อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์  (อ่าน 14 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Bigbombboomz
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 25813


ดูรายละเอียด










« เมื่อ: ธันวาคม 04, 2018, 10:47:01 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


อังกาบหนู
ชื่อสมุนไพร  อังกาบหนู
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Barleria prionitis Linn.
ชื่อสามัญ   Porcupine flower
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด
อังกาบหนูเป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในเขตร้อนต่างๆทั่วโลก โดยมีเขตผู้กระทำระจายประเภทในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆดังเช่นว่า แอฟริกา อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย พม่า ลาว เขมรและก็ไทย สำหรับในประเทศไทย พบบ่อยขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งแล้งทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป
อังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มิลลิเมตร 2-3 อัน ใบคนเดียวเรียงตรงข้าม รูปไข่แกมวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 เซนติเมตร ยาว4.3-10.5 เซนติเมตร ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 ซม.ดอกเดี่ยวดูเหมือนช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบแต่งแต้มรูปแถบปนขอบขนาน กว้าง 2-8 มม. ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบประดับประดาย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 14 มิลลิเมตร ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกเปิดเผยรูปไข่ปนขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มม. ยาวได้ถึง 15 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบปนใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 ซม.แฉกรูปวงรีปนขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มิลลิเมตร เม็ดรูปวงรีแกมขอบขนาน 2 เมล็ด กว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 8 มม. มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์
อังกาบหนูเป็นพรรณไม้ที่โล่งแจ้ง ที่งอกงามก้าวหน้าในดินทุกจำพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินซึ่งร่วนซุยระบายน้ำเจริญ แล้วก็มีความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง สามารถขยายพันธุ์ได้ ด้วยเม็ด รวมทั้งการทำหมันกิ่ง อังกาบหนูฯลฯไม้ที่ดูแลไม่ยาก ไม่ค่อยชอบความร่มเงามาก เติบโตได้ดิบได้ดีทั้งในรอบๆที่แสงตะวันจัดเต็มวันหรือแสงอาทิตย์ร่มรำไร ส่วนน้ำอยากปานกลาง โรคแล้วก็แมลงมารบกวนอีกด้วย ในช่วงฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินชอบแห้งตาย แต่ส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกรอบหนึ่งในฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใบอังกาบหนูมีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones นอกนั้นใบและยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
ผลดี / คุณประโยชน์
สรรพคุณของอังกาบหนูตามยาแผนโบราณบอกว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยบำรุงรักษาธาตุทั้งยังสี่ ช่วยละลายเสลด บรรเทาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้กลากเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้อาหารไม่ย่อย ช่วยฟอกเลือด บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นเท้าแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ ขี้กลากเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับเยี่ยว แก้ไข้
ยิ่งกว่านั้นประเทศอินเดียยังคงใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้โรคหืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง กินทีละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ ไอกรน ลดเสลด ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีลักษณะอาการซึ่งรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการสืบค้นข้อมูลงานศึกษาวิจัยของอังกาบหนูจะมองเห็นได้ว่ายังไม่มีคุณวุฒิในคน โดยส่วนมากจะเป็นการศึกษาในหลอดทดสอบแล้วก็ในสัตว์ทดลองในฤทธิ์ต่างๆตัวอย่างเช่น ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต่อต้านเชื้อรา ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ แต่ยังการศึกษาต่ำวิจัยทางสถานพยาบาลเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังการศึกษาต่ำศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง เป็นเพียงแค่การบอกเล่าต่อๆกันมา โดยเหตุนั้นถ้าเกิดอยากได้ใช้ต้นอังกาบหนู สำหรับการรักษามะเร็งควรที่จะใช้พร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโดยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรจำต้องใช้ให้ละเอียด โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีข่าวซุบซิบว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้นั้น
แบบอย่าง / ขนาดวิธีใช้ การใช้ประโยชน์ทางยามีรายงานการใช้ผลดีจากส่วนต่างๆดังนี้
 
ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นตีนแตก ใช้ใบสดบดแก้ลักษณะของการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือเอามาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้กลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน
ราก นำมาตากแห้งแล้วเอามาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสมหะ ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้ของกินไม่ย่อย หรือนำมาตำอย่างละเอียดใช้ใส่บริเวณที่เป็นฝีหนอง รากเอามาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากรวมทั้งดอก อังกาบเอามาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยทำนุบำรุงธาตุภายในร่างกาย ช่วยรุ่งโรจน์ธาตุไฟได้ดีรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษาขี้กลากเกลื้อน หากนำมาใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าทั้งยัง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับปรุงแก้ไขข้ออักเสบได้
 
