Advertisement
จำหน่ายกล้องอุปกร
การแบ่งดิน หมายถึง การรวบรวมดินจำพวกต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณลักษณะที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่กำหนดไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เพื่อสะดวกในการจำรวมทั้งเอาไปใช้งานระบบการจำแนกดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะให้ความสนใจดินที่เกิดในลักษณะภูมิอากาศหนาวเย็น จนถึงค่อนข้างร้อน ในการแยกเป็นชนิดและประเภทขั้นสูง เน้นย้ำการใช้โซนสภาพอากาศและพรรณไม้เป็นหลัก มีทั้งปวง 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตสภาพภูมิอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนกระทั่งค่อนข้างจะหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นสภาพภูมิอากาศออกจะร้อน โดยใช้ลักษณะความชื้น-ความแห้ง และก็ภาวะพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือท้องทุ่ง เป็นสาเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นดินในเขตร้อน จากขั้นสูงจะมีการแบ่งประเภทออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และแบ่งเป็นจำพวกดิน ในอย่างต่ำ ระบบการจำแนกดินของคูเบียนา การแบ่งแยกดินใช้ สมบัติทางเคมีของดิน แล้วก็โซนของสภาพอากาศกับพรรณไม้ เป็นหลัก โดยเน้นสิ่งแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน และก็สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะแห้งแล้งมากกว่าเขตเปียกชื้นและก็ฝนชุก
-ระบบการจำแนกดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นคือ เป็นการแบ่งประเภทและชนิดดินที่ใช้ลักษณะทั้งสิ้นภายในหน้าตัดดินเป็นมาตรฐาน เน้นย้ำความเจริญของหน้าตัดดิน โดยพิเคราะห์จาการจัดตัวของชั้นกำเนิดดินด้านในหน้าตัดดินโดยเฉพาะ กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การแบ่งขั้นสูงสุด เน้นย้ำลักษณะที่เกี่ยวพันกับการขังน้ำ ส่วนขั้นต่ำ ใช้ความมากน้อยสำหรับเพื่อการเคลื่อนย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการแบ่งประเภทและชนิดที่ค่อนข้างจะละเอียด ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การแบ่งแยกดินใช้ลักษณะของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ รวมทั้งความก้าวหน้าของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะจัดชนิดและประเภท สำหรับเพื่อการอธิบายเนื้อดิน แบ่งได้ 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) อุปกรณ์อินทรีย์และก็ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความที่เกี่ยวกับความแฉะของดิน ยกตัวอย่างเช่น จุดประ และก็สีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่เจอลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สำหรับวิวัฒนาการของหน้าตัดดินแบ่งได้เป็นหลายชั้นโดยตรึกตรองจากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินและก็ชั้น (B) นับว่าเป็นชั้น B ที่เพิ่งมีวิวัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายคลึงกันกับในระบบของประเทศฝรั่งเศส
-ระบบการจำแนกดินของประเทศอังกฤษ
เน้นลักษณะดินที่เจอในประเทศอังกฤษและเวลส์ มี 10 กลุ่ม แจกแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นกฏเกณฑ์ซึ่งย้ำจำพวกแล้วก็การจัดเรียงตัวของชั้นดิน มี Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และ Peat soils
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศแคนาดา
ระบบการจำแนกเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมระเบียบแล้วก็มีลำดับสูงต่ำแจ่มชัด ประกอบด้วย 5 ขั้นด้วยกันคือ ชั้น (order) กลุ่มดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) สกุลดิน (family) และก็ชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมกฎของดินในระบบการจำแนกดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่ดูได้ แล้วก็ที่วัดได้ แต่หนักไปในทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินสำหรับในการจัดประเภทขั้นสูง ซึ่งแบ่งได้ 9 ชั้น แล้วก็แบ่งได้เป็น 28 กรุ๊ปดิน
-ระบบการจำแนกดินของประเทศออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการแบ่งดินในประเทศออสเตรเลียมีมานานแล้วเช่นเดียวกัน โดยในทีแรกๆเป็นการแบ่งประเภทและชนิดดินที่ใช้ธรณีวิทยาของอุปกรณ์ดินเริ่มแรกเป็นหลัก แต่ว่าต่อมาได้มีการพัฒนามาเรื่อยจนถึงย้ำสัณฐานวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้เป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) ด้วยเหตุว่าการที่ประเทศออสเตรเลียมีลักษณะภูมิอากาศอยู่หลายแบบร่วมกัน ทำให้มีสิ่งแวดล้อมทางดินหลายแบบด้วยกันตามไปด้วย มีอีกทั้งในสภาพที่หนาวเย็นไปจนกระทั่งเขตร้อนชื้น แล้วก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นกระจ่างเจนว่าระบบการจำแนกนี้ครอบคลุมชนิดของดินต่างๆมาก แต่ว่าเน้นดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นย้ำสีของดิน แล้วก็เนื้อของดินออกจะมากมาย ระบบการจำแนกดินของประเทศออสเตรเลียนี้มีอยู่มากยิ่งกว่า 1 แบบ เพราะเหตุว่ามีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวคิดพื้นฐานแตกต่างออกไป อาทิเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่ย้ำจากระดับต่ำขึ้นไปหาระดับสูง และระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอันดับกฎดินของสหรัฐฯเป็นหลักสำหรับเพื่อการแบ่งดิน แล้วก็ดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการแบ่งดินของบราซิลไม่ใช้สภาพความชุ่มชื้นดินสำหรับการจำแนกประเภทขั้นสูง และใช้สี ปริมาณขององค์ประกอบกับประเภทของหินต้นกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้สำหรับการแยกประเภทมากกว่าที่ใช้ในอันดับระเบียบดินกษณะที่ใช้สำหรับการจำแนกแยกแยะมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอนุกรมวิธานดิน
ตามระบบการแบ่งแยกดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg มีต้นเหตุที่เกิดจากการทับถมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม อาทิเช่นที่ราบลุ่มริมน้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายทะเล รวมทั้งเนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) ภาวะของการทับถมบางทีอาจเป็นบริเวณของน้ำจืด น้ำทะเล หรือน้ำกร่อยก็ได้ ส่วนใหญ่จะมีเนื้อดินละเอียด แล้วก็การระบายน้ำสารเลว มักพบลักษณะที่แสดงการขังน้ำ นอกจากรอบๆสันดินชายน้ำ และก็ที่เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบกว่า และดินมีการระบายน้ำดี ส่วนประกอบและก็แร่ที่มีอยู่ในดิน alluvial มักแตกต่างมากมาย แล้วก็มักจะผสมปะปนจากรอบๆต้นกำเนิดที่มาจากหลายแห่ง ชุดดินที่สำคัญของกรุ๊ปดินหลักนี้คือ
- พวกที่เกิดขึ้นจากขี้ตะกอนน้ำจืด เป็นต้นว่า ชุดดินท่าม่วง สรรพยา สิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดจากตะกอนน้ำกร่อย อย่างเช่น ชุดดินผู้พิทักษ์ รังสิต
- พวกที่เกิดขึ้นจากตะกอนภาคพื้นมหาสมุทร เป็นต้นว่า ชุดดินท่าจีน กรุงเทพฯ
-
Hydromorphic Alluvial soils
ซึ่งก็คือดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำออกจะชั่ว-เลวมาก ในเรื่องที่มีการจำแนกแยกแยะดินออกเป็น Alluvial soils รวมทั้ง Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกรุ๊ปดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และก็อยู่ในบริเวณที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งคู่กรุ๊ปดินหลักนี้มักจะได้รับอิทธิพลอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลากเสมอ
-ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีความเจริญของหน้าตัดดินต่ำ เกิดเด่นชัดเฉพาะดินบน (A) และมีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดบางทีอาจเป็นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล หรือรอบๆเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนถึงระบายน้ำดีจนถึงเกินความจำเป็น เจอทั่วไปเป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเล แล้วก็ตามกระพักสายธารของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาออกจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญอย่างเช่น ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง และน้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมากมาย โดยมากลึกไม่เกิน 30 ซม. พบได้ทั่วไปตามรอบๆที่ลาดเชิงเขาซึ่งมีกษัยการสูง การจัดตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังสลายตัวหรือกำลังย่อยสลายผสมอยู่เป็นส่วนใหญ่ ดินนี้ไม่เหมาะแก่การกสิกรรม หรือการผลิตพืชโดยทั่วไป
-ชุดดินจังหวัดลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ได้แก่ หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ ความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีส่วนประกอบเป็นแร่ดินเหนียวจำพวก 2:1 ซึ่งมีความรู้ความสามารถในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) และก็หดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูลื่นไถล (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดมีชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะครึ้ม มีโครงสร้างดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบบ่อยในบริเวณที่ราบลุ่มหรือตะพักสายธาร ลักษณะผิวหน้าดินเป็นพื้นที่ขรุขระ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่ว่ามีโภคทรัพย์ด้านกายภาพที่เป็นปัญหาในการไถลูกพรวน ดินนี้ในรอบๆที่ต่ำจะมีการระบายน้ำชั่วโคตร ส่วนมากใช้ปลูกข้าว แต่ถ้าอยู่ในที่สูง อาทิเช่นในบริเวณใกล้ตีนเขาหินปูนชอบมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ อาทิเช่น ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ชุดดิน จังหวัดลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้สำหรับในการเพิ่มเติมระบบ USDA เมื่อ 1949
-ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นกำเนิดตามเชิงเขาหินปูน วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล กำเนิดเกี่ยวเนื่องกับดิน Grumusols แม้กระนั้นอยู่ในบริเวณที่สูงกว่า พบได้มากบริเวณที่ลาดใกล้เขา หรือ ตะพักแถบที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีพัฒนาการของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงแต่ชั้น A แล้วก็ C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีส่วนประกอบดี ร่วน และออกจะหนา มีการระบายน้ำดี ส่วนดินข้างล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามความลึก และชอบพบชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินพวกนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ประมาณ 7.0-8.0) จำนวนมากใช้ในการปลูกพืชไร่ ดังเช่นข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ดังเช่นว่า น้อยหน่า ทับทิม ฯลฯ ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินตาคลี
-ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
เจอตามบริเวณภูเขาเป็นส่วนใหญ่ มีต้นเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง และก็เศษหินตีนเขา ทั้งในสภาพที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด และก็ด่าง เช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล อาจพบปะผสมกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น ความเจริญของหน้าตัดดินไม่มากนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ชั้น B ชอบไม่ค่อยกระจ่าง ในประเทศไทยพบได้มากตามภูเขาหินปูนเป็นส่วนมาก สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด เจอเพียงนิดหน่อยชุดดินที่สำคัญ เช่น ชัยบาดาล ลำท้องนารายณ์ สมอทอด
-Humic Gley soils
พบปริมาณน้อยในประเทศไทย มักกำเนิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะขจัดขจายเป็นหย่อมๆในรอบๆที่ราบลุ่ม พบได้บ่อยอยู่ติดกับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำหยาบช้า ความเจริญของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญคือ ดินบนดก มีอินทรียวัตถุสูง ดินด้านล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงสภาพที่มีการขังน้ำชัดแจ้ง มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างบางส่วนชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินแม่ตอบรับ
-ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดจากตะกอนน้ำพา เจอในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่วช้า ส่วนใหญ่อยู่ในรอบๆกระพักเขตที่ลุ่มต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นและก็แช่ขังเป็นครั้งเป็นคราว แต่มีพัฒนาการของหน้าตัดค่อนข้างจะดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้เป็น หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประชัดเจน หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่แก่น้อยจะสมบูรณ์บริบูรณ์มากยิ่งกว่าพวกที่เกิดนานกว่า บางรอบๆจะพบศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน จำนวนมากเป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ราว 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในบริเวณตะพักเขตที่ลุ่มออกจะใหม่ ชอบมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญหมายถึงเพ็ญ จังหวัดสระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี เชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนตะพักแถบที่ลุ่มค่อนข้างเก่า เช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด ลำปาง เป็นต้น
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำหยาบช้าถึงออกจะสารเลวพบเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก อาทิเช่น ในภาคใต้ บริเวณริมฝั่งทิศตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังเช่น จังหวัดนครพนม มีต้นเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นทราย ในบริเวณที่เป็นทรายจัด เช่น ชายหาดเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในบริเวณที่ค่อนข้างต่ำ มีความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ และก็มีอินทรียวัตถุสูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นชะล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มและก็มีการอัดตัวออกจะแน่น แข็ง เนื่องจากว่ามีการสะสมอินทรียวัตถุที่เสื่อมสภาพแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์และ/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราวๆ 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
-ชุดดินหนองเอ็ง
Solodized-Solonetz
พบในรอบๆที่ค่อนข้างจะแล้ง และวัตถุต้นกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ ตัวอย่างเช่นบริเวณชายฝั่งทะเลเก่า หรือบริเวณที่ได้รับผลพวงจากเกลือที่มาจากใต้ดิน อาทิเช่นในภาคอีสาน ของเมืองไทย ฯลฯ มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำสารเลว ชั้น Bt จะแข็งแน่นรวมทั้งมีองค์ประกอบแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนผสมทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างโดยประมาณ 5-5.5 ส่วนดินด้านล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ยกตัวอย่างเช่นชุดดินจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองแก ฯลฯ
-ชุดดินอุดร
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำชั่วโคตรถึงค่อนข้างชั่วช้า มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินเหล่านี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นชัดเจน ในฤดูแล้งจะมองเห็นคราบเปื้อนเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากกว่า 7.0 ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินอุดร
-Non Calcic Brown soils
พบไม่เท่าไรนักในประเทศไทย พบในรอบๆตะพักลำน้ำออกจะใหม่ วิวัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลคละเคล้าเหลือง หรือน้ำตาลคละเคล้าแดง เป็นผลมาจากขี้ตะกอนน้ำออกจะใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ค่อนข้างหยาบไปจนกระทั่งละเอียด แล้วก็มีปฏิกิริยาเป็นกรดบางส่วน ในหน้าตัดดินจะพบแร่ไมกาอยู่ทั่วๆไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ออกจะสูง เหมาะที่จะปลูกพืชไร่แล้วก็ไม้ผล ชุดดินที่สำคัญอย่างเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
-ชุดดินโคราช
Gray Podzolic soils
กำเนิดในรอบๆตะพักลำน้ำเป็นดินที่แก่ค่อนข้างจะมาก มีพัฒนาการของหน้าตัดดี พบในบริเวณสายธารระดับที่ถือว่าต่ำ-ระดับกลาง วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นขี้ตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดรวมทั้งมีแร่ที่สลายตัวง่ายเหลืออยู่ในจำนวนน้อย ในสภาพพื้นที่แบบคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆแล้วก็ภูมิอากาศที่มีระยะเปียก-แห้งสลับกันเป็นสาเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินชนิดนี้ ลักษณะดินแสดงให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และมีลักษณะการเคลื่อนย้ายบนผิวหน้าดินค่อนข้างชัดแจ้ง เนื้อดินละเอียดรวมทั้งอินทรียวัตถุถูกชำระล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน คงเหลืออยู่แต่จุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆอาจพบพลินไทต์ในชั้นดินด้านล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กรุ๊ปดินนี้เจอเป็นบริเวณกว้างใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็บางแห่งในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ ดังเช่น ชุดดินโคราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ
-ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดินดี เกิดในสภาพที่คล้ายคลึงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R พบทั่วๆไปในบริเวณภูเขาและที่ลาดตีนเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุแหล่งกำเนิดดินมาจากหินหลายจำพวก โดยมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนได้มากตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบคายจนถึงออกจะละเอียด สีจะออกแดง เหลืองคละเคล้าแดงและก็เหลือง มีชั้น E ที่ค่อนข้างชัดเจน มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น แล้วก็อาจมีเศษหินที่สลายตัว หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินด้านล่าง แบบอย่างเช่น ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย ชุมพร หาดใหญ่ ภูเก็ต ฯลฯ จัดว่าเป็นกรุ๊ปดินที่มักพบกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย
-ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีพัฒนาการของหน้าตัดดี มีเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้างของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางแล้วก็ที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินข้างบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วนซุย (loam) ถึง ดินร่วนเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินข้างล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง รูปแบบของดินแสดงการชะล้างสูง และอาจพบชั้นศิลาแลงในชั้นล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Red Brown Earths ที่ไม่เหมือนกันเป็นจะมีเป็นกรดมากยิ่งกว่า pH ราว 5-6 ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินหลบ บ้านจ้อง อ่าวลึก ตราด เป็นต้น
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง รวมทั้งจะมีความเกี่ยวข้องกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในบริเวณที่ราบซึ่งมีต้นเหตุมาจากกษัยการ หรืออาจจะมีการเกิดตามไหล่เขาได้ ดินเหล่านี้มีลักษณะสีดิน และการจัดเรียงตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากแตกต่างที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นยิ่งกว่า (pH ประมาณ 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่รวมทั้งทำสวนผลไม้กันมาก
-ชุดดินจังหวัดยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนถึงดีเหลือเกิน แก่มาก หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่หมายความว่ามีการชะละลายสูง พัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในบริเวณลานตะพักลำธารขั้นสูง มีเหตุมาจากขี้ตะกอนน้ำพาเก่ามาก มีทรัพย์สินทางกายภาพดี แม้กระนั้นสมบัติทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบคาย ดินข้างล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางที่เจอหินแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่พบการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ ได้แก่ ศรีราชา จังหวัดยโสธร
-Reddish Brown Latosols
เกิดในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับภูเขาไฟ วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นตะกอนตกค้าง หรือขี้ตะกอนดาดตีนเขา ของหินที่เป็นด่างได้แก่ บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และก็วิวัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงผสมน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมาก ชอบเหมาะสมกับการใช้ทำสวนผลไม้ ตัวอย่างเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มดินอื่นๆด้วยเหตุว่าเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในส่วนประกอบมากกว่าปริมาณร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยอินทรียวัตถุล้วนๆพบในบริเวณแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่แทบตลอดปีรวมทั้งมีการสะสมของอุปกรณ์ดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยมักพบทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะในพื้นที่พรุ ลักษณะเด่นคือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการปรับปรุงหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก ได้แก่ ชุดดินจังหวัดนราธิวาส มักพบในภาคใต้ของเมืองไทย
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9" 1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง การวัด (Measurement)การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)
- การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
- ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurement)
การวัดโดยตรงและโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurements)
- การวัดโดยตรง (Direct Measurement)การวัดปริมาณใด ๆ ที่สามารถกระทำได้โดยตรงด้วยเครื่องมือความคลาดเคลื่อนการวัดขึ้นอยู่กับเครื่องมือ และกรรมวิธีการวัดนั้น ๆ โดยตรง
- การวัดโดยอ้อม (Indirect Measurement)การวัดปริมาณใด ๆ ที่ไม่สามารถกระทำได้โดยตรงด้วยเครื่องมือต้องมีการคำนวณปริมาณนั้นด้วยความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ความคลาดเคลื่อนจะไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องมือและกรรมวิธีการวัดนั้น ๆ โดยตรง ต้องมีกา