Advertisement
อังกาบหนูชื่อสมุนไพร อังกาบหนูชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria prionitis Linn.ชื่อสามัญ Porcupine flowerวงศ์ ACANTHACEAEถิ่นกำเนิด อังกาบหนูเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนต่างๆทั้งโลก โดยมีเขตผู้กระทำระจายชนิดในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆดังเช่นว่า แอฟริกา อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย ประเทศพม่า ลาว เขมรแล้วก็ไทย สำหรับในประเทศไทย พบมากขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งแล้งทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไปอังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มม. 2-3 อัน ใบคนเดียวเรียงตรงกันข้าม รูปไข่แกมวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 เซนติเมตร ยาว4.3-10.5 เซนติเมตร ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 ซม.ดอกคนเดียวดูเหมือนช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบประดับประดารูปแถบปนขอบขนาน กว้าง 2-8 มม. ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบแต่งแต้มย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มม. ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกเปิดโปงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มม. ยาวได้ถึง 15 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบแกมใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มม. ปลายเว้าตื้น กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีแกมขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่ปนขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มม. เม็ดรูปวงรีแกมขอบขนาน 2 เม็ด กว้าง 5 มม. ยาว 8 มม. มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์ อังกาบหนูเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญงอกงามได้ดิบได้ดีในดินทุกจำพวก โดยเฉพาะดินร่วนซุยระบายน้ำก้าวหน้า และก็มีความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง สามารถแพร่พันธุ์ได้ ด้วยเม็ด แล้วก็การตอนกิ่ง อังกาบหนูฯลฯไม้ที่ดูแลง่าย ไม่ค่อยถูกใจความร่มเงามาก เติบโตได้ดีทั้งยังในรอบๆที่แสงอาทิตย์จัดเต็มวันหรือแสงอาทิตย์ร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรครวมทั้งแมลงมารบกวนอีกด้วย ในฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินชอบแห้งตาย แม้กระนั้นส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะก้าวหน้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในช่วงฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใ
อังกาบหนู[/url]มีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones นอกเหนือจากนี้ใบแล้วก็ยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
ประโยชน์ / คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของ
อังกาบหนูตามยาแผนโบราณบอกว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้กลากเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบที่ทำการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยบำรุงธาตุทั้งยังสี่ ช่วยละลายเสมหะ ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้กลากเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้อาหารไม่ย่อย ช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นตีนแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ กลากโรคเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับเยี่ยว แก้ไข้
นอกเหนือจากนั้นอินเดียยังคงใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้โรคหืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง กินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ ไอกรน ลดเสมหะ ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีลักษณะอาการซึ่งรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการสืบค้นข้อมูลงานศึกษาเรียนรู้วิจัยของอังกาบหนูจะเห็นได้ว่ายังไม่มีการศึกษาในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเรียนในหลอดทดลองรวมทั้งในสัตว์ทดสอบในฤทธิ์ต่างๆดังเช่น ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านทานเชื้อรา ต่อต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น แต่ว่ายังการศึกษาต่ำวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังไม่มีคุณวุฒิวิจัยเกี่ยวกับการต้านโรคมะเร็ง เป็นเพียงการบอกเล่าต่อๆกันมา โดยเหตุนั้นหากปรารถนาใช้ต้นอังกาบหนู สำหรับการรักษามะเร็งควรจะใช้พร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโดยแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แม้กระนั้นการใช้สมุนไพรจำต้องใช้ให้รอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีข่าวซุบซิบว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น
แบบอย่าง / ขนาดวิธีการใช้ การใช้ประโยชน์ทางยามีรายงานการใช้ผลดีจากส่วนต่างๆดังต่อไปนี้ ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นเท้าแตก ใช้ใบสดบดแก้ลักษณะของการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือนำมาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้ขี้กลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน
ราก เอามาตากแห้งแล้วเอามาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้อาหารไม่ย่อย หรือเอามาตำอย่างละเอียดใช้ใส่บริเวณที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากแล้วก็ดอก อังกาบนำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงธาตุภายในร่างกาย ช่วยเจริญก้าวหน้าธาตุไฟเจริญรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษาขี้กลากโรคเกลื้อน ถ้าเกิดนำมาใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าอีกทั้ง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับแต่งข้ออักเสบได้
เปลือกลำต้น เอามาบดให้เป็นผุยผงกินทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดลักษณะของการปวดจากไขข้ออักเสบ
อีกทั้งต้น นำมาสกัดเอาน้ำมันมานวดศีรษะทำให้ผมดำ ทั้งต้นเอามาต้มดื่มครั้งละ 50-100 มล. แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมตามตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มสเปิร์ม โดยนำทั้งยังต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ทีละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน ในเรื่องที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาตีให้แหลก นำไปแช่ในน้ำซาวข้าว พอกบริเวณที่บวม ยอดอ่อน เอามาบดในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
การศึกษาในหลอดทดสอบพบว่า สารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยแนวทาง DPPH รวมทั้ง ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมากว่าสารสกัดน้ำ การเรียนหาปริมาณสารประกอบฟีโนลิก และก็ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกแล้วก็ลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมสูงที่สุด โดยมีค่าเสมอกันกรดแกลลิกเท่ากับ 67.48 มิลลิกรัม/กรัม น้ำหนักพืชแห้ง รวมทั้งมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH และก็hydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ครึ่งเดียว (IC50) เท่ากับ 336.15 รวมทั้ง 568.65 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู อย่างเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ป phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 เท่ากับ 0.41 มิลลิกรัม/มล. และมีฤทธิ์ยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 12.4 ไมโครโมลาร์ ยิ่งไปกว่านี้เจอสารกลุ่มiridoid glycosides ดังเช่นว่า shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside รวมทั้ง lupulinoside มีฤทธิ์ต้านทาน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในช่วง 5–50 มิลลิกรัม/มล.
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ และก็เอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) แล้วก็ยับยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูประเภทที่ 3 แล้วก็ ประเภทที่4 ขนาด 400 มก./กก. นน. ตัว ให้กับหนูที่รั้งนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 รวมทั้ง55.75% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยับยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกนั้นเมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารค้างรจีแนน และรั้งนำให้กำเนิดอาการปวดด้วยกรดอะซิติก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% แล้วก็ลดอาการปวดได้ 30.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มก./ กิโลกรัมนน. ตัว ซึ่งสามารถลดการอักเสบได้ 57.5% รวมทั้งลดอาการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline แล้วก็ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดอีกทั้งต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา การศึกษาในหลอดทดลองเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล และก็เอทานอล สามารถต้านทานเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae แล้วก็ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีศักยภาพมากที่สุด ในเวลาที่ลำต้นรวมทั้งรากของต้นอังกาบหนูด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน และก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้น
อังกาบหนูเมื่อนำไปทดสอบในหลอดทดลอง พบว่าขนาดความเข้มข่นที่ส่งผลสำหรับเพื่อการต่อต้านเชื้อไวรัสที่นำมาซึ่งโรคในระบบฟุตบาทหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้กึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคกรัม/ มล. แล้วก็ขนาดความเข้มข้นที่ส่งผลในการฆ่าเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งเดียว (ID50) มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./มล.
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มิลลิกรัม/นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด รวมทั้งเพิ่มระดับไกลวัวเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท รวมทั้งหนูเม้าส์ก่อนจะเหนี่ยวนำให้เกิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน และก็พาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มิลลิกรัม/กก. นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวถึงแล้วสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าวิชาชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin และก็triglyceride นอกจากนั้นยังเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี glutathione ในตับรวมทั้งลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยป้องกันเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำและก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 รวมทั้ง 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าฤทธิ์ในการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต แล้วก็ฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นขึ้นกับขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มก./มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 แล้วก็พยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ตอนที่สารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 แล้วก็พยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 และ พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดราก
อังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้มีสาเหตุจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับการรบกวนการผลิตน้ำเชื้อ ลดจำนวนน้ำเชื้อ และก็ทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดลง สารสกัดมีผลลดหุ่นอัณฑะ รวมทั้งส่งผลลดจำนวนโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) แล้วก็กลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งทำให้การสร้างสเปิร์ม โครงสร้างแล้วก็หน้าที่ของสเปิร์มผิดปกติไป
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การเล่าเรียน ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบรวมทั้งลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กิน ขนาดที่แตกต่างกันตั้งแต่ 100 - 3,000 มิลลิกรัม เป็นเวลา 15 วัน ไม่พบความแปลกอะไรก็ตามและไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายกึ่งหนึ่ง LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า3,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และถ้าเกิดฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าเท่ากับ 2,530 มก./กก. ± 87 มิลลิกรัม/กก. ซึ่งถือว่าค่อนข้างไม่เป็นอันตราย
ข้อแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม1. การใช้อังกาบหนูสำหรับการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่กำหนดไว้ ไม่สมควรใช้ในปริมาณที่มากเหลือเกินและก็ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานเพราะอาจมีผลพวงต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นต้นว่า โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรจะใช้อย่างระมัดระวังรวมทั้งควรหารือแพทย์ที่ให้การรักษาด้วยเสมอ
3. สำหรับในการใช้สมุนไพรอังกาบหนูอย่างต่อเนื่องควรจะมีการเจาะเลือดมองค่าแนวทางการทำงานของตับและก็ไตอยู่เป็นประจำ
4. ในตอนนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยทั้งในมนุษย์และก็สัตว์ทดลองว่าอังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้ โดยเหตุนั้นถ้าหากต้องการจำใช้สำหรับในการรักษามะเร็งควรใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
เอกสารอ้างอิง- พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
- อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
- ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/[/b]
- Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
- Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
- Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
- Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
- Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
- Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
- Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
- . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
- Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
- Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
- Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
- Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
- Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
- Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
- Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
- Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
- Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
- Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.
Tags : อังกาบหนู