Advertisement
[/b]
ขมิ้นอ้อยชื่อสมุนไพร ขมิ้นอ้อยชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ว่านขมิ้นอ้อย,ขมิ้นเจดีย์ (ทั่วๆไป),ว่านเหลือง(ภาคกลาง),ขมิ้นชัน(ภาคเหนือ),ขี้มิ้นหัวขึ้น(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ),ละเมียดละไม(เขมร),สากเบือ(ละว้า)ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoeชื่อสามัญ Zedoary,Indian arrow root, Long zedoaria,Luya-Luyahan, Shotiตระกูล ZINGIBERACEAEถิ่นกำเนิดขมิ้นอ้อยขมิ้นอ้อยเป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปเอเชียอีกชนิดหนึ่ง โดยเช้าใจกันว่ามีถิ่นเกิดในแถบเอเซียอาคเนย์โดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศต่างๆในแถบแหลมอินโดจีน ได้แก่ ไทย ประเทศพม่า ลาว เขมร มาเลเชีย และอินโดนีเซีย ฯลฯ ต่อมาได้มีการแพร่ระบาดพันธุ์ไปยังอินเดีย,เวียดนาม,จีน แล้วก็ไต้หวัน สำหรับในประเทศไทยมีชื่อเสียงดีตั้งแต่ในอดีตกาลแล้วเนื่องจากว่าได้มีการนำมาใช้คุณประโยชน์ทางด้านสมุนไพรรวมทั้งด้านอาหารจนกว่าถึงเดี๋ยวนี้
ลักษณะทั่วไขมิ้นอ้อย[/url][/size][/b]
ขมิ้นอ้อยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุหลายปีมีเหง้าอยู่ใต้ดินแล้วก็มีรากน้อยที่รอบๆเหง้ารากกลมมีเนื้อนุ่มภายใน ทั้งนี้มีลักษณะทั่วๆไปคล้ายกับขมิ้นชันแต่มีลำต้นที่สูงกว่ารวมทั้งขนาดเหง้าและก็ใบก็ใหญ่กว่า โดยต้นจะมีความสูงราวๆ 1-1.2 เมตรลำต้นตั้งตรง แตกหน่อมาก ส่วนเหง้ามักโผล่ขึ้นมาเหนือดินบางส่วน เหมือนเจดีย์ทรงกลมสูงหลายชั้นๆ(จึงเป็นต้นเหตุของชื่อขมิ้นขึ้นหรือขมิ้นเจดีย์) รูปแบบของเหง้ามีลักษณะเป็นรูปกลมรี มีความยาวประมาณ 18-24 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 7-11 ซม. ผิวข้างนอกเป็นสีขาวแกมเหลือง ส่วนเนื้อในเป็นสีเหลืองอ่อน ใบดอก เป็นใบคนเดียวเรียงสลับรอบลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอกปนรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแคบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มและก็มีเส้นนูนตามลายของเส้นใบ เส้นกึ่งกลางใบเป็นร่องนิดหน่อยรวมทั้งมีแถบสีน้ำตาล ผิวข้างหน้าเรียบ ส่วนทางด้านท้องใบจะมีขนนุ่มเล็กน้อย ก้านใบเป็นกาบห่อกับลำต้น นานเป็นลำต้นเทียมมีความยาวเป็น 1 ใน 3 ของใบ กึ่งกลางก้านเป็นร่องลึกตลอดความยาว ดอก มีดอกเป็นช่อ ก้านดอกจะยาวแล้วก็พุ่งออกมาจากเหง้าที่อยู่ใต้ดิน ช่อดอกมีความยาวประมาณ 15เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ช่อดอกมีใบแต่งแต้ม และก็ดอกมักเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน กลีบดอกไม้มีลักษณะกลมเป็นรูปไข่สีเขียว ตรงปลายของช่อดอกจะเป็นสีชมพูหรือสีแดงอ่อน ส่วนดอกสีเหลืองจะบานจากข้างล่างขึ้นบน และจะบานทีละโดยประมาณ 2-3 ดอกในช่วงฤดูฝน ผล มีลักษณะเป็นรูปไข่ เหมือนกันกับผลของขมิ้นชัน แต่ว่าจะมีกลิ่นแรงน้อยกว่า
ดังนี้ในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์และขมิ้นชันกันมากโดยเหตุนั้น จึงขอนำเสนอข้อแตกต่างระหว่างกับขมิ้นชัน ซึ่งสามารถแยกไม่เหมือนกันที่หลักๆได้ดังต่อไปนี้
ข้อแตกต่างขมิ้นชัน
ขนที่ท้องใบ
ไม่มี
มีนิ่มๆ(บางพันธุ์)
เหง้าจะขึ้นมาเหนือดินเมื่อถึงหน้าแล้ง
ไม่ขึ้นอยู่ใต้ดิน
ลอยขึ้นมาเหนือดิน
ขนาดเหง้า
เล็ก
ใหญ่กว่ามากมายเป็นทรงกระบอกมีกิ่งก้านสาขารูปไข่ ยาวแตกออกข้างๆทั้ง 2 ด้านของเหง้าใหญ่
สีของเหง้าเมื่อแก่
แก่กว่า(เป็นสีเหลืองจำปา)
อ่อนกว่า(สีเหลือง)
กลิ่นของเหง้าเมื่อแก่
ฉุนกว่า
อ่อนกว่า
การขยายพันธุ์ขมิ้นอ้อยการขยายพันธุ์
ขมิ้นอ้อยสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เหง้าปลูกโดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
การเตรียมดินแปลงปลูก สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
o แปลงปลูกแบบที่ราบ จะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี มีความเอียงเอี้ยง
o แปลงปลูกแบบยกรอง ในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม หรือที่ราบต่ำ ควรชูร่องสูงประมาณ 25 ซม.ความกว้างราวๆ 100-150 เซนติเมตร ความยาวขึ้นกับความเหมาะสมของพื้นที่ และระยะระหว่างร่องราวๆ 50 ซม.
การเตรียมพันธุ์ ใช้เหง้าแก่ที่ปราศจากจากโรคและแมลง (อายุราว 1 ปี) เอามาตัดราก และล้างชำระล้างให้เรียบร้อยแล้วตัดเป็นท่อนๆโดยให้มีตาบริบูรณ์ 3-5 ตา และก็ป้ายปูนแดง หรือปูนขาวที่รอยตัดคุ้มครองป้องกันเชื้อโรคเข้าทำลาย หรือชุบท่อนจำพวกด้วยสารเคมีเพื่อคุ้มครองป้องกันโรคแล้วก็แมลงที่ติดมากับหัวชนิด
กระบวนการปลูก ใช้เหง้าที่ตระเตรียมไว้ เอามาปลูกภายในแปลง หรือบางทีอาจจะเพาะให้ตาผลิออกก่อนก็ได้ โดยนำไปเอาไว้ภายในที่ร่มและก็ให้ความชุ่มชื้น กระทั่งขมิ้นชันแตกหน่อ ก่อนปลูกควรรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกโดยประมาณ 250 กรัมต่อหลุม
o ระยะปลูกระหว่างต้นแล้วก็ระหว่างแถว 30x50 เซนติเมตร แล้วหลังจากนั้นกลบดินและปกคลุมแปลงดัวยฟางหรือต้นหญ้าคา เพื่อคุ้มครองปกป้องการงอกของวัชพืชรักษาความชุ่มชื้นในดิน
o ระยะเวลาปลูก เริ่มปลูกไว้ในช่วงหน้าฝน ราว พ.ค.-เดือนกรกฎาคม
ส่วนประกอบทางเคมีในเหง้าของ
ขมิ้นอ้อยพบ สารกรุ๊ปเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วยcurcumin, bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin, dihydrocurcumin, tetrahydrodemethoxycurcumin, tetrahydrobisdemethoxycurcumin , Curzerene, Furanodiene, Furanodienone, Zederone, Zedoarone
ยิ่งไปกว่านี้ยังเจอน้ำมันระเหยง่าย สารหลักเป็นสารกลุ่ม sesquiterpene ดังเช่นว่า epicurzerenone 46.6%, curdione 13.7% dehydrocurdione ,epiprocurcumenol ,1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-1,4,6-heptatrien-3-one, procurcumenol
คุณประโยชน์ขมิ้นอ้อยในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์ในการเอามาทำเป็นเครื่องเทศ หรือเครื่องปรุงของกินโดยมักจะนิยมประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ในด้านนี้มากยิ่งกว่าขมิ้นชันเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุว่ามีกลิ่นที่ไม่ฉุนมากเสมือนขมิ้นชันโดยอาหารที่นำยมนำมาเป็นส่วนประกอบหรือเครื่องปรุง ตัวอย่างเช่น ขนมเบื้องญวน,ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง,ข้าวเหนียวเหลือง ฯลฯ ส่วนประโยชน์ทางด้านสมุนไพรของนั้นตามตำรายาไทยบอกว่า เหง้ามีรสฝาดขื่น แก้ไข้ปวดเหมื่อยตามตัว แก้เสลด แก้อ้วก แก้โรคหนองใน สมานไส้ ขับลม ขับฉี่ แก้ท้องเดิน ใช้เป็นยาพาราท้องแก้ริดสีดวงทวาร ,แก้ฝึกหลบใน ใช้ข้างนอกเอาเหง้าตำละเอียด พอกแก้บวมช้ำบวม แก้กลยุทธ์ อักเสบ ใช้รักษาแผล,ฝี แก้พิษโลหิต รวมทั้งบรรเทาอาการปวด รักษาอาการเลือดคั่ง เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก รักษาประจำเดือนมาผิดปกติ แก้ตกขาว ขับรอบเดือน เหง้าผสมใบเทียนกิ่ง แล้วก็เกลือเล็กน้อยตำละเอียด พอกห่อหุ้มเล็บ เป็นยากันเล็บถอดช่วยบำรุงผิว
ส่วนอีกตำราหนึ่งเจาะจงถึงกับขนาดการใช้ว่าเหง้ามีรสเผ็ดขม เป็นยาอ่อนโยน ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม ช่วยกระจายเลือด รักษาอาการเลือดคั่ง หรือเลือดไหลเวียนไม่สบาย เส้นเลือดในท้องตัน ช่วยแก้เลือดเป็นพิษ แก้พิษเลือด ใช้เป็นเป็นยาชำระเลือด แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้ท้องร่วงท้องร่วง ช่วยสมานไส้ ช่วยขับเยี่ยว ใช้ขับน้ำคร่ำข้างหลังคลอดบุตร ช่วยแก้อาการโรคหืดหอบหายใจไม่ปกติ ฯลฯ
นอกจากนั้นตามบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในกลุ่มลักษณะของระบบทางเท้าหายใจ อาทิเช่น ตำรับ “ยาประสะมะแว้ง” มีสรรพคุณของตำรับคือใช้บรรเทาอาการ ไอ มีเสมหะ ทำให้เปียกแฉะคอ ขับเสมหะ ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาลักษณะของการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของเหง้าร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณรักษาเมนส์มาไม่บ่อยนักหรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาลักษณะของการปวดระดู และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
แบบ/ขนาดวิธีใช้เหง้าสดราว 2 แว่น นำมาบดผสมกับน้ำปูนใส ประยุกต์ใช้ดื่มเป็นยารักษาอาการท้องเสีย เหง้าเอามาหั่นเป็นแว่นๆ(เหง้าสดหรือตากแห้งก็ได้) นำมาต้มกับน้ำเป็นยาดื่มแก้โรคกระเพาะ
แก้หัดหลบใน โดยใช้เหง้า 5 แว่น และต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มกับน้ำและก็น้ำปูนใส แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารตอนเช้าแล้วก็เย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
รักษาอาการ ปวดบวม แก้บวม ฟกช้ำ แก้ช้ำใน แก้อักเสบ แก้อาการเคล็ดลับขัดยอก ข้อเคล็ดลับอักเสบ แล้วก็บรรเทาอาการปวด ด้วยการใช้เหง้าขมิ้นใหม่ๆนำมาตำอย่างรอบคอบ แล้วเอามาพอกบริเวณที่มีอาการบวม จะช่วยทุเลาอาการปวดบวม บวมช้ำได้
ใช้รักษาอาการหวัด ด้วยการใช้หัว อบเชยเทศ และพริกหาง นำมาต้มแล้วเติมน้ำผึ้งใช้รับประทานเป็นยาแก้หวัด
ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เหง้า พริกไทยล่อน รวมทั้งเปลือกยางแดง นำมาผสมกันทำเป็นยาผง แล้วก็ค่อยนำไปละลายในน้ำยางใส ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วชี้ ใช้รับประทานเช้าแล้วก็เย็น
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดระดูของสตรี ด้วยการใช้เหง้าหนักประมาณ 12 กรัม, ขมิ้นชัน 10 กรัม, คำฝอย 6 กรัม, ฝางเสน 8 กรัม, เม็ดลูกท้อ 8 กรัม, หง่วงนอนโอ้ว 8 กรัม และโกฐเชียง 10 กรัม นำมาต้มกับน้ำหรือใช้ดองกับเหง้าเป็นยารับประทาน
เหง้าเอามาหุงกับน้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว แล้วเอามาใส่แผล จะช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังยังช่วยทุเลาอาการบวมช้ำบวมได้อีกด้วย
ใช้รักษาฝี ฝีหนองบวม ด้วยการใช้เหง้าสด, ต้นรวมทั้งเม็ดของเหงือกปลาแพทย์ อย่างละเท่ากัน นำมาตำรวมกันจนละเอียดแล้วก็ใช้พอกยามเช้าเย็น
แก้ฝีในมดลูกของสตรี ด้วยการใช้เหง้าโดยประมาณ 3 ท่อน, บอระเพ็ด 3 ท่อน, ลูกขี้กาแดง 1 ลูก (เอามาผ่าเป็น 4 ส่วน แล้วก็ใช้เพียงแค่ 3 ซีก) แล้วเอามาต้มรวมกับเหล้า ใช้รับประทานเป็นยาแก้ฝีในมดลูก
บำรุงผิว นำ กระชาก พริกไทย หัวหญ้าแห้วหมู มาทุบรวมกันแล้วดองด้วยน้ำผึ้ง กินก่อนนอนทุกคืน จะช่วยให้ผิวสวย
ส่วนอีกตำราหนึ่งกำหนดถึงขนาดการใช้ว่า รักษาโรคใช้ข้างใน ให้นำเหง้ามาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยา โดยใช้ทีละประมาณ 5-10 กรัม หากใช้เป็นยารักษาด้านนอก ให้นำมาบดเป็นผุยผงหรือทำเป็นยาเม็ดตามตำรายาที่ปรารถนา
[/b]
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย การเรียนฤทธิ์สำหรับในการต้านจุลชีพที่พบในช่องปากของ โดยการเปรียบเทียบกับสินค้าบ้วนปากในตลาด 5 จำพวก ทำการวิจัยในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดเอทานอล 70% ของเหง้า ทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Streptococcus mutans, Enterococcus faecalis, Staphylococcus aureus แล้วก็ Candida albicans โดยใช้สมการการถดถอยแบบเส้นตรง (linear regression method) สำหรับเพื่อการวัดการน้อยลงของเชื้อได้ 99.999% ข้างใน 60 วินาที ผลการทดลองพบว่า สารสกัดของ
ขมิ้นอ้อย มีคุณภาพสำหรับในการยั้งเชื้อได้เสมอกันกับสินค้า ในตลาด ดังเช่น สูตร CP+EO(cetylpyridinium chloride (0.5 mg/mL), chamomile, myrrh tinctures, oils of Salvia melaleuca แล้วก็ eucalyptus) แล้วก็สูตร EO (thymol (0.6 mg/mL), eucalyptol (0.92 mg/mL), menthol (0.42 mg/mL) และ methyl salicylate (0.6 mg/mL) มีการเรียนรู้ใช้น้ำมันหอมระเหยทดลองในหลอดทดลอง พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียมึงรมบวก โดยเฉพาะ Staphyloccus aureus ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการได้รับเชื้อในคนไข้ที่ติดเชื้อโรคเอชไอวี แล้วก็แกรมลบ แม้กระนั้นสำหรับเพื่อการทดสอบกับ S. aureus ใน agar plate พบว่าไม่มีฤทธิ์ เมื่อทดลองน้ำสุกกับ S. aureus โดยมีค่า MIC พอๆกับ 250 มิลลิกรัม/มล. พบว่าได้ผลสิ่งเดียวกัน เมื่อใช้สารสกัดคลอโรฟอร์มทดสอบกับแบคทีเรีย Staphylococcus, Streptococcus พบว่าไม่มีฤทธิ์ แล้วก็การนำสารสกัดเอทานอล (95%) ความเข้มข้น 100 มคก./แผ่น ทดลองกับ S. aureus ใน agar plate พบว่าไม่มีฤทธิ์ด้วยเหมือนกัน
ฤทธิ์แก้ปวดและก็ต้านทานการอักเสบ การเรียนรู้สารบริสุทธิ์ curcumenol ที่แยกได้จากสารสกัด dichloromethane จากเหง้าแห้งพบว่าออกฤทธิ์แรงในการลดอาการปวดในหนูถีบจักร ในหลายการทดสอบ ดังเช่นว่า Writhing Test , Formalin แล้วก็ Capsaicin โดยเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน diclofenac, aspirin และก็ dipyrone สำหรับในการทดสอบ Writhing Test ใช้กรดอะซิติเตียนกฉีดเข้าท้องของหนู เพื่อให้กำเนิดลักษณะของการเจ็บปวด ภายหลังให้สารทดสอบขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องแล้ว 30 นาที และนับปริมาณครั้งที่หนูเกิดการหดตัวของท้องและก็ตามด้วยการยืดกล้าม ภายในเวลา 20 นาที ข้างหลังฉีดกรดอะสิว่ากล่าวก ผลของการทดสอบพบว่าสาร curcumenol สามารถลดปริมาณการเกร็งของการเกิด writhingได้ดีมากยิ่งกว่าสารมาตรฐานทั้งยัง 3 ประเภท โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin และ dipyrone เท่ากับ 22, 38, 133รวมทั้ง 162 ไมโครโมล/กิโล เป็นลำดับ และก็การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดที่สัมพันธ์กับการอักเสบ (Inflammatory analgesia) โดยการฉีด formalin แล้วก็ capsaicin การทดลอง formalin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 3-15 mg/kg เข้าทางท้องหนู ต่อจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด formalin เข้าทางด้านใตนผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านซ้าย แล้วพิจารณาการกระทำการยกเท้าขึ้นเลียของหนู ใน 2 ตอนคือ first phase (0-5 นาที ภายหลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงลักษณะของการปวดแบบรุนแรง (acute pain) อีกตอนหนึ่งเป็น second phase (15-30 นาที ภายหลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงการอักเสบ (inflammation phase) พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการอักเสบระยะ second phase ได้ดีมากยิ่งกว่าสารมาตรฐานอีกทั้ง 3 จำพวก โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin รวมทั้ง dipyrone เท่ากับ 29, 34.5, 123 และ 264 ไมโครโมล/กก. เป็นลำดับ การทดสอบด้วย capsaicin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนู ต่อจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด capsaicin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังทางขวา แล้วพินิจความประพฤติปฏิบัติการชูเท้าขึ้นเลียของหนู ตรงเวลา 5 นาที พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการปวดรุนแรง ได้ดีมากว่ายามาตรฐาน diclofenac โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac รวมทั้ง dipyrone พอๆกับ 12, 47 รวมทั้ง 208 ไมโครโมล/กก. ตามลำดับ กลไกการออกฤทธิ์ลดปวด และก็ลดการอักเสบของสาร curcumenol นี้ไม่ได้ผ่าน opioid system เพราะว่าไม่ได้ผลการทดลองด้วยแนวทาง hot plate ศึกษาเล่าเรียนสาร sesquiterpenoides 2 ประเภท ที่สกัดได้จากเหง้า เมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ในหลอดทดลอง ในการยับยั้งแนวทางการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี COX-2 รวมทั้ง nitric oxide synthase (iNOS) (หากโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีทั้งยัง 2 ประเภทถูกกระตุ้น จะมีการสร้างสารที่เกี่ยวโยงกับการอักเสบได้แก่ พรอสตาแกลนดิน และไนตริกออกไซด์ เป็นลำดับ) โดยการทำการทดสอบกับเซลล์แมคโครฟาจ จำพวก raw 264.7 ของหนูถีบจักร ซึ่งถูกรั้งนำให้มีการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่า สารทั้ง 2 ประเภท เป็น beta-turmerone และ ar-turmerone มีฤทธิ์แรงสำหรับการยั้งแนวทางการทำงานของเอนไซม์ทั้งสองชนิดโดยยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีCOX-2ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 1.6 และก็ 5.2 microg/mL เป็นลำดับ แล้วก็ยับยั้ง iNOS โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.6 และ 3.2 microg/mLตามลำดับ
ฤทธิ์ลดอาการมึนเมา เรียนรู้ฤทธิ์ลดอาการเมาจากสารสกัดของโดยทดสอบป้อนสารสกัด
ขมิ้นอ้อย 5 ประเภทให้แก่หนูเม้าส์ผ่านทางหลอดสวนกระเพาะ เป็นต้นว่า สารสกัด 30% เอทานอล (ขนาด 500 และก็ 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน (n-hexane) (ขนาด 100 รวมทั้ง 300 มิลลิกรัม/กก.) ส่วนสกัดของที่ละลายใน เมทานอล (ขนาด 150 แล้วก็ 450 มก./กก.) ส่วนสกัดของที่ไม่ละลายในเมทานอล (ขนาด 250 และ 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) รวมทั้งสารสำคัญ curcumenone ที่สกัดแยกได้จากส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน โดยแนวทาง HPLC (ขนาด 3 10 รวมทั้ง 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ป้อนวันละ 2 ครั้ง นานต่อเนื่องกัน 7 วัน ในวันที่ 8 ของการทดลอง งดให้อาหารหนู 4 ชั่วโมงก่อนป้อนสารสกัดแล้ว 10 นาที กระทำป้อนแอลกอฮอล์ 40% ให้แก่หนูทุกตัว วัดค่าแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยชุดอุปกรณ์ Ethanol determination F-kit และก็วัดอาการเมาของหนูด้วยชุดอุปกรณ์ slip board machine ที่เวลา 15 30 60 120 180 รวมทั้ง 240 นาทีหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ผลการทดลองพบว่า สารสกัด 30% เอทานอลของขนาด 1000 มก./กิโลกรัม มีผลยั้งการเกิดอาการมึนเมาข้างหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ที่เวลา 60 แล้วก็ 120 นาที คิดเป็น 50 แล้วก็ 52.1% เป็นลำดับเมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับสารสกัด (กลุ่มควบคุม) ส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน ขนาด 300 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ส่งผลยับยั้งการเกิดอาการเมาข้างหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ที่เวลา 30 และก็ 60 นาที (35.7 แล้วก็ 45.6%) เมื่อเทียบกับหนูกรุ๊ปควบคุม แล้วก็สารสกัด curcumenone ทุกขนาด มีผลยับยั้งการเกิดอาการมึนเมาข้างหลังป้องแอลกอฮอล์ที่เวลา 30 60 แล้วก็ 120 นาที ยิ่งกว่านั้นยังพบว่า สารสกัด 30% เอทานอลของขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 60 นาทีหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% คิดเป็น 28.4% เมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม ส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน ขนาด 300 มก./กิโลกรัม ส่งผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 30 รวมทั้ง 60 นาทีข้างหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% (29.7 รวมทั้ง 31.0%) เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม รวมทั้งสารสกัด curcumenone ขนาด 3 10 รวมทั้ง 30 มิลลิกรัม/กก. ส่งผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 60 นาทีข้างหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% คิดเป็น 23.8 23.8 แล้วก็ 33.7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม แล้วก็การป้อนสารสกัด curcumenone ขนาด 10 แล้วก็ 30 มก./กิโลกรัม มีผลช่วยเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ADH (Alcoho dehydrogenase) ในตับหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% ที่เวลา 30 และก็ 60 นาที อีกด้วย ผลการค้นคว้าดังกล่าวทำให้เห็นว่า มีฤทธิ์ยับยั้งอาการเมาที่มีต้นเหตุที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ได้
ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนส่วนประกอบ รวมทั้งฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันระเหยง่าย ที่แยกได้จากเหง้าแห้งของ โดยใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ รวมทั้งสกัดด้วยตัวทำละลาย และทำการสกัดแบ่งแยกสกัดย่อยของน้ำมันระเหยง่าย โดยใช้แนวทาง silica gelฤทธิ์ต่อต้านการเกิดแผลเปื่อยยุ่ย มีการทดสอบฉีดสารสกัด (ไม่กำหนดประเภทสารสกัด) เข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ในขนาด 80 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวมาข้างต้นมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลเปื่อย
ฤทธิ์ทำให้สงบยับยั้ง สารสกัดเหง้าที่สกัดด้วย 80% เอทานอล โดยวิธีการหมัก นำมาทดสอบโดยการประเมินช่วงเวลาการนอนหลับ แล้วก็ความประพฤติปฏิบัติการเคลื่อนไหว (locomotor activity)ในหนูถีบจักรเพศผู้ พบว่าสารสกัดเหง้าขนาด 1 รวมทั้ง 2 กรัม/กิโลกรม ของน้ำหนักหนู โดยการป้อนทางปาก สามารถยืดระยะเวลาการนอนหลับของหนุถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้นอนหลับด้วยยา pentobarbital ขนาด 50 มก./กก. (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) นานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ยิ่งกว่านั้นยังพบว่า สารสกัดเหง้าขนาด 1 กรัม/กก. เมื่อป้อนทางปากสามารถลดความประพฤติปฏิบัติการเคลื่อนไหว ในหนูถีบจักรที่กระตุ้นด้วย methamphetamine ขนาด 3 มก./กิโลกรัม (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)
การศึกษาทางพิษวิทยาการทดลองความเป็นพิษมีการเล่าเรียนนำแป้งที่เตรียมจาก
ขมิ้นอ้อยซึ่งมีระดับของโปรตีนสูง ไปทดลองให้เป็นอาหารกับหนูขาวตรงเวลา 6 วัน โดยให้ในขนาด 320 กรัม/กิโลกรัม พบว่ามีผลทำให้หนูทดลองตายทั้งหมด นอกจากนี้การใช้เหง้าสดมาสับอย่างถี่ถ้วนแล้วทำให้แห้ง นำไปให้เป็นอาหารกับหนูขาว ผลการทดสอบพบว่า หนูทดลองทั้งปวงมีน้ำหนักตัวต่ำลงอย่างเร็ว และก็ 2/5 ของหนูทดลอง ตายด้านใน 4 วัน แม้กระนั้นเมื่อทดลองให้กับไก่ ขนาด 100 และ 200 กรัม/กิโลกรัม ตรงเวลา 20 วัน พบว่าไก่ทั้งสิ้นรอดชีวิต แต่ว่ามีน้ำหนัก ปริมาณการกินของกินและก็สมรรถนะการย่อยของอาหารต่ำลง มีการการทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล (คิดเป็น 1,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ ทดสอบฉีดสารสกัดเอทานอล (50%) ทางหลอดเลือดดำให้กับสุนัข โดยให้ในขนาดต่างๆกัน พบว่าไม่มีพิษต่อหัวดวงใจ และเมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ในขนาด 10 กรัม/กก. พบว่าไม่มีพิษเหมือนกัน นอกเหนือจากนี้การให้สารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้วทางกระเพาะหนูถีบจักรในขนาดเหมือนเดิม พบว่าไม่มีพิษ ตรวจสอบและลองใช้น้ำต้ม ฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักรรวมทั้งลิงที่กำลังตั้งครรภ์ พบว่าไม่เป็นผลเปลี่ยนแปลงโครโมโซม (clastogenic effect) แต่ว่าการให้สารสกัดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทางปากของผู้ใหญ่ทั้ง 2 เพศในขนาด 4.6 ก./คน พบว่าเป็นพิษต่อ neuromuscular มีการสำรวจพิษฉับพลัน โดยใช้สารสกัดเอทานอล (50%) กรอกเข้าทางปากหนูถีบจักรและก็การทดสอบฉีดสารสกัดนี้เข้าใต้ผิวหนัง พบว่าไม่มีพิษอีกทั้ง 2 แบบ ใช้สารสกัดด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสุก ความเข้มข้น 100 มิลลิลิตร/แผ่น ทดสอบด้วย lymphocytes ของผู้คน พบว่าสารสกัดด้วยน้ำเกลือมีผลเปลี่ยนแปลงการแบ่งตัวของเซลล์ ในตอนที่น้ำสุกไม่มีผลดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว และก็เมื่อนำสารสกัดอีกทั้ง 2 จำพวกมาทดสอบกับ lymphocytes ของหนูถีบจักร พบว่าได้ผลในทางตรงกันข้าม
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีการทดลองน้ำสุกกับ Salmonella typhimurium TA100 ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 40 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ 100 มก./มล. และก็ 50 มก./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อนำสารสกัดดังที่กล่าวถึงแล้วทดลองกับ Bacillus subtitis H-17 (Rec+), M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อลายชนิด สารสกัดเมทานอลทดลองด้วย Bacillus subtitis H-17 (Rec+) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และเมื่อทดลองกับ S. typhimurium TA100 และ TA98 โดยใช้ความเข้มข้น 50 มก./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน ทดสอบน้ำต้มกับ B. subtitis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธ