กระทู้ล่าสุดของ: าร

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรก้านเหลือง เมื่อ: เมษายน 25, 2019, 03:38:04 pm
[/b]
สมุนไพรก้านเหลือง
ก้านเหลือง Gonocaryum lobbianum (Miers) Kurz
บางถิ่นเรียกว่า ก้านเหลือง คำคานหามต้น มะดีควาย (ภาคเหนือ) ดันหมี ดีหมี (ภาคใต้) ปูตูบูแว (มลายู-จังหวัดนราธิวาส) โปมะจูด (เขมร-เมืองจันท์) ดีควาย หีควาย (จังหวัดลำปาง)
ไม้พุ่ม หรือ ต้นไม้ -> สูง 2-7 มัธยม บางครั้งก็อาจจะสูงได้ถึง 15 ม. เปลือกเรียบ สีเทาหรือสีน้ำตาล กิ่งไม้เล็กเรียว มีขนตามปลายกิ่ง
ใบ -ก้านเหลือง> เดี่ยว ออกเวียนสลับรอบลำต้น รูปขอขนานรูปรี หรือ รูปไข่กลับปนรูปรี กว้าง 3-8 ซม. ยาว 10-16 ซม. ปลายใบเป็นติ่งมน โคนใบสอบแคบหรือกลม เส้นใบมี 4-6 คู่ ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร สีเหลือง มีรอยย่น
ดอก -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960940/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87]ก้านเหลือง[/url][/color]> ออกเป็นช่อสั้นๆตามง่ามใบยาว 0.3-1.5 เซนติเมตร มีดอกช่อละ 1-1.5 เซนติเมตร สีเหลือง มีรอยย่น ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆตามง่ามใบยาว 0.3-1.5 เซนติเมตร มีดอกช่อละ 1-3 ดอก มีขนประปรายราบกับผิว ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ขนาดเล็ก กลีบดอกไม้สีขาวอมเขียว เชื่อมชิดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เกสรเพศผู้มี 5 อัน เชื่อมใกล้กับหลอดกลีบดอก เกสรเพศเมียเป็นหมัน มีขน ดอกเพศภรรยา มีกลีบเลี้ยงและก็กลีบคล้ายดอกเพศผู้ แม้กระนั้นมีขนาดใหญ่กว่าน้อย เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 5 อัน รังไข่รูปไข่ มีขน
ผล -ก้านเหลือง> รูปขอบขนานแกมรูปรี กว้าง 2-2.7 ซม. ยาว 3-4 ซม. สีเขียวสุกมีสีม่วงอมสีน้ำเงิน หรือ ค่อนข้างจะดำ มี 1 เม็ด
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นตามป่าดงดิบ หรือป่าผลัดใบเปียกชื้น ที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 900 ม. พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ของไทย
คุณประโยชน์
ใบ -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960940/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87]ก้านเหลือ[/i]> น้ำต้มรับประทานแก้เหน็บชา
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรอบเชยญวณ เมื่อ: เมษายน 20, 2019, 09:31:43 pm
[/b]
สมุนไพรอบเชยญวณ
อบเชยญวณ Cinnamomum camphora (L.) Presl.
บางถิ่นเรียกว่า อบเชยญวณ (ทั่วๆไป) พรมเส็ง (งู-แม่ฮ่องสอน)
ไม้ใหญ่ -> ขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 30 ม. ทรงพุ่มไม้กว้าง ทึบ ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1.5 มัธยม เปลือกต้นสีน้ำตาล ผิวหยาบคาย เปลือกกิ่งสีเขียว หรือน้ำตาลอ่อน ผิวเรียบ ไม่มีขน เนื้อไม้สีน้ำตาลปนแดง
ใบ -อบเชยญวณ> ลำพัง ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 5.5-15 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นบางส่วน เนื้อใบออกจะดก ข้างบนสีเขียวเข้ม วาว ข้างล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบประมาณ 3-8 มม. แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม และก็ตามเส้นกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน
ดอก ->อบเชยญวณ ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ยาวราว 5 ซม. สีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกย่อยยาว 1-2 มิลลิเมตร กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วงๆละ 3 กลีบ รูปรี ด้านนอกสะอาด ก้านในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วงๆละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 รวมทั้งวงที่ 2 หันเข้าข้างใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออก ด้านนอก ก้านเกสรค่อนข้างจะใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน ต่อมรูปไข่กว้างรวมทั้งมีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิดอีกทั้ง 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อันอยู่ภายในสุด รูปร่างคล้ายลูกศร มีขนแม้กระนั้นไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาว ประมาณ 1 มิลลิเมตร ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม

ผล -[/url]> รูปไข่ หรือกลม ยาว 6-10 มิลลิเมตร สุกสีม่วงดำ มีฐานดอกซึ่งเจริญวัยขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผล
นิเวศน์วิทยา
เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้ทั้งในเขตอบอุ่นรวมทั้งเขตร้อน
คุณประโยชน์
ต้น -อบเชยญวณ> กลั่นแก่นไม้จะได้ camphor หรือ การบูรธรรมชาติ ใช้ผสมเป็นยาเพื่อคุ้มครองป้องกันแมลงบางจำพวก เป็นยาระงับประสาท แก้อาการชักบางชนิด ฆ่าเชื้อโรคบางจำพวก ขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด และก็ขับลม ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวดและเป็นยาฆ่าเชื้อโรคอย่างอ่อน
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรกะตังใบ เมื่อ: เมษายน 18, 2019, 06:29:23 pm
[/b]
สมุนไพรกะตังใบ
กะตังใบ Leea indica (Burm.f.) Merr.
บางถิ่นเรียกว่า กะตังใบ (จ.กรุงเทพฯ เมืองจันท์ จังหวัดเชียงใหม่) ค่ะนางใบ (ตราด) ช้างเขิง (ฉาน) ตองจ้วม ตองต้อม (ภาคเหนือ) บั่งบายต้น (ตรัง)
ไม้ใหญ่ -> หรือ ต้นไม้ขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 มัธยม ลำต้นหมดจด หรือปกคลุมด้วยขนสั้นๆ
ใบ ->กะตังใ[/b][/i] เป็นใบประกอบแบบขน (1-)2- หรือ 3 ชั้น ใบย่อยมี 7- ถึงไม่น้อยเลยทีเดียว หูใบรูปไข่กลับ กว้างได้ถึง 4 เซนติเมตร ยาว 6 ซม. มักจะสะอาด หรือมีขนประปราย หูใบหล่นง่าย ทำให้เกิดรอยแผลเป็นรูปสามเหลี่ยมกว้าง แกนกลางใบยาว 10-35 ซม. สะอาด หรือมีขนสั้นปกคลุม ใบย่อยรูปขอบขนานปนรูปไข่ ถึงรูปหอกแกมรูปไข่ หรือรูปรี หรือรูปใบหอกปนรี กว้าง 3-12 ซม. ยาว 10-24 ซม. ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม โคนใบสอบ หรือกลม หรือเว้า บางส่วน ขอบใบจักมน หรือจักแบบฟันเลื่อย หรือแบบซี่ฟันตื้นๆเนื้อใบครึ้มปานกลาง ข้างล่างมีต่อมขนาดเล็กรูปเหลี่ยม หรือกลม เส้นใบมี 6-16 คู่ ก้านใบย่อยยาวได้ถึง 25 มิลลิเมตร เกลี้ยง หรือมีขน ก้านใบรวมยาว 10-25 ซม.
ดอก -กะตังใบ> สีขาวอมเขียว ออกเป็นช่อกว้าง ดอกติดห่างๆยาว 10-25 ซม. สะอาด หรือมีขนเล็กน้อย ริ้วแต่งแต้มมีตั้งแต่ว่ารูปสามเหลี่ยมค่อนข้างจะกว้าง ถึงสามเหลี่ยมแคบ ยาวราวๆ 4 มิลลิเมตร ก้านช่อดอกยาวได้ถึง 15 ซม. กลีบเลี้ยงยาว 2-3 มม. เชื่อมชิดกันที่โคน ปลายแยกเป็นแฉกแหลม 5 แฉก กลีบ 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน เกสรเพศผู้มี 5 อัน ติดอยู่ที่หลอดเกสรเพศผู้ ปลายอับเรณูจะโผล่พ้นหลอดออกไปเป็นแฉกมนๆปลายแฉกเว้า เกสรเพศเมียมี 6 ช่อง แต่ละช่องมีไข่ 1 เมล็ด ก้านเกสรสั้น ปลายมน ผล กลม แป้น ผิวบาง มีเนื้อนุ่ม สีม่วงดำ มี 6 เมล็ด
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960608/-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%9A]
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นได้ทั่วๆไปในทุกภาคของประเทศ
คุณประโยชน์
ราก -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960608/-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%9A]กะตังใบ[/url]> น้ำสุกกินเป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องร่วง แก้บิด ขับเหงื่อ และก็เป็นยาเย็น แก้อาการอยากดื่มน้ำ ใบ ปิ้งไฟให้ไหม้เกรียม ใช้พอกศีรษะ แก้วิงเวียน งุนงง ตำเป็นยาพอกแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และแก้ผื่นคันตามผิวหนัง น้ำยางจากใบอ่อนรับประทานเป็นยาช่วยในการย่อย ผล กินได้
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรกำลังกระบือ เมื่อ: เมษายน 11, 2019, 09:01:54 pm
[/b]
สมุนไพรกำลังกระบือ
ชื่อท้องถิ่นอื่น ควายเจ็ดหัว กำลังควาย ลิ้นกระบือ (ภาคกลาง) กะบือ (จังหวัดราชบุรี) ใบท้องแดง (เมืองจันท์)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Excoecaria cochinchinensis Lour. var. cochinchinensis
ชื่อพ้อง Excoecaria bicolor (Hassk) Zollex Hassk.
ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ Kamlang kra bue.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่ม (ExS) -> สูงราว 70-150 เซนติเมตร ทุกส่วนมียางขาวราวกับน้ำนม กิ่งเรียวเล็ก เปลือกสีแดงอมม่วง
ใบ -> เป็นใบผู้เดียว กำลังกระบือออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกันหรือเรียงสลับ ลักษณะใบรูปขอบขนานหรือขอบขนานปนไข่กลับ โคนใบแหลม ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆขอบใบหยักห่างๆเส้นใบ 12-13 คู่ ใบอ่อนสีแดงผิวเป็นมัน ใบแก่ด้านบนสีเขียว ข้างล่างสีแดงอมม่วง ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร หูใบเป็นรูปหอกปลายแหลม
ดอก กำลังกะบื[/b][/i]-> ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและก็ที่่ยอด มีทั้งดอกเพศผู้ เพศภรรยา รวมทั้งดอกสมบูรณ์เพศ บางทีอาจจะอยู่บนต้นเดียวกันหรือแตกต่างกันก็ได้ ดอกเพศผู้รวมทั้งดอกสมบูรณ์เพศช่อยาวราวๆ 2 เซนติเมตร ใบแต่งแต้มสามเหลี่ยม ปลายเรียวแหลม กลีบรองกลีบ 3 กลีบ รูปยาวแคบ ปลายแหลม ดอกเพศเมีย กลม มักจะออกครั้งละ 3 ดอก ใบประดับราวกับดอกเพศผู้ ก้านดอกสั้นมาก กลีบรองกลีบดอก 3 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม ขอบหยักเล็กน้อย ดอกมีสีเหลืองอมเขียวขนาดเล็กมีดอกทั้งปี
ผล -> (เป็นชนิดแก่แล้วแห้ง รู)ร่างค่อนข้างกลม ไม่มีเนื้อ มี 3 พู เมื่อแก่แตกเป็น 3 ส่วน
นิเวศวิทยา
เป็นไม้ในเขตร้อน มีบ้านเกิดแถบอินโดจีน นิยมปลูกทั่วๆไปเป็นไม้ประดับ
การปลูกรวมทั้งแพร่พันธุ์
สามารถเจริญเติบโตเจริญในดินร่วนปกติ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง หรือ การตอนกิ่ง
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960571/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B8%AD]
[/b]
ส่วนที่ใช้ รส รวมทั้งสรรพคุณ
ลำต้น -> รสร้อนเฝื่อนฝาด ยางจากลำาต้นเป็นพิษมากมาย ใช้ในลัษณะของการเบื่อปลา
ใบ -> รสร้อนเฝื่อนฝาดกำลังกระบือขม รักษาโรคที่เกี่ยวกับความผิดแปลกของระบบโลหิตบางชนิด ชาวชวาใช้ใบโขลกเป็นยาพอกห้ามเลือด ตำรายาแพทย์แผนไทยนำใบตำผสมกับเหล้ากลั่นคั้นเอาน้ำแก้สันนิบาตหน้าไฟ ยาขับเลือดเสียรวมทั้งขับน้ำคร่ำในสตรีหลังคลอดลูก แก้อักเสบบริเวณปากมดลูก
วิธีการใช้แล้วก็ปริมาณที่ใช้

  • ขับน้ำคาวปลาหลังคลอด ขับเลือดเน่า ขับระดู โดยใช้ใบสด 10-15 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำอย่างละเอียด ผสมกับสุราโรงบางส่วน คั้นเอาน้ำค่อยๆจิบ เช้าตรู่-เย็น
ข้อควรทราบ
ไม่ควรใช้ในสตรีที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากถ้าใช้ในบริมาณที่มาก [url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960571/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B8%AD]กำลังกะบื[/i][/b]อาจก่อให้แท้งได้
ใบสดต้นควายเจ็ดตัว สามารถใช้ประโยชน์ประโยชน์ทำเป็นดอกไม้ปลอมได้อีกด้วย ด้วยเหตุว่ามีสีแดงสดใส
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / แมลงสาบ เมื่อ: เมษายน 09, 2019, 09:18:47 am
[/b]
แมลงสาบ
แมลงสาบเป็นแมลงที่มนูษย์รู้จักกันดีมาตั้งแต่โบราณ
“แมลงสาบ” และ “แมลงแกลบ” เป็นชื่อทั่งๆไปที่คนไทยทางภาคกลางใช้เรียกในตระกูล Blattidae หลากหลายประเภท ทางภาคเหนือเรียก แมลงแสบ หรือแซบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก แมงกะจั๊ว กะจั๊ว หรือ กาจั๊ว ส่วนภาคใต้เรียกแมลงแกลบว่า แมงติดหรือ แมงแป้ แมลงในวงศ์นี้เจอทั่วทั้งโลกมีราว ๒๕๐ สกุล ราว ๕,๐๐๐ ประเภท
แมลงสาบประเภทสำคัญ
ชนิดหลักๆที่เจอแพร่หลายไปทั้งโลกมี ๕ ชนิด อาทิเช่น
๑.เยอรมัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blattellagermanica(Linnaeus) มีชื่อสามัญว่า German cockroach หรือ water bug หรือ croton bug คนไทยเรามักเรียกแมลงแกลบบ้าน เป็นจำพวกที่รู้จักกันดีที่สุดแล้วก็แพร่หลายอย่างกว้างขวางพยได้มากที่สุด เป็นขนาดเล็ก ลำตัวยาว ๑.๒-๑.๖ ซม. สีน้ตาลเหลืองชีด มีแถบสีน้ำตาลเข้มตามแนวยาว ๒ แถบ ทั้งคู่เพศมีปีก ตัวเมียพบมากถุงไข่ที่ปลายของส่วนท้อง ออกหากินตอนเวลากึ่งกลางเป็นน เจอในบ้านเรือน ในที่มีของกิน ตัวอย่างเช่น ที่ชื้นแล้วก็อุ่น กินของที่ตายแล้ว
๒.ชีบโลกตะวันออกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blattellaorientalis(Linnaeus) มีชื่อสามัญว่า oriental cockroach หรือ black beetle คนไทยเรียก มีขนาดกลาง ลำตัวยาวรวม ๒.๕ ซม. ตัวเมียนั้นปีกไม่ก้าวหน้า แม้กระนั้นตัวผู้มีปีกยาว แต่ปีกมันยาวไม่พ้นส่วนท้อง เข้ามาในหมู่บ้านทางท่ออาหารท่อระบายน้ำ มักอยู่ตามดินที่เปียกชื้น เป็นที่ทำให้มีกลิ่นเหม็น รับประทานอาหารทุกชนิด พบมากตามกองขยะหรือของเน่าเสียต่างๆ ชอบรับประทานของที่มีแป้งอยู่ด้วย
๓.อเมริกา มีชื่อวิทยาศาสตร์ Periplanetaamericana(Linnaeus)มีชื่อสามัญว่า American cockroach คนประเทศไทย มีขนาดใหญ่ที่สุด ลำตัวยาว ๓-๔ เซนติเมตร สีน้ำตาลปนแดง มีบ้านเกิดในอเมริกากึ่งกลาง แต่ว่าตอนนี้แพร่หลายไปทั่วทั้งโลก อีกทั้ง ๒ เพศมีปีกยาวหุ้มถึงท้อง เป็นแมลงที่ว่อง ชอบที่อุ่น ที่เปียกชื้น ถูกใจอยู่ในที่มืด ออกหากินตรงกลางเป็น กินของที่ตายแล้วแล้วก็เศษอาหารทั้งหมดทุกอย่าง
