุณอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมียรวมทั้งเพื่อไม่ให้งงงวยระหว่างสมุนไพร 2 ประเภทนี้ ก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ"
ลักษณะทั่วไป
พญายอ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้แกมเถาหรือไม้พุ่มคอยเลื้อย มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ราว 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะเกลี้ยง ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2-3 ซม. รวมทั้งยาวโดยประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ ดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราว 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกไม้เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 2 ปากหมายถึงปากด้านล่างแล้วก็ปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียสะอาดไม่มีขน มีดอกในตอนราวเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม ผลได้ผลสำเร็จแห้งและก็แตกได้ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราวๆ 0.5 เซนติเมตร ก้านสั้น ข้างในผลมีเมล็ดราวๆ 4 เม็ด
การขยายพันธ์ การขยายพันธุ์พญายอนั้นสามารถได้ 2 วิธี คือ การปักชำรวมทั้งการแยกเหง้ากิ่งก้านสาขาไปปลูก แต่จำนวนมากมักจะใช้วิธีการใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือเปล่าอ่อนเหลือเกิน ตัดกิ่งชนิดให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งโดยประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด โดยประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของตัวการ แล้วก็กิ่งจำพวกเพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีเป็นดินร่วนปนทราย (จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง รวมทั้งสะดวกในการย้ายต้นไปปลูก) โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว และปักให้เอียง 45 องศา รดน้ำให้เปียกแฉะรวมทั้งรักษาความชื้นให้พอเพียงควรระวังอย่าให้กิ่งชำถูกแดดมากมาย กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 อาทิตย์ แล้วใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่ตระเตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบ รดน้ำหลังจากปลูกในทันที
การเก็บเกี่ยว ควรเก็บใบขนาดกลาง ที่ไม่แก่หรืออ่อนกระทั่งเหลือเกิน โดยให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร ภายหลังเก็บเกี่ยวแล้ว ตัวการเดิมยังสามารถแตกออกแตกกิ่งเติบโตได้อีก และก็สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลถัดไปได้
การดูแลรักษา ในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรจะรดน้ำทุกวี่ทุกวัน ถ้าหากแดดจ้าควรรดน้ำยามเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้าเกิดมีฝนตกบางทีอาจจะไม่ต้องให้น้ำ พญายอสามารถเติบโตเจริญในดินทุกจำพวกที่มีการระบายน้ำก้าวหน้า แต่ถูกใจดินร่วนคละเคล้าทรายที่ระบายน้ำดีมากที่สุด  ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นเจริญทั้งๆที่มีแดด(แดดไม่จัด) รวมทั้งที่ร่ม
องค์ประกอบทางเคมี  รากของพญายอ มีสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และก็มีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล    (butanol) จากใบของพญายอ มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบสารกรุ๊ป Monoglycosyl diglycerides ดังเช่น    1,   2- di-O-linolenoyl-3-O-β-D-Galactopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกรุ๊ป Glycoglycerolipids จากใบมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเริมแล้วก็งูสวัด
                ยิ่งไปกว่านี้พญายอ ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากกว่า 20 ชนิด โดยเป็นสารเคมีจากพืชที่มีความสำคัญต่อชีวิต อย่างเช่น   Stigmaster, Lupeol, B-Sitosterol Belutin, Myricyl alcohol และก็สารสกัดที่ได้จากเมทานอลในประเทศไทย 6  ชนิด    C-Glycosyl flavones ตัวอย่างเช่น    Vitexin, Isovitexin, Schaftoside, Isomoll-pentin, 7-0-B-Glucopyranoside, Orientin, Isori-entin และสารสกัดได้จากต้นและก็ใบได้สาร Gluco-sides  5   จำพวก    (1)    Cerebrosides และ  Monoacylmonogalactosyl glycerol สาร    Triga-lactosyl รวมทั้ง    Digalactosyl diglycerides 4  สาร    8 ชนิด    สกัดได้จากส่วนเหนือดินสดด้วยคลอโรฟอร์มคือ   Chlorophyll A,  Chlorophyll B,  แล้วก็    Phacoph-orbide A  และก็สารประกอบที่มีซัลเฟอร์ 4  จำพวก   Clinamide A-C, 2-Cis- entadamide A  และก็สารประกอบที่พบมาก่อน 3  ชนิด    Entadamide A, Entadamide C   แล้วก็    Trans 3  methylsulfinyl-2-propenol
ผลดี / สรรพคุณ คุณประโยชน์ของพญายอตามตำรายาไทย
กล่าวว่า ใบ – ใช้ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน แก้อาการผิดสำแดง แก้เจ็บคอ เจ็บปก แผลในปาก คางทูม รักษาโรคบิด ไข่ดัน รักษาแผลไฟเผา น้ำร้อนลวก รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้ฝี แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคฝึกฝน ราก  - ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับระดู แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวบั้นเอว ชูกำลัง แก้ผิดสำแดง ส่วนทั้ง 5  (ทั้งยังต้น) -   ใช้ทำลายพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก  โรคตับเหลือง รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แก้ปวดบวม เคล็ดปวดเมื่อย ฟกช้ำ  ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังมีการผลิตยาที่มีส่วนประกอบของพญายอหลายแบบ ดังเช่นว่า ครีมพญายอ ใช้บรรเทาลักษณะโรคเริม และ งูสวัด ยาป้ายปากพญายอให้รักษาแผลในปาก (aphthaus ulcer) โลชั่นพญายอ ใช้บรรเทาอาการผื่นผื่นคัน ผื่นคัน ตุ่มคัน ฯลฯ
แบบ / ขนาดการใช้

  • ทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน

o             - ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลลัพธ์ที่ดี

  • แก้แผลน้ำร้อนลวก

o             ใช้ใบตำต้มกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง
o             นำใบมาตำอย่างละเอียดผสมกับเหล้า ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟลุกหรือน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี

  • รักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด

o             ใช้ใบเสมหะพังพอนตัวเมียสด 10-20 ใบ (เลือกใบสีเขียวเข้มสดวาวไม่อ่อนไม่แก่จนถึงเหลือเกิน)นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
o             ใช้ใบเสมหะพังพอน 1,000 กรัม หมักใน alcohol 70 % 1,000 ซีซี. หมักไว้ 7 วัน เอามากรองแล้วเอาไประเหยให้เหลือ 500 ซีซี. เติม glycerine pure ลงไปเท่ากับปริมาณที่ระเหยไป (500 ซีซี.) นำน้ำยาเสลดพังพอนกรีเซอรีนที่ได้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก ถอนพิษต่างๆ

  • ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ถี่ถ้วน ผสมกับน้ำซาวข้าว ใช้พอกบนศีรษะคนเจ็บโดยประมาณ 30 นาที ลักษณะของการมีไข้และลักษณะของการปวดหัวจะหายไป
  • ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดนำมาต้มรับประทานครั้งละราว 2 ช้อนแกง
  • ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวโดยประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง
  • แก้คางทูม ด้วยการกางใบสดราว 10-15 ใบ ตำอย่างถี่ถ้วนผสมกับสุราโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และอาการเจ็บปวดจะหายไปด้านใน 30 นาที
  • ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบนำมาตำผสมกับเกลือและสุรา ใช้พอกบริเวณที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกยามเช้าแล้วก็เย็น

ส่วนการใช้พญายอรักษาอาการด้วยเหตุว่าแมลงกัดต่อย และก็เริมตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนั้น  ให้ใช้ใบขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลง สัตว์ กัดต่อย หรือเป็นเริมและก็สำหรับครีม ที่มีสารสกัดพญายอจำนวนร้อยละ 4 – 5   รวมทั้งสารละลาย (สำหรับป้ายปาก) ที่มีสารสกัดพญายอในกลีเซอรีนร้อยละ 2.5 – 4                  รวมถึงโลชัน ที่มีสารสกัดพญายอร้อยละ 1.25  ให้ใช้  ทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 5 ครั้ง
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ  สารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบให้ทางปากหนูขาว จะลดการอักเสบของอุ้งเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำโดย carrageenan และก็ลดการอักเสบของถุงลมหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้กำเนิดโดยฉีดลมและน้ำมันละหุ่ง (1-3) แม้กระนั้นถ้าหากใช้แนวทางทาสารสกัดที่ผิวหนังจะไม่สามารถลดน้ำหนองของถุงลมหนูได้ สารสกัดเอ็นบิวทานอล ขนาด 270 มก./กก. จะลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูได้เท่ากับแอสไพรินขนาด 100 มก./กก. (2) เมื่อใช้ 5% ของพญายอในรูป cold cream สารสกัดเอทานอล 95% แล้วก็สารสกัดเอทานอลในน้ำ ทาเฉพาะที่ให้หนูขาว  สามารถลดหนองรวมทั้งการเกิด granuloma ได้ 50.98%, 50.10% และ 48.30% ตามลำดับ สารสกัดเอทานอลจากใบ ขนาด 20 มคก./มล. ส่งผลต่อ cytokines  ที่เกิดในแนวทางการอักเสบหมายถึงยับยั้ง  interleukin-1-b แต่ว่าไม่อาจจะยั้ง interleukin-6 และก็  tumor necrosing factor-a
ฤทธิ์รักษาโรคงูสวัด  นำสารสกัดจากใบพญายอความเข้มข้นต่างๆมาตรวจ DNA hybridization และ plaque reduction assay พบว่า ขนาด 1:2,000 รวมทั้ง 1:1,200 ตามลำดับ จะยั้งเชื้อไวรัส Varicella zoster ก่อนเข้าสู่เซลล์ได้ 50% ขนาด 1:6,000 และ 1:4,800 เป็นลำดับ จะฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส  Varicella zoster  ในเซลล์  ขนาดมากกว่า 1:18,000 และก็ 1:9,600 เป็นลำดับ สามารถทำลายเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster โดยตรงได้ 50% จะมีความคิดเห็นว่าเมื่อเชื้อเข้าสู่เซลล์แล้วฤทธิ์สำหรับเพื่อการยั้งเชื้อไวรัสน้อยลง
          คนเจ็บโรคงูสวัด ปริมาณ 51 ราย  ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใพญายอ[/url]เปรียบเทียบกับยาหลอกแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป ตามประเภทของยา รวมทั้งให้ยาเรียงสลับแบบสุ่ม คนเจ็บทุกรายมาเจอหมอด้านใน 48 ชั่วโมงภายหลังจากมีลักษณะอาการ  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน กระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดใบพญายอแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน รวมทั้งหายข้างใน 7-10 วัน มีมากมายกว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ หรูหราความปวดลดน้อยลงเร็วกว่า และไม่เจอผลข้างเคียงใดๆ
ฤทธิ์ต้านทานเริม  สารสกัดน้ำจากใบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส Herpes simplex type 1 รวมทั้ง type 2 โดยตรงก่อนที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์ และก็สารสกัดจากใบความเข้มข้นตั้งแต่ 1:1,200 นาน 30 นาที สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อ HSV 2 โดยตรงก่อนเพาะเลี้ยงลงเซลล์ สารสกัดเมทานอลและสารสกัดน้ำจากใบไม่อาจจะยั้งเชื้อไวรัส HSV-2 รวมทั้ง HSV-1, HSV-2 ในเซลล์ ตามลำดับ
ผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์อีกทั้งชายและก็หญิงปริมาณ 27 คน ได้รับการดูแลรักษาด้วยครีมจากสารสกัดเอทานอลจากใบพญายอ 5% (dilution 1:4,800) เปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยา acyclovir cream ปริมาณ 26 คน และยาหลอก 24 คน  โดยทาแผลวันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 6 วัน พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยครีมพญายอ รวมทั้ง acyclovir cream แผลเป็นสะเก็ดในวันที่ 3 แล้วก็หายภายในวันที่ 7 ไม่เหมือนกับแผลของคนเจ็บที่ใช้ยาหลอก จะตกสะเก็ดในวันที่ 4–7 แล้วก็หายในวันที่ 7-14 หรือยาวนานกว่านั้น ครีมพญายอไม่ทำให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง ในตอนที่ acyclovir cream ทำให้แสบ
คนไข้โรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำ จำนวน 56 ราย ได้รับการดูแลรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอ เปรียบเทียบการรักษากับยา acyclovir cream ปริมาณ 54 คน รวมทั้งยาหลอก 53 คน ทาตุ่มหรือแผลวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่ากลุ่มหวานใจษาด้วยยาจากสารสกัดพญายอแผลจะเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน และหายด้านใน 7 วัน ไม่มีอาการแสบแผล  และไม่มีความไม่เหมือนจากการดูแลและรักษาด้วย acyclovir cream แต่ว่ายา acyclovir cream จะก่อให้แสบแผล (13)
ฤทธิ์แก้ปวด  เมื่อให้ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบ ขนาด 30, 90, 270, 540, 810 แล้วก็ 2,430 มก./กิโลกรัม  แก่หนูถีบจักรทางปาก จะลดการบิดตัวของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำโดยกรดอะซีตำหนิค รวมทั้งเพิ่มการซึมผ่านของผนังหลอดเลือด เป็นสัดส่วนกับขนาดของส่วนสกัด ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลขนาด 90 มิลลิกรัม/กก. จะมีความแรงเท่าๆกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับในการลดการบิดตัว แม้กระนั้นจะมีความแรงน้อยกว่าสำหรับการลดการซึมผ่านผนังเส้นเลือด เมื่อให้สารสกัดนี้โดยการฉีดเข้าท้อง ไม่ทำให้เห็นว่ามีฤทธิ์ระงับปวดเมื่อใช้วิธี hot water bath  และก็ให้ส่วนสกัดคลอโรฟอร์มจากใบขนาดดังที่กล่าวมาข้างต้นทางปากหนูถีบจักร  ไม่มีผลลดการบิดตัวของหนูเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านี้ พญายอมีสารออกฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในหลอดทดสอบรวมทั้งมีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรีย สารสกัดจากใบด้วยเอทธิลอะสิเตทเข้มข้น 1.39-6.31 มก./มิลลิลิตร สามารถยั้ง Bacillus cereus รวมทั้ง candida albican สาร    Flavonoids และ    Phenolic compounds ในสมุนไพรทุกประเภท ยั้งแบคทีเรียได้ไพเราะเพราะพริ้งมี Carbonyl group และก็    พญายอยังมีฤทธิ์ต้านทานพิษงู: มีการเรียนรู้พบว่าสารสกัดพญายอมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันทําลายเซลล์เนื้อเยื่อแผล แม้กระนั้นไม่มีฤทธิ์ยั้งพิษต่อระบบประสาทของงูเห่า ที่มีต่อNeuromuscular transmission
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษแล้วก็การทดสอบความเป็นพิษ
          การทดสอบความเป็นพิษพบว่า สารสกัดเอ็นบิวทานอลมีค่า LD50 13.4 กรัม/กิโลกรัม 48 ชม. ข้างหลังให้ทางปาก และก็มีค่า 3.4 ก./กิโลกรัม เมื่อฉีดเข้าช่องท้อง การให้สารสกัดทุกวี่ทุกวันเป็นเวลา 6 อาทิตย์ ไม่มีผลต่อการเติบโตของหนูขาว แต่พบน้ำหนักไธมัเสียใจลงในตอนที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติต่ออวัยวะอื่นๆและไม่มีลักษณะอาการไม่พึงปรารถนาอื่นๆส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กก. (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษอะไรก็ตามและก็เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้ง 540 มก./กิโลกรัม แต่ละวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง ตอนที่น้ำหนักตับเพิ่มขึ้น ไม่พบความแตกต่างจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่ปรารถนาอะไรก็แล้วแต่
ข้อแนะนำ / ข้อควรปฏิบัติตาม พญายอก็อย่างกับสมุนไพรประเภทอื่นๆคือ ควรจะใช้ในปริมาณที่พอดีไม่สมควรใช้มากเกินไปหรือนานจนเหลือเกินเนื่องจากอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ รวมทั้งหากแม้ในอดีตจะมีการใช้ใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล และก็ให้ผลการดูแลรักษาที่ดี แต่ว่าในตอนนี้แนวทางลักษณะนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เนื่องจากจะทำความสะอาดแผลได้ยาก รวมทั้งอาจจะเป็นผลให้แผลติดเชื้อและเป็นหนองจนแผ่ขยายไปยังรอบๆอื่นได้
เอกสารอ้างอิง

  • เสลดพังพอนตัวเมีย.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
  • ฉัตรชัย สวัสดิไขย,สุรศักดิ์ อิ่มเอี่ยม.พญายอ.คอลัมน์ยาน่ารู้.วารสารศูนย์การศึกษาแพยทศาสตร์คลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่35. ฉบับที่1.มกราคม-มีนาคม 2561.หน้า106-110
  • สมชาย แสงกิจพร เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ธวัชสุภา ปราณี จันทเพ็ชร.  การรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาสารสกัดของใบพญายอ.  วารสารกรมการแพทย์ 2536;18(5):226-31
  • ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.“พญาปล้องทอง”.  หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.    หน้า 521-522.
  • Alam A,   Ferdosh S,   Ghafoor K,   Hakim A, Juraimi AS,    Khatib A,   et  al.   Clinacanthus nutans: A  review of   the   medicinal uses, pharmacology and    phytochemistry. AsianPac J Trop Med 2016:9: 402-9.
  • Thamaree S, Rugrungtham K, Ruangrungsi N, Thaworn N, Kemsri W.  The inhibitory effects of extracts of some herbal medicines on the production of proinflammatory cytokines by in vitro stimulated humam blood cells.  Thai J Pharm Sci 1998;22(3):S47. http://www.disthai.com/[/b]
  • พญายอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Panyakom K.   Strutcural elucidation of bioactive compounds of   clinacanthusnutans (Burm. f.)  lindau leaves [disserta-tion].    Nakhon Rathchasima. SuranareeUniversity of Technology; 2006.
  • ชุตินันท์ กันตสุข.  การทดสอบเบื้องต้นเพื่อหาฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ของสารสกัดสมุนไพรไทยบางชนิด.  วิทยานิพนธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534.
  • “พญาปล้องทอง”.  หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  หน้า 88.
  • Kittisiripornkul S, Bunyapraphatsara, N, Tanasomwong W, Satayavivad J.  The antiinflammatory action and toxicological studies of Clinacanthus nutans.  การประชุม Princess Congress I, 10-13 Dec 1987, กรุงเทพฯ:AC-5.
  • Cherdchu C,   Poopyruchpong N,   Adchari-yasucha R,   Ratanabanangkoon K.   The absence of  antagonism between extracts of   Clinacanthus nutans Burm. and    Naja naja    siamensis venom. Southeast Asian J  Trop    Med    Public Health 1977;8:249-54.
  • Thamaree S, Rugrungtham K, Ruangrungsi N, Thaworn N, Kemsri W.  The inhibitory effects of extracts of some herbal medicines on the production of proinflammatory cytokines by in vitro stimulated humam blood cells.  Thai J Pharm Sci 1998;22(3):S47.
  • Sangkitporn S, Balachandra K, Bunjob M. Chaiwat S, Dechatiwongse Na-Ayudhaya T, Jayavasu C.  Treatment of Herpes zoster with Clinacanthus nutans (Bi Phaya Yaw) extract.  J Med Assoc Thai 1995;78(11):624-7.
  • Dampawan P,   Huntrakul C,   Reutrakul V, Raston CL,    White AH.    Constituents of Clinacanthus nutans and    crystal structureof   Lup-20(29)-Ene-3-One. J  Sci    Soc  Thailand 1977; 3: 14-26.
  • พญายอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วิทยา บุญวรพัฒน์. “เสลดพังพอนตัวเมีย”.  หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.   หน้า 562.
  • ชื่นฤดี ไชยวสุ ทวีผล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ชวลิตธำรง สุทธิโชค จงตระกูลศิริ.  การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบเสลดพังพอนและใบพญายอต่อเชื้อ Herpes simplex virus type-2 ในหลอดทดลอง.  วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2535;34(4):153-8.
  • Dechatiwongse T,  Sakkarat S, ShuypromA,   Pattamadilok D,   Bansiddhi J,   Water-man    PG,    et  al.   Chemical constituents of the   leaves of Clinacanthus nutans Lindau.Thai    Journal of  Phytopharm 2001;8(1):1.
  • Satayavivad J, Bunyapraphatsara N, Kittisiripornkul S, Tanasomwang W.  Analgesic and anti-inflammatory activities of extract of Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau.  Thai J Phytopharm 1996;3(1):7-17.
  • Thawaranantha D, Balachandra K, Jongtrakulsiri S, Chavalittumrong P, Bhumiswasdi J, Jayavasu C.  In vitro antiviral activity of Clinacanthus nutans on Varicella-zoster virus.  Siriraj Hosp Gaz 1992;44(4):285-91.
  • Yoosook C, Bunyapraphatsara N, Boonyakiat Y, Kantasuk C.  Anti-Herpes simplex virus activities of crude water extracts of Thai medicinal plants.  Phytomedicine 1999;6(6): 411-9.
  • Tanasomwang W.  The screening of anti-inflammatory action of Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau : a critical evaluation of carrangeenan-induced hind paw edema model.  MS Thesis, Mahidol Univ, 1986.
  • Yoosook C, Panpisutchai Y, Chaichana S, Santisuk T, Reutrakul V.  Evaluation of anti-HSV-2 activities of Barleria lupulina and Clinacanltus nutans.  J Ethnopharmacol 1999;67:179-87.
  • Suntararuks S, Satayavivad J, Vongsakul M, Wanichanon C, Thiantanawat A, Akanimanee J.  The study of immunologic effects of Clinacanthus nutans extract in male Wistar rats.  The Fourth Princess Chulabhorn International Science Congress Chemicals in the 21st Century, 28 Nov–2 Dec 1999, Bangkok, Thailand: P-24.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