Advertisement
[/b]
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม[/url]ทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมกินอย่างล้นหลาม โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสดมากที่สุดและยังนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆยกตัวอย่างเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวยงาม ทั้งยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและก็สารพฤกษเคมีหลายอย่างที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพทางร่างกาย ก็เลยมั่นใจว่าบางทีอาจเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อการปกป้องโรคหรือทุเลาอาการ ตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันเลือดสูง โรคในโพรงปากและโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และก็อื่นๆ
ในขณะนี้ยังมีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่เรียนรู้การใช้ทับทิมในรูปแบบแตกต่างกับการดูแลและรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถที่จะเจาะจงคุณภาพของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้ชัดเจน ซึ่งตัวอย่างการศึกษาเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ดังเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ แล้วก็ลดการแข็งตัวของเส้นโลหิต จึงบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการเล่าเรียนฤทธิ์การต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินปริมาณ 22 คน จากการทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (มีกรดเอ็งลลิค 610 มิลลิกรัม) และวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วน้อยลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเส้นโลหิต
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการค้นคว้าอีกชิ้นให้คนเจ็บโรคหลอดเลือดแดงแข็งปริมาณ 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มิได้กินอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กรุ๊ปที่กินอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่น้อยลงราวๆ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น จึงชี้ให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง ดังนี้ ยังคงควรจะมีการศึกษาเสริมเติมในระยะยาวกับกลุ่มการทดลองขนาดใหญ่มากเพิ่มขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถที่จะสรุปผลของทับทิมรวมทั้งการดูแลรักษาโรคเส้นโลหิตแดงแข็งได้อย่างชัดเจน
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกจำพวกที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงถูกประยุกต์ใช้เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากการดูแลรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียงสำหรับในการทุเลาอาการจากโรคมากเท่าที่ควรและก็ลดความเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางคลินิกกับคนเจ็บโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองสมรรถนะของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลและรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกระบวนการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับเพื่อการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยบางทีอาจนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เรียนสมรรถนะของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกต้นแบบเจลสำหรับในการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพช่องปากดีขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจเอาไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลโพรงปาก ยกตัวอย่างเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองและก็ทุเลาลักษณะโรคเหงือกอักเสบ
ปกป้องการเกิดคราบเปื้อนจุลชีพ สารสกัดจาก
ทับทิมมีประสิทธิภาพในการลดรอยเปื้อนจุลชีพตามผิวฟัน แล้วก็อาจก่อให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลายแบบ ซึ่งจากการทดสอบให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในโพรงปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่สลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกรุ๊ป โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลชีพต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แม้กระนั้นมีคุณภาพไม่ได้ต่างอะไรจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน ก็เลยเพียงพอจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดจังหวะสำหรับการกำเนิดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ด้านในช่องปาก
เวลาเดียวกัน การศึกษาเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมน่าจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดรอยเปื้อนจุลชีพ ซึ่งสำหรับในการทดสอบได้เก็บคราบจุลชีวันจากโพรงปากของอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงแล้วก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน ข้างหลังงดแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบผลก่อนรวมทั้งหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่ม เช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน แล้วก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับเพื่อการลดรอยเปื้อนจุลชีวันลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน 79% และยาหลอกที่น้อยลงเพียงแต่ 11% ก็เลยอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เป็นตัวเลือกในการใช้ขจัดคราบจุลชีพบนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมโดยตลอด เนื่องมาจากช่วงเวลาสำหรับการทดลองออกจะสั้น
สภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาผลการกินน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนเจ็บโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และก็มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่ทานอาหารข้างใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมถึงอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าคนไข้หรูหราไขมันรวม ไขมันประเภทไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดน้อยลง แม้กระนั้นไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับไตรกลีเซอไรด์และระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนไข้เบาหวานลง แต่ยังบอกไม่ได้เด่นชัด เนื่องมาจากของกินประเภทอื่นที่กินอาจมีส่วนช่วยในการลดไขมันในเลือดได้ด้วยเหมือนกัน แล้วก็กลุ่มการทดสอบมีขนาดเล็ก จะต้องขยายผลการศึกษาเล่าเรียนในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มอีก นอกนั้น การดูแลรักษาภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูงต้องมีการควบคุมของกินรวมทั้งการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดเยอะขึ้นเรื่อยๆ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่พบได้มากในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องแลปบอกว่าสารพวกนี้มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการโรคปอดอุดกันเรื้อรังแล้วก็อาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างรวดเร็ว จึงมีการศึกษาเล่าเรียนสมรรถนะของสารโพลีฟีนอลในคนเสริมเติม โดยให้คนเจ็บโรคปอดอุดกันเรื้อรัง ปริมาณ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่กินน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกต่อเนื่องกันแต่ละวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลในเลือดและก็เยี่ยวของคนป่วย ทั้งยังยังไม่เจอความไม่เหมือนอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กลุ่ม จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและตรวจเจอได้ในเลือดหรือเยี่ยว แต่ผลการศึกษาวิจัยกลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีต้นเหตุที่เกิดจากการเสื่อมสลายสารกลุ่มนี้โดยจุลินทรีย์ในระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหาร จำเป็นต้องทำความเข้าใจกรรมวิธีดูดซึมสารอาหารที่แตกต่างกันก่อนที่จะอ้างถึงถึงผลดีด้านของสุขภาพจากการกิน เนื่องจากสารอาหารที่เจอในของกินที่กินบางทีอาจมิได้ถูกเอาไปใช้ผลดีภายในร่างกายมนุษย์เราทั้งสิ้น
โรครวมทั้งอาการอื่นๆยกตัวอย่างเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อข้างหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแดด การตำหนิดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง รวมทั้งอื่นๆยังจำต้องศึกษาวิจัยศึกษาค้นคว้าเสริมเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพและก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค
[/b]
ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มก.
โซเดียม 3 มก.
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มิลลิกรัม
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิมโดยปกติการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเกิดผลใกล้กันจากการดื่มน้ำทับทิมได้
ราก
ทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การรับประทานรากรวมทั้งลำต้นของทับทิมในปริมาณมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างไม่มีอันตรายสำหรับการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะก่อให้กำเนิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย เช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจติดขัด
การกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นจะต้องหารือหมอก่อนที่จะมีการกินทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันโลหิตลดต่ำลงบางส่วน ซึ่งอาจก่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการเกิดขึ้นอีก
คนที่มีลักษณะแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิมผู้ป่วยที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เนื่องด้วยทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง จึงอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทาน
ทับทิมควบคู่กับยาบางจำพวกอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เป็นต้นว่า ยาที่เกี่ยวโยงกับหลักการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือประเภท P450 3A4 ยาลดระดับความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน ผู้ที่รับประทานยาบ่อยๆหรือมีโรคประจำตัวควรขอคำแนะนำหมอก่อนการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย
