กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 35 36 [37] 38 39 ... 44
541  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถิ่นกำเนิดขมิ้น เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2017, 04:52:34 pm

 
ขมิ้น เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีตั้งแต่สีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดจัด โดยถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น ขมิ้นชัน ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละภาคและจังหวัดนั้น ๆ นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหาร แต่งสี แต่งกลิ่นอาหาร เช่น แกงไตปลา แกงกะหรี่ เป็นต้น
ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายประเภท เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นต้น แลขมิ้นชัน[/url]มีคุณสมบัติทางยาที่เยียวยาอาการและโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด มีประวัติในการนำมาใช้ในการเยียวยามากกว่า 5,000 ปี สำหรับขมิ้นชันที่จะนำมาใช้ประโยชน์นั้น การเก็บเกี่ยวไม่ควรเก็บในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อ เพราะจะทำให้สารที่มีคุณสมบัติอย่างเคอร์คูมินในขมิ้นมีน้อย ส่วนเหง้าที่เก็บมาต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป และไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นจะหมดไปเสียก่อน
เมื่อได้เหง้ามาแล้ว หากจะนำไปรับประทานเพื่อใช้ในการเยียวยาโรคต่าง ๆ ควรล้างให้สะอาดก่อน และไม่ต้องปอกเปลือก แต่หั่นเป็นแว่นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปตากแดดสัก 2 วันแล้วนำมาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย แล้วนำมาทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2-3 เม็ด หลังอาหารและช่วงก่อนนอน หรือจะนำเหง้าแก่มาขูดเอาเปลือกออกแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด นำมาบดให้ละเอียด เติมน้ำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมากินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง หากนำขมิ้นมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อเยียวยาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเหง้าขมิ้นมาฝนผสมกับน้ำต้มสุก แล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือจะนำเอาผงขมิ้นมาโรยก็ใช้ได้เช่นกัน
542  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถิ่นกำเนิดขมิ้น เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2017, 01:24:55 pm

 
ขมิ้น เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีตั้งแต่สีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดจัด โดยถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น ขมิ้นชัน ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละภาคและจังหวัดนั้น ๆ นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหาร แต่งสี แต่งกลิ่นอาหาร เช่น แกงไตปลา แกงกะหรี่ เป็นต้น
ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายประเภท เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นต้น และขมิ้นชันมีประโยชน์ทางยาที่รักษาอาการและโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด มีประวัติในการนำมาใช้ในการรักษามากกว่า 5,000 ปี สำหรับขมิ้นชันที่จะนำมาใช้ประโยชน์นั้น การเก็บเกี่ยวไม่ควรเก็บในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อ เพราะจะทำให้สารที่มีสรรพคุณอย่างเคอร์คูมินในขมิ้นมีน้อย ส่วนเหง้าที่เก็บมาต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป และไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นจะหมดไปเสียก่อน
เมื่อได้เหง้ามาแล้ว หากจะนำไปกินเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ควรล้างให้สะอาดก่อน และไม่ต้องปอกเปลือก แต่หั่นเป็นแว่นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปตากแดดสัก 2 วันแล้วนำมาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย แล้วนำมารับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2-3 เม็ด หลังอาหารและช่วงก่อนนอน หรือจะนำเหง้าแก่มาขูดเอาเปลือกออกแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด นำมาบดให้ละเอียด เติมน้ำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง หากนำขมิ้นมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อเยียวยาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเหง้าขมิ้นมาฝนผสมกับน้ำต้มสุก แล้วทาแถบที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือจะนำเอาผงขมิ้นมาโรยก็ใช้ได้เช่นกัน
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ถิ่นกำเนิดขมิ้น

Tags : ขมิ้นชัน
543  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ส่วนผสมต่างๆของขมิ้นชัน เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2017, 10:21:49 am

 
 
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1 ถ้วย และนมสด 3/4 ถ้วย
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่1
 ผสมผงขมิ้นกับนมสดให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกหน้าแล้วปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ขมิ้นจะช่วยให้ผิวขาวเขียนผุดผ่องเป็นยองใย ส่วนนมสดจะบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและนุ่มนวลน่าสัมผัสมากขึ้น ทำเป็นประจำ ผิวจะเรียบเนียนเกลี้ยงเกลาจนสัมผัสได้แน่นอน
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรลดรอยไหม้จากแดด
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่2
 นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ 30 นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สูตรนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวไหม้แดงจากแสงแดด หรือผิวคล้ำเสียจากแดดก็อาจช่วยฟื้นบำรุงผิวได้เช่นกัน ผิวจะกลับมาขาวกระจ่างใสและมีสุขภาพดีดังเดิมได้ค่ะ
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรผิวขาวกระจ่างใสเปล่งปลั่ง
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่3
 นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมจนเข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ ไม่สวยสดใส แนะนำให้พอกหน้าด้วยสูตรผงขมิ้นนี้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง รับรองน้ำมะนาวจะทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออก ผิวจึงค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น ส่วนน้ำผึ้งจะบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้น และขมิ้นก็จะบำรุงผิวให้เรียบเนียนใสอย่างไร้ที่ติ การผสานสรรพคุณของสูตรพอกหน้านี้จึงทำให้สาวๆ มีสภาพผิวหน้าที่ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติได้ค่ะ
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรป้องกันการเกิดสิว
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1/2 ช้อนชา และดินสอพอง 2-3 เม็ด
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่4
 ละลายดินสอพองด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อย จากนั้นเติมขมิ้นผงลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที เสร็จแล้วล้างออกให้สะอาด ขมิ้นมีประโยชน์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวและผดผื่นได้ ในขณะที่ดินสอพองจะช่วยลดเลือนความมันบนผิวหน้าและดูดซับสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก แถมยังทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใสมากขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สูตรนี้จะช่วยป้องกันการเกิดสิว ทำให้ผิวหน้าใสปิ๊งเปล่งปลั่งได้อย่างใจแน่นอนค่ะ
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรลดเลือนความมันบนผิวหน้า
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1 ช้อนชา นมสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ และเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่5
 นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมลงในภาชนะเล็กๆ คนจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่วไป ปล่อยไว้ 30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาผิวหน้ามันเยิ้ม แนะนำสูตรนี้เลยค่ะ เพราะว่านหางจระเข้จะช่วยลดเลือนความมันบนผิวลงได้ ในขณะที่นมสดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวนวลนุ่มสุขภาพดี ส่วนขมิ้นนั้นจะช่วยขจัดจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำบนผิวและบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียนกระจ่างใส อยากหน้าใสปิ๊งจนใครต้องทัก และบอกลาปัญหาหน้ามันเยิ้มได้อย่างอยู่หมัด อย่าพลาดสูตรพอกหน้าสูตรนี้เด็ดขาด
 