๔.[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960527/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9A]แมลงสาบ[/url][/color]ประเทศออสเตรเลีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Periplanetaaustralasiae(Fabeius) มีชื่อสามัญว่าAustralian cockroach ชาวไทยเรียก ประเภทนี้มีสีน้ำตาลปนแดง เหมือนอเมริกัน ทั้ง ๒ เพศมีปีกยาว ชอบอาศัยอยู่นอกตึก รับประทานอาหารทุกๆอย่าง ส่วนใหญ่กินซากพืชที่ตายแล้ว
๕.แทลงสาบเมืองที่มีอากาศร้อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Supellasupellectilium(Serville) มีชื่อสามัญว่าtropical cockroachหรือ brown-banded cockroach คนประเทศไทยมักเรียกลาย ชนิดนี้มีลัษณะคล้ายตามเยอรมัน แม้กระนั้นมีขนาดเล็กกว่า ลำตัวยาว ๑-๑.๒ มม. มีแถบสีเหลืองตามขวาง ๒ แถบ แถบแรกอยู่โคนปีก อีกแถบอยู่ปีก ส่วนมากปีกมักไม่ปิดปลายส่วนท้อง เจอทั่วไป ทำมาหากินเวลากลางคืนถูกใจบิน ถูกใจอยู่ในที่แห้งและก็ร้อน ชอบอยู่ที่สูง ตัวอย่างเช่นในตู้เสื้อผ้ส ทานอาหารทุกจำพวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งของเสียแล้วก็ของที่ตายแล้ว
๖.แมลงสาบสุรินัม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnocellissurinamensis(Linnaeus)มีชื่อสามัญว่าSurinamcockroach คนประเทศไทยมักเรียก หรือแกลบขี้เลื่อย เนื่องจากเจอตามกองขี้เลื่อย มีขนาดลำตัวยาวราว ๑.๕ ซม. ส่วนท้องกว้างที่สุด ๑ ซม. ส่วนหัวรวมทั้งอกปล้องแรกสีดำ ขอบด้านหน้ารวมทั้งด้านข้างแทบตลอกมีสีเหลืองแก่ ปีกสีน้ำตาล ขาสีน้ำตาลอ่อน นอกจากขาข้างหลังสีน้ำตาลเข้มตัวเมียปีกสั้นกว่าลำตัว เมื่อหุบปีกจีงมองเห็นปลายท้องโผล่ออกมา อาศัยอยู่นอกบ้านตามกองขี้เลื่อย กองแกลบ รวมทั้งกองขยะที่เน่า นิยมจับมาเกี่ยวเบ็ดเป็นเหยื่อสำหรับตกปลา
[/b]
ผลดีทางยา
หมอแผนไทยใช้ “ขีแมลงสาบ[/url]” เข้ามาเป็นเครื่องยาในยาไทยหลายขนาน ขี้ที่ใช้นั้นเป็นขี้ที่อาศัยอยู่ตามบ้านช่อง เอามารวมกัน ก่อนใช้ต้อง “ฆ่า” เสียก่อนขั้นตอนการทำก็คือ ให้นำไปคั่วให้เกรียมก่อนนำมาใช้ หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขี้วมีรสจืดชืด แก้อักเสบฟกบวม แก้พิษร้อน แก้กาฬโรค ในพระคัมภีร์มุจาปักขันทกาให้ยาแก้นิ่วขนานหนึ่งเข้า “มูล เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ หากจะแก้ท่านให้เอาพริกไทย ๑ ขิง ๑ ดีปลี ๑ กระเทียม ๑ ผิวมะกรูด ๑ ไพล ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ทองถันแดง ๑ มูลแมลงสาบ ๑ เอาสิ่ง ๑ บาท บอแร็กสตุเท่ายาทั้งหลายแหล่ บดทำแท่งไว้ จึงเอาสารส้มยัดเข้าในผลแตงร้าน หมกไฟแกลบห็สุกบีบเอาน้ำฝนยานี้รับประทาน ในพระตำราปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่งชิอ “ยามหาไชยมงคล” ใช้แก้หอบ แก้ไข้ ยาขนานนี้เข้า “” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ ยาเชี่อมหาไชยมงคลแก้หอบ ท่านให้เอา กฤษณา ๑ จันทน์ชะมด ๑ เปลือกสันมีดพร้านางแอ ๑ ต้นหญ้าพันงูแดง ๑ กำมะถันแดง ๑ มูล ๑ ผลผักชี ๑ นอแรด ๑ งา ๑ เขากวาง ๑ รวมยา ๑๐ สิ่งนี้เอาเท่าเทียม ทำเป็นจุณ บดปั้นแท่ง ละลายน้ำมะนาวกินหอบทราง ถ้าหากจะแก้ไข้เหนือละลายน้ำใบทับทิมต้ม

Tags : แมลงสาบ
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเชียด เมื่อ: เมษายน 06, 2019, 04:17:17 pm
[/b]
สมุนไพรเชียด
เชียด Cinnamomum iners Blume
บางถิ่นเรียกว่า เชียด มหาปราบเพศผู้ อบเชย อบเชยต้น (ภาคกลาง) กระแจะนาฬิกา กะเชียด กะทังนั้น (ยะลา) กะดังงา (กาญจนบุรี) กะพังหัน โกเล่ เนอม้า (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) เขียด เคียด เฉียดฉิว ชะนุต้น (ภาคใต้) ดิ๊กซี่สอ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) บอกคอก (ลำปาง) ฝักดาบ (พิษณุโลก) พญาปราบ (นครราชสีมา) สะวง (จังหวัดปราจีนบุรี)
ต้นไม้ ขนาดกึ่งกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-20 ม. ทรงพุ่มไม้กลม หรือ รูปเจดีย์ต่ำๆทึบ เปลือกสีน้ำตาลอมเทา ออกจะเรียบ หมดจด เปลือกแล้วก็ใบมีกลิ่นหอมสดชื่นอบเชย (cinnamon)
[/i]คนเดียว ออกตรงข้าม หรือเยื้องกันนิดหน่อย รูปขอบขนาน กว้าง 2.5-7.5 เซนติเมตร ยาว 7.5-2.5 เซนติเมตร เนื้อใบ ครึ้ม หมดจด รวมทั้งกรอ มีเส้นใบออกมาจากโคนใบ 3 เส้นยาวตลอดจนถึงปลายใบ ด้านล่างเป็นคราบเปื้อนขาวๆก้านใบยาว 0.5 เซนติเมตร
ดอก มีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หรือเขียวอ่อน ออกเป็นช่อแบบกระจายที่ปลายกิ่ง ยาว 10-25 ซม. ดอกมีกลิ่นเหม็น ผล มีขนาดเล็ก รูปขอบขนาน ยาวราวๆ 1 ซม. แข็ง ตามผิวมีคราบเปื้อนขาวๆแต่ละผลมีเม็ดเดียว ฐานรองรับผลเป็นรูปถ้วย
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นกระจัดกระจายทั่วๆไปในป่าดิบ
คุณประโยชน์
รากเชียด[/i] เจอ essential oil ที่มี eugenol safrol, benzaldehyde และ terpene
ต้น[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960638/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94]เชีย[/i] เปลือกต้น พบ essential oil โดยประมาณ 0.5% ประกอบด้วย eugenol, terpene รวมทั้ง cinnamic aldehyde
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / หมาร่า เมื่อ: เมษายน 01, 2019, 09:49:54 pm
[/b]
สุนัขร่า
สุนัขร่า เป็นแมลงพวกต่อหรือแตน แม้กระนั้นสร้างรังรูปร่างต่างกันด้วยดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย ติดอยู่กับก้านไม้หรือวัสดุอื่นภายนอกบ้านเรือน หรือตามขื่อ ฝ้าเพดานในบ้าน ดังนี้แล้วแต่ประเภทของหมาร่า ซึ่งมีอยู่เยอะมากหลายชนิด ในวงศ์ sphecidae รวมทั้งสกุล Eumenidae สุนัขร่า เป็นแมลงที่มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ก็เลยเรียก solitary wasp ไม่อยู่รวมกลุ่มกันเป็นแบบสังคม เสมือนต่อหลวงหรือต่อหัวเสือ ซึ่งเป็นประเภท social wasp

สุนัขร่าเป็นมังล่า เป็นชื่อที่เรียกกันในภาคกลาง ทางภาคทิศตะวันออก ดังเช่นว่า จันทบุรี จังหวัดตราด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เรียกเป็น สุนัขร่าหมาล้า หรือ หมาล้า ทางภาคตะวันตกตัวอย่างเช่น จังหวัดกาญจนบุรี เรียก แมงไม้ ไม้ หรือ ไอ้ไม้ ทางภาคเหนือดังเช่น เชียงใหม่ จังหวัดลำพูน ลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ น่าน เรียก แมงไม้ หรือ ไม้ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ บุรีรัมย์ จังหวัดโคราช จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ ขอนแก่น มหาสารคาม นครพนม อุดรธานี จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียก ไน หรือ สุนัขไน ส่วนทางใต้ ดังเช่น จังหวัดชุมพร กระบี่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สงขลา จังหวัดยะลา เรียก สุนัขบ้า หรือ หมาแมงบ้า
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โกษฐ์สิงคี เมื่อ: มีนาคม 28, 2019, 05:47:12 pm
[/b]
โกษฐ์สิงคี[/size][/b]
ยาขนานที่ ๖๘ ใน หนังสือเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์ เข้าเครื่องยาชื่อ “โกฏสิงคี” ซึ่งมีบันทึกไว้ ดังนี้ สีผึ้งบี้พระเส้น ให้เอาชะมดอีกทั้ง ๒ ไพล พิมเสน โกฏเชียง กรุงเขมา ดีงูเหลือม จันทร์ทั้งยัง ๒ กฤษณา กระลำพัก สิ่งละเฟื้อง โกฏสอ โกฏเขมา โกฏจุฬาลัมพา โกฏกัยี่ห้อ โกฏสิงคี โกฏหัวบัว มัชะกิยพระสรัสวดีโกษฐ์สิงคี กระวาน กานพลู ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ เทียนดำ เทียนขาว พริกหอม พริกหาง พริกล่อน ดีปลี ลูกกราย ฝิ่น สีปาก สิ่งละสลึ่ง กระเทียม หอมแดง ขมิ้นอ้อย ๒ สลึง ทำเปณจุณละลายน้ำมะนาว ๑๐ ใบ น้ำมันงาทนาน ๑ น้ำมันหมูหลิ่ง น้ำมันเสือ น้ำมันจระเข้ น้ำมันงูเห่า น้ำมันงูเหลือมพอสมควร หุงให้อาจจะแม้กระนั้นน้ำมัน จึงเอาชันรำโรง ชันอ้อย ชันระนัง ใส่ลงพอสมควร กวนเอาก็ดีแล้วโกษฐ์สิงคีก็เลยเอาทาแพรทาผ้ามอบให้ ทรงปิดไว้ที่พระเส้นอันแข็งนั้นหย่อน ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสาร ประกอบทูลเกล้าฯ ถวายทรง ณ วัน ๑ ฯ. ๔ เย็น ปีชวด โทศกฯ ของขลังที่ตำราเรียนฯเรียก โกฏสิงคีในยาขนานนี้ ก็คือ เขากุย นั่นเอง
9  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บางถิ่นเรียกว่า พะยูนวัวทะเลก็เรียก เมื่อ: มีนาคม 24, 2019, 08:51:46 am

ปลาพะยูน
ปลาพะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
อาศัยอยู่ในน้ำไม่ใช่ปลาจริงๆแม้กระนั้นด้วยเหตุว่าอยู่ในน้ำแล้วก็มีรูปร่างคล้ายปลาชาวไทยจึงเรียกรวมเป็น”ปลา”
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon(MuBer)
จัดอยู่ในสกุล Dugongidae
ชื่อสามัญว่า dugong sea
บางถิ่นเรียกว่า พะยูน โคสมุทรหรือหมูสมุทรก็เรียก
มีลำตัวเพรียวลม ปลาพะยูนขนาดตัววัดจากหัวถึงโคนหาง ยาว ๒.๒๐ -๓.๕๐ เมตรหางยาว ๗๕.๘๕ ซม.ตัวโตเต็มกำลังหนัก ๒๘๐ ถึง ๓๘๐ กิโลรูปกระสวยหางแยกเป็น๒แฉกขนานกับพื้นในแนวนอนไม่มีครีบภายหลังอยู่ตอนล่างของส่วนแม่ริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อหนาลักษณะเป็นเหลี่ยมคล้ายจมูกหมู เมื่ออายุน้อยลำตัวมีสีออกขาวแต่ว่าเปลี่ยนเป็นสีเทาอมน้ำตาลเมื่อโตเต็มวัย เป็นประจำชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงหลายๆฝูงทำมาหากินรวมกันเป็นฝูงใหญ่รับประทานพืชพวกหญ้าสมุทรตามพื้นทะเลชายฝั่งเป็นอาหาร โตเต็มที่พร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๑๒-๑๓ปีตั้งครรภ์นาน๑ปีคลอด ครั้งละ ๑ ตัว เคยปลาพะยูนพบได้มากตามชายฝั่งทะเลของเมืองไทยแต่เดี๋ยวนี้เป็นสัตว์หายากและใกล้สิ้นซาก ยังพบในอ่าวไทยที่จังหวัดระยองจังหวัดชลบุรีตราดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และก็ชายฝั่งทะเลอันดามันแถบจังหวัดภูเก็ต พังงากระบี่โดยยิ่งไปกว่านั้นพบซุกซุมที่สุดรอบๆอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เกาะลิบตางจังหวัดตรังในต่างประเทศเจอได้ตั้งแต่รอบๆชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกาปลาพะยูนสมุทรแดงตลอดแนวชายฝั่งของห้วงมหาสมุทรอินเดียไปจน ถึงประเทศฟิลิปปินส์เกาะไต้หวันถึงภาคเหนือของทวีปออสเตรเลีย

คุณประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งแต่เพื่อรักษาสัตว์จำพวกนี้ซึ่งหายากมากมายแล้วจึงไม่สมควรใช้ยานี้อีกต่อไป เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในพิกัดยาไทยที่เรียกว่า”นวเขี้ยว” หรือ”เนาวเขี้ยว” ดังเช่นว่าเขี้ยวหมู เขี้ยวหมี เขี้ยวเสือ เขี้ยวไอ้เข้ เขี้ยวเลียงเขาหิน และก็งา (มองคู่มือการปรุงยาแผนไทยเล่ม ๑ น้ำกระสายยา)
10  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชีววิทยาของโค เมื่อ: มีนาคม 21, 2019, 09:40:25 pm

วัว
คำ “โค” เป็นคำที่แผลงมาจากคำไทยว่า “งัว” ส่วนคำ “โค” เป็นคำเรียกสัตว์จำพวกนี้ในภาษาบาลี (คำ“โค” นี้บางทีอาจเป็นพระอาทิตย์ เช่นในคำ“โคจร” ซึ่งแสดงว่า ทางเดินของดวงตะวัน )
ชีววิทยาของวัว
เป็นสัตว์บดเอื้อง กินต้นหญ้า มี ๔ เท้า และก็กีบเป็นคู่ เขากลวง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos Taurus (Linnaeus) จัดอยู่ในวงศ์ Bovidae
โคบ้านมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า bos Taurus domesticus Gmelin บ้านของไทยมีวิวัฒนาการมาจากป่าหรือออรอคอยกส์ (Aurochs) ซึ่งปัจจุบันสิ้นพันธุ์ไปหมดแล้ว ป่าที่ยังคงเจอในบ้านเราเป็นวัวแดง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos javanicus (D’Alton) รู้เรื่องว่าวัวแดงนี้น่าจะสืบสกุลมาจากออรอคอยกส์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาแดงนี้ก็เลยสืบสกุลมาเป็นบ้านของประเทศไทย ทำให้รูปร่างและสีสันของบ้านเหมือนแดงมากมาย แม้กระนั้นรูปร่างใหญ่กว่ารวมทั้งสูงขึ้นมากยิ่งกว่า แดงมีความสูงที่ไหล่ราว ๑.๗๐ เมตร หรือกว่านั้น มีเขายาวราว ๗๐ เซนติเมตร แดงมีสีน้ำตาลแกมแดงเหมือนบ้าน เพศผู้เมื่อแก่มากๆสีบางทีอาจเปลี่ยนไป วัวแดงเป็นสัตว์ที่ถูกใจอยู่เป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีราว ๒๐-๓๕ ตัว มักมีตัวเมียแก่ๆเป็นผู้นำฝูง แต่ละฝูงมักมีตัวผู้เพียงตัวเดียว รอปฏิบัติภารกิจสืบพันธุ์เมื่อตัวเมียเป็นสัด
คุณประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยรู้จักใช้น้ำนม (นมโค) ขี้วัว (มูลโค) รวมทั้งน้ำมูตร (น้ำมูตรโค) น้ำมันไขข้อวัว เป็นยา
