Advertisement
เรื่องท้าทายของการควบคุมน้้ำหนักคือ การรับประทานทานอาหารให้สัมพันธ์กับรูปแบบการทำงานของร่างกาย
เกื้อหนุนรายละเอียด
มีคำสุภาษิตของฝรั่งกล่าวเอาไว้ว่า “Timingis everything” ประโยคนี้ถ้าเกิดแปลเป็นไทยให้เข้าใจโดยง่ายจะแปลว่า “จังหวะคือทุกอย่างของชีวิต” ชีวิตมนุษย์ทุกคนราวกับถูกเบื้องบนกำหนดเอาไว้แล้วครับผมว่าจะมีจังหวะในการดำรงชีวิตเช่นไร หลายๆคนจำต้องตื่นตั้งแต่อรุณรุ่งเพื่อขับรถเข้ามาดำเนินงานกลางเมืองหลวง ผจญสภาพการณ์รถติดวันละหลายๆ ชั่วโมงทั้งยังขาไปแล้วก็เที่ยวกลับ และอีกหลายคนที่จังหวะชีวิตกลับตาลปัตรจากคนสามัญ ต้องทำงานช่วงเวลากลางคืน รวมทั้งเข้านอนกลางวัน สำหรับคนที่จำเป็นต้องควบคุมน้ำหนักก็เลยจะต้องปรับกลยุทธ์ควบคุมเรื่องของการรับประทานอาหารให้สอดคล้องกับจังหวะชีวิตรวมทั้งกิจกรรมการบริหารร่างกายของพวกเราเอง
เรื่องที่ท้ามากเรื่องหนึ่งของการควบคุมน้้ำหนักก็คือ การจัดกลยุทธ์กินทานอาหารให้มีจังหวะสัมพันธ์ที่ดีกับการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะการรับประทานอาหารก่อนบริหารร่างกาย ไม่อยากจะเม้าท์ว่าเรื่องนี้เกิดเรื่องใกล้ตัวของคนเขียนเลยนะครับ พี่คนหนึ่งในสถานที่ทำงานเธอเป็นสาวไซส์ XL กิจกรรมหลักข้างหลังเลิกงานของเธอก็คือการรับประทานไส้กรอกปิ้ง 5 ไม้ก่อนไปบริหารร่างกาย ผมเองก็เคยพูดถามเหตุผลครับผมว่า เพราะเหตุไรจำต้องกินไส้กรอกปิ้งปริมาณถึง 5 ไม้ก่อนบริหารร่างกายเธอตอบสั้นๆว่า ตอนเต้นซุมบ้าพี่ไม่ค่อยมีแรง ก็เลยจำเป็นต้องกินจัดเต็มก่อนบริหารร่างกาย สำหรับประเด็นนี้ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่นะครับว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องระหว่างการทานอาหารก่อนบริหารร่างกาย หรือควรปล่อยให้ท้องว่างก่อนบริหารร่างกายกันแน่ !!
สิ่งที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการก็คือ เราควรรับประทานอาหารก่อนบริหารร่างกายเพื่อมีพลังงานพอเพียงสำหรับเพื่อการบริหารร่างกาย แต่ก็ควรจะทิ้งระยะเวลาเพื่อให้กระเพาะอาหารย่อยของกินให้หมด ไม่ใช่ว่าทานอาหารเสร็จแล้วไปบริหารร่างกายทันทีนะครับ ร่างกายของเราไม่ควรมีอาหารที่กำลังถูกย่อยอย่างมากถ่วงอยู่ในกระเพาะอาหารและกังวลกับการดูดซึมพลังงานขณะออกกำลังกาย ควรปลดปล่อยให้ร่างกายได้ใส่ใจกับระบบการสูบฉีดเลือดเพื่อนำพลังงานส่งไปหล่อเลี้ยงกล้ามมัดต่างๆเพื่อเปลี่ยนออกสิเจนรวมทั้งเผาผลาญพลังงาน ตรงกันข้ามกระแสโลหิตก็สูบฉีดเพื่อไปรับเอาของเสียจากเซลล์ที่เกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายเพื่อถ่ายออกนอกร่างกาย
การทานอาหารในจำนวนที่มากเกินไปก่อนบริหารร่างกาย จะมีผลลบต่อความสามารถของการบริหารร่างกายของเราได้ เพราะเหตุว่าจะทำให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยเกิดอาการตะคริว รวมทั้งสุดท้ายเมื่อเราออกกำลังกายแบบ
ป่วยไข้ตัว อาจส่งผลให้เกิดอาการอิดหนาระอาใจ ในทางกลับกันถ้าเกิดปลดปล่อยให้ท้องว่างเกิน 6 ชั่วโมงแล้วมาออกกำลังกาย กลับทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนแอหมดแรงได้มากกว่า
แล้วจะกำเนิดอะไรขึ้น ถ้าหากพวกเราทานอาหารแล้วไปการออกกำลังกายในทันที !?! กระแสเลือดซึ่งแทนที่จะมีหน้าที่ขนส่งเพียงแค่ออกสิเจนแล้วก็พลังงานตรงไปที่กล้ามเนื้อ จำเป็นต้องมาห่วงรุมพัลวันอยู่กับระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหารและการดูดซึมพลังงาน ทำให้บางเวลากล้ามเนื้อบางครั้งอาจจะขาดออกซิเจนหรือพลังงานเฉียบพลัน นำไปสู่อาการหดเกร็งที่เรียกว่าตะคริวขึ้นได้ระหว่างการออกกำลังกาย พวกเราสามารถสรุปหนทางของการรับประทานอาหารก่อนจะมีการออกกำลังกายก็คือ
• ไม่ควรทานอาหารบางกรุ๊ปก่อนจะมีการออกกำลังกายในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีแป้งและก็น้ำตาลเข้มข้นสูงเป็นองค์ประกอบ ดังเช่นว่า ขนมหวานที่มีรสชาติหวานจัด ผลไม้เชื่อม หรือน้ำแข็งไสบิงซูที่กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากว่าจะทำให้ขณะบริหารร่างกายปริมาณอินซูลินในกระแสเลือดจะเพิ่มปริมาณสูงขึ้นเพื่อปรับให้จำนวนน้ำตาลในเลือดให้น้อยลง พวกเราทุกคนรู้ดีว่าถ้าจำนวนน้ำตาลในเลือดของเราถูกอินซูลินในร่างกายปรับให้สมดุลขณะบริหารร่างกายจะมีผลให้พวกเรารู้สึกหมดแรง ด้วยเหตุดังกล่าวควรหลบหลีกการกินอาหารกรุ๊ปที่มีน้ำตาลสูง อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนจะมีการออกกำลังกาย
• ไม่ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ระหว่างการออกกำลังกาย นอกจาก ในกรณีที่มีการบริหารร่างกายอย่างหนัก ใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องมากยิ่งกว่า 60 นาทีขึ้นไป ดังเช่นว่า การวิ่งมาราธอน หรือการขี่จักรยานทางไกล ฯลฯ ควรกินอาหารให้ได้รับพลังงานเพียงพอต่อการออกกำลังกาย เพราะเหตุว่าร่างกายจำต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องนานถึง 60-90 นาที
• กินน้ำสะอาดให้พอเพียงโดยก่อนบริหารร่างกายทุกครั้งให้กินน้ำราวๆ 250-300 มล. และจิบน้ำราว 1 แก้วทุกๆ20 นาที ขณะบริหารร่างกาย
แล้วระยะเวลาหลังรับประทานอาหารล่ะ ควรจะทิ้งให้มีระยะห่างเยอะแค่ไหนก่อนไปบริหารร่างกาย ?
สำหรับระยะเวลาขึ้นอยู่กับปริมาณและก็ประเภทของของกินที่พวกเรากินเข้าไปขอรับ หากพวกเรารับประทานอาหารมื้อใหญ่มากๆรวมทั้งย่อยค่อนข้างยาก ดังเช่นว่า การรับประทานมื้อปิ้งย่าง หรืออาหารบุฟเฟ่ต์มื้อหนัก ร่างกายจะต้องใช้เวลาสำหรับการย่อยมากยิ่งกว่า 5-6 ชั่วโมง สำหรับมื้ออาหารที่คนประเทศไทยรับประทานโดยธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น ข้าวราดแกง แล้วก็อาหารตามสั่งปกติ ควรจะทิ้งระยะเวลาให้ร่างกายได้ย่อยของกินนานราวๆ 2 ชั่วโมง แล้วก็สำหรับอาหารมื้อเล็กที่ย่อยไม่ยากนัก หรือของว่างที่มีพลังงานไม่ถึง 300 แคลอรี ยกตัวอย่างเช่น ผัก ผลไม้สด ร่างกายก็จะสามารย่อยได้ภายในช่วงเวลาราว 30 นาที เพื่อการออกกำลังกายที่มีคุณภาพจึงควรทิ้งระยะห่างให้ร่างกายย่อยอาหารจนเสร็จตามระยะเวลาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
การรับประทานอาหารก่อนบริหารร่างกายให้ยึดหลักการที่ว่า ยิ่งเข้าใกล้เวลาออกกำลังกายมากเท่าไร ให้ทานอาหารที่ให้พลังงานลดน้อยลงเท่านั้น แล้วก็ไม่ควรปลดปล่อยให้ร่างกายหิวโหยจนกระทั่งขาดพลังงานก่อนจะมีการออกกำลังกายครับผม
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
vtarapidTags : vtarapid,vtarapid.org,http://vtarapid.org
