ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี  (อ่าน 6 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2018, 09:17:21 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น จะไคร (ภาคเหนือ) , ติดอยู่หอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
ตระกูล   GRAMINEAE
บ้านเกิดเมืองนอน ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวไทยเรามาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย , ประเทศพม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , ประเทศอินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นแล้วก็ยังสามารถเจอได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ ด้วยเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกเครือญาติหญ้ารวมทั้งสามารถแบ่งได้ 6 ชนิด ดังเช่นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางราชสีห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกตระกูลเดียวกับต้นหญ้า มักแก่มากกว่า 1 ปี (ขึ้นอยู่กับต้นเหตุทางสิ่งแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งชัน รูปทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (แล้วก็ใบ) ส่วนของลำต้นที่เรามองเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบหุ้มห่อหนา ผิวเรียบ รวมทั้งมีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนเล็กน้อย และก็เบาๆเรียวเล็กลงเปลี่ยนเป็นส่วนของใบ แกนกลางเป็นข้อแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน แล้วก็พันธุ์ แล้วก็เป็นส่วนที่ประยุกต์ใช้สำหรับทำครัว ใบตะไคร้มี 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ และก็ใบ) และก็ใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบคนเดียว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งลู่ลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ แม้กระนั้นคม กลางใบมีเส้นกลางใบแข็ง สีขาวอมเทา มองเห็นต่างกับแผ่นใบแน่ชัด ใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 เซนติเมตร  ตะไคร้เป็นพืชที่ออกดอกยาก จึงไม่ค่อยพบเจอ ดอกตะไคร้ดอกจะออกดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว รวมทั้งมีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบตกแต่งรองรับ มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกมีขนาดใหญ่เหมือนดอกอ๋อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนโดยประมาณหนึ่งคืบ เอามาปักชำไว้สักหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีรากผลิออกออกมา แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่ตระเตรียมไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ถูกใจดินที่ร่วนซุย ให้ไถพลิกดินและก็ไถลูกพรวนลึกราว 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันโดยประมาณ 0.5 เมตร
  • ลงต้นชนิดหลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราวๆ 10 เซนติเมตร
  • ตอนแรกรดน้ำทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดหนโคนต้นตะไคร้เท่านั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เป็นอันขาดต้องให้น้ำที่โคนเพียงแค่นั้น
  • ในตอน 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแดดให้ตะไคร้ด้วย หลังจากตะไคร้ปรับตัวได้แล้วให้เอาวัสดุอำพรางแสงสว่างออกเพราะธรรมชาติของตะไคร้ถูกใจแดด และเจริญวัยเจริญในที่ที่มีแสงแรง
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้พินิจที่ต้น ถ้าเกิดต้นเติบโตดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แต่อย่าให้กระเทือนรากที่อยู่ในดินด้วยเหตุว่าตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่จำเป็นต้องหาต้นพันธุ์มาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรจะตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้สุดกำลัง
  • หลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในช่วงระยะเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตเต็มกำลังแล้วหลังจากนั้นก็สามารถตัดได้อีกอยู่ตลอดไปจนกว่าต้นจะชำรุดทรุดโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก

ตะไคร้ชอบดินซึ่งร่วนซุย แต่ว่าก็สามารถเจริญรุ่งเรืองได้ในดินแทบทุกประเภทเป็นพืชที่ดูแลไม่ยากชอบน้ำถูกใจแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดี รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (คงจะมีต้นเหตุมาจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองปกป้องจากแมลงต่างๆได้)
ส่วนประกอบทางเคมี
พบสาร  citral 80% นอกเหนือจากนั้นยังเจอ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้หมายถึงmenthol, cineole, camphor แล้วก็ linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  และก็ช่วยขับลม  ยิ่งกว่านั้นมี citral, citronellol, geraneol และก็ cineole มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียเป็นต้นว่า E. coli   ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มก.
  • ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
  • เถ้า 1.4 กรัม

ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
ผลดี / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นและก็ใบของตะไคร้ เป็นองค์ประกอบของอาหารที่สำคัญหลายแบบได้แก่ ต้มยำ แล้วก็อาหารไทยหลากหลายประเภท และก็ใช้เป็นเครื่องเทศเตรียมอาหารสำหรับขจัดกลิ่นคาว ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอมยวนใจ และก็แก้ไขรสให้น่ารับประทานมากเพิ่มขึ้น สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้อย่างดีเยี่ยม  สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายประเภท เป็นต้นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
– ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งตัว
– ใช้ทานวด แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครองป้องกัน ยุง รวมทั้งแมลง
– ใช้เป็นส่วนผสมของสารคุ้มครอง รวมทั้งกำจัดแมลง
ส่วนสรรพคุณของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
ตำรายาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ฉี่เป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันโลหิต เหง้า แก้เบื่อข้าว บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้เยี่ยวขัด แก้เยี่ยวทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับระดู ขับตกขาว ใช้ด้านนอกทาแก้อาการปวดบวมตามข้อ
           ตำราเรียนยาพื้นเมืองอีสาน : ใช้ทั้งต้น ลดไข้ โดยเอามาต้มจนถึงเดือดโดยประมาณ 10 นาที ชูลงดื่มทีละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ด้านนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำและเอามาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก กลางคน แล้วก็คนชรา โดยในตำรับมีตะไคร้ รวมทั้งสมุนไพรอื่นอีก 13 จำพวก นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว เบิกบานใจ ทำให้กระปรี้กระเปร่า ระงับความเครียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
ส่วนสรรพคุณทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการศึกษาค้นคว้าทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดลงได้แล้วก็พบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้งานในกลุ่มผู้ถูกทดลอง หากแม้ยังคงควรมีการปรับปรุงแก้ไขกลิ่นแรงรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มเติมอีกต่อไป และในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการรักษาคนเจ็บโรคเกลื้อนอยู่ที่ราวๆ 60% ในขณะที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าหมายถึงอยู่ที่ 80%  และมีการทดลองคุณภาพของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดลอง แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นจำพวก Culicoides Pachymerus อยู่อย่างมาก โดยทดลองบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดสอบประสิทธิผลทางการป้องกันด้านใน 3-6 ชั่วโมง ผลการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการปกป้องริ้นจำพวกนี้ได้สูงสุดถึงโดยประมาณ 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดลองถึงคุณภาพของตะไคร้สำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดลองเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพสำหรับในการป้องกันยุงได้ช้านานที่ราวๆ 3 ชั่วโมง  ส่วนในประเด็นการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในสินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 และก็ 15% โดยมีอาสาสมัครทดลองเป็นคนไทยในวัย 20-60 ปี จำนวน 30 คน ผลของการทดสอบพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดปริมาณรังแคลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบ/ขนาดวิธีใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้าและลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  ไม่ลิลิตร) ก่อนที่จะกินอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆเพียงพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งไว้  5-10  นาที  ดื่มแม้กระนั้นน้ำ 3 ครั้ง ทีละ  1  ถ้วยชา  ก่อนที่จะกินอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้าและลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ทุบเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  คราวหลังของกิน     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)

  • นำตะไคร้อีกทั้งต้นและก็รากปริมาณ 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เติมน้ำต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มทีละ 1 ถ้วยแก้ว ต่อเนื่องกัน 3 วัน จะหายเจ็บท้อง
  • นำลำต้นแก่สดๆตีพอเพียงแหลกราวๆ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ

                ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยทำให้หายเร็ว
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จึงลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียปัจจัยอาการแน่นจุกเสียดแล้วก็ท้องร่วง เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 0.3) มาทดสอบ พบว่าสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ปานกลาง   มีการปรับปรุงสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการท้องเดิน พบว่าตำรับที่มีประสิทธิภาพสำหรับในการยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วก้าวหน้าที่สุดเป็นตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้จำนวนร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก และก็มีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนผสมในยา อาหาร หรือเครื่องแต่งตัว โดยบอกว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง อย่างเช่น ขี้กลาก โรคเกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral และก็ myrcene เป็นองค์ประกอบหลักจะมีฤทธ์ยับยั้งเชื้อราดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว รวมทั้งเมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปปรับปรุงเป็นครีมต่อต้านเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 2.5 และก็ 3.0 จะให้ผลต่อต้านเชื้อราก้าวหน้าที่สุดแล้วก็เหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นตำรับยาถัดไป

เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย แล้วก็สารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล รวมทั้งน้ำ มาทดสอบฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยแล้วก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต้านทานเชื้อราได้ทุกชนิด  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้น้อย เวลาที่สารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา และก็จากผลการทดลองยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย และก็ในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราได้ดี คือ สาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตะไคร้ในรูปของ emulsion รวมทั้ง nanocapsule ที่ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis รวมทั้ง  T.  rubrum โดยไปยั้งการเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังที่กล่าวถึงมาแล้ว

  • ฤทธิ์ต้านทานยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต้านทานยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถบรรเทาลักษณะของการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเจ็บด้วยความร้อน  หรือถ้าป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเท่าเดิมทางปากจะสามารถทุเลาลักษณะของการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine

ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กินตรงเวลา 30 นาที ก่อนจะเหนี่ยวนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  รวมทั้ง dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดจากการที่ถูกรั้งนำด้วยสารคาราจีแนน รวมทั้ง prostaglandin E2 ได้  แต่ว่าไม่ได้เรื่องถ้าเหนี่ยวนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้  และก็สาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดอาการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยั้งอาการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แต่ว่าเมื่อฉีดเข้าท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มิลลิลิตร/กก. พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มล./กก. ทุกๆวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยสำหรับในการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับในการย่อยหมายถึงborneol, fenchone แล้วก็ cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้กินไม่เป็นผลขับลม แม้กระนั้นถ้าให้โดยฉีดทางท้องจะให้ผลดี

เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะอาหาร หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มิลลิกรัม/กก. พบว่าสามารถบรรเทาอาการปวดได้ แล้วก็เมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าด้านในกระเพาะอาหารหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์ คือ myrcene (1) นอกนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่สามารถที่จะทุเลาลักษณะของการปวดได้
การเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากยิ่งกว่า 5 กรัม/กิโลกรัม ส่วนพิษในหนูขาวไม่แน่ชัด และก็เมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์และน้ำ (1:1) ขนาด 460 มิลลิกรัม/กก. เข้ากระเพาะหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แม้กระนั้นสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กิโลกรัม เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้เล่าเรียนพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ
          การศึกษาพิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกลุ่มที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากลุ่มควบคุม แต่ว่าค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดสอบกับ S. typhimurium TA98 และก็เมื่อนำน้ำสุกใบตะไคร้กับเนื้อ (โค ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และ 16 มก./จานเพาะเชื้อ ทดลองกับ S. typhimurium TA98 และ TA100 ไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ แล้วก็สารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่มีผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และก็ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) และก็ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษเช่นกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia แล้วก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคกรัม/มิลลิลิตร แต่ว่าเมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคก./มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่ว่าสารสกัดหยาบแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคกรัม/ มิลลิลิตร ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของโรคมะเร็ง CA-9KB แต่ในขนาด 20 มคกรัม/ มล. ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดสอบพิษของชาที่จัดเตรียมจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพแข็งแรงรับประทานชาตะไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ไม่พบความเคลื่อนไหวทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดแล้วก็เยี่ยว มีบางรายเท่านั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน และก็ amylase สูงมากขึ้น จึงนับว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 0.8 พบว่ามีอาการแพ้ อย่างไรก็แล้วแต่การแพ้นี้อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากสารอื่นได้ แล้วก็มีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อดมน้ำมันตะไคร้
ข้อเสนอ / ข้อควรไตร่ตรอง

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อจุดประสงค์ทางการรักษาโรค อาจจะปลอดภัยหากใช้ตะไคร้ในขณะสั้นๆภายใต้การดูแลและข้อแนะนำจากแพทย์
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจส่งผลให้เป็นผลข้างๆที่เกิดอันตรายและก็เป็นพิษต่อสภาพร่างกายได้ในคนไข้บางราย เป็นต้นว่า ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • หารือแพทย์ เภสัชกร และก็เรียนรู้ข้อมูลบนฉลากอย่างละเอียดก่อนใช้สินค้าใดๆก็ตามที่มีสารสกัดมาจากตะไคร้ก่อนเสมอ เพื่อเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่บางทีอาจมีอันตรายต่อร่างกายหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) เพราะเหตุว่า citral จะก่อให้ความดันในลูกตามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Du



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