Advertisement
ลูกซัดชื่อสมุนไพร ลูกซัดชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น ไม่มีข้อมูลชื่อวิทยาศาสตร์ Trigonella foenum-graecum L.ชื่อสามัญ Fenugreek , Methi วงศ์ LEGUMINOSAE (FABACEAE) - PAPILIONIODEAEถิ่นกำเนิดลูกซัดเป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในแถบเมติเตอร์เรเนียน และก็มีการกระจายประเภทไปในอินเดีย จีน รวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกา เป็นต้นว่า อียิปต์ , เอธิโอเปีย ในตอนนี้สามารถ พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วทั้งโลกทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา แล้วก็ยุโรปโดยส่วนมากนิยมใช้เม็ดของลูกซัดซึ่งมีกลิ่น เฉพาะตัว เป็นเครื่องเทศสำหรับในการเตรียมอาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นในอาหรับรวมทั้งอินเดีย ส่วนแหล่งปลูกเพื่อการค้าขายที่สำคัญ อย่างเช่น ประเทศอินเดีย อียิปต์ ตูนีเซีย โมร็อกโก เอธิโอเปียประเทศฝรั่งเศส ประเทศตุรกี แล้วก็ จีน
ลักษณะทั่วไปลูกซัดจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งชัน สูงได้ถึง 60 เซนติเมตร รากแก้วขนาดใหญ่ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ หูใบขนาดเล็ก ก้านใบยาว 1-4 หรือ 1-6 ซม. ศูนย์กลางสั้น ใบย่อยรูปไข่กลับหรือขอบขนาด กว้าง 0.5-2 ซม. ยาว 1.5-4 เซนติเมตร ดอกผู้เดียวออกที่ซอกใบ รูปดอกถั่ว สีเหลือง ยาว 1-1.5 ซึม ฝักรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม. ยาว 5-19 เซนติเมตร ผิวเนียน ในฝักมีเม็ด 10-20 เม็ด เมล็ดแก่สีน้ำตาลอ่อน หรือสีเหลืองทอง เมล็ดมีขนาดเล็ก ขนาดกว้าง 3 มิลลิเมตร ยาว 4 มิลลิเมตร หนา 1 มม. มีร่องกึ่งกลางเมล็ด มีกลิ่นแรงเฉพาะตัว เม็ดมีรสฝาด มีกลิ่นหอมหวน
การขยายพันธุ์ ลูกซัดสามารถแพร่พันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด รวมทั้งการปักชำ โดยมีวิธีการเพาะเม็ดและใช้กิ่งปักชำ รวมถึงกระบวนการปลูกเหมือนกันกับพืชประเภทอื่นๆทั่วๆไป
องค์ประกอบทางเคมี เมื่อเล่าเรียนทางด้านองค์ประกอบทางเคมีพบว่าสาระสำคัญที่เจอในลูกซัดประกอบด้วยgalactomannan จำนวนร้อยละ 14-15 น้ำมันระเหยยาก (fixed oil) มีรสขมและกลิ่นเหม็น น้ำมันระเหยง่ายจำนวนร้อยละ 0.02 เจอสารกลุ่มAlkaloids อาทิเช่น trigonelline , สารกรุ๊ป saponin อย่างเช่น diosgenin, yamogenin, tigogenin, neotigogenin, Graecunin A-G sarsapogenin smilgenin trigofoenside A trigofoenoside B,C trigofoenoside D trigofoenoside F,G yuccagenin, gitogenin สารกลุ่มflaronoids เช่น vitexin, orientin, quercetin, luteolin kaempferol กรดอะมิโนชื่อ 4-hydroxyisoleucine
ที่มา : Wikipedia
นอกเหนือจากนั้น ลูกซัดยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ คุณค่าทางโภชนาการของเม็ดลูกซัดต่อ (100 กรัม) (3.5 ออนซ์)
พลังงาน 1,352 kJ (323 kcal)
คาร์โบไฮเดรต 58 กรัม
เส้นใยอาหาร 25 กรัม
ไขมัน 6.4 กรัม
โปรตีน 23 กรัม
วิตามิน
Thiamine(B 1 ) ไทอะมีน (วิตามิน B1) 0.322 mg
Riboflavin (B 2 ) ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2) 0.366 มก
ไนอาซิน(B 3 ) (วิตามิน B3) 1.64 มก
ไพริดอกซิน (วิตามิน บี6) 0.6 มก
โฟเลต(B 9 ) (วิตามิน B9) 57 ไมโครกรัม
แอสคอบิดเอสิด (วิตามินซี) 3 มก
