Advertisement
ชื่อสมุนไพร พญายอชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น เสลดพังพอนตัวเมีย , พญาข้อทองคำ พญาข้อดำ (ภาคกลาง) , พญาปล้องคำ (จังหวัดลำปาง) , ผักมันไก่ , ผักลิ้นเขียด (จังหวัดเชียงใหม่) , โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง) , ชิงเจี้ยง หนิ่วซิ้วฮวา (จีนแมนดาริน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees
ตระกูล ACANTHACEAE
ถิ่นเกิด สมุนไพรพญายอเป็นสมุนไพรเขตร้อน ดังเช่นว่าทวีปแอฟริกา บราซิล แล้วก็อเมริกา กลาง ส่วนในทวีปเอเชียมีการกระจัดกระจายในประเทศอินโดนีเซีย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ และก็เป็นสมุนไพรที่มีหมอประจำถิ่นประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย จีน ใช้รักษาผื่นผิวหนัง แมลงสัตว์กัดต่อย งูกัด แมงป่องต่อย มาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ส่วนในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นตามป่าเบญจพรรณ หรือพบปลูกกันตามบ้านทั่วไป ทั่วทุกภาคของประเทศ พญายอ หรือ เสลดพังพอนตัวเมียมีชื่อพ้องกัน ซึ่งก็คือ เสลดพังพอนเพศผู้ แม้กระนั้นต่างกันตรงที่เสลดพังพอนเพศผู้มีหนาม สรรพคุณอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมียและเพื่อไม่ให้งงงันระหว่างสมุนไพร 2 จำพวกนี้ จึงเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ"
ลักษณะทั่วไปพญายอ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้ปนเถาหรือไม้พุ่มรอเลื้อย มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้โดยประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะหมดจด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ใบเป็นใบคนเดียว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆรูปแบบของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบรวมทั้งโคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ ดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราว 3-6 ดอก กลีบเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 ซม. ปลายแยกออกเป็น 2 ปากเป็นปากข้างล่างและปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกไม้เป็นรูปทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกไม้นั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียสะอาดไม่มีขน ออกดอกในตอนประมาณต.ค.ถึงม.ค. ผลได้ผลแห้งและก็แตกได้ รูปแบบของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราว 0.5 ซม. ก้านสั้น ภายในผลมีเม็ดราว 4 เม็ด
การขยายพันธ์ การขยายพันธุ์พญายอนั้นสามารถได้ 2 แนวทางเป็นการปักชำแล้วก็การแยกเหง้ากิ้งก้านไปปลูก แม้กระนั้นจำนวนมากชอบใช้วิธีการใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ไม่มีโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเหลือเกิน ตัดกิ่งประเภทให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และก็มีตาบนกิ่งราวๆ 1-3 ตา ให้มีใบคงเหลือที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของตัวการ รวมทั้งกิ่งพันธุ์เพื่อปกป้องเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีเป็นดินร่วนคละเคล้าทราย (จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง และสะดวกในการย้ายต้นไปปลูก) โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว และก็ปักให้เอียง 45 องศา รดน้ำให้เปียกและรักษาความชุ่มชื้นให้เพียงพอควรระวังอย่าให้กิ่งชำถูกแสงแดดมากมาย กิ่งปักชำจะออกรากด้านใน 3-4 สัปดาห์ แล้วก็ใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกลงในหลุมปลูกที่จัดแจงไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบ รดน้ำภายหลังปลูกทันที
การเก็บเกี่ยว ควรที่จะเก็บใบขนาดกลาง ที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป โดยให้ใช้ขั้นตอนการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. ภายหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังสามารถแตกหน่อแตกกิ่งเติบโตได้อีก รวมทั้งสามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลต่อไปได้
การรักษา ในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรจะรดน้ำแต่ละวัน ถ้าแดดจ้าควรรดน้ำรุ่งเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 ข้างขึ้นไปแล้วบางทีอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในช่วงฤดูฝนถ้าหากมีฝนตกบางทีอาจจะไม่ต้องให้น้ำ พญายอสามารถเจริญวัยเจริญในดินทุกหมวดหมู่ที่มีการระบายน้ำได้ดี แม้กระนั้นชอบดินร่วนซุยผสมทรายที่ระบายน้ำดีมากที่สุด ถูกใจอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดิบได้ดีในขณะที่มีแดด(แดดไม่จัด) และที่ร่ม
องค์ประกอบทางเคมี รากของพญายอ ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญายอ มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สามารถหยุดอาการอักเสบได้ สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบสารกรุ๊ป Monoglycosyl diglycerides ยกตัวอย่างเช่น 1, 2- di-O-linolenoyl-3-O-β-D-Galactopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกลุ่ม Glycoglycerolipids จากใบมีฤทธิ์ยั้งเชื้อไวรัสเริมรวมทั้งงูสวัด
ยิ่งกว่านั้นพญายอ ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากยิ่งกว่า 20 ชนิด โดยเป็นสารเคมีจากพืชที่มีความหมายต่อชีวิต ตัวอย่างเช่น Stigmaster, Lupeol, B-Sitosterol Belutin, Myricyl alcohol และสารสกัดที่ได้จากเมทานอลในประเทศไทย 6 ชนิด C-Glycosyl flavones ดังเช่นว่า Vitexin, Isovitexin, Schaftoside, Isomoll-pentin, 7-0-B-Glucopyranoside, Orientin, Isori-entin รวมทั้งสารสกัดได้จากต้นและใบได้สาร Gluco-sides 5 ชนิด (1) Cerebrosides รวมทั้ง Monoacylmonogalactosyl glycerol สาร Triga-lactosyl แล้วก็ Digalactosyl diglycerides 4 สาร 8 จำพวก สกัดได้จากส่วนเหนือดินสดด้วยคลอโรฟอร์มเป็น Chlorophyll A, Chlorophyll B, และก็ Phacoph-orbide A และก็สารประกอบที่มีซัลเฟอร์ 4 ชนิด Clinamide A-C, 2-Cis- entadamide A แล้วก็สารประกอบที่พบมาก่อน 3 ชนิด Entadamide A, Entadamide C และ Trans 3 methylsulfinyl-2-propenol
คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของพญายอตามตำรายาไทยระบุว่า ใบ – ใช้ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน แก้อาการผิดสำแดง แก้เจ็บคอ เจ็บปก แผลในปาก คางทูม รักษาโรคบิด ไข่ดัน รักษาแผลไฟเผา น้ำร้อนลวก รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้ฝี แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคหัด ราก - ปรุงเป็นยาขับฉี่ ขับรอบเดือน แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว บำรุงกำลัง แก้ผิดสำแดง ส่วนทั้งยัง 5 (ทั้งยังต้น) - ใช้ทำลายพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ผื่นคัน แผลน้ำร้อนลวก โรคตับเหลือง รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แก้ปวดบวม เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังมีการผลิตยาที่มีส่วนประกอบของพญายอหลายประเภท อาทิเช่น ครีมพญายอ ใช้ทุเลาอาการโรคเริม แล้วก็ งูสวัด ยาป้ายปากพญายอให้รักษาแผลในปาก (aphthaus ulcer) โลชั่นพญายอ ใช้บรรเทาอาการผื่นผื่นคัน ผื่นคัน ตุ่มคัน เป็นต้น
ต้นแบบ / ขนาดวิธีใช้- ทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน
o - ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
o ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟเผา แผลจะแห้ง
o นำใบมาตำให้ถี่ถ้วนผสมกับเหล้า ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี
- รักษาอาการอักเสบ ทำลายพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด
o ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด 10-20 ใบ (เลือกใบสีเขียวเข้มสดเป็นเงาไม่อ่อนไม่แก่จนกระทั่งเหลือเกิน)เอามาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำกินหรือเอาน้ำทาแผลและก็เอากากพอกแผล
o ใช้ใบเสมหะพังพอน 1,000 กรัม หมักใน alcohol 70 % 1,000 ซีซี. หมักไว้ 7 วัน นำมากรองแล้วเอาไประเหยให้เหลือ 500 ซีซี. เติม glycerine pure ลงไปเท่ากับจำนวนที่ระเหยไป (500 ซีซี.) นำน้ำยาเสมหะพังพอนกรีเซอรีนที่ได้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก ทำลายพิษต่างๆ
- ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบสด 1 กำมือ ตำอย่างละเอียด ผสมกับน้ำแช่ข้าว ใช้พอกบนศีรษะคนป่วยราว 30 นาที อาการไข้และลักษณะของการปวดหัวจะหายไป
- ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (รับประทานอาหารเป็นพิษไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดนำมาต้มรับประทานทีละราวๆ 2 ช้อนแกง
- ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาบดโดยประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง
- แก้คางทูม ด้วยการใช้ใบสดราว 10-15 ใบ ตำให้รอบคอบผสมกับเหล้าโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และลักษณะการเจ็บปวดจะหายไปภายใน 30 นาที
- ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบนำมาโขลกผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกบริเวณที่เป็น แปลงยาทุกรุ่งเช้าแล้วก็เย็น
ส่วนการใช้พญายอรักษาอาการเหตุเพราะแมลงกัดต่อย และก็เริมตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ให้ใช้ใบขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลง สัตว์ กัดต่อย หรือเป็นเริมและสำหรับครีม ที่มีสารสกัดพญายอร้อยละ 4 – 5 รวมทั้งสารละลาย (สำหรับป้ายปาก) ที่มีสารสกัดพญายอในกลีเซอรีนจำนวนร้อยละ 2.5 – 4 รวมทั้งโลชัน ที่มีสารสกัดพญายอปริมาณร้อยละ 1.25 ให้ใช้ ทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 5 ครั้ง
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ลดการอักเสบ สารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบให้ทางปากหนูขาว จะลดการอักเสบของอุ้งเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำโดย carrageenan รวมทั้งลดการอักเสบของถุงลมหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้กำเนิดโดยฉีดลมแล้วก็น้ำมันละหุ่ง (1-3) แต่หากใช้วิธีทาสารสกัดที่ผิวหนังจะไม่สามารถลดน้ำหนองของถุงลมหนูได้ สารสกัดเอ็นบิวทานอล ขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูได้พอกับแอสไพรินขนาด 100 มก./กิโลกรัม (2) เมื่อใช้ 5% ของ
พญายอในรูป cold cream สารสกัดเอทานอล 95% และสารสกัดเอทานอลในน้ำ ทาเฉพาะที่ให้หนูขาว สามารถลดหนองรวมทั้งการเกิด granuloma ได้ 50.98%, 50.10% และก็ 48.30% ตามลำดับ สารสกัดเอทานอลจากใบ ขนาด 20 มคก./มิลลิลิตร มีผลต่อ cytokines ที่เกิดในกระบวนการอักเสบหมายถึงยับยั้ง interleukin-1-b แต่ว่าไม่อาจจะยับยั้ง interleukin-6 และ tumor necrosing factor-a
ฤทธิ์รักษาโรคงูสวัด นำสารสกัดจากใบพญายอความเข้มข้นต่างๆมาตรวจ DNA hybridization รวมทั้ง plaque reduction assay พบว่า ขนาด 1:2,000 และ 1:1,200 เป็นลำดับ จะยั้งเชื้อไวรัส Varicella zoster ก่อนเข้าสู่เซลล์ได้ 50% ขนาด 1:6,000 และ 1:4,800 เป็นลำดับ จะฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster ในเซลล์ ขนาดมากกว่า 1:18,000 และก็ 1:9,600 เป็นลำดับ สามารถทำลายเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster โดยตรงได้ 50% จะมีความเห็นว่าเมื่อเชื้อไปสู่เซลล์แล้วฤทธิ์สำหรับการยั้งเชื้อไวรัสต่ำลง
คนเจ็บโรคงูสวัด ปริมาณ 51 ราย ได้รับการดูแลรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ตามชนิดของยา และให้ยาเรียงสลับแบบสุ่ม ผู้ป่วยทุกรายมาพบแพทย์ด้านใน 48 ชม.ภายหลังมีอาการ โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จนกว่าแผลจะหาย พบว่าคนเจ็บสุดที่รักษาด้วยสารสกัดใบพญายอแผลจะตกสะเก็ดภายใน 3 วัน แล้วก็หายข้างใน 7-10 วัน มีจำนวนไม่น้อยกว่ากลุ่มสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ หรูหราความปวดลดลงเร็วกว่า และไม่พบผลข้างเคียงอะไรก็ตาม
ฤทธิ์ต้านเริม สารสกัดน้ำจากใบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส Herpes simplex type 1 รวมทั้ง type 2 โดยตรงก่อนที่จะเชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์ แล้วก็สารสกัดจากใบความเข้มข้นตั้งแต่ 1:1,200 นาน 30 นาที สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อ HSV 2 โดยตรงก่อนเพาะเลี้ยงลงเซลล์ สารสกัดเมทานอลและสารสกัดน้ำจากใบไม่สามารถที่จะยับยั้งเชื้อไวรัส HSV-2 รวมทั้ง HSV-1, HSV-2 ในเซลล์ เป็นลำดับ
ผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิงปริมาณ 27 คน ได้รับการดูแลรักษาด้วยครีมจากสารสกัดเอทานอลจากใบพญายอ 5% (dilution 1:4,800) เปรียบเทียบกับการดูแลรักษาด้วยยา acyclovir cream จำนวน 26 คน และก็ยาหลอก 24 คน โดยทาแผลวันละ 4 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 6 วัน พบว่า คนป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยครีมพญายอ และก็ acyclovir cream แผลตกสะเก็ดในวันที่ 3 รวมทั้งหายข้างในวันที่ 7 ไม่เหมือนกับแผลของคนป่วยที่ใช้ยาหลอก จะเป็นสะเก็ดในวันที่ 4–7 และก็หายในวันที่ 7-14 หรือนานกว่านั้น ครีมพญายอไม่กระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง เวลาที่ acyclovir cream ทำให้แสบ
ผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำ ปริมาณ 56 ราย ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอ เทียบการดูแลและรักษากับยา acyclovir cream จำนวน 54 คน และยาหลอก 53 คน ทาตุ่มหรือแผลวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาจากสารสกัดพญายอแผลจะตกสะเก็ดภายใน 3 วัน และหายด้านใน 7 วัน ไม่มีอาการแสบแผล และไม่มีความต่างจากการดูแลและรักษาด้วย acyclovir cream แต่ว่ายา acyclovir cream จะทำให้แสบแผล (13)
ฤทธิ์แก้ปวด เมื่อให้ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบ ขนาด 30, 90, 270, 540, 810 และก็ 2,430 มก./กก. แก่หนูถีบจักรทางปาก จะลดการบิดตัวของหนูที่ถูกรั้งนำโดยกรดอะซีติเตียนค แล้วก็เพิ่มการซึมผ่านของผนังเส้นเลือด เป็นสัดส่วนกับขนาดของส่วนสกัด ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลขนาด 90 มิลลิกรัม/กก. จะมีความแรงพอๆกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับในการลดการบิดตัว แต่ว่าจะมีความแรงน้อยกว่าในการลดการซึมผ่านฝาผนังเส้นโลหิต เมื่อให้สารสกัดนี้โดยการฉีดเข้าท้อง ไม่แสดงให้เห็นว่ามีฤทธิ์ระงับปวดเมื่อใช้วิธี hot water bath รวมทั้งให้ส่วนสกัดคลอโรฟอร์มจากใบขนาดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทางปากหนูถีบจักร ไม่เป็นผลลดการบิดตัวของหนูเช่นเดียวกัน
นอกนั้น พญายอมีสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในหลอดทดลองแล้วก็มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย สารสกัดจากใบด้วยเอทธิลอะซิเตทเข้มข้น 1.39-6.31 มก./มิลลิลิตร สามารถยับยั้ง Bacillus cereus รวมทั้ง candida albican สาร Flavonoids รวมทั้ง Phenolic compounds ในสมุนไพรทุกชนิด ยั้งแบคทีเรียได้ไพเราะเพราะพริ้งมี Carbonyl group รวมทั้ง พญายอยังมีฤทธิ์ต้านทานพิษงู: มีการเรียนพบว่าสารสกัดพญายอมีฤทธิ์ปกป้องทําลายเซลล์เนื้อเยื่อแผล แม้กระนั้นไม่มีฤทธิ์ยับยั้งพิษต่อระบบประสาทของงูเห่า ที่มีต่อNeuromuscular transmission
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ การทดลองความเป็นพิษพบว่า สารสกัดเอ็นบิวทานอลมีค่า LD50 13.4 กรัม/กิโลกรัม 48 ชม. หลังให้ทางปาก และมีค่า 3.4 ก./กิโลกรัม เมื่อฉีดเข้าท้อง การให้สารสกัดทุกวี่ทุกวันตรงเวลา 6 สัปดาห์ ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของหนูขาว แต่ว่าเจอน้ำหนักไธมัเสียใจลงระหว่างที่น้ำหนักตับเพิ่มขึ้น ไม่เจอความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆและไม่มีอาการไม่ประสงค์อื่นๆส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโล (หรือเท่ากันใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่ส่งผลให้เกิดอาการพิษอะไรก็ตามรวมทั้งเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโล รวมทั้ง 540 มก./กิโลกรัม ทุกวี่ทุกวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ในขณะที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่พบความผิดแปลกต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่พึงปรารถนาใดๆ
ข้อเสนอ / ข้อควรไตร่ตรอง พญายอก็เช่นเดียวกับสมุนไพรชนิดอื่นๆคือ ควรใช้ในปริมาณที่พอดีไม่ควรใช้มากเกินไปหรือนานจนกระทั่งเกินไปเพราะอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ แล้วก็แม้ในสมัยก่อนจะมีการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกรอบๆที่เป็นแผล และก็ให้ผลการดูแลและรักษาที่ดี แต่ว่าในปัจจุบันแนวทางนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะว่าจะทำความสะอาดแผลได้ยาก รวมถึงอาจก่อให้แผลติดเชื้อและก็เป็นหนองจนกระทั่งแผ่ขยายไปยังบริเวณอื่นได้
เอกสารอ้างอิง- เสลดพังพอนตัวเมีย.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
- ฉัตรชัย สวัสดิไขย,สุรศักดิ์ อิ่มเอี่ยม.พญายอ.คอลัมน์ยาน่ารู้.วารสารศูนย์การศึกษาแพยทศาสตร์คลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่35. ฉบับที่1.มกราคม-มีนาคม 2561.หน้า106-110
- สมชาย แสงกิจพร เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ธวัชสุภา ปราณี จันทเพ็ชร. การรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาสารสกัดของใบพญายอ. วารสารกรมการแพทย์ 2536;18(5):226-31
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.“พญาปล้องทอง”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 521-522.
- Alam A, Ferdosh S, Ghafoor K, Hakim A, Juraimi AS, Khatib A, et al. Clinacanthus nutans: A review of the medicinal uses, pharmacology and phytochemistry. AsianPac J Trop Med 2016:9: 402-9.
- Thamaree S, Rugrungtham K, Ruangrungsi N, Thaworn N, Kemsri W. The inhibitory effects of extracts of some herbal medicines on the production of proinflammatory cytokines by in vitro stimulated humam blood cells. Thai J Pharm Sci 1998;22(3):S47. http://www.disthai.com/[/b]
- พญายอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
- Panyakom K. Strutcural elucidation of bioactive compounds of clinacanthusnutans (Burm. f.) lindau leaves [disserta-tion]. Nakhon Rathchasima. SuranareeUniversity of Technology; 2006.
- ชุตินันท์ กันตสุข. การทดสอบเบื้องต้นเพื่อหาฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ของสารสกัดสมุนไพรไทยบางชนิด. วิทยานิพนธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534.
- “พญาปล้องทอง”. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 88.
- Kittisiripornkul S, Bunyapraphatsara, N, Tanasomwong W, Satayavivad J. The antiinflammatory action and toxicological studies of Clinacanthus nutans. การประชุม Princess Congress I, 10-13 Dec 1987, กรุงเทพฯ:AC-5.
- Cherdchu C, Poopyruchpong N, Adchari-yasucha R, Ratanabanangkoon K. The absence of antagonism between extracts of Clinacanthus nutans Burm. and Naja naja siamensis venom. Southeast Asian J Trop Med Public Health 1977;8:249-54.
- Thamaree S, Rugrungtham K, Ruangrungsi N, Thaworn N, Kemsri W. The inhibitory effects of extracts of some herbal medicines on the production of proinflammatory cytokines by in vitro stimulated humam blood cells. Thai J Pharm Sci 1998;22(3):S47.
- Sangkitporn S, Balachandra K, Bunjob M. Chaiwat S, Dechatiwongse Na-Ayudhaya T, Jayavasu C. Treatment of Herpes zoster with Clinacanthus nutans (Bi Phaya Yaw) extract. J Med Assoc Thai 1995;78(11):624-7.
- Dampawan P, Huntrakul C, Reutrakul V, Raston CL, White AH. Constituents of Clinacanthus nutans and crystal structureof Lup-20(29)-Ene-3-One. J Sci Soc Thailand 1977; 3: 14-26.
- พญายอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- วิทยา บุญวรพัฒน์. “เสลดพังพอนตัวเมีย”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 562.
- ชื่นฤดี ไชยวสุ ทวีผล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ชวลิตธำรง สุทธิโชค จงตระกูลศิริ. การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบเสลดพังพอนและใบพญายอต่อเชื้อ Herpes simplex virus type-2 ในหลอดทดลอง. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2535;34(4):153-8.
- Dechatiwongse T, Sakkarat S, ShuypromA, Pattamadilok D, Bansiddhi J, Water-man PG, et al. Chemical constituents of the leaves of Clinacanthus nutans Lindau.Thai Journal of Phytopharm 2001;8(1):1.
- Satayavivad J, Bunyapraphatsara N, Kittisiripornkul S, Tanasomwang W. Analgesic and anti-inflammatory activities of extract of Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau. Thai J Phytopharm 1996;3(1):7-17.
- Thawaranantha D, Balachandra K, Jongtrakulsiri S, Chavalittumrong P, Bhumiswasdi J, Jayavasu C. In vitro antiviral activity of Clinacanthus nutans on Varicella-zoster virus. Siriraj Hosp Gaz 1992;44(4):285-91.
- Yoosook C, Bunyapraphatsara N, Boonyakiat Y, Kantasuk C. Anti-Herpes simplex virus activities of crude water extracts of Thai medicinal plants. Phytomedicine 1999;6(6): 411-9.
- Tanasomwang W. The screening of anti-inflammatory action of Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau : a critical evaluation of carrangeenan-induced hind paw edema model. MS Thesis, Mahidol Univ, 1986.
- Yoosook C, Panpisutchai Y, Chaichana S, Santisuk T, Reutrakul V. Evaluation of anti-HSV-2 activities of Barleria lupulina and Clinacanltus nutans. J Ethnopharmacol 1999;67:179-87.
- Suntararuks S, Satayavivad J, Vongsakul M, Wanichanon C, Thiantanawat A, Akanimanee J. The study of immunologic effects of Clinacanthus nutans extract in male Wistar rats. The Fourth Princess Chulabhorn International Science Congress Chemicals in the 21st Century, 28 Nov–2 Dec 1999, Bangkok, Thailand: P-24.