เปลือกลำต้น
 
นำมาบดให้เป็นผงรับประทานครั้งละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการปวดจากไขข้ออักเสบ
ทั้งต้น เอามาสกัดเอาน้ำมันมานวดหัวทำให้ผมดำ อีกทั้งต้นนำมาต้มดื่มทีละ 50-100 มิลลิลิตร แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมเรียกตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มสเปิร์ม โดยนำทั้งยังต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ครั้งละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งกิน ในกรณีที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาทุบให้แหลก นำไปแช่ในน้ำซาวข้าว พอกรอบๆที่บวม ยอดอ่อน นำมาบดในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
การศึกษาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลและน้ำมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารสกัดน้ำ การเรียนรู้หาปริมาณสารประกอบฟีโนลิก และก็ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกและก็ลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีจำนวนสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมมากที่สุด โดยมีค่าเสมอกันกรดเอ็งลลิกเท่ากับ 67.48 มก./ก. น้ำหนักพืชแห้ง รวมทั้งมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH และhydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้ครึ่งเดียว (IC50) พอๆกับ 336.15 แล้วก็ 568.65 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู อาทิเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 พอๆกับ 0.41 มก./มิลลิลิตร และมีฤทธิ์ยับยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 12.4 ไมโครโมลาร์ นอกเหนือจากนี้พบสารกรุ๊ปiridoid glycosides ได้แก่ shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside รวมทั้ง lupulinoside มีฤทธิ์ต้าน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในช่วง 5–50 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ และเอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ที่ก่อกำเนิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) และก็ยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูจำพวกที่ 3 แล้วก็ จำพวกที่4 ขนาด 400 มก./กก. นน. ตัว ให้กับหนูที่เหนี่ยวนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังกล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 รวมทั้ง55.75% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยับยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกเหนือจากนี้เมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มก./กิโลกรัม นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารติดอยู่รจีแนน แล้วก็รั้งนำให้กำเนิดลักษณะของการปวดด้วยกรดอะซิติเตียนก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% แล้วก็ลดลักษณะของการปวดได้ 30.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มก./ กิโลกรัมนน. ตัว ที่สามารถลดการอักเสบได้ 57.5% และก็ลดลักษณะของการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย การทดลองในหลอดทดสอบพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline แล้วก็ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดทั้งยังต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียอย่างแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต้านเชื้อรา การเล่าเรียนในหลอดทดสอบเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล แล้วก็เอทานอล สามารถต่อต้านเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae รวมทั้ง Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีสมรรถนะสูงที่สุด ตอนที่ลำต้นและรากของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน และก็เอทานอลสามารถต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดสอบในหลอดทดสอบ พบว่าขนาดความเข้มข่นที่ส่งผลสำหรับเพื่อการต้านทานเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้กึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคก./ มิลลิลิตร รวมทั้งขนาดความเข้มข้นที่ส่งผลสำหรับการฆ่าเชื้อโรคไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งเดียว (ID50) มีค่าพอๆกับ 42.2 มคก./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มิลลิกรัม/นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด และเพิ่มระดับไกลโคเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบแล้วก็ลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท และหนูเม้าส์ก่อนที่จะเหนี่ยวนำให้เกิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน แล้วก็พาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้วสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าวิชาชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin แล้วก็triglyceride นอกเหนือจากนั้นยังเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี glutathione ในตับและลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยปกป้องเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มก./กก. นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การเรียนรู้ฤทธิ์ต้านทานพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดทั้งยังต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำรวมทั้งเอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 และ 100 มก./มิลลิลิตร พบว่าฤทธิ์สำหรับการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต และฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มก./มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 รวมทั้งพยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ในตอนที่สารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 รวมทั้งพยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 และก็ พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดรากอังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มิลลิกรัม/กก.นน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับการก่อกวนการสร้างอสุจิ ลดปริมาณอสุจิ รวมทั้งทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดลง สารสกัดส่งผลลดน้ำหนักอัณฑะ รวมทั้งมีผลลดปริมาณโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) และก็กลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งนำมาซึ่งการทำให้การผลิตอสุจิ โครงสร้างและก็หน้าที่ของน้ำอสุจิแตกต่างจากปกติไป
 
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การศึกษา

 
ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทาน ขนาดที่แตกต่างตั้งแต่ 100 - 3,000 มิลลิกรัม ตรงเวลา 15 วัน ไม่พบความไม่ปกติใดๆก็ตามและไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายกึ่งหนึ่ง LD50 มีค่ามากกว่า3,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้งถ้าเกิดฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าเท่ากับ 2,530 มิลลิกรัม/กก. ± 87 มก./กก. ซึ่งจัดว่าค่อนข้างไม่เป็นอันตราย
 
คำแนะนำ/ข้อควรคำนึง
1. การใช้อังกาบหนูสำหรับในการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่เจาะจงไว้ ไม่สมควรใช้ในจำนวนที่มากเหลือเกินรวมทั้งใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเพราะอาจมีผลพวงต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต เบาหวาน ควรจะใช้อย่างระมัดระวังและควรปรึกษาหมอที่ให้การรักษาด้วยการใช้เสมอ
3. สำหรับในการใช้สมุนไพรอังกาบหนูอย่างต่อเนื่องจะต้องมีการเจาะเลือดมองค่ารูปแบบการทำงานของตับแล้วก็ไตอยู่เป็นประจำ
4. ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยอีกทั้งในมนุษย์และก็สัตว์ทดสอบว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ฉะนั้นถ้าหากอยากจำใช้สำหรับการรักษาโรคมะเร็งควรจะใข้พร้อมกันไปกับการรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
 
เอกสารอ้างอิง

  • พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
  • อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
  • ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/[/b]
  • Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
  • Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
  • Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
  • Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
  • Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
  • . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
  • Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
  • Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
  • Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
  • Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
  • Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
  • Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
กาลครั้งหนึ่ง2560
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 86


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2018, 09:30:23 am »

อังกาบหนู คืออะไร มีสรรพคุณและประโยชน์อย่างไร

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