กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 37 38 [39] 40 41 ... 44
571  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สังข์คืออะไร เขาใช้ทำอะไรบ้าง เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2017, 01:11:12 pm

สังข์
 
สังข์ หรือ ศังข์ เป็นชื่อหอยทะเลกาบเดี่ยวหลายประเภทในหลายวงศ์ หอยสังข์ ก็เรียก เช่น สังข์สกุล  Stombus  วงศ์  Stombidae
ที่พบได้ในท้องทะเลไทยมีหลายชนิด เช่น
 สังข์ชนิด Stombus   labiabus  (Roding)
 มีชื่อสามัญว่า plicate  conch
 สังข์ชนิด  Stombus  microurceus  (Kira)
 ที่มีชื่อสามัญว่า  micro  conch
 สังข์ชนิด  Stombus  urceus  Linnaeus
 ที่มีชื่อสามัญว่า  little  bear  conch
 สังข์ชนิด  Stombus  canarium  Linnaeus
 ที่มีชื่อสามัญว่า  dog  conch
 ทั้งหมดมีขนาดยาว ๔-๖ เซนติเมตร สังข์ในสกุลนี้คุณสมบัติหนึ่ง เปลือกสีขาว ช่องเปิดเรียวยาวได้รูปทรงใช้สำหรับหลั่งน้ำพระพุทธมนต์หรือน้ำเทพมนต์
สังข์อีกคุณสมบัติหนึ่งคือสังข์แตร หรือ สังข์เป่า
 มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  charonia  tritonis  (Linnaeus)จัดอยู่ในวงศ์  Cymatiidae
 มีชื่อสามัญว่า  trumpet  triton
 ใช้สำหรับเป่า
คำ สังข์ เป็นภาษาบาลี   ส่วนศังข์เป็นภาษาสันสกฤต (ภาษาอังกฤษเขียน  sankha)  ลางตำราเขียนเป็น หอยศังข์ ก็มี มีชื่อสามัญว่า conch หรือ conch-shell คุณสมบัติเปลือกคล้ายเครื่องเคลือบดินเผา ป่องกลาง หัวท้าแหลม ส่วนบนเป็นเกลียว ส่วนปลายเรียวยาว สังข์ที่พบทั่วไปเป็นสังข์ที่เกลียวหมุนเป็นอุตราวรรต (ทวนเข็มนาฬิกา)  เรียก สังข์อุตราวรรต ถ้าเกลียวหมุนเป็นทักษิณาวรรต (ตามเข็มนาฬิกา) เรียก สังข์ทักษิณาวรรต สังข์ลักษณะหลังนี้ถือว่าเป็นสังข์ประเภทมงคล มีราคาสูง นิยมใช้ในพิธีมงคลต่างๆ
 
572  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ประโยชน์ทางยาของสังข์ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2017, 09:29:37 am

 
ประโยชน์ทางยาของสังข์
สังข์ที่ใช้ทางยา จึงใช้สังข์อุตราวรรต โดยเอามาเผาไฟ ได้เถ้า เรียกเถ้าเปลือกหอยสังข์ (conch  shell  ash) ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นเกลือแมกนีเซียมซิลิเกต (silicate  of  magnesia) ทำให้เป็นผง โรยแผลเนื้อร้ายหรือใช้ภายในเป็นยาแก้ไข้ รากสาด หนองใน ปวดมวนในท้อง ปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย และโรคดีซ่าน ในพระคัมภีร์มหาโชตรัตให้ยามา ๓ ขนาน ชื่อยาสังข์แพทย์ (น้อย) สังข์แพทย์ (ใหญ่) เข้า“สังข์” เป็นเครื่องยาด้วยและยาสังข์วิไชย เข้า “สังข์เป่า” และ “สังข์หนาม” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้
สิทธิการิยะ  ตำราอันชื่อว่าสังข์แพทย์ (น้อย) ท่านให้เอา
 สังข์ ๖ บาท
 ดินประสิวขาว  ๑  บาท
 ผลจันทร์  ๑  สลึง
 เทียนดำ  ๒  สลึง
 เทียนขาว  ๒  สลึง
 เกลือ  ๑  สลึง
 ขมิ้นอ้อย ๑ บาท
 หัวกะชาย ๒ สลึง
 ไพล ๒ สลึง
 หัวหอม ๒ สลึง
 หัวกระเทียม ๒ สลึง
 บดเป็นแท่งไว้ ละลายน้ำส้มซ่า แก้โลหิตหน้าโลหิตร้ายมิให้ตีขึ้นไปเลย ถ้าผู้ใดบริโภคยานี้เหมือนอยู่ไฟได้เดือนครึ่งอย่าสนเทห์เลยได้ทำมามากแล้ว
ยาชื่อสังข์แพทย์ (ใหญ่)  รุสรรพโลหินเหน้าร้ายทั้งปวงให้เอา
 เทียนทั้ง ๕
 โกศทั้ง ๕
 ผลสมอไท ๑
 ผลสมอภิเภก ๑
 ผลผักชีล้อม ๑
 ผลผักชีลา ๑
 เกลือสินเธาว์ ๑
 น้ำประสานทอง ๑
 หัวอุตพิศ ๑
 เบี้ยผู้ ๑
 สังข์
 มหาหิงคุ์ ๑
 ขิงแห้ง ๑
 พริกล่อน ๑
 การบูร ๑
 ยาทั้งนี้เอาเสมอภาค ทำเป็นผงไว้ก่อน ถ้าจะทำเป็นยารุใหญ่ เอาผลสลอดเท่ายาทั้งหลาย ถ้าจะทำเป็นยาผาย เอาผลสลอด ๒ ส่วน บดรับประทานหนัก ๒ไพ ถ้าผู้หญิงอุปโภคหนัก ๑ ไพ แก้โลหิตร้ายทั้งปวง แก้ริศดวง แก้คุณผี แก้คุณคนก็ได้ ท่านตีค่าไว้ชั่งทองหนึ่งแล
ยาชื่อสังข์วิไชย ท่านได้เอา
 รากพันงูแดง ๔ บาท
 หัวแห้วหมู ๔ บาท
 บอรเพ็ด ๔ บาท
 ไพลแห้ง ๑ บาท
 ขมิ้นอ้อยแห้ง ๑ บาท
 รากมะตูม ๑ บาท
 รากจิงจ้อ ๑ บาท
 รากปีบ ๑ บาท
 ผิวมะกรูด ๑ บาท
 เอื้องเพ็ดม้า ๒ บาท
 เปลือกกุ่มสิ่งละ ๒ บาท
 ไฟเดือนห้า ๒ บาท
 สมุลแว้ง ๒ บาท
 กรุงเขมา ๒ บาท
 โกศทั้ง ๙  สิ่งละ ๑ บาท
 เทียนทั้ง ๗ สิ่งละ บาท
 ชเอมทั้งสองสิ่งละบาท
 รากทนดี ๑ บาท
 รากหนาด ๑ บาท
 พริกหอม ๑ บาท
 รากพุงดอ ๑ บาท
 รากช้าพลู ๑ บาท
 รากส้มกุ้งทั้งสอลสิ่งละ ๒ บาท
 รากเจตภังคี ๑ บาท
 การบูร ๕ บาท
 เมล็ดในกระวาน  ๒  บาท
 ผลเอ็น  ๘  บาท
 รากมะรุม ๓ บาท
 รากมะแว้งเครือ ๒ บาท
 รากมะเขือขื่น ๒ บาท
 ผลจันทร์ ๑ บาท
 ดอกจันทร์ ๑ บาท
 กานพลู ๒ บาท
 รากเจตมูลเพลิง  ๕  บาท
 แก่งแสมทั้ง ๒ สิ่งละ ๑o สลึง
 สค้าน ๒ บาท
 สนเทศ ๑ บาท
 หญ้ายองไฟ  ๘  บาท
 สังข์เป่า  ๒  บาท
 สังข์หนาม  ๔  บาท
 ยาทั้งนี้ตำเป็นผง ละลายน้ำส้มซ่าให้สตรีทานเป็นไข้เพื่อโลหิตทำพิษต่างๆ เพราะต้นโลหิตขัดก็ดี โลหิตออกไม่สะดวกก็ดี ริศดวงปากเปื่อยก็ดี ริศดวงแห้งก็ดี กระไษยท้องมานก็ดี ป้างม้ามท้องโรก็ดีอุปโภคยานี้หายถ้าฤดูไม่สะดวกให้ละลายน้ำไพลทานออกดีแล สังข์เป็นหอยประเภทหนึ่งในพิกัดยาที่เรียก พิกัดหอย หรือ พิกัดเนาวหอย หรือ พิกัดนวหอย (ดู “เนาวหอย” )
 
573  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หอยขมเป็นที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2017, 03:39:25 pm

หอยขม
หอยขม เป็นชื่อเรียกหอยน้ำจืดกาบเดี่ยวหลายอย่างในหลายสกุลและหลายวงศ์มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ทุกประเภท
 อยู่ในวงศ์  Viviparidae (วงศ์ย่อย  Bellamyinae)
 มีชื่อสามัญว่า  viviparid  snail
 หอยในวงศ์นี้มีเปลือกขนาดกลาง เปลือกเป็นทรงกลม รูปไข่ ผิวเปลือกอาจเรียบกรือมีตุ่มหรือมีสันยื่นออกมา ลางอย่างอาจมีสีบนเปลือกด้วย
หอยขมกินได้ ที่มีขายในตลาดสดภาคอีสานมักเป็นจำพวกที่มีขนาดใหญ่ ส่วนมากเป็นอย่าง Filopaludina  cambodjensis (  Mabille  &  Le  Mesle ) ชนิด filopaludina  munensis (Brandt) และชนิด Filopaludina  martensi (Frauenfeld)
นอกจากนั้นยังอาจพบชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าปนมาบ้าง เช่น ชนิด Filopaludina  polygramma ( Martens ) ชนิด Filopaludina  speciosa (Deshayes) ชนิด  Idiopoma  umbilicata (Lea) ชนิด Mekongia  pongensis (Brant) และชนิด Trochotaia  trochoides (Martens)
หอยขมมีรูปร่าง เป็นกระเปาะเกือบเป็นทรงกลม ขนาดโตได้ราว ๒.๕ ซม. ที่มีขายทั่วไปอาจงมขึ้นมาจากแม่น้ำ หรือชาวบ้านลางถิ่นอาจใช้เถาเครือขนตาช้างหรือหญ้ารกช้าง (Passiflora  foetida  L.) ที่มีใบติดอยู่ ทอดลงไปในน้ำที่มหอยขม[/url]อยู่พืชนี้มีกลิ่นหอยขมชอบมากจะเกาะเถาอยู่จนแน่น ครั้นได้เวลาอันควรจึงยกเถาขึ้นมาเก็บหอยขมโดยไม่ต้องลงไปในน้ำเวลาปรุงอาหาร ก็ใช้มีดตัดก้นหอยออกหลังจากแกงให้มีน้ำขลุกขลิกแล้ว ก็ดูดตัวหอยออกทางด้านฝาหอยได้ง่าย เสียงดูดตัวหอยดัง  “จุ๊บ” นี้ทำให้บางคนเรียกหอยขมว่า “หอบจุ๊บ” บางคนชอบกินหอยตอนที่มีลูกอยู่เต็มท้องเพราะมีเสียงกรุบอันเกิดจากการเคี้ยวถูกเปลือกบางๆของลูกหอย
 
574  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ประโยชน์ทางยาเปลือกหอยขม เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2017, 11:13:28 am

ประโยชน์ทางยาเปลือกหอยขม
 แพทย์แผนไทยใช้ “เปลือกหอยขม” เข้าไปเป็นเครื่องยาหลายขนาน เช่น “ยาอัมฤตย์โอสถ” โดยมากใช้ร่วมกับเปลือกประเภทอื่นๆ  ดังนี้
ขนานหนึ่งชื่ออัมฤตย์โอสถ แก้ลมไกษยทั้งปวงให้เอา
 สหัสคุณ  ๑
 แก่นแสมทะเล  ๑
 รากส้มกุ้ง  ๑
 ลูกมะตูม  ๑
 ลูกมะแหน  ๑
 ลูกพิลังกาสา  ๑
 สมอเทศ  ๑
 สมอไทย  ๑
 โกศเขมา  ๑
 เทียนดำ  ๑
 เทียนขาว  ๑
 ลูกจันทร์  ๑
 ดอกจันทร์  ๑
 กระวาน  ๑
 กานพลู  ๑
 ดีปลี  ๑
 ยาเท่านี้เอาเสมอภาคเอา
 เปลือกหอยโข่ง  ๑
 เปลือกหอยขม  ๑
 เปลือกหอยแครง  ๑
 เบี้ยผู้เผาเอาสิ่งละ  ๓  ส่วน
 เอากัญชา  ๑o ส่วน
 เอาพริกไทย  ๒
 เม่ายาทั้งหลายตำผงกระสายยักย้ายใช้ให้ชอบโรคทั้งหลายเถิด หอยขมเป็นหอยประเภทหนึ่งในพิกัดยาไทยที่เรียก พิกัดหอย หรือ พิกัดเนาวหอย หรือ พิกัดนวหอย

Tags : เปลือกหอยขม
575  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ใบเปล้าน้อยเป็นใบเพสลาดของต้นเปล้าน้อย เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2017, 08:06:32 am

 
ใบเปล้าน้อย

ใบเปล้าน้อยเป็นใบเพสลาดของต้นเปล้าน้อย อันมี
ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Croton stellatopilosus Ohba
 ในวงศ์ Euphorbiaceae
 เปล้าน้อยเป็นไม้พุ่มหรือต้นไม้ขนาดเล็ก สูงราว ๒-๓.๕ เมตร ยอดอ่อนปกคลุม ด้วยฝุ่นผงสีสนิม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันรูปไข่กลับ กว้าง ๔-๖ เซนติเมตร ยาว ๑๐-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบแคบรูปหัวใจ  มีต่อม ๒ ต่อม ขอบใบหยัก เล็กๆไม่สม่ำเสมอ ปลายใบแหลมหรือทู่ เนื้อใบบาง ใบแด่เกลี้ยง หรือมีขนรูปดาว ตามเส้นใบด้านล่าง ก้านใบยาว ๖-๑๒ มล. มีขนรูปดาว ดอกออกเป็นช่อเหนือรอยแผลใบใกล้ยอด ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกันดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง ๕ กลีบ แต่อาจพบ ๔ หรือ ๖ กลีบบ้าง บ้างรูปใบหอก ค่อนข้างกว้าง ปลายแหลม ด้านนอกมีขนสีน้ำตาลอมเหลือง กลีบดอก มี ๕ กลีบ ขอบกลีบมีขน ฐานดอกมีขนยาว เกสรเพศผู้มี ๑๕-๒๐ อัน เกลี้ยง ดอกเพศเมียมีกลีบเลี้ยงเหมือนดอกเพศผู้ แต่อาจมีจำนวนกลีบเกลี้ยงมากกว่า ไม่มีกลีบดอก รังไข่มีขนรูปดาวหนาแน่น สีน้ำตาลอมเหลือง ยอดเกสรเพศเมียสั้น ผลรูปกลมมี ๓ พู ขนาดวัดผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ เซนติเมตร  เมล็ดยาว ผิวเรียบ มีลายตามยาวสีขาวปนน้ำตาล
ตำราโบราณระบุว่า ใบเปล้าน้อยมีคุณสมบัติบำรุงธาตุ รากมีรสร้อน แก้ลมขึ้นเบื้องต้นเบื้องบนให้กระจายลงเบื้องต่ำเป็นปรกติ เบื้องต้นเป็นยาช่วยย่อย กระพี้แก้โลหิตอันทำให้ร้อน เช่นขับเลือดและหนอง ขับพยาธิไส้เดือน ดอกฆ่าพยาธิ ผลช่วยกระจายเลือดและหนอง เมื่อหลายปีก่อนบริษัทผลิตยาในประเทศญี่ปุ่นร่วมกับนักพฤกษศาสตร์ไทยค้นพบพรรณไม้ในสกุลนี้ พบว่าไปเพสลาดของต้นเปล้าน้อยชนิดนี้ ซึ่งถูกในจังหวัดปราจีนบุรีและประจวบคีรีขันธ์เท่านั้น ให้สารที่ชื่อ plaunotol ใช้เป็นยาแก้โรคแผลเปื่อย เพปติก ในปัจจุบันบริษัทยานั้นจึงได้ลงทุนขยายพันธุ์พืชคุณสมบัตินี้ ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และสร้างโรงงานสกัดแบบหยาบๆ และส่งไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อผลิตเป็นยาที่ต่อไป
 
576  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ข้อดีขมิ้นชันที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2017, 10:07:57 pm

 
ขมิ้นชัน
.ขมิ้นชัน เป็นเครื่องเป็นทั้งเครื่องยาและเครื่องเทศ ที่เรียก ขมิ้นชันเพราะมีกลิ่นเหมือนชัน ที่ใช้ยาเรือ ได้จากเหง้าของพืชอันมี
 ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Curcuma longa L.
 มีชื่อพ้อง Curcuma domestica Valentin
 จัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae
 มีชื่อเรียกตามถิ่นต่างๆ หลายชื่อ เช่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้หมิ้น (ภาคใต้) ฝรั่งเรียก turmeric
พืชอย่างนี้เพาะ  การทั่วไปเป็นพืชสวนครัว เงาสดมีขายตามตลาดสดทั่วไป เหง้าแห้งหาซื้อได้ตามร้านขายยาสมุนไพรทั่วไป พืชชนิปลูก  เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ใบมักแห้งและลงหัวในฤดูแล้ง แต่จะแตกใบออกใหม่ในฤดูฝน สูงราว ๖๐ – ๙๐ เซนติเมตร มีเหง้ารูปไข่ มีแง่งแขนง รูปทรงกระบอก แตกออกทั้งสองข้างตรงข้ามกัน เนื้อในเหง้ามีสีเหลืองเข้มถึงสีแสดเข้ม มีกลิ่นเหมือนชันไม้ ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านใบยาว แทงออกจากเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนหุ้มกัน ขนาดกว้าง ๑๒ – ๑๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ – ๔๐ เซนติเมตร แผ่นใบเหนียว ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อแทงออกจากเหง้าแทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก ยาว ๗ – ๑๕ ซม.กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล บานครั้งละ ๓ – ๔ ดอก ผลรูปกลมมี ๓ พู เหง้าของพืชชนิดดนี้จะถูกขุดขึ้นมาเมื่อสี ของใบเริ่มเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลืองในหน้าแล้ง ล้างดินออกให้หมด คัดส่วนเหงาที่เป็นแกนกลางและคะแนนออกจากกัน ส่วนแยกแขนงที่เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า และมีราคาในท้องตลาดสูงกว่า ในทางการค้านั้น ขมิ้นชันแห้งที่ขายในตลาด มักนำมาต้มกับน้ำ โดยเติมมูลโคลงไปเล็กน้อย ต้มนาน ๓๐ นาที ถึง ๖ ชั่วโมง จนเหง้านิ่มและมีสีเข้มขึ้น นำมาผึ่งให้แห้งในร่ม เมื่อแห้งแล้ว จึงขัดเอาเปลือกนอกออก ราคาของขมิ้นชันจะสูงหรือต่ำแล้วแต่รูปร่างและความมันของเหง้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร้อนที่ใช้ในการต้มและวิธีขัดเอาผิวออก ขมิ้นชันที่เตรียมโดยการโดยถูกวิธีจะเปราะและมีสีเหลืองมัน
ขมิ้นชันมีน้ำมันระเหยง่าย อยู่ร้อยละ ๒ – ๖ เป็นน้ำมันที่มีสีเหลืองปนส้ม มีกลิ่นเฉพาะ มีสารอยู่หลาย
ลักษณะ เช่น เทอร์เมอโรน (ราวร้อยละ ๖๐) ซิงจิเบอร์โรน , บอร์นีออล และมีสารสีเหลืองส้ม ชื่อเคอร์คูมิน อยู่ในราวร้อยละ ๑.๘ – ๕.๔ ขมิ้นชันใช้แต่งสีอาหารหลายชนิดเพื่อให้มีสีเหลือง เช่น ข้าวหมกไก่ แกงเหลือง เนย เนยแข็ง ผักดอง มัสตาร์ด ได้ใช้เป็นส่วนผสมในผงกะหรี่ ใช้เป็นสีย้อมผ้าแพร ผ้าฝ้าย ผ้าไหม และไหมพรม สีเหลืองของขมิ้นชันเมื่อถูกด่างจะให้สีน้ำตาลเข้ม เช่น ใส่ในปูนขาวจะได้สีปูนแดงตามที่ต้องการ คนไทยใช้ขมิ้นชันทั้งสดและแห้งมาแต่โบราณ
 แพทย์โบราณว่ามีรสฝาด กลิ่นหอม ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ ฟอกโลหิต แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ใช้หุงกับน้ำมันมะพร้าวเป็นยาสมานแผล ท้องอืดท้องเฟ้อ ขมิ้นชันสดๆใช้แก้ท้องร่วง ในปัจจุบันยังพบว่าขมิ้นชัน
 มีประโยชน์บำบัดโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้
 
 
 
577  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขมิ้นอ้อย เป็นทั้งเครื่องยาและเครื่องเทศคล้าย เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2017, 05:06:29 pm


ขมิ้นอ้อย
ขมิ้นอ้อย เป็นทั้งเครื่องยาและเครื่องเทศคล้ายกับขมิ้นชัน ได้จากนอกของพืชอันมี
 ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoe
 จัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae
 ฝรั่งเรียก Zedoary
พืชชนิดนี้เพาะปลูกกันทั่วไป สำหรับใช้ปรุงแต่งอาหาร เน่าแห้งใช้เป็นยา หาซื้อได้ตามร้านขายสมุนไพรทั่วไป ขมิ้นอ้อยเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ใบไม้แห้งและตั้งหัวในฤดูแล้ง แต่จะแตกใบออกใหม่ในฤดูฝน สูงราว ๑-๑.๕ เมตร มีเหง้ารูปไข่ มีแขนงรูปทรงกระบอก แตกออกทั้งสองข้างตรงข้ามกัน เนื้อในเหง้ามีสีเหลือง มีกลิ่นเฉพาะ เหง้าตั้งตรงโผล่ ขึ้นมาเหนือดินลางส่วน (จึงเรียก ขมิ้นอ้อย หรือ ขมิ้นขึ้น หรือ ขมิ้นหัวขึ้น หรือ ว่านหัวตั้ง หรือ สากกะเบือละว้า) ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านใบยาว แทงออกจากเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนหุ้มกัน ขนาดกว้าง ๑๕ – ๒๐ เซนติเมตร ยาว ๔๐ – ๕๐ เซนติเมตร แผ่นใบเหนียว ดอกเป็นดอกช่อ ก้านช่อแทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก ยาว ๗ – ๑๕ ซม. ดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับอยู่ส่วนล่างของช่อ มีสีเขียวปลายชมพู แต่ที่อยู่ส่วนบนเป็นรูปใบหอก สีชมพูหรือชมพูอมขาว ขมิ้นอ้อยจะถูกขึ้นมาในหน้าแล้ง เมื่อสีของใบเริ่มเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง ขมิ้นอ้อยมีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนขมิ้นชัน มีสารสีเหลืองเช่นเดียวกัน แต่สีอ่อนกว่าสีขมิ้นชัน คนไทยชอบใช้ขมิ้นอ้อยปรุงอาหารมากกว่าขมิ้นชัน เพราะกลิ่นไม่ฉุน ชอบใช้เหง้าสดๆแต่งสีอาหาร เช่นข้าวเหนียวเหลือง ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง ขนมเบื้องญวน โดยทั่วไปหมอยาไทยนิยมใช้ขมิ้นอ้อยเป็นอย่างมากกว่าขมิ้นชัน
 ตำราสรรพคุณยาโบราณว่าขมิ้นอ้อยมีรสฝาด เป็นยาสมาน แก้ท้องร่วง แก้อาเจียน แก้ไข้ ใช้หุงกับน้ำมันมะพร้าว ใส่แผล เพื่อฆ่าเชื้อและสมานแผล และใช้บดผสมกับน้ำปูนใส กินแก้ท้องร่วง
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณขมิ้นอ้อย
578  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เหง้าของต้นว่านน้ำได้จากพืช เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2017, 03:09:34 pm

เหง้าของต้นว่านน้ำได้จากพืช
 
มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Acorus calamus L.
 ในวงศ์ Acoraceae  (เดิมจัดอยู่ในวงศ์ Araceae) บางถิ่นเรียก กะส้มชื่น ผงผาส้มชื่น ฮางคาวน้ำ ฮางคาวบ้าน(พายัพ) ฮางคาวผา(เชียงใหม่)
 เหง้ามีชื่อสามัญว่า calamus root หรือ sweet flag
ว่านน้ำเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปีสูง ๑ – ๑.๕ เมตร มีเงารูปทรงกระบอก ค่อนข้างแบน ภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลอมชมพู มีกลิ่นหอม ใบรูปแคบยาว ตั้งตรง เรียงสลับซ้ายขวา ในระนาบเดียวกัน กว้าง ๑.๕ – ๓.๕ ซม. ยาว ๑ – ๑.๕๐ เมตร เส้นใบของเส้นใบขนานกันตามความยาว ของใบ สีเขียวเข้มข้นๆฉ่ำน้ำ ดอกออกเป็นช่อ มีดอกย่อยปริมาณมากอัดกันแน่นเป็นรูปทรงกระบอก ยาว ๕ – ๑๐ ซม. สีเขียว ก้านช่อมีชนิดคล้ายใบ ยาว ๕๐ ซม. กับรูปเดี่ยวกับใบ ต่อจากก้านช่อ ตั้งตรงขึ้นไป ยาว ๑๕ – ๗๖เซนติเมตร กลีบเลี้ยง มี ๖ กลีบ รูปกลม ปลายกลีบโค้งงอ เกสรเพศผู้มี ๖ อัน รังไข่รูปกรวย ภายในมี ๒ ถึง ๓ ช่อง ผลเป็นผลมีเนื้อ ภายในมีเมล็ดจำนวนน้อย เหง้าว่านน้ำมีน้ำมันระเหยง่ายราวร้อยละ ๒ – ๙ น้ำมันนี้มีองค์ประกอบ หลักที่เป็นสารซิสไอโซอะซาโรน ราวร้อยละ ๘๐
 ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เหง้าว่านน้ำมีกลิ่นหอม รสร้อน ต้มน้ำดื่มหรือบดรับประทานเป็นยาแก้บิด บรรเทาแก้ปวดท้อง แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ขับเสมหะ แก้ไอ ระงับประสาท แก้ปวดตามข้อ แก้แผลมีหนอง ขับพยาธิ แก้ปวดฟัน เลือดออกตามไรฟัน ต้มน้ำชะล้างแก้คันตามซอกขาและก้น ฝนกับเหล้าทาหน้าอกเด็ก แก้ปอดและหลอดลมอักเสบ ต้มน้ำดื่มแก้หวัด แก้หอบหืด เป็นยาบำรุงหัวใจ
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์ว่านน้ำ

Tags : ว่านน้ำ
579  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หอมแดง หอมแดงเป็นหัวของต้นหอมแดง เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2017, 09:17:27 am

หอมแดง
หอมแดงเป็นหัวของต้นหอมแดง
อันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Eleutherine americana (Aubl.) Merr.
 มีชื่อพ้อง Eleutherine palmaefolia (L.) Merr.
 ในวงศ์ lridaceae
 บางถิ่นเรียก ว่านไก่แดง ว่านข้าว ว่านหมาก (พายัพ)  ว่านเพลาะ (เชียงใหม่) ว่านหอมแดง (ภาคกลาง)
หอมแดงเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีหัวใต้ดินรูปไข่ หัวมีเนื้อสีแดงเข้ม ลำต้นอยู่เหนือดิน ตั้งมุมขึ้น ใบแทงขึ้นมาจากพื้นดิน รูปใบหอก จีบซ้อนกันคล้ายพัด กว้าง ๑ – ๒.๕ ซม. ยาว ๒๕ – ๖๐ เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแคบ ขอบใบเรียบ ใบที่ออกตามลำต้นมีขนาดเล็ก ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อยาว ๒.๕ – ๔ซม. ตั้งตรงและหรือโค้ง กาบหุ้มดอกมี ๒ – ๑๐ กาบ ซ้อนกัรอยู่ที่ซอกใบใกล้ยอด ยาว ๑๒ – ๑๖มิลลิเมตรสีเขียว ดอกมี ๕ – ๑๐ ดอก ก้านดอกยาว ๑ – ๑.๕ เซนติเมตร อยู่ในกาบหุ้มดอก ดอกมีกลีบ ๖ กลีบ เรียงเป็น ๒ วง รูปขอบขนาน รูปไข่กลับ หรือรูปช้อน กว้าง ๑.๕ – ๓๕ เซนติเมตร  กลับที่อยู่วงในมีขนาดเล็กกว่ากลีบที่อยู่วงนอก เกสรเพศผู้มี ๓ อัน มีสีเหลืองสด ติดอยู่ที่โคนกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้ไม่ติดกัน รูปขอบขนาน หัวตัดมี ๓ ช่อง เมล็ดรูปรี อัดกันแน่นหอมแดงนี้ชาวนาภาคอีสานเพาะปลูกไว้ที่มุมคันนา เพื่อบูชาเจ้าแม่โพสพ ลางถิ่นจึงเรียก ว่านข้าว คงเป็นเพราะชาวบ้านเชื่อว่าวันนี้จะช่วยให้ข้าวนาเจริญงอกงาม
 ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า หอมแดงมีรสร้อน มีคุณสมบัติขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ และตามชนบทใช้หัวตำสุมกระหม่อมเด็กแก้หวัด
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : หอมเเดง
580  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / กฤษณาเป็นเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2017, 08:42:42 am

กฤษณา
กฤษณาเป็นเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม ของพืช
 ในวงศ์ Thymelaeaceae
 สกุล Aquilaria
 หลายชนิด ที่สำคัญและพบมากในประเทศไทย มี ๒ ชนิด ได้แก่
 ๑.ชนิดที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte
 ชนิดนี้พกขึ้นในป่าดิบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบขึ้นที่ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม
 ๒.ชนิดที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Aquilaria malaccensis Lam
 .มีชื่อพ้องว่า Aquilaria agallocha Roxb. ลักษณะนี้พบในป่าดิบทางภาคใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่ประเทศอินเดีย พม่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
พืชเหล่านี้เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง ๑๘.๓๐ เมตร ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีเทาหรือสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบใบเป็นคลื่น ม้วนลงเล็กน้อย แผ่นใบบางและเรียบ ด้านบนเป็นมัน ช่อดอกเป็นช่อซี่ร่ม  ออกที่ด้านข้างของกิ่งที่ยังอ่อน ดอกย่อยมี คุณสมบัติเล็ก สีเขียวอมเหลือง ผลเป็นผลแห้งรูปวงรี มีขนสีเทา เมื่อแก่จะแตกออก มีกลีบเลี้ยงเจริญติดอยู่กับผล พืชพวกนี้มีเนื้อไม้อ่อน สีขาวถึงสีนวล ไม่มีกลิ่นและไม่มียาง มีกลิ่นหอมเมื่อมีเชื้อราลาง ชนิด (โดยเฉพาะ Cytosphaera mangiferae Died. วงศ์ Sphaeroidaceae) เจริญเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้เนื้อไม้นั้นสร้างชันน้ำมันขึ้นมา เนื้อไม้จึงมีสีเข้มขึ้น เชื้อรามักเกิดในอายุที่มีในต้นที่มีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป และจะเจริญเต็มที่เมื่อไม้นั้นอายุ ๕๐ ปี ลางครั้งอาจให้เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอมทั้งต้น เมื่อหักกิ่งจะมีชั้นน้ำมันไหลเยิ้มออกมา มีกลิ่นหอมมาก เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอมนี้เรียก agaru ในภาษาสันสกฤต แขกเรียกแก่นที่มีเชื้อราเจริญอยู่ในเนื้อไม้นี่ว่า กฤษณา คงเนื่องมาจากมีสีดำ (คำ กฤษณะ แปลว่า ดำ ) เหมือนศอของพระศิวะ (กฤษณครีพ) ฝรั่งเรียก  agar wood (จากชื่อของกฤษณาในภาษาฮินดี ว่า agar) หรือ aloe wood (เนื่องจากมีสีดำเหมือนยาดำ) หรือ eagle wood ( เพราะเข้าใจว่าชื่อสกุล Aquilaria คือ aquila ที่แปลว่า เหยี่ยว หรือนกอินทรี) โบราณแบ่งชั้น ปริมาณของกฤษณาโดยใช้สีและน้ำหนักเป็นเกณฑ์ ได้แก่
 ๑.เนื้อไม้ (หรือไม้หอม) จำพวกนี้มี จำนวนดีที่สุดแล้ว มีสีดำเข้มโดยตลอด หนักกว่าน้ำ (จมน้ำ) และมีชันอยู่ใน ปริมาณสูง ชนิดนี้มีหลักฐานบันทึกว่าไทยเราเคยส่งไปเป็นบรรณาการให้ประเทศอังกฤษ
 ๒.กฤษณา ที่เป็น ประเภทที่มี คุณภาพรองลงมา มีสีน้ำตาลถึงดำ หนักกว่านี้น่ากลัวน้ำ ลักษณะนี้โบราณมักใช้ทำยา
 ๓.ลูกผุด เป็น ชนิดที่มี จำนวนด้อยกว่า เนื้อไม้สีอ่อนกว่า มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำเฉพาะที่ หรือเป็นจุดๆ
กฤษณาที่มีคุณภาพดีนั้น ฝรั่งเรียกรวมกันว่า true agaru มีรสขมเล็กน้อย มีกลิ่นหอมชวนดม คล้ายกลิ่นจันทน์หิมาลัย (sandal wood) หรือ อำพันขี้ปลา (ambergris) ยาเมื่อเผาไฟ จะได้เปลวไฟโชติช่วงมีกลิ่นหอม ชาวอาหรับ นิยม มามาเผาไฟเพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม ส่วน คุณสมบัติที่มี จำนวนรองลงมาเรียกกันว่า dhum ซึ่งเมื่อนำมากลั่นจะได้น้ำมันระเหยๆที่เรียกว่า agar attar มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันดอกยี่สุ่น ในยุโรปใช้ทำน้ำหอม ปริมาณดี ในแหลมมลายูใช้ปริศนาเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้บำบัดโรคผิวหนังหลาย จำพวก ผงกฤษณาใช้โรยบนเสื้อผ้าหรือลงบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา ยาพื้นบ้านของอินเดียและหลายประเทศใช้ในเอเชีย ใช้กฤษณาเป็นส่วนผสมในยาหอม ยาบำรุง ยากระตุ้นหัวใจ และยาขับลม แพทย์โบราณใช้กฤษณาเป็นยาคุมธาตุ เยียวยาบำรุงโลหิตและหัวใจ ใช้ผสมในยาหอม แก้ลมวิงเวียน อาเจียน ท้ เยียวยาองร่วง แก้ไข้ต่างๆ และ เยียวยาโรคบวมปวดบวมตามข้อ
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์กฤษณา
581  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เครือ่งยาเปลือกต้นคืออะไร เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2017, 10:41:51 am

 
เครื่องยาจา[/url][/b]
เครื่องยาที่ได้จากเปลือกต้น ทั้งเปลือกชั้นนอกและเปลือกชั้นใน ยังมีมากมีใช้มากในยาไทย ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเปลือกรกฟ้า อบเชย แต่เครื่องยาบางชนิดอาจใช้เพียงเปลือกชั้นใน เช่น อบเชยเทศ
 

Tags : เปลือกต้น
582  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / กฤษณาเป็นเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2017, 05:13:34 pm

กฤษณา
กฤษณาเป็นเนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม ของพืช
 ในวงศ์ Thymelaeaceae
 สกุล Aquilaria
 หลายชนิด ที่สำคัญและพบมากในประเทศไทย มี ๒ ชนิด ได้แก่
 ๑.ชนิดที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte
 อย่างนี้พกขึ้นในป่าดิบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบขึ้นที่ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม
 ๒.ชนิดที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Aquilaria malaccensis Lam
 .มีชื่อพ้องว่า Aquilaria agallocha Roxb. คุณสมบัตินี้พบในป่าดิบทางภาคใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่ประเทศอินเดีย พม่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
พืชเหล่านี้เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง ๑๘.๓๐ เมตร ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีเทาหรือสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบใบเป็นคลื่น ม้วนลงเล็กน้อย แผ่นใบบางและเรียบ ด้านบนเป็นมัน ช่อดอกเป็นช่อซี่ร่ม  ออกที่ด้านข้างของกิ่งที่ยังอ่อน ดอกย่อยมี ประเภทเล็ก สีเขียวอมเหลือง ผลเป็นผลแห้งรูปวงรี มีขนสีเทา เมื่อแก่จะแตกออก มีกลีบเลี้ยงเจริญติดอยู่กับผล พืชพวกนี้มีเนื้อไม้อ่อน สีขาวถึงสีนวล ไม่มีกลิ่นและไม่มียาง มีกลิ่นหอมเมื่อมีเชื้อราลาง ลักษณะ (โดยเฉพาะ Cytosphaera mangiferae Died. วงศ์ Sphaeroidaceae) เจริญเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้เนื้อไม้นั้นสร้างชันน้ำมันขึ้นมา เนื้อไม้จึงมีสีเข้มขึ้น เชื้อรามักเกิดในอายุที่มีในต้นที่มีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป และจะเจริญเต็มที่เมื่อไม้นั้นอายุ ๕๐ ปี ลางครั้งอาจให้เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอมทั้งต้น เมื่อหักกิ่งจะมีชั้นน้ำมันไหลเยิ้มออกมา มีกลิ่นหอมมาก เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอมนี้เรียก agaru ในภาษาสันสกฤต แขกเรียกแก่นที่มีเชื้อราเจริญอยู่ในเนื้อไม้นี่ว่า กฤษณา คงเนื่องมาจากมีสีดำ (คำ กฤษณะ แปลว่า ดำ ) เหมือนศอของพระศิวะ (กฤษณครีพ) ฝรั่งเรียก  agar wood (จากชื่อของกฤษณาในภาษาฮินดี ว่า agar) หรือ aloe wood (เนื่องจากมีสีดำเหมือนยาดำ) หรือ eagle wood ( เพราะเข้าใจว่าชื่อสกุล Aquilaria คือ aquila ที่แปลว่า เหยี่ยว หรือนกอินทรี) โบราณแบ่งชั้น จำนวนของกฤษณาโดยใช้สีและน้ำหนักเป็นเกณฑ์ ได้แก่
 ๑.เนื้อไม้ (หรือไม้หอม) ชนิดนี้มี จำนวนดีที่สุดแล้ว มีสีดำเข้มโดยตลอด หนักกว่าน้ำ (จมน้ำ) และมีชันอยู่ใน ปริมาณสูง ชนิดนี้มีหลักฐานบันทึกว่าไทยเราเคยส่งไปเป็นบรรณาการให้ประเทศอังกฤษ
 ๒.กฤษณา ที่เป็น จำพวกที่มี คุณภาพรองลงมา มีสีน้ำตาลถึงดำ หนักกว่านี้น่ากลัวน้ำ คุณสมบัตินี้โบราณมักใช้ทำยา
 ๓.ลูกผุด เป็น ประเภทที่มี จำนวนด้อยกว่า เนื้อไม้สีอ่อนกว่า มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำเฉพาะที่ หรือเป็นจุดๆ
กฤษณาที่มีคุณภาพดีนั้น ฝรั่งเรียกรวมกันว่า true agaru มีรสขมเล็กน้อย มีกลิ่นหอมชวนดม คล้ายกลิ่นจันทน์หิมาลัย (sandal wood) หรือ อำพันขี้ปลา (ambergris) ยาเมื่อเผาไฟ จะได้เปลวไฟโชติช่วงมีกลิ่นหอม ชาวอาหรับ ชอบ มามาเผาไฟเพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม ส่วน ประเภทที่มี จำนวนรองลงมาเรียกกันว่า dhum ซึ่งเมื่อนำมากลั่นจะได้น้ำมันระเหยๆที่เรียกว่า agar attar มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันดอกยี่สุ่น ในยุโรปใช้ทำน้ำหอม จำนวนดี ในแหลมมลายูใช้ปริศนาเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้บำบัดโรคผิวหนังหลาย ประเภท ผงกฤษณาใช้โรยบนเสื้อผ้าหรือลงบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา ยาพื้นบ้านของอินเดียและหลายประเทศใช้ในเอเชีย ใช้กฤษณาเป็นส่วนผสมในยาหอม ยาบำรุง ยากระตุ้นหัวใจ และยาขับลม แพทย์โบราณใช้กฤษณาเป็นยาคุมธาตุ เยียวยาบำรุงโลหิตและหัวใจ ใช้ผสมในยาหอม แก้ลมวิงเวียน อาเจียน ท้ รักษาองร่วง แก้ไข้ต่างๆ และ เยียวยาโรคบวมปวดบวมตามข้อ
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณกฤษณา
583  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มารู้จักจันทร์แดง เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2017, 02:05:25 pm

จันทร์แดง 
เป็นเครื่องยาที่ได้จากแก่นของต้นจันทน์ผา ที่มีเชื้อราลงจนทำให้แก่มีสีแดงและมีกลิ่นหอม ต้นจันทน์ผา
 มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Dracaena loureiri Gagnep.
 ในวงศ์ Dracaenaceae (เดิมวงศ์ Agavaceae)
 บางถิ่นเรียก ลักกะจั่น (ภาคกลาง)
พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มขนาดกลางสูงราว ๑.๕๐-๓ เมตร ลำต้นตรง ไม่แตกกิ่ง เปลือกเกลี้ยง สีเทา ใบเป็นใบเดี่ยว และออกเรียงสลับกันทีที่ปลายยอด  รูปเรียววยาวปลายแหลม กว้าง ๔-๕ เซนติเมตรยาว ๔๕-๘๐ เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อใหญ่ ตามซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาว มีกลีบดอก ๖ กลีบ กลางดอกมีจุดสีแดง ผลกลมเล็ก สีเขียว เมื่อสุกสีแดงคล้ำ
 แผนโบราณว่า จันทน์แดงมีรสขมเย็น ฝาดเล็กน้อย ยังเยียวยาแก้พิษไข้ภายนอกและภายใน บำรุงหัวใจ และเยียวยาแก้พิษฝีที่มีอาการอักเสบและปวดบวม
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์จันทร์แดง
584  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัณฐานของใบ เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2017, 08:17:17 pm

สัณฐานของใบ
ใบเป็นรยางค์ด้านข้างที่เกิดตรงข้อของลำต้น เป็นอวัยวะของพืชที่มีความหลากหลายมาก โดยทั่วไปใบมักมีสีเขียว ใบเป็นโครงสร้างของพืชที่มีความสำคัญในการ ศึกษาและตรวจหา อย่างของพืชสมุนไพร ใบมีรายละเอียดของรูปลักษณ์ได้มาก แต่ในที่นี้จะให้คำอธิบายโดยสังเขปเฉพาะที่อาจมีความสำคัญในการรู้จัก “ต้นยา” สมุนไพร ที่ถูก ประเภท ดังนี้
 ๑.ชนิดของใบ อาจแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
 ก. ใบสัณฐานเดี่ยวเป็นวัยที่มีแผ่นใบเพียงแผ่นเดียว มีก้านใบ ๑ ก้าน โดยขอใบอนุญาตหรือมีการอยากเว้าอย่างไรก็ได้ แต่ไม่ลึกถึงเส้นกลางใบ เช่น ใบมะม่วง ก้านใบกระถินณรงค์ โครงสร้างสีเขียวคล้ายใบของต้นกระถินณรงค์เป็นส่วนก้านใบ ซึ่งแผ่แบนคล้ายใบ ทำหน้าที่เหมือนใบ ใบของต้นกระถินณรงค์จะปรากฏให้เห็นเมื่อต้นเริ่มออกจากเมล็ดในระยะแรกๆเท่านั้น ใบจริงๆของต้นกระถินณรงค์เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่
 ข. ใบสัณฐานประกอบ เป็นใบที่มีแผ่นใบมากกว่า ๑ ใบ ขึ้นไปอยู่บนก้านใบเดียวกัน แต่ละแผ่นใบไม่เชื่อมต่อ กับแผ่นใบอื่น เรียก ใบย่อย แต่ละใบย่อยอาทิตย์อยู่กันบนแกนกลาง ซึ่งอยู่ต่อจากก้านใบ
ใบประกอบอาจแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
 ใบประกอบแบบขนนก เป็นใบประกอบที่มีใบย่อยติดอยู่สองข้างของแกนกลาง อาจติดแบบสลับกันหรือตรงกันก็ได้ ถ้าที่ปลายแกนกลางมีใบย่อยเพียงใบเดีย เรียกแบบขนนกปลายคี่ ถ้าปลายแกนกลางมีใบย่อย ๒ ใบ คู่กัน เรียก แบบขนนกปลายคู่ แต่ถ้ามีใบย่อยเพียง ๓ ใบ ติดบนแกนกลาง เรียก แบบขนนกที่มี ๓ ใบย่อย เช่น ใบทองหลาง ใบประกอบแบบขนนกอาจแบ่งย่อยได้ตามปริมาณครั้งของการแตกแขนงย่อยของแกนกลางได้เป็น แบบขนนกชั้นเดียว (แบบนี้แกนกลางไม่มีการแตกแขนง ใบย่อยแต่ละใบติดกันแกงกลางโดยตรง เช่น ใบมะขาม ) แบบขนนกสองชั้น (แบบนี้แกนกลางแตกแขนง ๑ ครั้ง เป็นการคลังย่อยโดยรายย่อยติดอยู่บนแกนกลางย่อย เช่น ใบหางนกยูงไทย) แบบขนนกสามชั้น (แบบนี้แกนกลางแตกออก แต่เป็นแกนกลางย่อยอีก ๒ ครั้ง โดยใบย่อยอยู่ติดกับแกนกลางย่อยสุดท้าย เช่น ใบปีบ) และแบบขนนกหลายชั้น (แบบนี้แกนกลางมีการแตกแขนงเป็นชั้นกลางย่อยมากกว่า ๒ครั้ง เช่น ใบเพกา)
 ใบประกอบแบบนิ้วมือ เป็นใบประกอบที่ ใบย่อยแต่ละใบเกิดที่ปลายสุดของก้านใบ การต่อของใบย่อยกับก้านใบอยู่ในแนวรัศมี มีหลายแบบ เช่น แบบที่มีสองใบย่อย แบบที่มีสามใบย่อย แบบที่มีห้าใบย่อย
 การวิเคราะห์ลักษณะของใบว่าเป็นใบเดี่ยวหรือใบประกอบนั้นสำคัญมากในการตรวจหาประเภทที่ถูกต้องของพืชสมุนไพร ก่อนอื่นต้องหาตำแหน่งของใบให้ได้ แล้วจึงพินิจโดยอาศัยหลักเกณฑ์ดังนี้
 -ให้สังเกตตาที่ซอกใบเดี่ยวหรือใบประกอบ ซึ่งจะไม่พบที่ซอกใบย่อย ดังนั้น เมื่อพบตาซอกใบก็พิจารณาได้ว่าตรงตำแหน่งนั้นเป็นใบหนึ่งใบ แต่ จะเป็นใบเดี่ยวหรือใบประกอบ ก็ให้ดูจากรายละเอียดข้างต้น
 -ให้สังเกตความอ่อนแอของใบ พืชลางคุณสมบัติอาจสังเกตดาที่ตาซอกใบได้ยาก หรือลางคุณสมบัติตาอาจหลุดร่วงไปได้ง่าย การพินิจใบเดี่ยวหรือใบประกอบนั้น จึงอาจดูความอ่อนแก่ของใบได้ เนื่องจากใบเดี่ยวที่เกิดบนกิ่งก่อนจะแก่กว่า สังเกตได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสีสัน ขนาด ความหนาแน่น ต่างจากใบอ่อนที่เกิดมาภายหลัง แต่ใบย่อยของใบประกอบจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ถึงมากคือความอ่อนแก่เท่าๆกัน หรือใกล้เคียงกัน ตัวอย่างที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายคือใบมะยม ซึ่งจัดเป็นใบเดี่ยว (แต่ดูเหมือนเป็นใบประกอบ) นอกจากนี้เรายังอาจพินิจรายละเอียดอย่างอื่นๆ เช่น ถ้าเป็นใบเดี่ยวจะติดอยู่กับกิ่ง อาจสังเกตุเห็นตายอดได้ แต่ถ้าเป็นมาประกอบจะไม่มีตายอดที่แกนกลาง หรือบนกิ่งจะเห็นข้อและปล้องได้สำหรับพืชลางอย่าง แต่แกนกลางของใบประกอบจะไม่มีข้อและปล้อง
 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : สรรพคุณสัณฐานของใบ
585  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ใบชาแป้นเป็นใบเพสลาด เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2017, 05:43:14 pm

 
ใบชาเเป้น[/b][/size][/b]
ใบชาแป้นเป็นใบเพสลาด (ไปไม่อ่อนไม่แก่เกินไป) ของพืชอันมี
 ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Solanum erianthum D.Don
 ในวงศ์ Solanaceae
บางถิ่นเรียก ขาตาย ขากะอ้าย ใบหูควาย (ภาคใต้) ฉับบแป้ง จ.สุโขทัยดับยาง (ภาคกลาง) ฝ่าแป้ง(พายัพ) มะเขือดง จังหวัดขอนแก่นสะแป้ง จังหวัดสิงห์บุรี ส่างโมง (เลย)
 ช้าแป้นเป็นไม้พุ่มสูง ๒-๔ เมตร ทุกส่วนมีขน ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปไข่ กว้าง ๘-๑๓ซม.ยาว ๑๐-๒๕เซนติเมตร ก้านใบยาว ๒-๑๐ ซม. ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยสีขาว กลีบเลี้ยงมี ๕ กลีบ เชื่อมติดกันที่ฐาน กลีบดอกมี ๕ กลีบ รูปชามโคม สีขาว ดอกบานมีขนาดวัดผ่าศูนย์กลางยาวราว ๒ เซนติเมตร ความเป็นคนอวบ รูปกลม เมื่ออ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลือง
ตำราคุณสมบัติยาว่าโบราณว่า ใบช้าแป้น ใช้ผสมในตำรับยารักษาแก้แผลในจมูก แก้ปวดหัว และตามชนบทใช้ใบสดใช้เยียวยาพอกแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
 

Tags : ใบชาเเป้น
หน้า: 1 ... 37 38 [39] 40 41 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย