กระทู้ล่าสุดของ: ณเดช2499

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
46  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เมื่อย ยังเป็นสมุนไพรเเก้พิษได้ดีอย่างยอดเยี่ยม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2018, 09:02:20 am
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรเมื่อ[/size][/b]
เมื่อย Gnetum montanum Markgraf
บางถิ่นเรียกว่า เมื่อยล้า (จังหวัดตราด) ม่วย (จังหวัดเชียงราย อุบลราชธานี) มะม่วย (จังหวัดเชียงใหม่) แฮนม่วย (เลย)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันและตามข้อจะบวมพอง ใบ ผู้เดียว เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานปนรูปไข่ มีขนาดต่างกันมากมาย แต่กว้างไม่เกิน 12 เซนติเมตร ยาวไม่เกิน 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบกลม มน หรือ แหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบแข็งครึ้ม หรือ ค่อนข้างจะครึ้ม เมื่อแห้งสีออกดำ เส้นใบโค้ง ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดแล้วก็ตามลำต้น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/color] ช่อดอกแตกกิ่งก้านสาขามา แยกเป็นช่อดอกเพศผู้แล้วก็เพศเมีย ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบศูนย์กลาง ช่อดอกเพศผู้ กว้างราว 0.4 เซนติเมตร ยาวราวๆ 3 เซนติเมตร แต่ละชั้นมีโดยประมาณ 20 ดอก ช่อดอกเพศเมีย แต่ละชั้นมี 5-7 ดอก ผล รูปรี กว้างโดยประมาณ 1 ซม. ยาว 1.5 ซม. เมื่อสุกสีแดง ก้านผลอ้วน ยาวราว 0.2 เซนติเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในระดับที่ถือว่าสูงจากน้ำทะเล 50-1,800 มัธยม พบในทุกภาคของประเทศ นอกจากภาคกลาง
สรรพคุณ : ราก น้ำต้มรากกินแก้พิษบางจำพวก รวมทั้งแก้ไข้ไข้มาลาเรีย

Tags : สมุนไพร
47  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หญ้าข้าวฟ่างนำมาเป็นสมุนไพรมีทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ ช่วยรักษาอาการโรคต่างๆได้อย่าง เมื่อ: มกราคม 27, 2018, 08:16:15 am

สมุนไพรข้าวฟ่า[/size][/b]
ข้าวฟ่าง Setaria italic (L.) P. Beauv.
บางถิ่นเรียก ข้าวฟ่าง (ภาคกึ่งกลาง) ฟ่างหางสุนัข (สุราษฎร์ธานี)
ไม้ล้มลุก ชนิดหญ้า อายุปีเดียว ลำต้นกลม ตั้งชันหรือทอดนอนน้อย ตอนโคนขึ้นเป็นกอ สูง 100-150 เซนติเมตร ใบ ออกเรียงสลับ แผ่นใบเรียวยาว ออกจะกว้าง กว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 35-50 ซม. ปลายแหลม โคนป้าน ขอบของใบจักละเอียด เนื้อในค่อนข้างจะหยาบคาย เส้นกึ่งกลางใบเด่นชัด กาบใบยาว 10-15 ซม. มีขนตามขอบ ลิ้นใบที่อยู่ระหว่างรอยต่อข้างในของกาบใบรวมทั้งแผ่นใบเป็นแผ่นสั้นๆรวมทั้งปลายเป็นขน [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ[/b] ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด มีขนาดใหญ่ รูปข้างนอกทรงกระบอก กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 20-30 เซนติเมตร ช่อดอกย่อยเกิดบนกิ่งก้านสาขาช่อสั้นๆรอบศูนย์กลางช่อดอก ช่อดอกย่อยออกจะกลม ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร สีเหลือง กาบที่รองรับช่อดอกย่อย 2 อันยาวแตกต่างกัน อันข้างล่างยาว 1/2 อันบนยาว 3/4 ของความยาวช่อดอกย่อย ช่อดอกย่อยมีดอกย่อย 2 ดอก ดอกด้านล่างเป็นดอกไม่มีเพศหรือดอกเพศผู้ ดอกบนเป็นดอกสมบูรณ์เพศ อยู่ข้างในกาบ 2 อัน กาบข้างล่าง (lemma) รูปคล้ายเรือ สีเหลืองฟาง เนื้อบาง กาบบน (palea) บางมากกว่า เกสรเพศผู้มี 3 อัน อับเรณูสีเหลือง เกสรเพศเมียปลายแยกเป็น 2 แฉก สีขาว ผล ขนาดเล็ก ค่อนข้างจะกลม ยาวโดยประมาณ 1 มิลลิเมตร อยู่ภายในกาบทั้งสอง โดยที่ถัดมากาบล่างมีสีน้ำตาลอมแดงและกำเนิดรอยหยักตามทางขวาง ส่วนกาบบนมีสีเหลือง

นิเวศน์วิทย
: ปลูกเพื่อใช้เม็ดเป็นของกินคนและนก ต้นเป็นหญ้าอาหารสัตว์
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำต้มเป็นยาระบาย ขับฉี่ เมล็ด เป็นของกินของคนและสัตว์ สามารถเอามาทำเป็นข้าวมอลต์ก้าวหน้า ใช้ทางยาเป็นยาเย็น ขับฉี่ ยาฝาดสมานสำหรับแก้ท้องเดิน น้ำต้มเมล็ดทุกรับประทานเป็นยาลดไข้ ตำพอกแก้ปวด rheumatism รวมทั้งระงับลักษณะของการปวดระหว่างการคลอดบุตร
48  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรก้านเหลืองมีประโยชน์เเละสรรพคุณอย่างไรบ้าง เมื่อ: มกราคม 24, 2018, 08:16:46 am

สมุนไพรก้านเหลือ[/size][/b]
ไม้พุ่ม หรือ ต้นไม้ สูง 2-7 ม. อาจจะสูงได้ถึง 15 มัธยม เปลือกเรียบ สีเทาหรือสีน้ำตาล กิ่งไม้เล็กเรียว มีขนตามปลายกิ่ง ใบ โดดเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบลำต้น รูปขอขนานรูปรี หรือ รูปไข่กลับปนรูปรี กว้าง 3-8 ซม. ยาว 10-16 ซม. ปลายใบเป็นติ่งมน โคนใบสอบแคบหรือกลม เส้นใบมี 4-6 คู่ ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร สีเหลือง มีรอยย่น ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆตามง่ามใบยาว 0.3-1.5 เซนติเมตร มีดอกช่อละ 1-1.5 ซม. สีเหลือง มีรอยย่น ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆตามง่ามใบยาว 0.3-1.5 ซม. มีดอกช่อละ 1-3 ดอก มีขนประปรายราบกับผิว [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ขนาดเล็ก กลีบสีขาวอมเขียว เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เกสรเพศผู้มี 5 อัน เชื่อมชิดกับหลอดกลีบดอกไม้ เกสรเพศเมียเป็นหมัน มีขน ดอกเพศภรรยา มีกลีบเลี้ยงแล้วก็กลีบคล้ายดอกเพศผู้ แต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 5 อัน รังไข่รูปไข่ มีขน ผล รูปขอบขนานปนรูปรี กว้าง 2-2.7 ซม. ยาว 3-4 ซม. สีเขียวสุกมีสีม่วงอมน้ำเงิน หรือ ออกจะดำ มี 1 เม็ด
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/7811592_orig.jpg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดงดิบ หรือป่าผลัดใบเปียกชื้น ที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 900 ม. พบทางภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคทิศตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งภาคใต้ของไทย
สรรพคุณ : ใบ น้ำต้มกินแก้เหน็บชา
49  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเเมงกะเเซงช่วยคุณได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อ: มกราคม 19, 2018, 07:38:32 pm
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%87.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรแมงกะแซ[/size][/b]
แมงกะแซง Ociumum americanum L.
บางถิ่นเรียก แมงกะแซง (ประจวบคีรีขันธ์)
    ไม้ล้มลุก สูง 30-100 ซม. แตกกิ่งก้านสาขา มีกลิ่นหอมสดชื่นแรงเหมือนการบูร ลำต้นแล้วก็กิ่งมีสันตามยา ปกคลุมด้วยขนสั้นๆหรือขนเกลี้ยง ใบ โดดเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปใบหอกถึงรูปรี กว้าง 0.9-2.5 ซม. ยาว 2.5-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ หรือหยักมนห่างๆผิวใบมีต่อมเป็นจุดๆทั้งข้างบนและก็ด้านล่าง ไม่มีขน ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจะที่ยอดแล้วก็ที่ปลายกิ่ง เป็นช่อโดดเดี่ยวหรือแตกกิ่ง ยาว 7-15 ซม. ริ้วเสริมแต่งรูปใบหอกปนรี ยาว 2-3(-5) มิลลิเมตร ปลายแหลม มีขน ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยงสีเขียว เชื่อมกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2-2.5 มิลลิเมตร (เมื่อเป็นผลยาว 3-4.5 มม.) ปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนแบนกว้างและใหญ่ (เมื่อเป็นผลจะโค้งกลับ) ขอบมีขน ปากข้างล่างมีแฉกแหลม 4 แฉก รูปลิ่มกลับแกมรูปใบหอก มีต่อมเป็นตุ่มกลมมีก้านชู [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
พบอีกทั้งด้านในและภายนอก ข้างในปกคลุมด้วยขนยาวและนุ่ม ด้านนอกมีขนสีขาว กลีบดอกไม้สีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 4-6 มิลลิเมตร เกลี้ยง หรือมีขนสั้นๆปลายหลอดแยกเป็นปาก ปากบนตัด มีหยัก 4 หยัก ขนาดเกือบเท่ากัน ปากข้างล่างยาว ขอบเรียบโค้งลง เกสรเพศผู้ 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ ก้านเกสรเล็ก ยาวพ้นปากหลอด เกสรคู่บนมีติ่งใกล้โคนก้านเกสร เกสรเพศเมียมี 1 อัน ก้านเกสรสีชมพู ผล ขนาดเล็ก รูปรีแคบ ยาว 1.2 มิลลิเมตร สีดำ มีจุดใสๆเมื่อนำไปแช่น้ำจะมีวุ้นห่อหุ้มรอบเมล็ด

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นดังที่รกร้าง พบที่ จังหวัดประจวบฯ
สรรพคุณ : อีกทั้งต้น ราษฎรประยุกต์ใช้เพื่อไล่ยุงรวมทั้งแมลง
50  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สะระเเหน่ญี่ปุ่น มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์สำคัญเป็นอย่างไร เมื่อ: มกราคม 18, 2018, 09:50:05 am

สมุนไพรสะระแหน่ประเทศญี่ปุ่[/size][/b]
สะระแหน่ประเทศญี่ปุ่น Mentha arvensis L. var. piperascens Malinv.
บางถิ่นเรียกว่า สะระแหน่ประเทศญี่ปุ่น ต้นน้ำมันหม่อง ไม่ญี่ปุ่น (จังหวัดกรุงเทพ)
  ไม้ล้มลุก อายุนับเป็นเวลาหลายปี ต้นสูง 20-40 เซนติเมตร มีขนกระจาย ใบ เดี่ยว ออกตรงข้ามรูปไข่ รูปไข่ออกจะแคบ หรือ รูปขอบขนาน กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 2-5 ซม. ปลายโคนสอบ ขอบจักเป็นฟันเลื่อย มีต่อมเป็นจุดๆและมีขนด้านบนรวมทั้งด้านล่าง ก้านใบยาว 3-10 มิลลิเมตร ดอก ออกเป็นช่อกลุ่มตามง่ามใบ ก้านช่อดอกสั้น ก้านดอกย่อยสั้นกว่ากลีบเลี้ยง สะอาด  [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
หรือมีขนกลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2.5-3 มม. ปลายแยกเป็นแฉกแหลม 5 แฉก มักจะมีขนยาวที่คอหลอด ที่แฉกมีขนสามเหลี่ยมแคบๆปลายเรียวแหลม กลีบดอกสีขาว หรือชมพูอ่อน เชื่อมติดกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 4-5 มิลลิเมตร ปลายหลอดแยกเป็น 4 แฉกเท่าๆกัน เกสรเพศผู้มี 4 อัน ก้านเกสรตรง ยาวเท่าๆกัน อับเรณูเป็น 2 พู เรียงขนานกัน ผล ขนาดเล็ก รูปรีแบนน้อย ยาว 0.7 มิลลิเมตร ฐานสอบป้านๆและก็เป็นสามเหลี่ยม
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/mentha-arvensis-le-mlovit-c.jpg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: สามารถปลูกได้ในดูเหมือนจะทุกภาคของประเทศ ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบน้ำมากแม้กระนั้นไม่แฉะ ชอบแสงมากมาย อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 25๐-30­๐ C
คุณประโยชน์ : ใบ กินได้ใช้แต่งรสของกิน ได้แก่ ใส่ยำต่างๆใบแห้งเป็นยาฆ่าเชื้อโรคพอกแก้ปวดข้อ รับประทานเป็นยาเย็น ขับลม บำรุงธาตุ ขับประจำเดือน ขับเหงื่อ ขับฉี่ และก็บำรุงปลายประสาท สกัดให้น้ำมันไม่นต์มี menthol 80-90% ต้น ขยี้ทาขมับ แก้ปวดหัว ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม รับประทานแก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ
51  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรไทย อบเชย มีทั้งสรรพคุณ เเละประโยชน์เป็นอย่างมาก เมื่อ: มกราคม 17, 2018, 02:18:17 pm

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรอบเชยจี
อบเชยจีน Cinnamomum cassia Presl
บางถิ่นเรียกว่า อบเชยจีน (ภาคกลาง) แกง (จังหวัดเชียงใหม่)
ต้นไม้ ขนาดกลางถึงขั้นใหญ่ สูงได้ถึง 40 มัธยม เปลือกสีน้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ใบ ลำพัง ออกตรงกันข้าม หรือเยื้องกัน รูปขอบขนานแกมรูปไข่หรือรูปใบหอก กว้าง 2.5-6 เซนติเมตร ยาว 12-25 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆโคนใบแหลม ขอบของใบเรียบ เนื้อใบดก มีเส้นใบ 3 เส้นยาวออกมาจากโคนใบถึงปลายใบ ข้างบนเป็นเงา เส้นใบนูนบางส่วน ไม่เป็นร่อง ด้านล่างเส้นใบนูน มีขนนิดหน่อย เส้นใบย่อยเป็นขั้นบันไดพอมองเห็นแม้กระนั้นไม่แจ้งชัด ก้านใบยาว 1.2-2 เซนติเมตร ด้านบนเป็นร่อง ดอก สีขาว หรือ ขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และก็ที่ปลายกิ่ง ยาว 8-16 เซนติเมตร ก้านช่อยาว 4-8 เซนติเมตร มีขนสีเหลือง ก้านดอกย่อยยาว 3-6 มม. มีขนสีน้ำตาลอมเหลือง ดอกยาวราว 4.5 มม. มีกลีบรวม 6 กลีบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กว้าง 1.5 มม. ยาว 2.5 มม. ปลายกลีบมน มีติ่งแหลม มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองปกคลุมหนาแน่น 2 ด้าน เกสรเพศผู้ที่บริบูรณ์มี 9 อัน เรียงเป็นวง 3 วงๆละ 3 อัน วงที่ 1 รวมทั้งวงที่ 2 อับเรณูรูปไข่มี 4 ช่อง หันเข้าข้างใน ก้านเกสรมีขนนุ่ม วงที่ 3 อับเรณูหันออก ที่โคนก้านเกสรมีต่อมรูปไต 2 ต่อม เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน ปลายอับเรณูฝ่อเป็นรูปหัวลูกศร รังไข่รูปกลมปนรูปไข่ ยาวราว 1.7 มิลลิเมตร หมดจด ก้านเกสรเพศเมียเรียวเล็กเหมือนเส้นด้าย ปลายเกสรเล็ก ผล รูปรี ยาว 10-13 มม. แก่สีม่วงดำ ผิวเนียน

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นได้ทั่วๆไปในป่าดงดิบ
คุณประโยชน์ : สมุนไพร[/b] ต้น มีสรรพคุณคล้ายกับต้นการบูร เปลือกต้นเป็นยาบำรุงแก้ตัวและเท้าเย็น แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย ช่วยในการย่อย ขับลม เพิ่มเลือดรวมทั้งแก้ปวดศีรษะ สตรีท้องไม่สมควรใช้ เข้าเครื่องยา เป็นยาขับประจำเดือนรวมทั้งขับเหงื่อ
52  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเทียนดอกที่มีประโยชน์เเละสรรพคุณสำคัญที่สุด เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 06:07:36 pm

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b]เทียนดชื่อพื้นเมืองอื่น  เทียนดอก , เทียนไทย , เทียนบ้าน , เทียนสวน (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Impatiens balsamina L.
ชื่อตระกูล  BALSAMINACEAE
ชื่อสามัญ Garden balsam.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก (ExH) ลำต้นจะอวบน้ำรวมทั้งมีขนน้อย สูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร ลำต้นเอียงไม่ตั้งตรง เปราะง่าย
ใบ เป็นใบผู้เดียว แตกออกตามก้านของลำต้น ลักษณะใบมนรีหรือรูปเรียวรี ปลายใบแหลมเรียว ขอบของใบเป็นจะละเอียด โคนใบจะมนสอบเข้าหาก้านใบ ผิวเนื้อใบสาก หยาบคาย เห็นเส้นแขนงใบได้ชัด สีของใบ จะเริ่มจากสีเขียวอ่อนไปจนถึงสีเขียวรวมทั้งสีเขียวเข้ม
ดอก เป็นดอกลำพัง จะออกติดกันช่อหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมี 2-3 ดอก ดอกมีหลายสี อาทิเช่น สีชมพู สีแดง สีส้มรวมทั้งสีขาว ออกดอกตรงส่วนยอดของลำต้น กลีบดอกจะอยู่ซ้อนๆกันเป็นวงกลมผล ผลรูปรี ปลายแหลมยาว มีสีเขียว ผลเมื่อแก่เต็มกำลังก็จะแตกหรือดีดตัวออกเป็นเมล็ดเม็ด ลักษณะกลมเล็ก คล้ายเมล็ดดอกบานเย็น
นิเวศวิทยา
เป็นไม้ที่ถูกใจอยู่ในที่ร่มรำไร เกลียดแดดจ้าแต่จำเป็นต้องอยู่ในที่มีแสงสว่างเพียงพอ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือนหรือตามสวนยาจีนปกติ

การปลูกและขยายพันธุ์
เป็นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก เจริญวัยได้ดีในดินที่ร่วนซุย ขยายาพันธ์ุด้วยการเพาะเมล็ด หรือตัดปักชำหรือตัดไปแช่น้ำให้รากออกแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปปลูกลงดิน
ส่วนที่ใช้รสรวมทั้งสรรพคคุณ
ราก รสเฝื่อนเมา ฟอกโลหิต ลดบวม แก้ปวดกระดูก แก้บอบช้ำบวม แก้ตกขาว แก้แท้งลูก
ลำต้น รสขื่น ขับลม ทำให้เส้นเอ็นคลายตัว ทำให้เลือดเดินสะดวก แก้ปวด แก้เหน็บชา แก้แผลเน่าเปื่อย
ใบ รสฝาด สลายลม ฟอกเลือด แก้บวม แก้ปวดตามข้อ แก้แผลมีหนองเรื้อรัง
สมุนไพร ดอก รสฝาด สลายลม ฟอกโลหิต ลดบวม แก้ปวดข้อปวดเอว  เป็นยาเย็นบำรุงร่างกาย ทาแผลน้ำร้อนลวก แผลผุพอง
ดอกและใบ รสฝาดเย็น พอกกันเล็บถอด
เม็ด รสขม กระจายเลือด ขับเสลดข้นๆขับระดู แก้พิษงู แก้แผลติดโรคอักเสบเรื้อรัง แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้บวม แก้ตับแข็ง
การใช้รวมทั้งปริมาณที่ใช้

  • รักษาโรคผิวหนัง แก้อาการปวดตามนิ้วมือ นิ้วเท้า เล็บขบ โดยใช้ใบสดและดอกสีขาว 10-20 กรัม นำมาโขลกให้ละเอีียดทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลทา 5-7 วัน
ข้อควรรู้
สีจากน้ำคั้นจะติดอยู่นาน ควรต้องระวังการเปรอะเสื้อผ้าแล้วก็ร่างกายส่วนอื่นๆ
53  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรกะทือ ที่เรารู้จักทั้งสรรพคุณเเละประโยชน์เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เมื่อ: มกราคม 03, 2018, 03:17:27 pm

สมุนไพรกะทื[/size][/b]
ชื่อท้องถิ่นอื่น กะทือป่า กะแวน กะแอน แฮวดำ (ภาคเหนือ) เฮียวข่า (งู-แม่ฮ่องสอน) เปลพ้อ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เฮียวแดง เฮียวดำ (แม่ฮ่องสอน) กะทือ (ภาคกึ่งกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Zingiber zerumbet. (L.) Sm.
ชื่อพ้อง Amomum Zerumbet L. Zingiber amaricans Blume
ชื่อวงศ์   ZINGIBERACEAE
ชื่อสามัญ Wild Ginger.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก (H) ที่มีลำต้นใต้ดินลักษณะเป็นเหง้า มีกลิ่นน้ำมันระเหย เนื้อในเหง้าหรือลำต้นใต้ดินมีสีขาวอมเหลืองอ่อน มีกลิ่นฉุน เปลือกนอกสีน้ำตาลแกมเหลือง แทงหน่อออกข้างๆรวมทั้งนอกสุด ลำต้นส่วนของกาบใบที่แผ่ขยายออกแล้วห่อซ้อนทับกันจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นลำต้นเทียมมีสีเขียว สูงราว 2 เมตร
ใบ เป็นใบลำพัง ออกเรียงสลับ ลักษณะใบรูปขอบขนาน หรือรูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนแล้วก็สอบเรียวเข้าหาก้านใบ ขอบของใบเป็นคลื่น แผ่นใบสีเขียวเข้ม ท้องใบหรือใต้ใบมีขนสีขาวท้องนาลปกคลุมก้านใบสั้น
ดอก มีดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงสด แตกช่อจากหัวใต้ดินดโผล่พ้นดินขึ้นมา ช่อดอกที่เห็นเป็นรูปทรงกระบอกสีเขียวผสมแดง ปลายแล้วก็วัวนมนโค้ง มีใบตกแต่งที่เรียงซ้อนกันแน่น เมื่อดอกยังอ่อนจะปิดแน่น รวมทั้งจะขยายอ้าออกให้มองเห็น ดอกที่อยู่ภายในลักษณะเป็นหลอดโผล่ออกมาจากซอกใบประดับ กลีบดอกมีสีเหลืองอ่อนหรือสีขาวนวล โคนกลีบดอกม้วนห่อส่วนปลายกลีบผายกว้างผล ลักษณะกลม โต แข็ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. มีสีแดง เป็นแบบผลแห้งแตก

นิเวศวิทยา
พบขึ้นเป็นกอๆตามป่าดงดิบทั่วไป ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 100-1,000 เมตร
การปลูกรวมทั้งขยายพันธุ์
เติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย ไม่ชอบน้ำนอง สามารถปลูกได้ทุกฤดู ปลูกโดยการตัดใบออกให้เหลือประมาณ 15 ซม. เพาะพันธุ์ด้วยการแยกหน่อหรือเหง้า
ส่วนที่ใช้รสรวมทั้งสรรพคุณ
ราก รสชื่นขมน้อย แก้ไข้ แก้ไข้ตัวเย็น แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้ต่างๆแก้เคล็ดลับปวดเมื่อย
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/b] เหง้าหรือลำต้นใต้ดิน  รสชื่นขมปร่า แก้แน่นหน้าอก แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงนมให้บริบูรณ์ เป็นยาขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องอืด บำรุงธาตุ ขับฉี่ แก้เสลดเป็นพิษ แก้บิด ขับน้ำย่อย เจริญอาหาร แก้บิดปวดเบ่ง เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ฝี ผสมในตำรับยาร่วมกัสมุนไพร[/url]ตัวอื่น แก้ไข้ตัวเย็น แก้กษัย แก้ท้องอืด แก้โรคลม เป็นยาระบาย แก้เยี่ยวขุ่นขัน แก้บิด บำรุงธาตุลำต้น รสชื่นขม เป็นยาแก้เบื่่ออาหาร ทำให้เจริญอาหาร แก้ไข้
ใบ รสชื่นขมนิดหน่อย ใช้ใบต้มเอาน้ำเป็นยาขับเลือดเน่าในมดลูก (เลือดเน่าร้ายในเรือนไฟ) ขับน้ำคร่ำ ใช้ผสมในตำหรับยาร่วม กับสมุนไพรอื่น เป็นยาแก้ไข้ป่า อีสุกอีใส เป็นยาประคบเส้นบวมช้ำ ถอนพิษไข้ แก้ไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้อีดำอีแดง แก้ฝึก ไข้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้เปลี่ยนแปลงฤดู แก้ไข้เชื่องซึมผิดสำแดง
ดอกรวมทั้งเกสร รสชื่นขมเล็กน้อย แก้ไข้เรื้อรัง แก้ผอมบาง แก้ไข้ตัวเย็น แก้ไข้จับสั่น แก้ผอมเหลือง บำรุงธาตุ แก้ลม
วิธีการใช้และก็ปริมาณที่ใช้

  • ขับเลือดเน่าในมดลูก ขับน้ำคาวปลา โดยใช้ใบสด 1 กำมือ หรือประมาณ 20 กรัม ต้มในน้ำสะอาด 1 ลิตร เคี่ยวให้เหลือครึ่งเดียว กรองเอาน้ำวันละ 3 เวลา ก่อนรับประทานอาหาร 2. รักษาอาการท้องอืด ท้องอืด แน่นจุกเสียดและเจ็บท้อง โดยใช้ลำต้นจิตใจต้ดินหรือเหง้าแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ 2 หัวหรือหนักโดยประมาณ 20 กรัม ย่างไฟเพียงพอสุกตำกับน้ำปูนใสคั้นเอาน้ำดื่มเวลามีอาการ
54  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัตววัตถุ มดเเดง เมื่อ: ธันวาคม 23, 2017, 01:21:46 pm
[b]สมุนไพร[/b][/u][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87.jpg" alt="" border="0" />
มดแด[/b]
มดแดงเป็นมด มีสีแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius)
จัดอยู่ในตระกูล Formicidae
ชีววิทยาของมด
มดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญเป็น  บริเวณส่วนท้องคอดกิ่วในช่วงเวลาที่ตืดกับอกทางข้างหลังของส่วนท้องข้อที่ ๑  หรือในมดบางชนิดศูนย์รวมไปถึงข้อที่  มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงมากขึ้น โหนกนี้อาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกรุ๊ปแมลงที่ดูคล้ายคลึงกัน  อย่างเช่น  พวกต่อรวมทั้งแตน หรือไม่เหมือนกันกับปลวกที่คนทั่วไปมักงงกัน โดยมองเห็นมดกับปลวกเหมือนกันไปหมด เว้นเสียแต่ไม่เสมือนมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย แบบนี้เพราะปล้องแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก
มดอยู่รวมกันเป็นกรุ๊ปเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยการทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีจำพวกใดอยู่โดดเดี่ยว ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ แล้วก็เพศแตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง ตัวผู้เป็นบิดารัง และมดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง รวมทั้งเฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะแตกต่างออกไปอีก
เช่น มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็บางทีอาจปฏิบัติภารกิจทำรังและก็เลี้ยงรัง พวกนี้มีร่างกายขนาดปรกติ หัว อก แล้วก็ท้องได้สัดส่วนกัน แต่ว่าในเวลาเดียวกันอาจเจอมดงานซึ่งปฏิบัติภารกิจเฝ้ารัง มดเหล่านี้เว้นเสียแต่ตัวใหญ่กว่ามดงานปกติอย่างมากแล้ว ยังมีหัวโต ฟันกรามใหญ่ มิได้สัดส่วนกับลำตัวดัวย
ในกลุ่มมดตัวผู้รวมทั้งมดตังเมียซึ่งเป็นพ่อรังแล้วก็แม่รังนั้น อาจเจอได้ทั้งหมดที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดใกล้เคียงกับมดงานก็มี อย่างไรก็แล้วแต่มดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าตัวผู้รวมทั้งมดงาน บางทีอาจพิจารณามดตัวผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังรวมทั้งมดงานลูกรัง ซึ่งพวกข้างหลังนี้มักมีตาเล็ก กระทั่งบางโอกาสแทบไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดพ่อรังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น ลักษณะของปีกแตกต่างจากพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างเห็นได้ชัด พูดอีกนัยหนึ่ง ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่ข้างหลังมาก รูปร่างของปีกคู่หน้ารวมทั้งปีกคู่ข้างหลังก็แตกต่าง และก็ที่สำคัญคือมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่หลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน รวมทั้งรูปร่างของปีกก็คล้ายคลึงกัน เส้นปีกมีมากกว่าเส้นปีกของมดมาก เห็นเป็นลวดลายเต็มไปตลอดปี

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ในปัจจุบันมีการราวกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐จำพวก ชาวไทยต่างเคยชินกับมดเป็นอย่างดี เนื่องจากว่ามีมดหลากหลายประเภทอาศัยตามบ้านเรือน หรือในบริเวณใกล้เคียงกัยบ้านเรือน การเรียกชื่อมดของชาวไทยอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก “มด” นำหน้า ยกตัวอย่างเช่น มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) ด้วยเหตุว่ามีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งฟั่นเฟือนไปเป็นมด เป็นต้น มดบางชนิดเราเรียกชื่อตามอาการอันเป็นผลมาจากถูกมดนั้นกัด เป็นต้นว่า มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะทำให้รู้สึกคันในบริเวณแผลที่กัด  หรือผูกคันไฟ  (Solenopsis  geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด เว้นแต่มีลักษณะอาการคันแล้ว ยังมีอาการแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวก
บางชนิดก็เรียกตามกิริยาอาการที่มดแสดงออก ดังเช่นว่า มดรีบร้อน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ชอบวิ่งเร็วและวิ่งพล่านไป เปรียบเหมือนวิ่งดัวยความตกใจ  มดจำพวกนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน  ที่สติไม่ดีเป็นมดตาลานก็มี หรือมดตูดงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักชูท้องอืดท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น  ทำให้มองเหมือนตูดงอล  เป็นต้น
มดบางชนิดเป็นมดที่ประชากรตามเขตแดนใช้บริโภค  ก็เลยเรียกไปตามรสชาติดังเช่น  ทางภาคเหนือ  อันเป็นต้นว่า  ชาวจังหวัดแพร่  น่าน  จังหวัดลำพูน  จังหวัดเชียงราย  จังหวัดเชียงใหม่  เป็นต้น  นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม  ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน  ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเนื่องจากมีรสชาติมันแล้วก็อร่อย  จึงเรียกชื่อตามรสนั้น อย่างไรก็แล้วแต่  มีมดบางจำพวกที่ราษฎรมิได้รัชูชื่อโดยใข้คำ “มด” นำหน้าอาทิเช่น เศษไม้ดิน (Doeylusorientalis  Westwood) ซึ่งเป็นมดที่ทำลายกัดรับประทานฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน
มดก็เหมือนกับแมลงชนิดอื่นที่อาจมีการรัชูชื่อบ้าไปตามท้องภิ่นได้แก่  แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนชนบทในแคว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  อันเป็นต้นว่า  ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ จังหวัดนครพนม ร้อยเอ็ด จังหวัดอุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในระหว่างที่คนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง  ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้  เช่น  ชุมพร  สุราษฎร์ธานี  สงขา  นครศรีธรรมราช  ภูเก็ต  เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา
มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังแล้วก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังและสืบพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว  มดตัวผู้มักตาย  มดตัวเมียซึ่งตระเตรียมสร้างรังใหม่ก็จะหาที่พักอิงอันมิดชิด  แล้วสลัดปีกทิ้ง  รอจวบจนกระทั่งไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนตราบจนกระทั่งเข้าดักแด้  รวมทั้งอกกมาเป็นตัวโตสุดกำลังแปลงเป็นมดงานที่เลี้ยงดูแม่ต่อไป  เมื่อมดงานปฏิบัติหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว  แม่รังก็ทำ
หน้าที่ตกไข่เพียงอย่างเดียว  การควบคุมวรรณะของรังอาจกระทำโดยการวางไข่ที่ไม่เหมือนกัน  เป็นต้นว่า  ขนาดแตกต่างกัน  ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังและมดงาน  ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดเพศผู้หรือมดบิดารัง  รูปแบบของวงจรชีวิตอย่างงี้ไม่เหมือนกับปลวก  เพราะเหตุว่าปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า  ซึ่งประกอบดัสยพ่อแล้วก็แม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้  พ่อรังมักมีชืวิตอยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งจัดเตรียมวางไข่  เมื่อไข่ฟักเป็นตัว  ก็จะเป็นปลวกงานที่สามารถดำเนินการอุปการะบิดามารดาได้โดยไม่ต้องคอยให้โตเต็มที่ซะก่อน
นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน  บางพวกสร้างรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง  อย่างเช่นมดแดง  หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายสร้างรังใกล้กับไม้ที่อาศัย  เช่นมดลี่หรือมดตูดงอล  บางพวกทำรังในดินมีลักษณะเป็นช่องซับซ้อนคล้ายรังปวก  เช่นมดมันหรือแมลงมัน  รังของมดจึงมัลักษณะของวัสดุที่สร้าง  ส่วนประกอบ  แล้วก็รูปร่างแตกต่างกันไปล้นหลามให้มองเห็นได้เสมอ
ชีวิวิทยาของมดแดง
เมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  เมื่อไข่แก่ก็จะวางไข่  ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น  จะถูกวางเป็นกระจุกชิดกับใบไม้ข้างในรัง   ไข่ที่ได้รับการผสมจะเจริญรุ่งเรืองไปเป็นมดงานแล้วก็มดแม่รังส่วนไข่ที่ไม่ได้รับผสมจะเจริญก้าวหน้าไปเป็นมดเพศผู้  เมื่อไข่เจริญก้าวหน้าขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในตอนนี้อาจรับประทานอาหารรวมทั้งขยับตัวได้นิดหน่อย  หลังจากนั้นก็แปลงเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยทุกสิ่งทุกอย่าง ขารวมทั้งปีกเป็นอิสระจากลำตัว  และก็หยุดกินอาหาร  และก็จะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย  และที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มกลายเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัย๓ วรรณะอาทิเช่น
๑. มดแม่รัง มีความยาว  ๑๕-๑๘ มิลลิเมตร  สีเขียวใสจนถึงสีน้ำตาลแดงหัวและก็อกสีน้ำตาลเหมือนมดงาน  แต่หัวกว้างว่า  ส่วนนอกสั้น  อกบ้องแรกตรงอกบ้องที่ ๓ ทู่ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง  ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน  ส่วนท้องเป็นรูปไข่  เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว  ปฏิบัติภารกิจเพาะพันธุ์  รังหนึ่งบางทีอาจเจอมดแม่รังหลายตัว  แม้กระนั้นจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะสืบพันธุ์ได้
๒. มดเพศผู้  มีความยาว ๖-๗ มม.  ลำตัวสีดำ  หัวเล็ก  ฟันกรามแคบตาพอง  หนวดเป็นแบบเส้นด้าย  มี ๑๓ บ้อง  ฐานหนวดยาว  ปลายเส้นหนวดค่อยๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก  อกปล้องที่ ๓ ใหญ่  ข้อต่อหนวดยาว  ท้องรูปไข่  ปีกสีนวลใสมีบทบาทสืบพันธุ์พียงอปิ้งเดียว  อายุสั้นมาก  เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะตาย
๓.  มดงาน  มีความยาว ๗-๑๑ มิลลิเมตร  กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร  สีแดงหัวและอกมีขนสั้นๆ หัวกลม  ส่วนล่างแคบ  ฟันกรามไขว้กัน  ปลายแหลมโค้งตอนหน้าแคบ  อกบ้องที่  ๒  กลม  โค้งขึ้น  อกปล้องที่ ๓ คอด  คล้ายอาน  ขายาวเรียว  ข้อต่อหนวดรูปไข่  ส่วนท้องสั้น  เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก  มีบทบาทหาร  สร้างรัง  รวมทั้งปกป้องศัตรู
ประโยชน์ทางยา
ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาบาราที่ว่า  น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว  ฉุน  สูดกลิ่นแก้ลมแก้พิษเสมหะเลือด ราษฎรบางถิ่นใช้มดแดงทำลายพิษ  โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่รอบๆปากแผลที่ถูกงูที่มีพิษกัด  ให้มดต่อยที่บริเวณนั้น  ไม่นานมดแดงก็จะตาย  ใช้มือเฉือนเอามดแดงเอาไป  แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่  ทำซ้ำๆไปเรื่อยจชูว่ากำลังจะถึงมือแพทพ์  บางทีอาจต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกเหนือจากนั้น  ราษฎรบางถิ่นยังอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดบาดแผลได้โดยเฉพาะเมื่อกำเนิดบาดแผลขึ้น  และไม่อยู่ในข้อตกลงที่จะชำระล้างรอยแผลหรือหายาใส่แผลได้  ยกตัวอย่างเช่น  เมือ่อยู่ในป่าหรือในนา  ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของรอยแผล)  วางไว้รอบๆปากแผล  ให้ปวดแสบปวดร้อนมากมาย
พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ “โรคฝีในท้อง ๗ ประการ”  อันเกิดอาจ “หนองพิการหรือแตก” ซึ่งทำให้มีการเกิดอาการไอ  ผอมแห้งแรงน้อย  เบื่ออาหารยาขนานนี้เข้า “รังมดแดง” เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้ ปุพ์โพ  คือหนองพิการหรือแตก ให้ไอเป็นกำลัง  ให้กายผอมโซหนัก  ให้ทานอาหารไม่จักรส  มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ  หากจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง  หัวหอม ๑ ตำลึง ๑ บาท ขมิ้นอ้อยยาว ๑ องคุลี  ยาทั้ง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักและธาตุเบาจ่ายบุพร้ายซะก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสลดก็ได้
55  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัตววัตถุ ปลาดุก เมื่อ: ธันวาคม 22, 2017, 09:46:11 am
[b]สมุนไพร[/b][/i][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%81.jpg" alt="" border="0" />
ปลาดุ[/b]
ปลาดุกเป็นสัตว์เลือดเย็น มีกระดูกสันสันหลัง ปลาที่คนประเทศไทยเรียก ปลาดุก หรือ walking catfish นั้น อาจหมายถึงปลาน้ำปลาน้ำจืดอย่างต่ำ ๒ จำพวกในสกุล Clariidae  คือ
๑. ปลาดุกด้าน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Clarias  batrachus  (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า walking  catfish
ลางตัวที่มีสีขาวตลอด ประชาชนเรียก ดุกเผือก หรือถ้าเกิดมีสีค่อนข้างจะแดง  ก็เรียก ดุกแดง  แต่หากมีจุดขาวรอบๆทั่วลำตัว  ก็เรียก ดุกเอ็น ปลาดุกด้านมีรูปร่างยาวเรียว ยาว  ๑๖-๔๐  ซม. (ในธรรมชาติอาจยาวได้ถึง ๖๑  ซม.) บริเวณด้านข้างของลำตัวมีสีเทาปนดำหรือสีน้ำตาลคละเคล้าดำ บริเวณท้องมีสีออกจะขาว ไม่มีเกล็ด ความยาวของลำตัวราว ๖-๗.๕ เท่าของความลึกของลำตัว และก็ราว๓.๕ เท่าของความยาวส่วนหัว หัวค่อนข้างจะแหลมถ้ามองทางข้างๆ กระดูกหัวมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ กระดูกท้ายทอยยื่นเป็นมุมค่อนข้างแหลม ส่วนฐานของครีบสันหลังยาวแทบตลอดส่วนหลัง ครีบข้างหลังมีก้านครีบอ่อน ๖๕-๗๗  ก้าน ไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบตูดมีก้านครีบอ่อน  ๔๑-๕๘  ก้าน ครีบท้องกลม ครีบอกกลม มีก้านครีบแข็งข้างละ ๑ ก้าน ปลายแหลม เป็นหยัก ๒ ข้าง ครีบหางแบน ปลายมน ไม่ต่อกับครีบหลังและก็ครีบตูด ตามีขนาดเล็กอยู่ข้างบนของหัว มีหนวด ๔ คู่  หนวดที่ขากรรไกรด้านล่างยาวถึงส่วนปลายก้านครีบแข็งของครีบอก หนวดขากรรไกรบนยาวถึงก้านครีบหลังก้านที่  ๗-๘   หนวดที่บริเวณจมูกยาวเป็น ๑ ใน ๓ ของก้านครีบแข็งของครีบอก  แล้วก็หนวดคางยาวถึงส่วนปลายของครีบอก ภายในท่อนหัวเหนือช่องเหงือกทั้ง ๒ ข้าง มีอวัยวะพิเศษที่ช่วยในการหายใจ ฟันบนเพดานปากและฟันบนขากรรไกรบนเป็นฟันซี่เล็กๆกระดูกซี่กรองเหงือกมี  ๑๖-๑๙  อัน ปลาดุกด้านมีนิสัยดุ คล่องแคล่ว ไม่ชอบอยู่นิ่ง ตะลีตะลาน ชอบดำว่ายดำผุดและก็ชอบลอดไปตามพื้นโคลนตม ถูกใจว่ายทวนน้ำออกไปจากแหล่งอาศัยในขณะฝนตกและน้ำไหลบ่าลงสู่แหล่งน้ำที่ใหม่ มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่เรวร้ายได้
๒. ปลาดุกอุย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clarias  microcephalus  Gunther
มีชื่อสามัญว่า  broadhead  walking  catfish
ปลาดุกอุยเป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาวเรียว ยาว  ๑๕-๓๕  เซนติเมตร  สีค่อนข้างจะเหลือง  มีจุดประตามด้านข้างลำตัวราว ๙-๑๐ แถบ แต่ว่าเมื่อโตจะเลือนหายไป ฝาผนังท้องมีสีขาวถึงเหลืองเฉพาะรอบๆอกถึงครีบท้อง ส่วนหัวค่อนข้างทู่ ปลายกระดูกกำดันป้านรวมทั้งโค้งมนมากมาย   ส่วนหัวจะลื่น มีรอยยุบตรงกลางนิดหน่อย  มีหนวด  ๔  คู่  โคลนหนวดเล็ก ปากไม่ป้าน ค่อนข้างมนครีบอกมีครีบแข็งข้างละ ๑ ก้าง มีลักษณะแหลมคม ยื่นยาวหรือเท่ากับครีบอ่อน ครีบข้างหลังมีก้านครีบอ่อน  ๖๘-๗๒  ก้าน   ปลายครีบสีเทาผสมดำและยาวตลอดถึงคอดหาง ครีบตูดมีก้านครีบอ่อน  ๔๗-๕๒  ก้าน ครีบหางกลม ไม่ใหญ่มากนัก สีเทาปนดำ ครีบหางไม่ใกล้กับฐานครีบหลังแล้วก็ครีบตูด   จำนวนกระดูกซี่กรองเหงือกราว  ๓๒  ซี่งเมื่อมองผิวเผินทั้งปลาดุกด้านรวมทั้งปลาดุกอุยมีลำตัวสั้นป้อมกว่า ลำตัวสีดำปนเหลือง มีจุดเล็กๆสีขาวเรียงเป็นแนวตามขวางลำตัวหลายแถว หรืออาจมองมองเห็นเป็นจุดประสีขาวตามลำตัว ปลายกระดูกท้ายทอยโค้งมน ปลาดุกเป็นปลาที่พบได้ตามคู คลอง หนอง สระทั่วๆไป จัดเป็นปลาที่มีคุณค่าด้านเศรษฐกิจของไทยประเภทหนึ่ง
คุณประโยชน์ทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
หมอแผนไทยรู้จักใช้ปลาดุกผสมเป็นเครื่องยาในตำรับยาหลายขนาน โดยยิ่งไปกว่านั้นใน พระคู่มือไกษย ให้ยาที่เข้า “ปลาดุกปิ้ง” อยู่ ๒ ขนาน อีกทั้ง ๒ ขนานเป็นยาแกง กินเป็นยาถ่ายอย่างแรง สำหรับแก้กษัย ดังนี้ ยาแก้ไกษยปลาดุก เอาเปลือกราชพฤกษ์ ๑ กลีบตาเสือ ๑  รากตอแตง  ๑  พาดไฉนนุ่น ๑  พริกไทยขิงแห้ง ๑  กระเทียม  ๑  ผลจันทน์ ๑  ดอกจันทน์  ๑  กระวาน  ๑  กานพลู  ๑  ข่า  ๑  กระชาย  ๑  กะทือ  ๑  ไพล  ๑  หอม  ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/]ขมิ้นอ้อ[/b]  ๑  กะปิ  ๑  ปลาดุกย่าง  ๑  ตัว ปลาแดกปลาส้อย ๕  ตัว   ยา  ๒๐  สิ่งนืทำเปนแกง แล้วเอาใบมะกาที่เพสลาดนั้นมาหั่นใส่ลงเปนผัก รับประทานให้ได้ถ้วยแกงหนึ่ง ลงจนสิ้นโทษร้าย หายยอดเยี่ยมนัก แล้วก็ยางแกงเปนยารุ ท่านให้เอาเปลือกทองหลางใบมนที่ ๒ เปลือก[url=http://www.disthai.com/16488241/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A1]มะรุ[/color] ๑ ลูกคัดเค้า ๑ เครื่องยาดังนี้เอาสิ่งละ ๗ ตัว ปลาดุกย่าง ๑ ตัว เอาใบสลอดที่รับประทานลงที่อ่อนๆนั้น ๗ ใบ หั่นเป็นผักใส่ลง ทำเปนยาเถอะ ลงเสมหะเขียวเหลืองออกมา หายแล
56  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรครุฑตีน ตะพาบน้ำมีสรรพคุณเเละประโยชน์อันวิเศษอย่างไร เมื่อ: ธันวาคม 08, 2017, 06:50:52 pm
 

สมุนไพรครุฑตีนตะพา[/b]
ครุฑตีนตะพาบน้ำ (Polyscias scutellaria (Burm.f.) Fosberg)
บางถิ่นเรียก ครุฑตีนตะพาบน้ำ เบญกานี เกล็ดปลากะโห้ (กระเทพฯ)เป็นไม้พุ่ม หรือ ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 6 เมตร สะอาด. ใบ ผู้เดียว หรือ ใบประกอบชนิด 3 ใบ ใกล้กับกิ่งแบบบันไดเวียน ก้านใบโดยมากยาวโดยประมาณ 6 ซม. แต่ว่ายาวถึง 28 ซม. ก็มี โคนก้านใบเป็นกาบ ยาว 1-6 เซนติเมตร แผ่นใบรูปกลม หรือ รูปไต เส้นผ่าศูนย์กลางส่วนใหญ่ประมาณ 8 เซนติเมตร แต่อาจกว้างถึง 28 ซม.ขอบใบหยักแบบซี่เลื่อย หรือ เป็นแฉกตื้นๆใกล้ปลายใบ ใบที่มีขนาดใหญ่ [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ขอบใบมักไม่ค่อยหยัก ปลายใบกลม โคนใบแหลม เส้นกึ่งกลางใบและก็เส้นใบเห็นได้ชัด. ดอก ออกเป็นช่อแบบผสม ศูนย์กลาง ช่อยาวได้ถึง 1 เมตร แตกกิ่งตั้งฉากกับแกนกลาง ยาว 15-30 ซม. มีดอกติดเป็นกระจุกๆแบบดอกผักชี กลุ่มละประมาณ 8-16 ดอก ก้านดอกยาวประมาณ 3 มม. กลีบรองกลีบดอกไม้ มีขนาดเล็ก กลีบดอกไม้ 4-5 กลีบ ยาวราว 2 มม. เกสรผู้ 4-5 อัน เกสรภรรยา 1 อัน รูปลูกข่าง ด้านในมี (2-) 3-4 ช่อง ท่อ เอกสารภรรยาตอนแรกตั้งตรง ถัดมาจะโค้งงอ. ผล รูปเกือบจะกลมมีเนื้อ แห้งแล้วเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 5 มม.

นิเวศน์วิทยา : ปลูกเป็นไม้ประดับ.
คุณประโยชน์ : ใบ มีกลิ่นหอมสำหรับแต่งกลิ่นน้ำหอม ใช้ขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมรวมทั้งคุ้มครองหัวล้านได้ ราก ขับฉี่ ใบ ตำเป็นยาพอกแก้แผลอักเสบ ขับเยี่ยว
57  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัตววัตถุ พญาเเร้ง เมื่อ: ธันวาคม 04, 2017, 04:14:01 pm

พญาอีแร้[/b]
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarcogyps  calvus  (Scopoli) จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับอีแร้ง
เป็นสกุล  Accipitridae
มีชื่อสามัญว่า  red-headded vulture หรือ king vulture
อีแร้งเจ้าพระยา หรือ นกแร้งหัวแดง (ลาว) ก็เรียก นกประเภทนี้เป็นนกขนาดใหญ่ ขนาดวัดจากปลายปากถึงปลายหางยาวราว  ๘๔  ซม. ขนทั่วตัวสีดำ หัว คอ รวมทั้งแข็งเป็นเนื้อสีแดง มีขนอุยสีน้ำตาลออกขาว มีแถบสีขาวตรงส่วนบนของอกแล้วก็ที่ต้นขาทั้งคู่ เมื่ออายุยังน้อยขนทั่วตัวมีสีน้ำตาล ใต้ท้องสีอ่อนกว่า แล้วก็มีลักษณะเป็นลายเกร็ด ส่วนบนมีขนสีขาวทั่วไป
พญาแร้งเกลียดอยู่รวมกันเป็นฝูงเสมือนอีแร้งทั่วๆไป พบได้ทั่วไปอยู่สันโดษหรืออยู่เป็นคู่ รวมทั้งลวกินซากสัตว์ร่วมกับอีแร้งอื่นๆมั่นใจว่านกประเภทนี้เป็น “เจ้าที่อีแร้ง” จำเป็นต้องลงรับประทานซากสัตว์ก่อนจำพวกอื่นๆและก็เลือกกินเฉพาะส่วนที่มีรสชาติยอดเยี่ยม จึงเรียก“พญานกแร้ง” ถูกใจอาศัยอยู่ตามป่าเขาและทุ่งนา มีเขตผู้กระทำระจายจำพวกกว้างมาก ตั้งแต่ประเทศจีน  ประเทศอินเดีย  ลงมาด้านใต้จนกระทั่งแหลมมลายู ในอดีตกาลเคยเจอมากมายอยู่ทั่วๆไปในประเทศไทย มักสร้างรังอยู่บนต้นไม้สูง ตามชายป่าและท้องนา นากแล้วต่อจากนั้น ในประเทศไทยยังพบอีแร้งดำหิมาลัย (cinereous  vulture) อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Aegypius  monachus  (Linnaeus) เป็นนกที่ย้ายถิ่นเข้ามายังเมืองไทยในตอนนอกฤดูผสมพันธุ์ หรืออาจเป็นนกที่หลงเข้ามา แต่เป็นนกหายากและก็มีจำนวนน้อยมาก

สรรพคุณทางยา
หมอแผนไทยตามชนบทใช้หัวอีแร้งเผา ผสมเป็นยาแก้ไข้รอยดำ ไข้พิษ กระดูกอีแร้งเผาไฟเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งใน “ยามมหานิลแท่งทองคำ” (ดู  คู่มือการปรุงยาแผนไทย เล่ม  ๔  เครื่องยาธาตุวัตถุ) แก่ไข้พิษ ไข้รอยดำ ส่วนหางอีแร้งและหางอีกาเผาไฟ แบบเรียนโบราณมีรสเย็น เบื่อ บดผสมกวาวเครือแก้ซางชัก และใช้รมซาตานแม่ซื้อที่รบกวนเด็กที่เป็นลมเป็นแล้งซางจำพวกนี้ ถ้าหากแก้โลหิตเป็นพิษให้เข้า “ดีอีแร้ง” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ดังนี้ ยาแก้โลหิตทำพิษ เอาดีแร้ง เจาะไนดี แล้วเอาพริกไทยตำยัด   ใส่ให้เต็ม ตากให้แห้ง หากจะแก้เลือดทำพิษ ให้ฝนกับเหล้ารับประทานหายยอดเยี่ยมฯ พระคู่มือปฐมจินดาร์ให้ยาหลายขนานที่เข้า “กระดูกอีแร้ง”  เป็นเครื่องยาด้วย มีอยู่ขนานหนึ่งเข้า “ศีร์ษะนกแร้ง” เป็นยากวาดซางแดงดังนี้
สมุนไพร ขนานหนึ่ง   ท่านให้เอาศีร์ษะงูเห่า  ๑  ศีร์ษะนกแร้ง  ๑  ศีร์ษะกา  ๑   หอยสังข์  ๑  รากดิน  ๑  ดอกบุนนา[/b]  ๑  ดินถนำ  ๑  บอแร็ก  ๑  หมึกหอม  ๑  นอแรด  ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%80/]เขากุ[/b]  ๑  มูลหมูเถื่อน  ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2/]กฤษณา  ๑  กะลำภัก  ๑  ผลจันทร์  ๑  ดอกจันทร์  ๑  เขี้ยวเสือ  ๑  เขี้ยวตะไข้  ๑  เขี้ยวแรด  ๑  เขี้ยวหมู  ๑  กรามแรด  ๑  กล้วยกรามช้าง  ๑   รวมยา  ๒๒  สิ่งนี้ เอาเท่าเทียม ทำเปณจุณ บดปั้นแท่งไว้ละลายน้ำมะนาว ปัดกวาดได้สารพัดทรางทั้งหมดหายวิเศษนัก

Tags : สมุนไพร
58  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพิกัดเกสรมี เเละรวมทั้ง สมุนไพรอื่นๆ เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2017, 08:43:35 am

สมุนไพรพิกัดเกส[/size][/b]
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น มีความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ อาจเป็นองค์ประกอบที่ใช้แพร่พันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งจัดโชว์อยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้รวมทั้งเกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง แล้วหลังจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบดอกและกลีบเลี้ยงตามลำดับ แม้กระนั้นในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ดังเช่น เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และก็เกสรเพศเมีย) (ดังเช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ ฯลฯ) หรือบางทีอาจหมายถึงช่อดอกช่อ (ตัวอย่างเช่น ดอกลำเจียก )พิกัดเกสรที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัดหมายถึงพิกัดเกสร ๕ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๗ รวมทั้งพิกัดเกสรทั้ง ๙ พิกัดเกสร ๕ ดังเช่น เกสรบัวหลวง [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84/]เกสรบุนนา[/b] ดอกพิกุล ดอกมะลิ รวมทั้งดอกสารภี มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดรวมทั้งเลือด แก้ไข้เพ้อกลุ้ม แก้ลมตาลาย แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงท้อง เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากในยาแก้ลมหน้ามืด ยาหอมบำรุงหัวใจ พิกัดเกสรทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕  โดยมีดอกจำปา และก็[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/]ดอกกระดังง[/b] เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีคุณประโยชน์โดยรวมบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะแล้วก็โลหิต แก้ไข้เพพ้อกังวล แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้โรคตาพิกัดเกสร ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในพิกัดเกสรทั้งยัง ๗ โดยมีดอกลำเจียก และดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
                   
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา                ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของแหล่งที่มา ตระกูล   ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง        Nelumbo nucifera Gaertn.           Nelumbonaceae      เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค           Mesua ferrea L.                Guttiferae           ทั้งดอก
ดอกพิกุล                Mimusops elengi L.         Sapotaceae        อีกทั้งดอก
ดอกมะลิ                Jasminum sambac Ait.   Oleaceae             อีกทั้งดอก
ดอกสารภี              Mamea siamensis (T.and) Kosterm.        Guttiferae           ดอก
ดอกจำปา              Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)        Magnoliaceae       อีกทั้งดอก
ดอกกระดังงา        Cananga  odorata Hook.f. & Th. Annonaceae      ทั้งยังดอก
ดอกลำเจียก          Pandanus odoratissimus L.f         Pandanaceae     ช่อดอกทั้งยังช่อ
ดอกลำดวน           Melodorum fruiticosum Lour.    Annonaceae      ทั้งดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงจำพวกดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบัวขาว) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท สัตตบุษย์ เป็นต้น) บัวหลวงเป็นบัวน้ำจำพวกก้านแข็ง (บัวก้านชาติ) มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในตระกูล Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า มีกลิ่นหอม รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรทั้งเจ็ดรวมทั้งเกสรอีกทั้ง ๙
ดอกบุนนาค
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84/]ดอกบุนนา[/b]ได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชประเภทนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนเล็กน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลปนเทาและปนแดง มีรอยแตกตื้นๆภายในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานปนใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ ซม. ยาว ๔-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ข้างล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบหนา ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มิลลิเมตร ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกผู้เดียวๆหรือออกเป็นกลุ่ม กระจุกละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอม เมื่อบานเต็มที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๕-๑๐ ซม. กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบดอกไม้มี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานและก็เว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีจำนวนหลายชิ้น ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ เซนติเมตร ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบหุ้มห่อผล ๔ กาบ มีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด พืชนี้มีแก่นไม้สีแดงคล้ำ วาวเลื่อม เสี้ยนค่อนข้างตรง เนื้อค่อนข้างจะหยาบคายแข็ง แล้วก็คงทนดีเลิศ เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาได้ดี ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามเครื่องไม้เครื่องมือ ใช้สร้างเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานด้านหลังหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเม็ดทำเครื่องแต่งตัว [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมสดชื่น เย็น รสขมนิดหน่อย ช่วยทำนุบำรุงจิตใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยแดง แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด วิงเวียน หน้ามืด ลายตา รวมทั้งว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ แล้วก็เกสร ๗ และก็เกสรทั้งยัง ๙ นอกจากส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังคงใช้ผลดีทางยาได้ อาทิเช่น รากใช้แก้ลมในไส้ เปลือกต้นมีสรรพคุณกระจายหนอง และกระพี้แก้เสลดในคอ แก่นไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุล เป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในตระกูล Sapotaceae พืชจำพวกนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางดง (จังหวัดลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ ซม. ยาว ๕-๑๕ ซม. วัวนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว หรือออกเป็นกระจุก ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันนิดหน่อย ร่วงง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมยวนใจเย็น กลิ่นยังคงอยู่ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้บริบูรณ์มี ๘ อัน รวมทั้งเกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบดอกไม้มี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ เซนติเมตร เมื่ออ่อนสีเขียว แล้วก็สุกมีสีแดงแสด มีรสหวานเล็กน้อย เมื่อต้นพิกุลมีอายุมากมายๆแก่นไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย ก็เลยไม่นิยมปลูกเอาไว้ภายในรอบๆบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้เนื้อไม้มีกลิ่นหอมหวน โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านค้ายาสมุนไพรเป็นแก่นไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมฝรั่งเรียก “bullet wood” เหตุเพราะเนื้อไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยลูกปืน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย อาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะแบก(Lagerstroemia calyculata Kurz. สกุล Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อรารุ่งโรจน์เข้าไปในแก่นไม้ แต่ว่าโบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะแบกจะมีคุณภาพด้อยกว่า ตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด และหัวใจ บำรุงทารกในครรภ์ (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวย ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศรีษะ แก้เจ็บคอรวมทั้งแก้ร้อนใน ตำราสรรพคุณยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้ง ๗ และเกสร ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมสดชื่นเพื่อทำบุหงา นอกเหนือจากน้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังคงใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ตำราว่ารากพิกุลมีรส ขมฝาด เข้ายาบำรุงเลือด แก้เสลด แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมฝาด เข้ายาบำรุงเลือด ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้โรคหืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิ เป็นดอกของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในสกุล Oleaceae  ถ้าหากมีกลีบดอกชั้นเดียวเรียก มะลิลา ถ้าเกิดมีกลีบดอกไม้ทับกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่เจาะจงในแบบเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มคอยเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ เซนติเมตรยาว ๕-๗ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าเป็นชนิดดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ รวมทั้งสีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมแรง ดอกคนเดียวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกไม้เป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๓ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แต่ว่าจะ ดกในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมหวนเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในอยากกินน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสร ๕ เกสรทั้งยัง ๗ และก็เกสรอีกทั้ง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ประเภทอื่นๆที่มีกลิ่นหอม สำหรับทำบุหงา ยิ่งไปกว่านั้นแบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด หมอตามต่างจังหวัดใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวตูดกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง รวมทั้ง ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยแผลเป็น รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำกิน แก้ปวดปวดศีรษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มากมาย (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้สลบ ตำพอกหรือแก้กลยุทธ์ปวดเมื่อยจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภ[/b]อันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในวงศ์ Guttiferae ลางถิ่นเรียก ทรพี (เมืองจันท์) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวและก็จะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับแนวทางกัน รูปไข่ปนรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ เซนติเมตรยาว ๑๕-๒๐ ซม. โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทื่อๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบครึ้ม ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมมาก กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมชิดกัน ติดทนแล้วก็ขยายโตตามผล กลีบดอกไม้มี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีเยอะมาก ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ เซนติเมตร เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเม็ด
สารภีแนน
สารภีแนน เป็นชื่อถิ่นทางพายัพของพืชที่มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในสกุล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า สารภีทะเล (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กากะทิง (ภาคกึ่งกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นชายทะเล หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วๆไป พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดแห่งกว้างเป็นพุ่มไม้กลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา ภายในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางนิดหน่อย ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่และขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมหวน ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีเยอะแยะ ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๕-๓ เซนติเมตร ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวย่นย่อ เปลือกออกจะครึ้ม หมอแผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากคีมจับได้จากเม็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ แล้วก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องแต่งหน้าตำราสรรพคุณยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอม รสขมเย็น แก้โลหิตทุพพลภาพ แก้ไข้ที่เป็นพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ รวมทั้งยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ภายในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ แล้วก็เกสรทั้งยัง ๙
ดอกจำปา
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2/]ดอกจำป[/b] ได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในวงศ์ Magnoliaceae พืชจำพวกนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนแล้วก็ใบอ่อนมีขน ใบแก่หมดจด ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงวิริยะสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ เซนติเมตร ยาว ๑๐-๒๕ ซม. ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมยวนใจแรง กลีบ
จำปาดอกขาว
เนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ไปถึงจนถึงเวียดนาม จึงอาจมีการคลายภายในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดและสีของดอกแตกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเหมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ชาวบ้านเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาอายุมากต้นนี้เอง ส่วนวลี ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย อพยพมาตั้งถิ่นฐานต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พ. ศ. ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่ชาวไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae คนไทยภาคกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ เซนติเมตร ปลายและโคนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงเล็กน้อย เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่รู้ลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ ระทม อันหมายความว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืสมุนไพร
ที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า กลีบดอกจำปามีกลิ่นหอม มีรสขม ช่วยทำให้เลือดเย็น กระจายโลหิต อันร้อน ขับปัสสาวะ ขับลม แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงโลหิต ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้หอบหืด และเมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากนั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำดื่มแก้โรคหนองใน ขับระดู ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสเฝื่อนขม ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่นมีรสเฝื่อนขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย
ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ปัจจุบันเป็นบ้านซับจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานถึงแต่ในปัจจุบันถูกชาวบ้านแผ้วถางเป็นพื้นที่ทำกินโดยเฉพาะเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและเรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าซับจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดและชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะศึกษาจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมวิธานพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีรายงานว่าพบที่ใดมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกชนิดว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่ออนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งพันธุกรรมและระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดัง
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/]ดอกกระดังง[/b] เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในวงศ์ Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งก้านแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ เซนติเมตร ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมักจะม้วนหรืออยากเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกแรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย นอกจากนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะพิการเช่นกัน
กระดังงาสงขลา
กระดังงาสงขลา หรือ กระดังงาเบา มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในวงศ์ Annonaceae
 เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและดอกคล้ายต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกเดี่ยวๆ บนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และเป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชชนิดพืชนี้ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยทะเล มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆ กระจายอยู่ทั่วไป โ
59  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัตววัตถุวัว เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2017, 08:24:09 am

วั[/b]
คำ “โค” เป็นคำที่แผลงมาจากคำไทยว่า “งัว” ส่วนคำ “โค” เป็นคำเรียกสัตว์ประเภทนี้ในภาษาบาลี (คำ“วัว” นี้บางทีอาจหมายคือพระอาทิตย์  ยกตัวอย่างเช่นในคำ“โคจร” ซึ่งหมายความว่า ฟุตบาทของดวงอาทิตย์ )
ชีววิทยาของโค
วัวเป็นสัตว์บดเอื้อง กินหญ้า มี ๔ เท้า และก็กีบเป็นคู่ เขากลวง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos  Taurus (Linnaeus) จัดอยู่ในตระกูล Bovidae
โคบ้านมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  bos  Taurus  domesticus  Gmelin  โคบ้านของไทยมีพัฒนาการมาจากโคป่าหรือวัวออรอกส์  (Aurochs)  ซึ่งปัจจุบันนี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว  โคป่าที่ยังคงพบในบ้านเราเป็นวัวแดง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos  javanicus  (D’Alton)  รู้เรื่องว่าวัวแดงนี้คงจะสืบสายมาจากสชวัวออรอกส์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  ถัดมาวัวแดงนี้จึงสืบเชื้อสายมาเป็นวัวบ้านของเมืองไทย ทำให้รูปร่างและก็สีสันของวัวบ้านราวกับโคแดงมาก แม้กระนั้นรูปร่างใหญ่มากยิ่งกว่ารวมทั้งสูงขึ้นยิ่งกว่า วัวแดงมีความสูงที่ไหล่ราว ๑.๗๐ เมตร หรือกว่านั้น มีเขายาวราว ๗๐ ซม. วัวแดงมีสีน้ำตาลแกมแดงเสมือนโคบ้าน เพศผู้เมื่อแก่มากๆสีบางทีอาจแปรไป โคแดงเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่เป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีราว ๒๐-๓๕ ตัว มักมีตัวภรรยาแก่ๆเป็นจ่าฝูง แต่ละฝูงมักมีตัวผู้เพียงแต่ตัวเดียว คอยปฏิบัติภารกิจผสมพันธุ์เมื่อตัวเมียเป็นสัด

ประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้นมวัว (น้ำนมโค) ขี้วัว (มูลโค) แล้วก็น้ำมูตรโค (น้ำมูตรโค) น้ำมันไขข้อโค เป็นยา
๑. นมวัว ได้จากเต้านมของโคเพศเมียที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า นมวัวหรือนมโคมีรสหวาน มัน เย็น มีสรรพคุณปิดธาตุ แก้โรคในอก ชูกำลังและเลือดเนื้อ ก้าวหน้าไฟธาตุ แพทย์แผนไทยมักใช้นมวัวเป็นน้ำกระสายยา อาทิเช่น “ยาแก้ลมโกฏฐาสยาวาตา” ใน พระคัมภีร์โรคนิทาน ใช้ “น้ำนมโค” เป็นน้ำกระสายยา ดังนี้ลมโกฏฐาสยาวาตาแตกนั้น มักให้เหม็นกลิ่นคาวคอ ให้อาเจียน ให้จุกเสียด ให้แดกในอกถ้าจะแก้ ให้เอาใบสลอดต้มกับเกลือให้สุกแล้วผึ่งแดดให้แห้ง ๑   [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/06/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A1/]ชะเอมเท[/b]๑  [url=http://www.disthai.com/16488300/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87]รากเจตมูลเพลิงเเด[/b] ๑  รากตองแตก ๑  รากจิงจ้อใหญ่ ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87/]ลำพั[/b] ๑  พริกล่อน ๑  [url=http://www.disthai.com/16488287/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5]ดีปล[/b] ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/08/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/]ใบหนา[/b] ๑  การะบูร ๑  เอาเท่าเทียมกัน ทำเปนจุณ ละลาย นมโค ก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำร้อนก็ได้ รับประทานหายแล
๒. ขี้วัว ตำราเรียนยามักเรียก น้ำขี้วัว แพทย์แผนไทยใช้ขี้วัวปรุงเป็นยาบำบัดโรคทั้งภายในและข้างนอกหลายขนาน โดยมากใช้ขี้วัวดำ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า ขี้วัวดำมีรสขม เย็น มีคุณประโยชน์ดับพิษร้อน พิษไข้ พิษกาฬ ลางตำราเรียนว่าขี้วัวสดแล้วก็แห้งผสมกับใบน้ำเต้าสดและก็สุรา ตำคั้นเอาน้ำ ทาแก้เริม ไฟลามทุ่ง งูสวัด ลมพิษ   รวมทั้งแก้พุพอง ฟกบวม ถอนพิษ
๓. น้ำมูตรวัว แบบเรียนยามักเรียกว่า น้ำมูตรโค  และมักใช้น้ำมูตรโคดำเป็นน้ำกระสายยา เป็นต้นว่า ยาสตรีขนานหนึ่งใน พระคัมภีร์มหาโชตรัต ใช้ “มูตรวัวดำ” เป็นกระสาย   ดังต่อไปนี้ ถ้าหากหญิงโลหิตตกทางทวารหนักทวารเบา ไม่ออกสบาย ให้เอาขมิ้นอ้อย ๑ [url=http://www.disthai.com/16488307/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A5]ไพ[/b] ๑ ผลผักชีล้อม ๑ บดละลายด้วย มูตรโคดำ กินหายแล
๔. น้ำมันไขข้อวัว พระหนังสือมุจฉาปักขันทิกา ให้ยาน้ำมันทาแก้ไส้กุดไส้ลุกลามรวมทั้งแผลฝีเน่าขนานหนึ่ง เข้า “น้ำมันไขข้อวัว”   เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้
ถ้าหากมิฟัง   พิษนั้นกล้านักมักเผาเอาเนื้อนั้นสุก หนุ่มเข้าไปแม้กระนั้นปลายองคชาตทุกเมื่อเชื่อวันๆก็ดีแล้ว   ท่านให้หุงน้ำมันนี้ใส่   ดับพิษรักษาเนื้อไว้   มิให้สาวเข้าไปได้ ท่านให้เอามะพร้าวงอกบนต้นเขี้ยวน้ำมันให้ได้ถ้วย ๑  ก็เลยเอาใบกระเม็ง ๑ ใบยาดูดสดๆ๑  เปลือกโพกพาย ๑  เปลือกจิก ๑  เปลือกกรด ๑  เบญจลำโพง ๑  ใบเทียน ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/06/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1/]ใบทับทิ[/b] ๑   [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/]ใบขมิ้นอ้อ[/b] ๑ ใบมัน ๑  ยาดังนี้เอาสิ่งละถ้วย ใส่ลงกับน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะพร้าวหุงให้คงจะแม้กระนั้นน้ำมัน แล้วเอาน้ำมันแมวดำชาตรีจอก ๑ น้ำมันฟอกไก่จอก ๑   น้ำมันไขข้อวัวจอก  ๑   ปรุงใส่ลงเหอะวิเศษนัก  น้ำมันนี้ท่านตีค่าไว้ตำลึงทองคำหนึ่งใช้ได้ทุกสิ่ง แลตานทรางสรรพพิษฝีเปื่อยสาว   ทั้งแก้มิให้เป็นด่างเป็นแผลให้คงจะคืนดีคนเก่า แลแก้ไส้ขาดไส้ลาม  ดังที่ได้กล่าวมาแล้วมาแต่คราวหลังหายสิ้นอย่าฉงนสนเท่ห์เลย  ได้ทำมามากมายแล้ว  หนังสือเรียนนี้ฝรั่งเอามาแม้กระนั้นเมืองยักกัยี่ห้อแล

Tags : สัตววัตถุ
60  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัตววัตถุ เม่น เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 02:05:51 pm

เม่[/size][/b]
เม่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จัดอยู่ในตระกูล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒  ประเภท  ตัวอย่างเช่น
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix  brachyuran  Linnaeus
ชื่อสามัญว่า  Malayan  porcupine
เม่นจำพวกนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐  เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว  ๓-๗ กก. ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันตัว  หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ และไหล่  มีขนแข็ง  สั้น  สีดำ  ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนและปลายสีขาว กึ่งกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนเหมือนหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นประเภทนี้ชอบออกหากินโดยลำพังในเวลากลางคืน รักสงบ เวลาเจอศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึกแล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วหากหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ รวมทั้งแม้ศัตรูใช้ตีนตะปบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นเดียวกัน  ได้รับความเจ็บปวดเจ็บมากมาย เมื่อศัตรูหนีจากไปแล้ว  เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ เม่นประเภทนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ กาบไม้ ผลไม้ รวมทั้งกระดูกสัตว์  เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี ตั้งท้องนาน  ๔  เดือน  ตกลุกครั้งละ  ๑ -๓  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนที่อ่อน  แต่เมื่อถูกอากาศภายนอกขนจะค่อยๆแข็งขึ้น  อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างถิ่นเจอที่มาเลเชียรวมทั้งอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus  macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า  bush-tailed  porcupine
เม่นประเภทนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง  ๔๐ – ๕๐  เซนติเมตร หางยาว ๑๕ – ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕  กิโลกรัม จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งรวมทั้งปลายแหลมมาก  เหมือนหนาม  ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่รอบๆกึ่งกลางหลังขนแบน  มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกึ่งกลางหางไม่ค่อยมีขน แม้กระนั้นเป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกครึ้มเป็นกระจุก ดูเป็นพวง ขนดัขี้งกล่าวแข็งและแหลมคม ส่วนขนที่ศีรษะรอบๆขาอีกทั้ง ๔ แล้วก็บริเวณใต้ท้อง แหลม แม้กระนั้นไม่แข็ง ขาออกจะสั้น ใบเครื่องทอผ้าลมและก็เล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดตรง ทู่ แล้วก็แข็งแรงมาก  เหมาะสำหรับขุดดิน เม่นจำพวกนี้ออกหากินในช่วงกลางคืน  ช่วงกลางวันมักแอบอยู่ในโพรงดิน  ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง  ใช้ขนเป็นอาวุธป้องกันตัว รับประทานหัวพืช หน่อไม้  เปลือกไม้  รากไม้  ผลไม้  แมลง เขารวมทั้งกระดูกสัตว์  ตกลูกครั้งละ ๓- ๕  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย  ลูกเม่นแรกเกิดมีขนอ่อนนุ่ม แต่ว่าจะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี พบในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างแดนเจอทางภาคใต้ของจีน และก็ที่ลาว เวียดนาม  กัมพูชา มาเลเซีย  แล้วก็อินโดนีเซีย

[url=http://www.disthai.com/]ประโยชน์ทางย[/size][/b]
แพทย์แผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง  แก้พิษรอยแดง  พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยให้ไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาใช้ภายนอกตัวเด็ก ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งมวล รวมทั้งจะเป็นไข้อภิฆาฏก็ดีแล้ว  โอปักกะมิกาพาธก็ดี ท่านให้เอาใบมะชน รอยเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง  บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายความมัวหมองโทษทั้งหมดดีนัก
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย