ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้  (อ่าน 41 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
กาลครั้งหนึ่ง2560
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 86


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2018, 08:19:43 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
ย่านา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หน้าจอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าน้องสาว (ภาคกึ่งกลาง) , เขตนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
วงศ์  Menispermaceae
บ้านเกิดเมืองนอน ย่านางมีบ้านเกิดในใจกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น ในประเทศ เมียนมาร์ , ไทย , ลาว , กัมพูชา  ความเป็นจริงแล้วพืชตระกูลย่านางนี้มีราว 70  ตระกูล แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนแล้วก็ในป่าดงผลัดใบในทวีปเอเชียแล้วก็อเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ในทุกภาคของเมืองไทย แม้กระนั้นในปัจจุบันได้มีการเอามาปลูกใบบริเวณบ้าน เพื่อใช้บริโภคและก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างมากมาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้ เลื้อยพันตามต้นไม้ หรือกิ่งไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแถวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน แขนงมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนกระจาย หรือเกลี้ยง ใบคนเดียว หนา สีเขียวเข้มวาว เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-6 ซม. ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นบางส่วน ก้านใบยาวโดยประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบเหมือนกระดาษ แต่แข็ง เหนียว มีเส้นใบกึ่งออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น แล้วก็มีเส้นแขนงใบ 2-6 คู่ เส้นเหล่านี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะย่นย่อละเอียดใกล้ๆโคน ขนหมดจด ก้านใบผิวย่นละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกแขนงตามข้อและซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่ารวมทั้งเรียงทับกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ออกจะหมดจด กลีบดอกมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร เกลี้ยง เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปตะบอง ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มิลลิเมตร ข้างนอกมีขนเรี่ยราย กลีบมี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มม. ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกลุ่ม ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มม. ยาว 7-10 มม. ผิวเนียน มีเมล็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อและก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มม. เมื่อสุกจะกลายเป็นสีส้มแล้วก็แดงสด เม็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไร้ระเบียบ ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่ก้าวหน้าได้ ในดินแทบทุกประเภท ชอบดินร่วนผสมทรายจะเจริญก้าวหน้าก้าวหน้า การปลูกลงในฤดูฝน จะเจริญเติบโตได้ดียิ่งไปกว่า จะเจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกเอาไว้ในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกง่ายขึ้นง่าย ดูแลง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งได้ดี
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่แนวทางที่เป็นที่ชื่นชอบในขณะนี้หมายถึงการเพาะเม็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเม็ดสูง แต่ว่าจะต้องใช้เมล็ดที่แก่สุดกำลังที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเมล็ดต้องระมัดระวังอย่าขุดหลุมลึก เนื่องจากจะทำให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมากมาย เพราะว่ย่านาง
จะเติบโตเจริญ ในดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้แม้ว่าจะมีวัชพืชขึ้นหนา เนื่องจากว่าต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชจำพวกอื่น
สำหรับเรื่องการใส่ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าหากว่าดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่เพียงพอ พวกเราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยหมักจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แม้กระนั้นหากต้องการจะให้ใบเขียวเข้มมากยิ่งขึ้น อาจจะต้องให้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือประมาณ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับจำนวนลดน้อยลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกลงในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1×1 เมตร และเมื่อต้นเริ่มเลื้อยเลื้อย ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลิตผลย่านาง  จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาราว 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกในแปลง ใบมีขนาดโตเต็มกำลังมีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ รวมทั้งจะเก็บได้ตลอดกาลเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางโดยมากจะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เช่น มิเนโคไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และสารในกรุ๊ปฟลาโม้นไกลโคไซด์ ได้แก่ สารโมโนอีพอกซีอนุภาคบีตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) อาทิเช่น ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และก็ D-isochondendrine เจอได้ทั้งในราก แล้วก็ใบย่านาง  แล้วก็การศึกษาเล่าเรียนองค์ประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านไข้จับสั่นจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography  แล้วก็การตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ชนิดเป็นtiliacorinine (I) และ tiliacorine (II) จำนวน  0.0082% แล้วก็ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มิลลิกรัม
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มก.                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
-               ไนอาซิน 1.4 มก.
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งสิ้น 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคคาไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               กลูโคส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
ผลดี/คุณประโยชน์ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และก็ยังมีวิตามินที่จำเป็นต้องต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกมากมาย ดังเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในจำนวนออกจะสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกจำนวนไม่น้อยต่างก็เคยชินกันดี เพราะเหตุว่านิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ดังเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ผลดีย่านางที่ใช้เป็นของกินมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ทั้งปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด คนไทยอีสานและชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น อาทิเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ แล้วก็เพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็บีตาแคโรทีนให้กับของกินดังกล่าว
นอกเหนือจากนั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมแล้วก็หมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (เป็นใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังนำไปผัด แกงน้ำกะทิ รวมทั้งหั่นซอกซอยกินกับข้าวยำได้อีก ผลสุกใช้รับประทานเล่น ส่วนคนเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนนำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงประจำถิ่น ยกตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านางเป็น หนังสือเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้เบญจโลกวิเชียร (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากต้นกระโรกใหญ่ อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ หรือราว 15 กรัม ต้มกับน้ำกินก่อนอาหารยามเช้า กลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระแทกพิษไข้ แก้เมาสุรา ทำลายพิษผิดสำแดง เอามาต้มรับประทานเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับรอบเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษข้างในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากหมาน้อย ต้มกินแก้ไข้มาลาเรีย ลำต้น รสจืดขม ทำลายพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้โรคฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบ รสจืดขม รับประทานทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดหัวตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึกฝน ลิ้นหยาบคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ไข้ทรพิษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกหนังสือเรียนหนึ่งระบุว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับหิว ทุเลาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส โรคฝีดาษ ถอนพิษเมาค้าง เมาสุรา บรรเทาอาการท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ถอนพิษ และก็ลดพิษจากพืช สัตว์ และสารเคมีในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นนำมาต้มหรือบดคั้นน้ำกิน ทุเลาลักษณะของการมีไข้ประเภทต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด แล้วก็ลดสารพิษยากำจัดศัตรูพืชภายในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือเอามาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ได้แก่ ทุเลาอาการร้อนใน บรรเทาอาการไม่สบาย ตัวร้อน ทุเลาไข้รากสาด ไข้ไข้ทรพิษลดพิษยากำจัดแมลงภายในร่างกาย แล้วก็ทำลายพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แล้วก็ใช้รากยานางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กำหนดการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการไข้ ส่วนทางการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเติบโตของเชื้อไข้มาลาเรีย Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดระดับความดันเลือด ต่อต้านเชื้อจุลชีวัน ต้านทานการแพ้ ลดการยุบเกร็งของไส้ ต่อต้านการเจริญของเซลล์ของมะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase รวมทั้งมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระ  และก็ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวคราว-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต่อต้านจุลชีวัน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli และก็ Salmonellaspp. แล้วก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวคราว-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต้านจุลินทรีย์ Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli แล้วก็ Salmonella spp. ต้านไข้ และต้านอนุมูลอิสระ ใบย่านางปราศจากอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังอาทิเช่น โรคหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิต โรคกระดูกแล้วก็ข้อโรคเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจ
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ โดยประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนที่จะรับประทานอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (เจ็บท้องเพราะเหตุว่ารับประทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและก็รากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แม้กระนั้นไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าเกิดให้ดีขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในของกิน ได้แก่ เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ  ตำผสมกับข้าวสารเจ้า 1 หยิบมือ เพิ่มน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือรวมทั้งน้ำตาลนิดหน่อยเพียงพอดื่มง่ายให้หมดอีกทั้งแก้ว ทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยให้ดียิ่งขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคอีสาน   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนถึงเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อไข้จับสั่น        เล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด เป็นส่วนที่ละลายน้ำ และส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการยับยั้งเชื้อมาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่ต่างกัน 5 จำพวก ในกรุ๊ป bisbenzyl isoquinoline ได้แก่ tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, และสาร alkaloid ที่ไม่อาจจะเจาะจงส่วนประกอบได้ คือ G และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อมาลาเรียระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียเข้าสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี รวมทั้งมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 พอๆกับ 344 ng/mL และก็ตามด้วย nor-tiliacorinine A และก็ tiliacorine ตามลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 และ 675 mg/mL ตามลำดับ)
ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 ชนิด ดังเช่นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine รวมทั้ง tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง รวมทั้งอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 ชนิด คือ 13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลของการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แม้กระนั้นที่ค่า MIC เท่ากับ 3.1 μg/ml เป็นค่าที่สามารถยั้ง  MDR-MTB ได้จำนวนไม่น้อยที่สุด
ฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็ง     การเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ และในสัตว์ทดลอง โดยศึกษาผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่พบในย่านาง  สำหรับเพื่อการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการก้าวหน้าของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดี และก็สาร tiliacorinine  ผลการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญสำหรับการยั้งการเพิ่มปริมาณของเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดสอบ โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นกรรมวิธีการ apoptosis ซึ่งเป็นขั้นตอนสำหรับการกำจัดเซลล์แตกต่างจากปกติ และเซลล์ของโรคมะเร็งในร่างกาย และการทดลองในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญก้าวหน้าของเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของผักท้องถิ่นไทย ปริมาณ 6 ชนิด ดังเช่น ผักข้าด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละชนิด ทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักทั้งยัง 6 ชนิดเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี และวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 และก็ 772.63 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี และวิตามินอีที่ IC50 9.34 และก็ 15.91 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ
การวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยตรวจทานฤทธิ์ยับยั้งปวดรวมทั้งฤทธิ์ต้านการอักเสบของผักประจำถิ่นอีสาน 10 ชนิด การตรวจค้นฤทธิ์หยุดปวดโดยใช้ writhing test รวมทั้ง tail flick test สำหรับเพื่อการตรวจฤทธิ์ต่อต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดลองใช้สารสกัดพืชผักพื้นเมืองด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กิโลกรัม พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และก็ผักชีลาว มีผลลดการเกิด writhing ในหนูปริมาณร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์ยับยั้งปวด หลังจากนั้นคัดสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 จำพวก อาทิเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง แล้วก็ผักกาดฮีนมากระทำการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัดอีกทั้ง 4 ชนิดไม่มีฤทธิ์ต้านทานอักเสบในสัตว์ทดลอง ผู้ศึกษาวิจัยมั่นใจว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใบย่านางบางทีก็อาจจะออกฤทธิ์หยุดปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องแลปขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นรูปแบบการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลไปสู่ตับ แม้กระนั้นไม่เคยทราบว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือไม่ การค้นพบนี้อาจเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่ว่าโบราณได้ ถ้าหากแต่ว่าควรจะมีการเล่าเรียนเพิ่มเติมถัดไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปตรวจตราฤทธิ์สำหรับเพื่อการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่ว่าเป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง การศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภทหมายถึงอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) แล้วก็อัลคาลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อสำรวจฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดลองมีต้นเหตุจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจหาสูตรโครงสร้างสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้บางทีอาจอยู่ในจำพวก aporphine alkaloids
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษกระทันหัน รวมทั้งครึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เรียนรู้พิษฉับพลันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ แล้วก็เพศภรรยา จำพวกละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของสภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และ  ไม่มีการแสดงความประพฤติปฏิบัติที่เปลี่ยนไปจากปกติ รวมถึงไม่มีการตาย หรือความเคลื่อนไหวของเยื่อข้างใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู ปริมาณ 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กิโลกรัม (คิดเป็นปริมาณ 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การศึกษาเล่าเรียนพิษเรื้องรัง ทดลองโดยป้อนสารสกัดแก่หนูทดลอง เพศผู้ และก็เพศเมีย ประเภทละ 10 ตัว แต่ละวัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันนาน 90 วัน   ไม่เจอความผิดปกติทางด้านความประพฤติ และสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง แล้วก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดลองในวันที่ 90 รวมทั้ง 118 โดยตรวจร่างกาย รวมทั้งมีกรุ๊ปที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าวิชาชีวเคมีในเลือด และเยื่ออวัยวะภายใน ไม่เจอการเกิดพิษ  ผลการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่ก่อเกิดพิษฉับพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังในตัวทดลอง ทั้งยังในหนูเพศผู้ และก็เพศภรรยา
คำแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรดื่มทันที เนื่องจากหากทิ้งไว้นานเหลือเกินจะกำเนิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือมีการบูดขึ้นได้ แต่ว่าสามารถนำมาแช่ตู้แช่เย็นได้ รวมทั้งควรดื่มให้หมดด้านใน 3 วัน
  • สำหรับการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารหรือตอนท้องว่างราวๆครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางคนที่คิดว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วนำมาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรประเภทอื่นๆก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้แต่น้ำหวานก็ได้เช่นเดียวกัน
  • ควรดื่มปริมาณแต่พอดิบพอดี ถ้าเกิดดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรจะลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพข



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