แร่
แคลเซียม 176 มิลลิกรัม
เหล็ก 34 มก
แมกนีเซียม 191 มก
แมงกานีส 1.23 mg
ฟอสฟอรัส 296 มก
โพแทสเซียม 770 มก
โซเดียม 67 มก
สังกะสี 2.5 มก
ส่วนประกอบอื่นๆ
น้ำ 8.8 กรัม
ผลดี/สรรพคุณ ลูกซัดถูกประยุกต์ใช้เป็นเครื่องเทศสำหรับเพื่อการทำอาหาร ด้วยเหตุว่าให้กลิ่นหอมหวน รวมทั้งมีรสขมเฉพาะตัว เป็นรสเสน่ห์อาหารอย่างหนึ่ง ซึ่งลูกซัดจะมีกลิ่นหอมเหมือนขึ้นฉ่ายแม้กระนั้นแรงกว่า รสออกขมนิดๆขื่นหน่อยๆเมื่อจะใช้เขานำไปคั่วไฟก่อน ไฟจะต้องอ่อนมากมายๆเนื่องจากลูกซัดบอบบาง ไหม้ง่าย เมื่อคั่วแล้วจะมีกลิ่นหอมยวนใจเพิ่มมากขึ้น ถ้าคั่วด้วยน้ำมันเม็ดจะขยายตัว รสออกขมเข้มขึ้น เจือด้วยรสเผ็ดนิดๆและก็ด้วยคุณลักษณะกลิ่นแล้วก็รสดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ลูกซัดจึงกลายเป็นส่วนผสมที่สำคัญใน ?ผงกะหยี? อันเป็นเครื่องเทศสากลที่ใช้กันทั่วทั้งโลก แล้วก็ที่คนอินเดียใช้ ลูกซัดในการดองมะม่วง พริก กระเทียมและก็ผักอื่นๆทำเป็น Achar (อาจาด) ที่ใช้เป็นของเคียงของสะเต๊ะ รวมทั้งในอีกหลายๆประเทศก็ยังมีการใช้ลูกซัดมาเป็นส่วนประกอบของแป้งเพื่อจัดเตรียมเป็นอาหารจำพวกต่างๆได้แก่ ขนมปัง แป้งพิซซ่า มัฟฟิน และขนมเค้ก แล้วก็มีการสร้างสรรค์เพื่อปรับปรุงลูกซัดในลักษณะของอาหารเพื่อคนที่รักสุขภาพ (functional food) รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (dietary supplement) อีกด้วย ในประเทศอินเดียวมีการใช้เมล็ดแก้ท้องเสีย รักษาโรคเกาต์ เบาหวานขับนม กระตุ้นกำหนัด และขับประจำเดือน ส่วนในประเทศทางแถบยุโรป จะใช้เม็ดรักษาโรคเบาหวาน แล้วก็ขับน้ำนม
สำหรับคุณประโยชน์ทางยาตามตำรายาไทย: ใช้เม็ด แก้ท้องเดิน กล่อมเสลดและก็อาจมแก้ธาตุทุพพลภาพแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ขับฉี่ บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บดแล้วประยุกต์ใช้พอก ฝี ลดอาการบวม ทาแผลต่างๆแก้อักเสบบวม แก้ไอเรื้อรัง ช่วยให้เมนส์มาปกติ
คุณประโยชน์แผนโบราณ ขับเสมหะ ทำให้เปียกชื้น ต้านการอักเสบ ขับรอบเดือน ขับน้ำนมหลังคลอดลูก รักษาโรคเบาหวาน ส่วนคนประเทศไทยในอดีตกาลใช้น้ำต้มลูกซัดและเปลือกชะลูดต้มผ้า เพื่อผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่นแล้วก็แข็งจับกลีบได้ ซึ่งสารเมือกที่มีในลูกซัดนั่นเองที่ทำให้ผ้าแข็งตัวเป็นเงางาม ตอนนี้ได้มีการใช้มูกของลูกซัดสำหรับในการอาบกระดาษมัน แล้วก็ผสมในการทำยาเม็ดเพื่อการแตกตัวของยาดีขึ้น
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้การใช้
ลูกซัดในปัจจุบันได้แก่การใช้ในการบริโภคในลักษณะของเครื่องเทศ และก็ของกินมากกว่า การใช้สำหรับในการเป็นยารักษาโรคเพราะเหตุว่าขนาดสำหรับเพื่อการใช้ยารักษาโรคนั้นก็ยังไม่มีรายงานการศึกษาวิจัยที่บ่งชัดถึงกับขนาดการใช้ที่สมควรและมีความปลอดภัยที่แน่ๆ
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
มีการเรียนรู้ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง ทั้งยังธรรมดารวมทั้งถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวาน โดยพบว่าในหนูแรทที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan เมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 0.06 0.2 0.5 และก็ 1 ก./กก. รวมทั้งสารสกัด 70% เอทานอลจากใบ ขนาด 0.8 กรัม/กก. เข้าทางท้อง และก็ป้อนสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 1 2 และ 8 ก./กิโลกรัม ส่งผลลดน้ำตาลในเลือดของหนู ยาต้มรวมทั้งสารสกัด 95% เอทานอลจากเมล็ด ขนาด 0.5 มล./ตัว สารสกัด 95% เอทานอลจากเมล็ด ขนาด 250 มก./กิโลกรัม รวมทั้งสารสกัดอัลกอฮอล์จากเม็ด ขนาด1 2 และ 4 ก./กิโลกรัม มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่ถูกรั้งนำให้บาหวานด้วย alloxan ได้เช่นกัน
ลูกซัดมีผลเสริมฤทธิ์ของยารักษาโรคเบาหวานโดยเมื่อให้ผงเมล็ดลูกซัดร่วมกับยา glicazide พบว่
ลูกซัด[/url]จะเสริมและก็เพิ่มระยะเวลาการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของยาในหนูแรทปกติ หนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย alloxan monohydrate แล้วก็ในกระต่ายธรรมดา โดยไม่ทำให้มีการเกิดการชักเพราะว่าน้ำตาลในเลือดต่ำ สารสกัดเอทานอล ขนาด 500 มิลลิกรัม/กก. เมื่อให้ร่วมกับยาglibenclamide แก่หนูแรทปกติแล้วก็หนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย streptozotocin จะมีผลเสริมฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดเหมือนกันผงเมล็ด ขนาด 15 กิโลกรัม มีผลลดน้ำตาลในเลือดและอินซูลินของคนป่วย เมื่อทดลองด้วยวิธีการวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (Meal tolerance test) เมื่อให้คนไข้ ปริมาณ 15 คน ทานอาหารที่ผสมผงเม็ดลูกซัดที่ขจัดไขมัน ปริมาณ 100 กรัมนาน 10 วัน พบว่าระดับน้ำตาลรวมทั้งอินซูลินในเลือดลดลง คนไข้ อายุระหว่าง38-54 ปี ปริมาณ 10 คน ที่กินอาหารซึ่งผสมผงเมล็ดลูกซัด ขนาด 25 กรัม โดยแบ่งเป็นขนาดเท่าๆกัน รับประทานวันละ2 มื้อ เป็น ช่วงเวลากลางวันและเย็น นาน 15 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลง โดยลูกซัดส่งผลลดระดับน้ำตาลในพลาสมา เพิ่มการใช้กลูโคส รวมทั้งเพิ่ม insulin receptor บนเม็ดเลือดแดง ทำให้เพิ่มแรงต้านทานต่อเดกซ์โทรส แล้วก็เมื่อให้คนเจ็บ ปริมาณ 60 คน รับประทานอาหารที่ผสมผงเม็ดลูกซัดในขนาดเดียวกันนี้ นาน 24 อาทิตย์ พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดแล้วก็อินซูลินในคนเจ็บน้อยลงเช่นกัน
การศึกษา ในอาสาสมัครสุขภาพดีที่รับประทานแคปซูลผงใบลูกซัดขนาด 2.5 กรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 3 เดือน พบว่าไม่มีผลลดน้ำตาลในเลือด เมื่อให้คนธรรมดา จำนวน 6 คน กินตำรับของกินที่ผสมผงเม็ดลูกซัดดิบ เมล็ดต้น และเมล็ดกำลังผลิออก จำนวน 12.5 ก. วันละครั้งเป็นข้าวเช้า หรือให้กินตำรับยาซึ่งประกอบด้วยลูกซัด และ guar gum พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงเมล็ด ขนาด 25 กรัม ยางที่สกัดจากเม็ด (gum) ขนาด 5 กรัม รวมทั้งใบ ขนาด 150 ก. มีผลลดน้ำตาลในเลือดของคนปกติได้ เมื่อให้อาสาสมัครชายร่างกายแข็งแรงอายุ 20-30 ปี จำนวน 20 คน รับประทานสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 40 มก./กิโลกรัมพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลง 13.4 หลังจากได้รับสารสกัด 4 เซนติเมตร โดยมีผลข้างๆนิดหน่อย เป็นต้นว่า รู้สึกหิวปัสสาวะบ่อย แล้วก็เวียนศีรษะ
ยิ่งกว่านั้นยังมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัย จำนวนหนึ่งกระทำทดสอบโดยให้สตรี ที่อยู่ในช่วงให้นมลูกดื่มชาที่มีส่วนผสมของลูกซัด ผลที่ได้ เป็น มีสัญญาณบ่งชี้ถึงจำนวนนมที่มากขึ้นของคุณแม่ในกลุ่มทดลองอย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ไม่ได้บริโภคชาที่มีส่วนผสมของลูกซัด จึงอาจจะกล่าวว่า ของกินเพิ่มน้ำนมที่มีส่วนผสมของลูกซัดอาจช่วยกระตุ้นการผลิตนม รวมทั้งมีส่วนช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวเด็กในพักหลังคลอดได้ด้วย อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่แจ่มแจ้งทางการแพทย์เกี่ยวกับลูกซัดที่สัมพันธ์กับการเพิ่มจำนวนน้ำนมในสตรีที่ให้นมบุตรยังคงมีจำกัดรวมทั้งนักวิจัยยังระบุว่าควรจะมีการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมถัดไป
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา ลูกซัด การทดสอบความเป็นพิษ ยาต้มจากใบ สารสกัดน้ำจากใบ หรือสารสกัดเอทานอล:น้ำจากเมล็ดเมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูแรท รวมทั้งหนูเม้าส์ มีค่าLD50 เท่ากับ 4 ก./กก. 1.9 กรัม/กก. แล้วก็ 1ก/กก. ตามลำดับ เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารกสัดน้ำจากใบพบว่ามีค่า LD50 พอๆกับ 10 กรัม/กิโลกรัม สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากเม็ด เมื่อทดลองในกระต่ายแล้วก็หนูแรทมีค่า LD50 มากยิ่งกว่า 2 รวมทั้ง 5กรัม/กก. ตามลำดับ
การกินเม็ดลูกซัด ขนาด 25 กรัม/วัน ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษ การศึกษาความเป็นพิษในคนป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 จำนวน 60 คน โดยให้ทานอาหารที่เสริมผงเมล็ดลูกซัด 25 กรัม นาน 24 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นพิษต่อตับและก็ไต และไม่พบความผิดปกติของค่าทางโลหิตวิทยา แม้กระนั้นมีระดับยูเรียในเลือดลดลงภายหลังรับประทาน 12 อาทิตย์
พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากเม็ด ความเข้มข้น 0.3 มก./มล. เป็นพิษต่อเซลล์ตับของหนูแรท โดยการทำให้เกิดความผิดปกติของไครโมโซม
พิษต่อตัวอ่อน ไม่พบความเป็นพิษต่อตัวอ่อน เมื่อป้องผงเมล็ดแห้ง ขนาด 175 มก./กิโลกรัม ให้แก่หนูแรทที่ตั้งท้อง เม็ด ขนาด 2 กรัม/ตัว ไม่เป็นผลทำให้หนูแรทแท้ง
มีรายงานผู้เจ็บป่วยที่การเกิดอาการแพ้จากการสูดดมผงเม็ดลูกซัด โดยทำให้น้ำมูกไหลมาก หอบและหมดสติ และก็ผู้ป่วยที่เกิดอาการแพ้จากการกินเครื่องแกง ที่มีลูกซัดเป็นส่วนประกอบ โดยมีลักษณะหลอดลมบีบเกร็ง หอบ และก็ท้องเสีย และก็จะเสริมให้แพ้มากในผู้เจ็บป่วยที่แพ้ถั่วดินด้วย ในคนไข้ที่เป็นหอบหืดเรื้อรังซึ่งใช้ผลเม็ดลูกซัดสำหรับแก้รังแค พบว่าทำให้หนังหัวหมดความรู้สึก หน้าบวม รวมทั้งหอบ
คำแนะนำ/ข้อควรพิจารณา1. ไม่แนะนำให้ผู้ที่แพ้อาหารชนิดถั่วทานลูกซัด เนื่องจากถั่วลูกซัดเป็นพืชตระกูลถั่ว แม้จะจัดเป็นเครื่องเทศก็ตาม
2. หญิงตั้งท้องไม่ควรทานถั่ว
ลูกซัด เพราะว่าถั่วลูกซัดอาจเข้าไปกระตุ้นการยุบตัวของมดลูกได้
3. ควรจะระวังการใช้ลูกซัดร่วมกับยารักษาเบาหวาน อย่างเช่น ยาในกรุ๊ป sulfonylureas ได้แก่ chlorpropamide, glibencamide, glipizide, gliclazide, gliquidone และ glimepiride เนื่องจากลูกซัด บางทีอาจไปเสริมฤทธิ์ของยา
4. อาจมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงมากเกินไป ฉะนั้นถ้าผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน จะรับประทานลูกซัด ควรปรึกษาหมอและอยู่ภายใต้ข้อเสนอแนะของแพทย์อย่างใกล้ชิด
5. ควรรอบคอบสำหรับในการใช้ร่วมกับยาสลายลิ่มเลือด เช่น warfarin หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านทานการรวมตัวของเกร็ดเลือด เป็นต้นว่า กระเทียม หรือแปะก๊วย เพราะเหตุว่าอาจเพิ่มการเสี่ยงต่อการตกเลือดได้
6. ลูกซัดบางทีอาจส่งผลกระตุ้นให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆได้ ยกตัวอย่างเช่น ท้องร่วง ท้องไส้ปั่นป่วน เรอ มีแก๊สในท้อง หรือปัสสาวะมีกลิ่นคล้ายเมเปิลไซรัป
7. ถึงแม้ว่ายังไม่มีรายงานการใช้ในสตรีมีท้องรวมทั้งให้นมลูก แม้กระนั้นสตรีท้องและให้นมบุตร แต่สตรีตั้งท้องควรระมัดระวังสำหรับการใช้ เพราะลูกซัดมีผลลดน้ำตาลในเลือด นอกนั้นยังมีรายงานวิจัยว่า สารสกัดน้ำ 95% เอทานอล และเมทานอลจากเมล็ด มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูที่กำลังตั้งครรภ์ ดังนั้น อาจมีผลกระตุ้นให้เกิดแท้งลูกได้ ด้วยเหตุดังกล่าวควรจะหารือหมอและก็ผู้ชำนาญก่อนใช้รวมถึงไม่สมควรใช้ในจำนวนมาก และตลอดเป็นระยะเวลานานๆ
เอกสารอ้างอิง- ธิดารัตน์ จันทร์ดอน.ลูกซัด...เครื่องเทศมีประโยชน์.จุลสารข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่35.ฉบับที่1 ตุลาคม.2560
- Chan HT, So LT, Li SW, Siu CW, Lau CP, Tse HF. Effect of herbal consumption on time in therapeutic range of warfarin therapy in patients with atrial fibrillation. J Cardiovasc Pharmacol. 2011;58(1):87-90.
- นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร.บรรณาธิการ.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 4 กรุงเทพฯ:บริษัท ประชาชน จำกัด,2543:740 หน้าhttps://www.disthai.com/[/color]
- นิจศิริ เรืองรังสี เครื่องเทศ.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2542:206 หน้า.
- อรัญญา ศรีบุศราคัม.ลูกซัด...แก้เบาหวาน.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่ 27.ฉบับที่1 ตุลาคม.2552.หน้า4-11
- El Bairi K, Ouzir M, Agnieszka N, Khalki L. Anticancer potential of Trigonella foenum graecum: cellular and molecular targets. Biomed Pharmacother 2017;90:479-91.
- ลูกซัด..ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีEthan M. Natural standard herb and supplement reference: evidence-based clinical reviews. New York: Elsevier Mosby; 2005.
- Lu FR, Shen L, Qin Y, Gao L, Li H, Dai Y. Clinical observation on Trigonella foenum-graecum L. total saponins in combination with sulfonylureas in the treatment of type 2 diabetes mellitus. Chin J Integr Med. 2008;14(1):56-60.
- Nagulapalli VKC, Swaroop A, Bagchi D, Bishayee A. A small plant with big benefits: fenugreek (Trigonella foenum-graecum Linn.) for disease prevention and health promotion. Mol Nutr Food Res. 2017;61(6):1-26.
- Izzo AA, Di Carlo G, Borrelli F, Ernst E. Cardiovascular pharmacotherapy and herbal medicines: the risk of drug interaction. Int J Cardiol. 2005;98(1):1-14.
- Lambert JP, Cormier J. Potential interaction between warfarin and boldo-fenugreek. Pharmacotherapy. 2001;21(4):509-12.