ขมิ้นพอกหน้า สูตรแก้ผดลดสิวและบรรเทาอาการสิวอักเสบ
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง 2-3 เม็ด
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่6
 ละลายดินสอพองกับน้ำสะอาดเล็กน้อย แล้วนำส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดมาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อได้ส่วนผสมที่เข้ากันดีแล้ว ให้นำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้หากพอกตอนมีสิวก็จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวให้ทุเลาลงได้ เพราะขมิ้นมีสรรพคุณทางยาโดยสามารถช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง และยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวได้เป็นอย่างดี น้ำผึ้งก็จะทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว น้ำมะนาวจะผลัดเซลล์ผิวทำให้หน้าขาวกระจ่างใส ส่วนดินสอพองจะขจัดสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากผิว ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนกระจ่างใสอย่างไร้ที่ติมากขึ้น
 
สูตรรักษาสิวให้หายเร็วขึ้นด้วยขมิ้นพอกหน้า
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง 2-3 เม็ด
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่7
 ละลายดินสอพองกับน้ำสะอาดเล็กน้อย เพื่อให้ได้ส่วนผสมเหลวๆ ข้นๆ จากนั้นเติมขมิ้นผงและน้ำผึ้งลงไปผสม คนให้ทุกอย่างเข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกให้สะอาด สูตรขมิ้นพอกหน้านี้เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีสิว หากหมั่นทำบ่อยๆ สิวอักเสบก็จะยุบตัวลงและแห้งเร็วขึ้น แถมแผลจากสิวก็จะหายเร็วด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งผิวหน้าก็จะเนียนนุ่มชุ่มชื้นและเรียบเนียนใสสะกดตาอีกด้วย
 
สูตรชะลอการเกิดริ้วรอย
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1 ช้อนชา นมสด 1 ถ้วย ดินสอพอง 2-3 เม็ด และแตงกวา 1 ลูก
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่8
 ปอกเปลือกแตงกวาให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด เติมส่วนผสมอื่นๆ ลงไปปั่นรวมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สูตรพอกหน้าด้วยขมิ้นนี้ เป็นสูตรที่รวมเอาวัตถุดิบที่มีดีต่อการปรนนิบัติผิวหลายอย่างมามิกซ์ในสูตรเดียวกัน ผิวหน้าสาวๆ จะสดใสเปล่งปลั่ง และนุ่มชุ่มชื้นขึ้นทันตา เนื่องจากแตงกวามีกรดอะมิโน โปรตีนและเอนไซม์ ในขณะที่สารสีเหลืองจากขมิ้นจะทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้เป็นอย่างดี สาวๆ หมั่นพอกหน้าด้วยสูตรนี้เป็นประจำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ผิวหน้าจะเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์กว่าวัยได้แน่นอน
 
สูตรบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียน อ่อนเยาว์
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้น 1/2 ช้อนชา นมผง 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่9
 นำผงขมิ้น นมผงและน้ำผึ้งมาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าและลำคอ ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกให้สะอาด น้ำผึ้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบีและกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว จึงช่วยทั้งบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย นมผงก็จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส ในขณะที่ผงขมิ้นจะช่วยให้ผิวหน้าขาวผุดผ่องมากขึ้น

Tags : ขมิ้นชัน
544  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การศึกษาทางเภสัชวิทยาขมิ้นชัน เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2017, 09:21:06 am

         
  มีฤทธิ์ขับลม ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ กระตุ้นการหลั่งสารเมือกมาเคลือบ และยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆ สมานแผลในกระเพาะอาหาร ต้านการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อบิดมีตัว ฆ่าพยาธิ ต้านเชื้อ Helicobacter pylori ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ขับน้ำดี แก้ท้องอืด  ท้องเฟ้อ  ขับลม  เยียวยาอาการอุจจาระร่วง ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้และมดลูก ป้องกันการเกิดมะเร็งและต้านมะเร็ง ปกป้องตับ ต้านออกซิเดชั่น มีฤทธิ์ต้านการเกิดโรคความจำเสื่อม โดยมีผลป้องกันการถูกทำลายของเซลล์สมอง
 
 การศึกษาทางคลินิกขมิ้นชัน
         
  รักษาอาการท้องเสีย  อาการแน่นจุกเสียด อาหารไม่ย่อย และลดกรด รักษาแผลในทางเดินอาหาร ลดอาการปวดท้องเนื่องจากกระเพาะอาหารเป็นแผลได้ ลดการบีบตัวของลำไส้เยียวยาสิว
           รักษาอาการข้อเข่าอักเสบ เมื่อใช้สารสกัดวันละ 2 กรัม นาน 6 สัปดาห์ ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ  อาจลดความเจ็บปวดเมื่อเดินบนพื้นราบ และเมื่อขึ้นลงบันได โดยมีประสิทธิผล และความปลอดภัยเท่ากับยาไอบิวโพรเฟน
 
การศึกษาทางพิษวิทยา:
         
   การค้นพบพิษเฉียบพลันของเหง้าขมิ้นชันในหนูถีบจักร พบว่าหนูที่ได้รับผงขมิ้นขันทางปากในขนาด 10 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่แสดงอาการพิษ และเมื่อให้สารสกัดของเหง้าขมิ้นชันด้วย 50%แอลกอฮอล์ โดยวิธีป้อนทางปาก ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และทางช่องท้องในขนาด 15 กก.พบว่าไม่ทำให้เกิดอาการพิษเฉียบพลันและหนูถีบจักรไม่ตาย ขนาดของสารสกัดทำให้หนูตายครึ่งหนึ่ง (LD50) เมื่อให้โดยวิธีดังกล่าว จึงมีค่ามากกว่า 15 กิโลกรัม
 
 ข้อควรระวัง:       
       

  • การใช้ขมิ้นเป็นยา

รักษาโรคกระเพาะ  ถ้าใช้ขนาดสูงเกินไป  จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ
            2. คนไข้บางคนอาจมีอาการแพ้ขมิ้น  โดยมีอาการคลื่นไส้  ท้องเสีย  ปวดหัว  นอนไม่หลับ  ให้หยุดยา
            3. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการอุดตันของท่อน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี และห้ามใช้ในผู้หญิงมีครรภ์

  • ควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากเสริมฤทธิ์กัน อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และเลือดไหลหยุดยากได้

องค์ประกอบทางเคมี:
       
 
     สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin), monodesmethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin
            น้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) มีสีเหลืองอ่อน สารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone) 60%, ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25%, borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene
545  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ถิ่นกำเนิดขมิ้น เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2017, 05:49:56 pm

 
ขมิ้น เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีตั้งแต่สีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดจัด โดยถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น ขมิ้นชัน ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละภาคและจังหวัดนั้น ๆ นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหาร แต่งสี แต่งกลิ่นอาหาร เช่น แกงไตปลา แกงกะหรี่ เป็นต้น
ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายประเภท เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นต้น และขมิ้นชันมีสรรพคุณทางยาที่เยียวยาอาการและโรคต่าง ๆ ได้หลายประเภท มีประวัติในการนำมาใช้ในการรักษามากกว่า 5,000 ปี สำหรับขมิ้นชันที่จะนำมาใช้ประโยชน์นั้น การเก็บเกี่ยวไม่ควรเก็บในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อ เพราะจะทำให้สารที่มีสรรพคุณอย่างเคอร์คูมินในขมิ้นมีน้อย ส่วนเหง้าที่เก็บมาต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป และไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นจะหมดไปเสียก่อน
เมื่อได้เหง้ามาแล้ว หากจะนำไปบริโภคเพื่อใช้ในการเยียวยาโรคต่าง ๆ ควรล้างให้สะอาดก่อน และไม่ต้องปอกเปลือก แต่หั่นเป็นแว่นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปตากแดดสัก 2 วันแล้วนำมาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย แล้วนำมาบริโภควันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2-3 เม็ด หลังอาหารและช่วงก่อนนอน หรือจะนำเหง้าแก่มาขูดเอาเปลือกออกแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด นำมาบดให้ละเอียด เติมน้ำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาบริโภคครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง หากนำขมิ้นมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อเยียวยาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเหง้าขมิ้นมาฝนผสมกับน้ำต้มสุก แล้วทาแถวที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือจะนำเอาผงขมิ้นมาโรยก็ใช้ได้เช่นกัน
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ถิ่นกำเนิดขมิ้น
546  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ส่วนผสมต่างๆของขมิ้นชัน เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2017, 03:03:00 pm

 
 
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1 ถ้วย และนมสด 3/4 ถ้วย
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่1
 ผสมผงขมิ้นกับนมสดให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกหน้าแล้วปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ขมิ้นจะช่วยให้ผิวขาวเขียนผุดผ่องเป็นยองใย ส่วนนมสดจะบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและนุ่มนวลน่าสัมผัสมากขึ้น ทำเป็นประจำ ผิวจะเรียบเนียนเกลี้ยงเกลาจนสัมผัสได้แน่นอน
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรลดรอยไหม้จากแดด
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่2
 นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ 30 นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สูตรนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวไหม้แดงจากแสงแดด หรือผิวคล้ำเสียจากแดดก็อาจช่วยฟื้นบำรุงผิวได้เช่นกัน ผิวจะกลับมาขาวกระจ่างใสและมีสุขภาพดีดังเดิมได้ค่ะ
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรผิวขาวกระจ่างใสเปล่งปลั่ง
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่3
 นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมจนเข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ ไม่สวยสดใส แนะนำให้พอกหน้าด้วยสูตรผงขมิ้นนี้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง รับรองน้ำมะนาวจะทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออก ผิวจึงค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น ส่วนน้ำผึ้งจะบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้น และขมิ้นก็จะบำรุงผิวให้เรียบเนียนใสอย่างไร้ที่ติ การผสานสรรพคุณของสูตรพอกหน้านี้จึงทำให้สาวๆ มีสภาพผิวหน้าที่ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติได้ค่ะ
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรป้องกันการเกิดสิว
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1/2 ช้อนชา และดินสอพอง 2-3 เม็ด
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่4
 ละลายดินสอพองด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อย จากนั้นเติมขมิ้นผงลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที เสร็จแล้วล้างออกให้สะอาด ขมิ้นมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวและผดผื่นได้ ในขณะที่ดินสอพองจะช่วยลดเลือนความมันบนผิวหน้าและดูดซับสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก แถมยังทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใสมากขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สูตรนี้จะช่วยป้องกันการเกิดสิว ทำให้ผิวหน้าใสปิ๊งเปล่งปลั่งได้อย่างใจแน่นอนค่ะ
 
พอกหน้าด้วยขมิ้น สูตรลดเลือนความมันบนผิวหน้า
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1 ช้อนชา นมสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ และเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่5
 นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมลงในภาชนะเล็กๆ คนจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่วไป ปล่อยไว้ 30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาผิวหน้ามันเยิ้ม แนะนำสูตรนี้เลยค่ะ เพราะว่านหางจระเข้จะช่วยลดเลือนความมันบนผิวลงได้ ในขณะที่นมสดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวนวลนุ่มสุขภาพดี ส่วนขมิ้นนั้นจะช่วยขจัดจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำบนผิวและบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียนกระจ่างใส อยากหน้าใสปิ๊งจนใครต้องทัก และบอกลาปัญหาหน้ามันเยิ้มได้อย่างอยู่หมัด อย่าพลาดสูตรพอกหน้าสูตรนี้เด็ดขาด
 
ขมิ้นพอกหน้า สูตรแก้ผดลดสิวและบรรเทาอาการสิวอักเสบ
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง 2-3 เม็ด
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่6
 ละลายดินสอพองกับน้ำสะอาดเล็กน้อย แล้วนำส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดมาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อได้ส่วนผสมที่เข้ากันดีแล้ว ให้นำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้หากพอกตอนมีสิวก็จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวให้ทุเลาลงได้ เพราะขมิ้นมีประโยชน์ทางยาโดยอาจช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง และยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวได้เป็นอย่างดี น้ำผึ้งก็จะทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว น้ำมะนาวจะผลัดเซลล์ผิวทำให้หน้าขาวกระจ่างใส ส่วนดินสอพองจะขจัดสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากผิว ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนกระจ่างใสอย่างไร้ที่ติมากขึ้น
 
สูตรรักษาสิวให้หายเร็วขึ้นด้วยขมิ้นพอกหน้า
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง 2-3 เม็ด
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่7
 ละลายดินสอพองกับน้ำสะอาดเล็กน้อย เพื่อให้ได้ส่วนผสมเหลวๆ ข้นๆ จากนั้นเติมขมิ้นผงและน้ำผึ้งลงไปผสม คนให้ทุกอย่างเข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกให้สะอาด สูตรขมิ้นพอกหน้านี้เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีสิว หากหมั่นทำบ่อยๆ สิวอักเสบก็จะยุบตัวลงและแห้งเร็วขึ้น แถมแผลจากสิวก็จะหายเร็วด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งผิวหน้าก็จะเนียนนุ่มชุ่มชื้นและเรียบเนียนใสสะกดตาอีกด้วย
 
สูตรชะลอการเกิดริ้วรอย
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้นผง 1 ช้อนชา นมสด 1 ถ้วย ดินสอพอง 2-3 เม็ด และแตงกวา 1 ลูก
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่8
 ปอกเปลือกแตงกวาให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด เติมส่วนผสมอื่นๆ ลงไปปั่นรวมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สูตรพอกหน้าด้วยขมิ้นนี้ เป็นสูตรที่รวมเอาวัตถุดิบที่มีดีต่อการปรนนิบัติผิวหลายอย่างมามิกซ์ในสูตรเดียวกัน ผิวหน้าสาวๆ จะสดใสเปล่งปลั่ง และนุ่มชุ่มชื้นขึ้นทันตา เนื่องจากแตงกวามีกรดอะมิโน โปรตีนและเอนไซม์ ในขณะที่สารสีเหลืองจากขมิ้นจะทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้เป็นอย่างดี สาวๆ หมั่นพอกหน้าด้วยสูตรนี้เป็นประจำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ผิวหน้าจะเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์กว่าวัยได้แน่นอน
 
สูตรบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียน อ่อนเยาว์
ส่วนผสมที่ต้องเตรียม : ขมิ้น 1/2 ช้อนชา นมผง 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นพอกหน้าสูตรที่9
 นำผงขมิ้น นมผงและน้ำผึ้งมาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าและลำคอ ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกให้สะอาด น้ำผึ้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบีและกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว จึงช่วยทั้งบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย นมผงก็จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส ในขณะที่ผงขมิ้นจะช่วยให้ผิวหน้าขาวผุดผ่องมากขึ้น

Tags : ขมิ้นชัน
547  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ประเภทเเละลักษณะคนทีสอ เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2017, 11:16:33 am

ต้นคนที
 ต้นคนที ( Vitex rotundifolia L.f.) ขึ้นอยู่ชายทะเล มักมีผู้เล่นผิดเป็น “คนทีสอทะเล” พืชลักษณะนี้มีใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ (มีสามใบย่อย) แต่ใบย่อยสองใบข้างมักลดรูป ทำให้ดูประหนึ่งเป็นใบเดี่ยว พืชประเภทนี้
มีชื่อพ้องว่า Vitex trifolia L. Var simplicifolia Cham.
 อย่างไรก็ตามต้องรอของใบประกอบแบบนิ้วมือ (มีสามใบย่อย) ยังอาจจะกดให้เห็นได้บ้าง
 การเรียงใบคนที ใบทั้งใบเดี่ยวและใบประกอบมีการเรียงบนกิ่งแตกต่างกันได้หลายแบบ ที่พบบ่อยได้แก่
 ก. แบบสลับ มีใบเพียงใบเดียวที่ข้อหนึ่งข้อ เรียงสลับกัน เช่น ใบของต้นน้อยหน่า
 ข. แบบตรงกันข้าม โดยข้อหนึ่งมีใบสองใบตรงกันข้ามตรงข้ามกันในระนาบเดียวกันไปตลอดเช่นใบของต้นฝรั่ง
 ค. แบบตรงกันข้ามสลับตั้งฉาก การเรียงใบแบบเหมือนกันแต่ตรงกันข้าม แต่คู่ใบของข้อหนึ่งจะอยู่ในแนวตั้งฉากกับคู่ใบของข้อถัดไป เช่น ใบเข็ม
 ง. แบบเวียน การเรียงใบแบบนี้แตกต่างแบบสลับ การเรียงใบที่ข้อจะเยี้องสลับกันเล็กน้อยรอบกิ่ง เช่น ใบชบา
 จ.แบบเป็นวงรอบ เมื่อมีใบตั้งแต่ ๓ ใบขึ้นไป เรียงรอบข้อเดียวกัน เช่น ใบบานบุรี
 ฉ.แบบสลับระนาบเดียว เมื่อมีใบเพียงใบเดียวที่ข้อหนึ่ง ชนิดสลับซ้ายขวาในระนาบเดียวกัน เช่น ใบกล้วยไม้
 แผ่นใบ แผ่นใบของพืชมักมีสีเขียว มีความหลากหลายคล้ายกันได้มาก ตั้งแต่การเรียงเส้นใบ รูปใบ ปลายใบ ขอบใบ โคนใบ ผิวใบ และเนื้อใบ แทนใบของพืชลางจำพวก ลดรูปเหลือเพียงเกล็ดเล็กๆ เช่น ใบต้นสนทะเล แผ่นใบลางจำพวกมีลางส่วนหรือทั้งใบเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่พิเศษ เช่น จับแมลง (ในกรณีใบของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง) เป็นมือจับ(ในกรณีของใบดองดึง)
 ก.การเรียงเส้นใบ เส้นที่ต่อจากก้านใบขึ้นมาอยู่กลางใบ เห็นได้ชัดเจนมีประมาณขนาดใหญ่กว่าเส้นใบอื่น เรียก เส้นกลางใบ เส้นที่แตกแขนงจากเส้นกลางใบ เรียก เส้นแขนงใบ ส่วนเส้นที่แตกจากเส้นแขนงใบ เรียก เส้นใบและเส้นใบย่อย ตามลำดับการเรียงเส้นใบมี ๒ แบบ ได้แก่
 -แบบร่างแห การแตกแขนงของเส้นใบจะสารการเป็นร่างแหมี ๒ ประเภท ได้แก่ -ประเภทขนนก เส้นแขนงใบแตกจากแยกรังไมค์แยกออกไป ๒ ข้าง ไปยังขอใบและปลายใบ เหมือนขนนก เส้นใบย่อยสานกันเป็นร่างแห เช่น ใบฝรั่ง
 -ประเภทนิ้วมือ เส้นแขนงใบขนาดต่างกันหลายเส้น แตกต่างจาก แตกจากปลายก้านใบ พุ่งไปยังขอบทุกด้าน หรือพุ่งไปยังปลายใบ เส้นใบย่อยสารการเป็นร่างแห เช่น ใบมะละกอ
 -แบบขนาน การแตกแขนงของเส้นใบจากขนานกันมี ๒ ประเภท ได้แก่
 -ประเภทขนนก เส้นกลางใบ เห็นได้ชัดเจน เส้นแขนงใบและเส้นใบแต่ขนานกันจะเส้นกลางใบ ไปยังปลายใบหรือขอบใบแบบขนนก เช่น ใบกล้วย
 -ประเภทนิ้วมือ เห็นเส้นกลางใบไม่ชัดเจน แต่มีเส้นใบแตกจากปลายก้านใบพุ่งไปยังขอบใบ หรือพุ่งขนานตรงไปยังปลายแผ่นใบ เช่น ใบไผ่ ข.รูปใบ ลักษณะของรูปใบอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มใบรูปไข่กลับ (ใบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดหงาย ใบรูปไข่กลับ ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ และใบรูปใบหอกแกมรูปไข่กลับ) กลุ่มใบรูปรี (ไบรูปทรงกลม ใบรูปรี ใบรูปขอบขนาน และใบรูปใบหอก) และกลุ่มใบรูปไข่ (รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ใบรูปไข่ ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ และใบรูปใบหอกแกมรูปไข่)
 กลุ่มใบรูปไข่กลับ
 
๑. ใบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดหงาย
 ๒. ใบรูปไข่กลับ
 ๓.ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ
 ๔. ใบรูปหอกแกมรูปไข่กลับ
 ใบรูปรี
 
๑.ใบรูปทรงกลม
 ๒.ใบรูปรี
 ๓.ใบรูปขอบขนาน
 ๔.ใบรูปใบหอก
 กลุ่มใบใบรูปไข่
 
ก.ใบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ๒.ใบรูปไข่
 ข.ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่
 ฃ.ใบรูปหอกแกมรูปไข่
 ค.ปลายใบ แผ่นใบอาจมีหลายใบหลายแบบ ที่พบบ่อยมีแบบแหลม เรียวแหลม แหลมแข็ง ยาวคล้ายหาง ม้วน เป็นติ่งแหลม เว้าตื้น เป็นติ่งหนาม รูปหัวใจกลับ มน เว้าบุ๋ม และตัด
 ง.ขอบใบ แผ่นใบอาจมีขอใบหลายแบบแตกต่างกัน ที่พบบ่อยเป็นแบบขนครุย หยักมน หยักซี่ฟัน จักฟันเลื่อยซ้อน เรียบ จาลึก เป็นหยัก เป็นแฉก หยักแบบขนนก จักฟันเลื่อย จักฟันเลื่อยถี่ เป็นคลื่น
 จ. โคนใบ แทนใบอาจมีโคนใบได้หลายแบบต่างกัน ที่พบบ่อยมีแบบสอบเรียว รูปติ่งหู รูปเงี่ยงลูกศร รูปหัวใจ รูปลิ่ม รูปเงี่ยงใบหอก รูปเฉียง รูปมน รูปตัด แบบก้นปิด แบบรอบข้อ
 ฉ.ผิวใบ แผ่นใบอาจมีผิวใบทั้งสองด้านเหมือนกันหรือแตกต่าง กันได้หลายแบบ ที่พบบ่อยมีแบบเกลี้ยง เป็นขุย มีขนสาก มีขนสั้นนุ่ม มีขนสั้นสีเทา เป็นขนครุย เป็นชายครุย มีขนหยาบแข็ง มีขนหยาบ มีขนสาก มีขนยาวห่าง มีขนรูปดาว มีขนสั้นหนานุ่ม และมีขนกำมะหยี่
 ช. เนื้อใบ แผ่นใบอาจมีเนื้อใบต่างกัน ที่พบได้มากมีแบบบางคล้ายเยื่อ (โปร่งแสง) บางคล้ายกระดาษ (ทึบแสง) คล้ายแผ่นหนัง บางและแห้ง และอวบน้ำ
 ใบเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่น
 
ใบหรือลางส่วนของพืชลางชนิดอาจลดรูปเมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์ พืชจำพวกตะบองเพชรทั้งหลายชนิดใบจะลดรูปหรือเปลี่ยนไปเป็นหนาม เพื่อลดการสูญเสียน้ำจากการคายน้ำ และเพื่อป้องกันตัวเอง พืชหลายชนิดอาจมีลางส่วนของใบเปลี่ยนไปเป็นหนาม เช่น ใบเหงือกปลาหมอ มีหนามที่ขอบใบ พืชพวกหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีปลายใบเปลี่ยนไปเป็นโครงสร้างพิเศษสำหรับ ดักจับแมลง
548  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การศึกษาทางเภสัชวิทยาขมิ้นชัน เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2017, 09:25:51 am

         
  มีฤทธิ์ขับลม ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ กระตุ้นการหลั่งสารเมือกมาเคลือบ และยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆ สมานแผลในกระเพาะอาหาร ต้านการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อบิดมีตัว ฆ่าพยาธิ ต้านเชื้อ Helicobacter pylori ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ขับน้ำดี แก้ท้องอืด  ท้องเฟ้อ  ขับลม  รักษาอาการอุจจาระร่วง ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้และมดลูก ป้องกันการเกิดมะเร็งและต้านมะเร็ง ปกป้องตับ ต้านออกซิเดชั่น มีฤทธิ์ต้านการเกิดโรคความจำเสื่อม โดยมีผลป้องกันการถูกทำลายของเซลล์สมอง
 
 การศึกษาทางคลินิกขมิ้นชัน
         
  เยียวยาอาการท้องเสีย  อาการแน่นจุกเสียด อาหารไม่ย่อย และลดกรด รักษาแผลในทางเดินอาหาร คลายอาการปวดท้องเนื่องจากกระเพาะอาหารเป็นแผลได้ ลดการบีบตัวของลำไส้รักษาสิว
           รักษาอาการข้อเข่าอักเสบ เมื่อใช้สารสกัดวันละ 2 กรัม นาน 6 สัปดาห์ ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ  สามารถลดความเจ็บปวดเมื่อเดินบนพื้นราบ และเมื่อขึ้นลงบันได โดยมีประสิทธิผล และความปลอดภัยเท่ากับยาไอบิวโพรเฟน
 
การศึกษาทางพิษวิทยา:
         
   การค้นคว้าพิษเฉียบพลันของเหง้าขมิ้นชันในหนูถีบจักร พบว่าหนูที่ได้รับผงขมิ้นขันทางปากในขนาด 10 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่แสดงอาการพิษ และเมื่อให้สารสกัดของเหง้าขมิ้นชันด้วย 50%แอลกอฮอล์ โดยวิธีป้อนทางปาก ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และทางช่องท้องในขนาด 15 กิโลกรัมพบว่าไม่ทำให้เกิดอาการพิษเฉียบพลันและหนูถีบจักรไม่ตาย ขนาดของสารสกัดทำให้หนูตายครึ่งหนึ่ง (LD50) เมื่อให้โดยวิธีดังกล่าว จึงมีค่ามากกว่า 15 กิโลกรัม
 
 ข้อควรระวัง:       
       

  • การใช้ขมิ้นเป็นยา

เยียวยาโรคกระเพาะ  ถ้าใช้ขนาดสูงเกินไป  จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ
            2. คนไข้บางคนอาจมีอาการแพ้ขมิ้น  โดยมีอาการคลื่นไส้  ท้องเสีย  ปวดหัว  นอนไม่หลับ  ให้หยุดยา
            3. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการอุดตันของท่อน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี และห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์

  • ควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากเสริมฤทธิ์กัน อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และเลือดไหลหยุดยากได้

องค์ประกอบทางเคมี:
       
 
     สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin), monodesmethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin
            น้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) มีสีเหลืองอ่อน สารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone) 60%, ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25%, borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene
549  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ใบเปล้าน้อยเป็นใบเพสลาดของต้นเปล้าน้อย เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2017, 11:21:05 am
เปล้าน้อย สมุนไพรไทย ใช้รักษาโรค
550  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ใบเปล้าน้อยเป็นใบเพสลาดของต้นเปล้าน้อย เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2017, 10:07:18 am
เปล้าน้อย สมุนไพรไทย ใช้รักษาโรค
551  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สรรพคุณของกวาวเครือแดง เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2017, 02:33:53 pm

สรรพคุณของกวาวเครือแดง
หัวกวาวเครือแดง มีรสเย็นเบื่อเมา ช่วยบำรุงสุขภาพร่างกาย และใช้เป็นยาอายุวัฒนะ (หัว)
ช่วยทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายมีอายุยืนยาวขึ้น ช่วยทำให้ร่างกายและเนื้อเยื่อเสื่อมช้าลง
ผลช่วยเจริญธาตุไฟในร่างกาย (ผล)
ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงสุขภาพเนื้อหนังให้เต่งตึง (หัว)
ช่วยทำให้หน้าอกโต (หัว)
ช่วยบำรุงกำหนัดหรือเพิ่มความต้องการทางเพศ ช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิ มีฤทธิ์เพิ่มความแข็งตัวของอวัยวะเพศ เช่นเดียวกับฤทธิ์ของซิลเดนาฟิล ซิเตรต (Sidenal Citrate) ของยาไวอากรา (Viagra) (หัว)
กวาวเครือแดงมี ประโยชน์ช่วยบำรุงหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียน (หัว)
ใบและรากกวาวเครือแดงช่วยทำให้นอนหลับและเสพติด (ราก, ใบ)
ช่วยบำรุงสายตา (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
รากและต้นช่วยแก้โลหิต (ราก, ต้น
รากช่วยแก้ลมอัมพาต (ราก ต้น
ช่วยแก้อาการปวดฟัน (เปลือก)
ช่วยแก้ไข้ (เปลือก, ทั้ง 5 ส่วน)
ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (ทั้ง 5 ส่วน)
ช่วยขับเสมหะ (เปลือก)
ช่วยแก้อาการจุกเสียด แก้อาการลงท้อง แก้สะพั้น (ผล)
ช่วยแก้ตัวพยาธิ (ผล)
ช่วยแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (หัว)
เปลือกเถากวาวเครือแดงมีรสเย็นเบื่อเมา ช่วยแก้พิษงู (เปลือกเถา)
กวาวเครือแดงจัดอยู่ในตำรับยาสมุนไพร “พิกัดเนาวโลหะ” ซึ่งประกอบไปด้วย รากกวาวเครือแดง รากขันทองพยาบาท รากทองกวาว รากทองพันชั่ง รากทองโหลง รากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากใบทอง และรากจำปาทอง โดยเป็นตำรับยาที่มี คุณสมบัติช่วยแก้เสมหะ แก้ลม ลมที่เป็นพิษ ดับพิษ ช่วยชำระล้างลำไส้ สมานลำไส้ แก้โรคดี แก้โรคตับ แก้ริดสีดวงทวาร และขับระดูร้าย
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ระบุว่ากวาวเครือแดงมีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน ช่วยกดการทำงานของหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิต และช่วยกระตุ้นการหายใกวาวเครือแดงสำเร็จรูป ได้แก่ ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดความอ้วน ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วย เยียวยาโรคเส้นเลือดอุดตัน จึงช่วย เยียวยาโรคหัวใจบาง รักษาได้ เพราะไปช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยทำให้ผมดกดกวาวเครือแดง[/url]มีสาร Flavonoids (วิตามินพี) ใน คุณภาพสูง ซึ่งมี ประโยชน์ในด้านเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมการทำงานของหลอดเลือดในร่างกาย และช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง (ซึ่งส่วนนี้ผู้เขียนยังหาข้อมูลทางวิชาการมาสนับสนุนไม่ได้ว่ามี สรรพคุณช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่ากวาวเครือมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ชนิด จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดการสับสนในเรื่อง ประโยชน์และทำให้เข้าใจผิดได้ ดังนั้นคุณควรใช้วิจารณญาณกันเอาเองนะครับ
552  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / การศึกษาพิษเรื้อรังของกวาวเครือแดง เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2017, 10:36:46 am
การศึกษาพิษเรื้อรังของกวาวเครือแดง
ได้มีการ วิจัยในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ทั้งตัวผู้และตัวเมียเป็นระยะเวลา 6 เดือน ผลการ ศึกษาพบว่าการให้ผงกวาวเครือแดงขนาด 10 มก./กก.ต่อวัน พบว่าไม่มีพิษต่อค่าทางโลหิตวิทยา ค่าทางชีวเคมีและพยาธิสภาพของอวัยวะภายใน ส่วนหนู วิจัยที่ได้รับใน จำนวนมากกว่า 100 มิลลิกรัม/กก.ต่อวัน พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของค่าโลหิตวิทยา ค่าทางชีวเคมีและพยาธิสภาพของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะในหนูทดลองที่ได้รับผงกวาวเครือขนาดสูงสุด (1,000 มก./กก.ต่อวัน) พบว่ามีระดับเอนไซม์ Aspartate aminotransferase, Alanine aminotransferase, Alkaline phosphatase และ bilirubin ซึ่งแสดงถึงการทำงานของตับเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และจากการตรวจสอบทางจุลพยาธิก็พบว่าเกิดความ ผิดปกติในตับหนูอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการ ค้นคว้าจึงพบว่าการให้ผงกวาวเครือแดงในขนาด 250 มก./กก. ต่อวันหรือมากกว่านั้นจะทำให้เกิดพยาธิสภาพของอวัยวะภายในของหนูโดยเฉพาะที่ตัประโยชน์กวาวเครือแดง
มีการใช้กวาวเครือแดงเพื่อทำเป็นยาคุมกำเนิดสำหรับสัตว์
ใบกวาวเครือแดงมีขนาดใหญ่มาก จึงสามารถนำมาใช้ห่อข้าวแทนใบตองได
มีการนำสมุนไพรกวาวเครือแดงมาทำเป็นแชมพู สูตรทำให้เส้นผมแข็งแรง ป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผม ป้องกันผมหงอกก่อนวัย เนื่องจากกวาวเครือแดงเป็นสมุนไพรที่มี ประโยชน์ช่วยบำรุงหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดี จึง สามารถนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงรากผมได้ดี และเมื่อใช้ผสมกับสมุนไพรกวาวเครือขาวที่มี สรรพคุณช่วยบำรุงเรื่องหนังศีรษะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงแบบธรรมชาติ แถมยังช่วยลดอาการคันหนังศีรษะและรังแคอันเกิดจากหนังศีรษะแห้งได้อีกด้วย และเมื่อนำมาใช้ทำเป็นแชมพูก็จะยิ่งทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ปัจจุบันมีการนำสมุนไพรกวาวเครือแดงไปผลิตหรือแปรรูปเป็นยาสมุนไพรอย่างหลากหลาย เช่น ครีมกวาวเครือแดง, สบู่กวาวเครือแดง, ยากวาวเครือแดง, เจลกวาวเครือแดง, กวาวเครือแดงแคปซูล, ครีมนวดกวาวเครือแดง เป็นต้น
คำแนะนำและข้อควรระวัง
กวาวเครือเป็นสมุนไพรที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ จึงถูกขึ้นบัญชีเป็นสมุนไพรควบคุมประกาศของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2549 เพื่อจำกัดการครอบครองในกรณีที่ขุดจากป่าและเพาะปลูกเอง เมื่อขุดแล้วต้องปลูกทดแทน โดยผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทยหรือหมอพื้นบ้าน (40-120 กก.) หรือหน่วยงานศึกษาวิจัยต่าง ๆ (80-240 กิโลกรัม) โรงงานอุตสาหกรรม (400-1,200 กก.) และสำหรับเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไป (20-60 กิโลกรัม) สามารถครอบครองสมุนไพรควบคุมดังกล่าวได้ใน จำนวนตามที่ระบุไว้ในประกาศตาม พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บ. หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นการนำสมุนไพรกวาวเครือทุก ชนิดมาใช้จึงต้องคำนึงถึงกฎหมายด้วย และควรได้รับการแนะนำจากแพทย์แผนไทย แม้ว่าปริมาณที่ บริโภคจะปลอดภัยมากกว่ายาไวอาก้าก็ตาม
ตามข้อกำหนดขององค์การอาหารและยาของประเทศไทย (อย.) ระบุขนาดการรับประทานสมุนไพรกวาวเครือแดงไม่ควรเกินวันละ 2 มิลลิกรัมต่อ กก.ต่อวัน
สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับหรือโรคหัวใจไม่ควร บริโภค หรือควร ปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้สมุนไพร อย่างนี้
ผลข้างเคียงกวาวเครือแดง ตามตำราสมุนไพรไทยระบุไว้ว่า กวาวเครือ จำพวกหัวแดงนี้มีพิษมาก ปกติแล้วจะไม่ นิยมนำมาทำเป็นยาสมุนไพร เพราะการ กินใน คุณภาพมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ เช่น อาจมีอาการมึนเมา มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
สมุนไพรกวาวเครือแดงมีพิษเมามากกว่าสมุนไพรกวาวเครือขาว
การ ทานกวาวเครือแดงในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดพิษต่อตับ หรือทำให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้
การ ทานกวาวเครือแบบชง ตามตำรับยาพื้นบ้านของภาคเหนือ ระบุว่าให้ อุปโภคกวาวเครือแดงวันละ 2 ใน 3 ส่วนของเมล็ดพริกไทย หรือ กินเท่าขนาดของเมล็ดมะกล่ำใหญ่
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : กวาวเครือเเดง
553  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สำหรับสรรพคุณ เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2017, 03:09:43 pm

สำหรับสรรพคุณ
   กวาวเครือแดง ซึ่งเป็นข้อมูลจากผู้จำหน่ายสมุนไพรกวาวเครือแดงสำเร็จรูป ได้แก่ ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดความอ้วน ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วย เยียวยาโรคเส้นเลือดอุดตัน จึงช่วยรั เยียวยาโรคหัวใจบาง จำพวกได้ เพราะไปช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยทำให้ผมดกดข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกวาวเครือแดง
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของสมุนไพรกวาวเครือแดง มีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน ช่วยกดการทำงานของหัวใจ ช่วยทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิต และช่วยกระตุ้นการหายใกวาวเครือแดงในรูปของสารสกัดเอทานอล กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์ของ Seminal Vesicles ลดลง และเมื่อ ค้นหา ไปในระยะยาวและใน คุณภาพของสารสกัดที่เพิ่มมากขึ้นก็พบว่าระดับฮอร์โมน Testosterone ลดลง และมี ปริมาณเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้น ดังนั้นการรับ ทาน ใน จำนวนมากเกินไป อาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้ (พิชานันท์ ลีแก้ว, 2553, โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ, จุลสารข้อมูลสมุนไพร)[1]
การศึกษาทางคลินิกของฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์
ในอาสาสมัครที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศอย่างน้อย 6 เดือน เมื่อ บริโภคกวาวเครือแดงแคปซูล (ในขนาด 250 มก.ต่อแคปซูล วันละ 4 แคปซูล) เป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่าอาสาสมัครมีสมรรถภาพทางเพศที่ดีขึ้นสูงถึง 82.4% จึงกล่าวได้ว่ากวาวเครือแดง อาจช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้ และไม่พบการเกิดพิษแต่อย่างใด (พิชานันท์ ลีแก้ว, 2553, โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ, จุลสารข้อมูลสมุนไพร)[1]
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : กวาวเครือเเดง
554  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สรรพคุณของกวาวเครือแดง เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2017, 09:00:27 am

สรรพคุณของกวาวเครือแดง
หัวกวาวเครือแดง มีรสเย็นเบื่อเมา ช่วยบำรุงสุขภาพร่างกาย และใช้เป็นยาอายุวัฒนะ (หัว)
ช่วยทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายมีอายุยืนยาวขึ้น ช่วยทำให้ร่างกายและเนื้อเยื่อเสื่อมช้าลง
ผลช่วยเจริญธาตุไฟในร่างกาย (ผล)
ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงสุขภาพเนื้อหนังให้เต่งตึง (หัว)
ช่วยทำให้หน้าอกโต (หัว)
ช่วยบำรุงกำหนัดหรือเพิ่มความต้องการทางเพศ ช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิ มีฤทธิ์เพิ่มความแข็งตัวของอวัยวะเพศ เช่นเดียวกับฤทธิ์ของซิลเดนาฟิล ซิเตรต (Sidenal Citrate) ของยาไวอากรา (Viagra) (หัว)
กวาวเครือแดงมี ประโยชน์ช่วยบำรุงหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียน (หัว)
ใบและรากกวาวเครือแดงช่วยทำให้นอนหลับและเสพติด (ราก, ใบ)
ช่วยบำรุงสายตา (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
รากและต้นช่วยแก้โลหิต (ราก, ต้น
รากช่วยแก้ลมอัมพาต (ราก ต้น
ช่วยแก้อาการปวดฟัน (เปลือก)
ช่วยแก้ไข้ (เปลือก, ทั้ง 5 ส่วน)
ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (ทั้ง 5 ส่วน)
ช่วยขับเสมหะ (เปลือก)
ช่วยแก้อาการจุกเสียด แก้อาการลงท้อง แก้สะพั้น (ผล)
ช่วยแก้ตัวพยาธิ (ผล)
ช่วยแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (หัว)
เปลือกเถากวาวเครือแดงมีรสเย็นเบื่อเมา ช่วยแก้พิษงู (เปลือกเถา)
กวาวเครือแดงจัดอยู่ในตำรับยาสมุนไพร “พิกัดเนาวโลหะ” ซึ่งประกอบไปด้วย รากวาวเครือแดง[/url] รากขันทองพยาบาท รากทองกวาว รากทองพันชั่ง รากทองโหลง รากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากใบทอง และรากจำปาทอง โดยเป็นตำรับยาที่มี คุณสมบัติช่วยแก้เสมหะ แก้ลม ลมที่เป็นพิษ ดับพิษ ช่วยชำระล้างลำไส้ สมานลำไส้ แก้โรคดี แก้โรคตับ แก้ริดสีดวงทวาร และขับระดูร้าย
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ระบุว่ากวาวเครือแดงมีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน ช่วยกดการทำงานของหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิต และช่วยกระตุ้นการหายใกวาวเครือแดงมีสาร Flavonoids (วิตามินพี) ใน จำนวนสูง ซึ่งมี ประโยชน์ในด้านเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมการทำงานของหลอดเลือดในร่างกาย และช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง (ซึ่งส่วนนี้ผู้เขียนยังหาข้อมูลทางวิชาการมาสนับสนุนไม่ได้ว่ามี คุณสมบัติช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่ากวาวเครือมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ชนิด จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดการสับสนในเรื่อง สรรพคุณและทำให้เข้าใจผิดได้ ดังนั้นคุณควรใช้วิจารณญาณกันเอาเองนะครับ
555  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2017, 06:57:18 pm

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : 
อยู่ในจำพวกไม้เลื้อยเป็นเถาวัลย์ เนื้อแข็ง ชอบขึ้นพาดกับต้นไม้ใหญ่
  * ใบกวาวเครือแดง ใบใหญ่คล้ายใบของต้นทองกวาว
    * ดอกกวาวเครือแดง ดอกใหญ่ คล้ายดอกแคแสด เป็นพวงระย้าเหมือนดอกทองกวาว ฝักเล็กแบนบาง
    * หัวกวาวเครือแดง ลงใต้ดินคล้ายหัวมันแกวใหญ่ๆ เปลือกสีน้ำตาล ฝานเปลือกออกจะมีสีแดงสดซึมออกมา เนื้อในสีขาว มีอายุยืน บางหัวใหญ่เท่าตัวคนก็มี มีรากเหง้า และลำต้นเลื้อยพันไปทั่วกับต้นไม้ใหญ่ข้างเคียง
    * รากกวาวเครือ มีรากแขนงแยกจากเหง้าเลื้อยไปรอบๆ หลายเมตร
สรรพคุณกวาวเครือแดง
 กวาวเครือแดงกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นคำเรียกรวม ๆ ของกลุ่มอาการที่สมรรถภาพทางเพศไม่ปกติออกไปจนทำให้ตนเอง หรือคู่ครอง ไม่ได้รับความสุขในการร่วมเพศ อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ได้แก่ การที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวไม่นานพอ การหลั่งเร็ว การไม่ถึงจุดสุดยอด และความเจ็บปวดในขณะร่วมเพศ สาเหตุโดยทั่วไปอาจเกิดจาก ภาวะที่คู่ของตนมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศเลยพลอยทำให้ตัวเองมีปัญหาไปด้วย หรืออาจจะเกิดจากการขาดทักษะ รวมไปถึงปัญหาทางจิตใจและร่างกาย เช่น ความเครียด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง มีรายงานข่าวเกี่ยวกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ พบว่า ภาวะ ไม่แข็งตัว ( อีดี หรือ Erectile Dysfunction ) เป็นข้อมูลที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด และพบว่า ปัญหาด้านสุขภาพก็เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเกิด อีดี นอกจากนี้ พฤติกรรมเสี่ยง เช่นการสูบบุหรี่ ก็มีผลกระทบได้เช่นกัน โดยมีข้อมูลในข่าวระบุว่า ชายไทยวัย 40 ปีขึ้นไปกว่า 30 % มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
สมุนไพรกวาวเครือแดง
 เป็นสมุนไพรสำหรับเพศชายอย่างแท้จริง เพราะมีสรรพคุณ ในการบำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ และที่สำคัญที่สุดยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยเพิ่มคุณภาพของอสุจิ มีฤทธิ์เพิ่มความแข็งตัวของอวัยวะเพศ เช่นเดียวกับยาไวอากร้า
     ตำรายาไทย: หัว รสเย็นเบื่อเมา บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพ เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ทำให้หน้าอกโต บำรุงความกำหนัด ราก แก้ลมอัมพาต แก้โลหิต ผสมรากสมุนไพรอื่นอีกแปดลักษณะเรียกว่า พิกัดเนาวโลหะ ได้แก่ รากทองกวาว รากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากทองโหลง รากทองพันชั่ง รากขันทองพยาบาท รากใบทอง และรากจำปาทอง ใช้แก้โรคดี เสมหะ ลมที่เป็นพิษ แก้ริดสีดวง ทำลายพยาธิ ดับพิษ ถอนพิษ ชำระล้างลำไส้ แก้โรคตับ แก้ลม ขับระดูร้าย สมานลำไส้ เปลือกเถา รสเย็นเบื่อเมา แก้พิษงู
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณกวาวเครือเเดง

Tags : กวาวเครือแดง
หน้า: 1 ... 35 36 [37] 38 39 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย