Advertisement
พิมเสน (Bomed Camphor)พิมเสนเป็นยังไง พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังเช่นว่า ภิมเสน น่ากลัวเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนจังหวัดตรังกานู พรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” แขกฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur” โดยปกติพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดเป็นพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและก็พิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงเรื่อๆ(หากเป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงสว่างจ้าแล้วก็มีควันมาก ไม่มีเถ้า ละลายได้ยากในน้ำ ละลายได้ดีในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ สมัยเก่าคนไทยนิยมใช้ใส่ไว้ในหมากพลูเคี้ยว
สูตรทางเคมีแล้วก็สูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทไบไซคิก แล้วก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมสดชื่นฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงแรงรวมทั้งมีควันมาก ไม่มีขี้เถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25 gmd -1 รวมทั้งมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.011 มีจุดหลอมตัว 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
ที่มา : Wikiperdia
แหล่งที่มา พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้หมายถึงพิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (ผู้กระทำลั่นของเนื้อไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ประเภท (รู้เรื่องว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกข้อกำหนดชื่อไทยไว้ ซึ่งในตำรายาแผนโบราณส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เนื่องจากว่าแม้เรียกว่าต้นพิมเสนอาจเกิดความสับสน เพราะว่าต้นพิมเสน นั้นยังเป็นพืชอีกประเภท เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เครือญาติ Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในสกุลยางท้องนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบมากในเมืองตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชชนิดนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ตัวอย่างเช่น Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-สุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดโดยรอบลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีกิ่งก้านสาขาใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบผู้เดียว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงรวมทั้งห้อย ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมสดชื่น กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามแนวยาว เกสรตัวผู้มีเป็นจำนวนมาก ก้านเกสรติดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอก มี 3 ห้อง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ออกเป็นปีก มี 1 เม็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE), และต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในตระกูลทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา ซึ่งพิมเสนที่ได้จากผู้กระทำลั่นพืชชนิดนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” ก็เลยเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากมายในเกาะไหหลำ
ประโยชน์/สรรพคุณ ถึงแม้ว่าพิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แม้กระนั้น ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นชนิดธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ แพทย์แผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยายับยั้งความกระวายกระวน ทำให้ง่วงซึมแก้กลยุทธ์ขัดยอกคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นส่วนประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมหวน ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกเหนือจากนี้ยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
ในหนังสือเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: ระบุ “ตำรับยาทรงจมูก” เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้จำนวนเท่าๆกัน และ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผุยผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในศีรษะ ตา แล้วก็จมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง รวมถึง
พิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดศรีษะ เวียนหัว แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ และตา นอกเหนือจากนั้นพิมเสนยังใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาขี้ผึ้งบี้พระเส้น” ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ และก็ในตำรับ “สีปากขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ถึงแม้ชาวไทยเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นข้อมูลเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากสักเท่าไรนัก เพราะเหตุว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นอยู่เฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และก็คาบสมุทรมลายู จึงทำให้การศึกษาวิจัยในต้นไม้ประเภทนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ว่าก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน เช่น
- สารที่เจอในพิเสนแท้ เป็นต้นว่า d-Borneol, Humulene, Caryophyllene, Asiatic acid, Dryobalanon Erythrodiol, Dipterocarpol, Hydroxydammarenone2
- จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเภสัชวิทยาฉบับหนึ่งระบุว่า พิมเสนมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการทำลายเชื้อได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น เชื้อในลำไส้ใหญ่, เชื้อราบนผิวหนัง, Staphelo coccus, Steptro coccus และก็ยังคงใช้สำหรับการรักษาลักษณะของการปวดเส้นประสาทหรืออาการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม
- กลไกสำหรับการออกฤทธิ์ของพิมเสนสำหรับการลดการอักเสบเป็น กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตรอบๆใต้ผิวหนังรอบๆที่ทา ยับยั้งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบจากกลไกของร่างกาย ดังเช่นว่า prostaglandin E2,interleukin เป็นต้น ซึ่งการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดนี้ จะช่วยให้ลดอาการปวดได้เร็วขึ้น
การเรียนทางพิษวิทยา เช่นเดียวกับการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการเรียนรู้ทางพิษวิทยานี้ก็การศึกษาต่ำกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเนื่องจากการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้เป็นต้นไม้เฉพาะถิ่น แม้กระนั้นก็มีการระบุข้อจำกัดในการใช้พิมเสนไว้ว่า ถ้าหากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆอาจเป็นอันตรายได้ ด้วยเหตุว่าสารนี้กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการระคายเคืองรอบๆทางเดินหายใจ ยิ่งกว่านั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นรวมทั้งสงบระบบประสาทศูนย์กลาง ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย
ขนาด/ปริมาณที่ควรจะใช้ ในแบบเรียนยาไทยเจาะจงไว้ว่า วิธีใช้พิมเสนสำหรับรับประทาน ให้ใช้ครั้งละ 0.15-0.3 กรัมนำมาบดเป็นผงกับหนังสือเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรปรุงยาด้วยวิธีการต้ม แม้ใช้ข้างนอกให้นำมาบดเป็นผงใช้โรยแผลตามที่อยากได้ ส่วนขนาด/จำนวนของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป
ข้อแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง- ห้ามดมพิมเสนตอดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพราะว่าจะก่อให้กำเนิดอาการเคืองบริเวณทางเดินหายใจ
- พิมเสนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทศูนย์กลางก็เลยไม่สมควรใช้เกินขนาดที่กำหนด
- สตรีท้องห้ามรับประทานพิมเสน
- การเก็บพิมเสนต้องเก็บไว้ภายในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรที่จะนำไปเก็บเอาไว้ด้านในที่แห้งและก็มีอุณหภูมิต่ำ
อนึ่งในตอนนี้พิมเสนแท้เกือบจะไม่มีแล้ว ด้วยเหตุว่ามีราคาแพง ส่วนใหญ่จึงใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่มองเห็นกันโดยปกติ ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้มักจะมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าหากเป็นของถึงแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่จะทำให้เย็นปากเย็นคอ จะต้องต้องระวังสำหรับในการใช
พิมเสน[/url]สังเคราะห์นี้ด้วย
เอกสารอ้างอิง- ชยันต์ พิเชียรสุนทร และคณะ, ตำราพระโอสถพระนารายณ์, หน้า 499, พ.ศ. 2544, สำนักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ
- ผศ.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์.พิมเสน.ภาควิชา เภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.หน้า1-3
- หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “พิมเสน”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 386.
- ชัยนต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์ 2545 คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) http://www.disthai.com/[/b]
- พิมเสน.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก.
- เภสัชจุลศาสตร์ของยาหม่องน้ำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
- นันทวัน กลิ่นจำปา 2545 เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชัน จำกัด (มหาชน)
- รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดม อันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์ Drug Tips.ฉบับที่5กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า6-7
Tags : พิมเสน