๑. น้ำนมโค ได้จากเต้านมของเพศเมียที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า นมโคหรือนมมีรสหวาน มัน เย็น มีคุณประโยชน์ปิดธาตุ แก้โรคในอก ชูกำลังและเลือดเนื้อ รุ่งเรืองไฟธาตุ หมอแผนไทยมักใช้นมวัวเป็นน้ำกระสายยา เช่น “ยาแก้ลมโกฏฐาสยาวาตา” ใน พระคู่มือโรคนิทาน ใช้ “นมโค” เป็นน้ำกระสายยา ดังต่อไปนี้ลมโกฏฐาสยาวาตาแตกนั้น มักให้เหม็นคาวคอ ให้อ้วก ให้จุกเสียด ให้สวาปามในอกถ้าเกิดจะแก้ ให้เอาใบสลอดต้มกับเกลือให้สุกแล้วตากแดดให้แห้ง ๑ ชะเอมเทศ ๑ รากเจตมูลเพลิง ๑ รากตองแตก ๑ รากจิงจ้อใหญ่ ๑ ลำพัน ๑ พริกล่อน ๑ ดีปลี ๑ ใบหนาด ๑ การะบูร ๑ เอาเท่าเทียม ทำเปนจุณ ละลาย น้ำนมโค ก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำร้อนก็ได้ กินหายแล
๒. ขี้วัว หนังสือเรียนยามักเรียก น้ำขี้วัว หมอแผนไทยใช้ขี้วัวปรุงเป็นยาบำบัดโรคอีกทั้งด้านในแล้วก็ด้านนอกหลายขนาน โดยมากใช้ขี้วัวดำ แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ขีวัว[/url]ดำมีรสขม เย็น มีสรรพคุณดับพิษร้อน พิษไข้ พิษรอยแดง ลางตำราเรียนว่าขี้วัวสดแล้วก็แห้งผสมกับใบน้ำเต้าสดแล้วก็เหล้า ตำคั้นเอาน้ำ ทาแก้เริม ไฟลามทุ่ง งูสวัด ลมพิษ แล้วก็แก้พุพอง ฟกบวม ทำลายพิษ

๓. น้ำมูตรวัว แบบเรียนยามักเรียกว่า น้ำมูตรวัว แล้วก็มักใช้น้ำมูตรวัวดำเป็นน้ำกระสายยา เช่น ยาสตรีขนานหนึ่งใน พระตำรามหาโชตรัต ใช้ “มูตรวัวดำ” เป็นกระสาย ดังนี้ ถ้าเกิดหญิงโลหิตตกทางทวารหนักทวารเบา ไม่ออกสะดวก ให้เอาขมิ้นอ้อย ๑ ไพล ๑ ผลผักชีล้อม ๑ บดละลายด้วย มูตรโคดำ กินหายแล
๔. น้ำมันไขข้อโค พระตำรามุจฉาปักขันทิกา ให้ยาน้ำมันทาแก้ไส้กุดไส้ลามรวมทั้งแผลฝีเปื่อยยุ่ยขนานหนึ่ง เข้า “น้ำมันไขข้อโค” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้
ถ้าไม่ฟัง พิษนั้นกล้านักมักเผาเอาเนื้อนั้นสุก รุ่นเข้าไปแต่ปลายองคชาตแต่ละวันๆก็ดี ท่านให้หุงน้ำมันนี้ใส่ ดับพิษทั้งยังรักษาเนื้อไว้ ไม่ให้หนุ่มเข้าไปได้ ท่านให้เอามะพร้าวงอกบนต้นเขี้ยวน้ำมันให้ได้ถ้วย ๑ จึงเอาใบกระเม็ง ๑ ใบยาดูดใหม่ๆ๑ เปลือกโพกพาย ๑ เปลือกจิก ๑ เปลือกกรด ๑ เบญจลำโพง ๑ ใบเทียน ๑ ใบทับทิม ๑ ใบขมิ้นอ้อย ๑ ใบเลี่ยน ๑ ยาทั้งนี้เอาสิ่งละถ้วย ใส่ลงกับน้ำมันที่ทำจากมะพร้าวหุงให้คงแต่ว่าน้ำมัน แล้วเอาน้ำมันแมวดำชาตรีจอก ๑ น้ำมันฟอกไก่จอก ๑ น้ำมันไขข้อวัวจอก ๑ ปรุงใส่ลงเหอะดีเลิศนัก น้ำมันนี้ท่านตีค่าไว้ตำลึงทองหนึ่งใช้ได้ทุกสิ่ง แลตานทรางสรรพพิษฝีเปื่อยยุ่ยรุ่น อีกทั้งแก้มิให้เป็นด่างเป็นแผลให้คงจะคืนดีคนเก่า แลแก้ไส้ด้วนไส้ลุกลาม ดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วมาแต่คราวหลังหายสิ้นอย่าฉงนสนเท่ห์เลย ได้ทำมามากแล้ว แบบเรียนนี้ฝรั่งเอามาแต่เมืองยักกัตราแล

Tags : วัว
11  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อำพัน เมื่อ: มีนาคม 09, 2019, 05:55:06 am

อำพัน
อำพันเป็นซันแข็งที่ได้จากซากดึกดำบรรพ์ของสนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์
อันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า  Pinus  succinifera Conw.
ในวงศ์  Pinaceae
มีชื่อสามัญว่า  amber
มีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า electron (เพราะเมื่อเอาอำพันมาถูกับไหมจะได้ไฟฟ้าสถิต) อันเป็นที่มาของคำว่า  electricity  ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่าไฟฟ้าแพทย์แผนไทยใช้อำพันปรุงเป็นยาแก้โรคนอนไม่หลับ  กระวนกระวาย  ขี้หลงขี้ลืม จงกลนี  ๑  พิกุล  ๑  สาระภี  ๑  มะลิ  ๑  สัตบุศย์  ๑  สัตตบงกช  ๑  กรุงเขมา  ๑  อำพันทอง  ๑  ชะมดเชียง  ๑  พิมเสน  ๑  ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน  บดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำดอกไม้ เมื่อจะกินให้แชกน้ำตาลกรวดแก้พิษกลุ้มในอกในทรวงให้สวิงสวายให้หิวโหยหากำลังมิได้  กินหายแล
12  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชะเอมเทศ สรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2018, 10:06:58 pm


ชะเอมเทศ
ชื่อสมุนไพร ชะเอมเทศ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กันเฉ่า (จีนกลาง) , กำเช่า (จีนแต้จิ๋ว)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glycyrrhiza  glabra   L.  และ  Glycyrrhiza uralensis Fisch.ex DC.
ชื่อสามัญ   Licorice Root , Sweet Root , Russian licorice, Spanish licorice, Chinese licorice
วงศ์   LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
ถิ่นกำเนิด

ชะเอมเทศ (G.glabra) เป็นพืชท้องถิ่นในประเทศแถบกลางรวมทั้งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย เช่น จีน . ประเทศปากีสถาน , อีหว่าน , อัฟกานิสถาน รวมถึงกลุ่มประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีการปลูกบริเวณอ่าวเอดิเตอร์เรเนียน ในทวีปแอฟริกาและทางตอนใต้ทวีปยุโรปและในประเทศสาธารณรัฐประเทศอินเดีย ก็มีการปลูกด้วยเหมือนกัน ส่วนประเทศที่ส่งออกชะเอมเทศรายใหญ่ของโลก คือ ประเทศสมาพันธ์รัฐ รัสเซีย สาธารณรัฐอิสลามประเทศอิหร่านสาธารณรัฐประเทศตุรกี และก็สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนชะเอมเทศ (G. uralansis) เป็นพืชแคว้นในแถบตอนเหนือสาธารณรัฐพสกนิกร จีนมองดูโกเลีย และก็ไซบีเรีย โดยเฉพาะในประเทศในพบได้ทั่วไปในบริเวณเฮยหลงเจียง จี๋หลิน เหลียวหนิง เหอเป่ย ซานตง ซานซี มองดูกิเลียใน ส่านซี กันสู้ ชิงไห่ ซิงเจียง ซึ่งก็นับเป็นชะเอมเทศที่ใช้กันอย่างล้นหลามเช่นเดียวกัน
ลักษณะทั่วไป
ชะเอมเทศเป็นพืชมีอายุนับเป็นเวลาหลายปี โดยถูกจัดเป็นไม้พุ่มสูงราวๆ 1 เมตร มีรากขนาดใหญ่เยอะมากๆลำต้นมีขนสั้นๆปลายมีต่อมเหนียว
ใบเป็นใบประกอบแบบขน ออกสลับกัน มีใบย่อย 9-17 ใบ ก้านใบย่อยสั้นมากมายแผ่นใบรูปกลมรีหรือรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 1.5-3 เซนติเมตร ยาว 2-5.5 เซนติเมตรปลายใบแหลม ฐานใบกลมมน มีขนสั้นๆทั้งคู่ด้าน
ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ยาว 5-12 เซนติเมตร มีดอกย่อยไม่น้อยเลยทีเดียวชิดกันหนาแน่น ดอกย่อยรูปดอกถั่ว สีม่วงอ่อนถึงขาว
ผลเป็นฝักกลมงอเหมือนเคียว มีขนปกคลุม ภายในมีเมล็ด 2-8 เมล็ด รูปกลมแบนหรือรูปไต สีดำวาว
ราก มีลักษณะเป็นท่อนกลมยาวมีลักษณะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ยกตัวอย่างเช่น Spanish liquorice (G. glabra var. typical Regal & Herd), Russian liquorice (G. glabra var. glandullifera (Wald et Kit) Regal & Herd) แล้วก็ Chinese licorice (G.uralensis Fisch.) โดยแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะดังต่อไปนี้
Spanish liquorice ลักษณะรากเป็นรูปทรงกระบอก ขนาดต่างๆกัน เปลือกนอกของเปลือกมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลดำ มีรอยย่นตามทางยาว อาจจะพบหน่อต้นที่เหง้าแล้วก็รากกิ่งก้านสาขาที่ราก รากที่ปอกเปลือกแล้วจะมีสีเหลืองประกอบด้วยเส้นใย เนื้อรากมีสีเหลืองเห็นชั้นเนื้อเยื่อแคมเบียมเป็นวง
Russian liquorice ลักษณะรากเป็นทรงกระบอก ความยาว 15 – 40 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 5 เซนติเมตร รากขนาดใหญ่ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ซม. ผิวนอกของเปลือกมีสีม่วงน้ำตาล รากที่ปอกเปลือกแล้วจะมีสีเหลือง ประกอบด้วยเส้นใยเนื้อรากมีสีเหลืองเห็นชั้นเยื่อแคมเบียมเป็นวง
Glycyrrhiza uralansis Fisch. ลักษณะรากเป็นทรงกระบอก ความยาว 20-100 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6-3.5 เซนติเมตรอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีส่วน cork หรือ ไม่มีก็ได้ เปลือกนอกของเปลือกมีสีน้ำตาลแดง ถึงน้ำตาลเทา มีรอยย่นตามยาว บางครั้งอาจจะเจอรากกิ่งก้านสาขาที่ราก รากที่ปอกแล้วจะมีสีเหลืองมีเส้นใย เนื้อรากมีสีเหลือง เห็นชั้นเยื่อแคมเบียมเป็นวง
 
การขยายพันธุ์
ชะเอมเทศสามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วย การใช้เม็ด โดยมีวิธีการเหมือนกับการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดของพืชจำพวกอื่นๆส่วนสภาพแวดล้อมที่สมควรสำหรับเพื่อการปลูกชะเอมเทศนั้น โดยทั่วไปแล้ว ชะเอมเทศเป็นพืชที่ถูกใจเข้ารับแสงสว่าง ทนร้อนแล้วก็ทนความแล้ง ชอบดินที่แล้งมีสีน้ำตาล มีธาตุแคลเซียมและก็เป็นดินเค็มอ่อนๆชั้นดินดกและก็ลึก สามารถระบายน้ำก้าวหน้า เจริญเติบโตได้ดีบริเวณฝั่งน้ำที่มีลักษณะดินปนทราย ไม่สามารถเจริญวัยได้บริเวณริมหาดที่มีดินเค็มมากมาย หรือเป็นดินด่าง โดยชะเอมเทศจะแก่การเก็บเกี่ยวโดยประมาณ 3 ปี
องค์ประกอบทางเคมี
สาระสำคัญที่เจอในชะเอมเทศ ตัวอย่างเช่น สารกลุ่ม triterpene saponins : 4 – 24% ดังเช่นว่าglycyrrhizin (หรือ glycyrrhizic acid หรือ glycyrrhizinc acid) ในจำนวน 5 – 9% และ 24 – hydroxyglyrrhizin สารพวกนี้จะมีความหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาลทราย 50 แล้วก็ 100 เท่าเป็นลำดับ และก็สารที่อยู่ในรูป aglycone (glabranin A
และก็ B, glycyrrhetol , glabrolide , isoglabroline)
glycyrrhizinc acid liquiritigenin
herniarin stilbenes
glabrene
สารกลุ่ม flavonoids: flavones, isoflavonoids, chalcones, liquiritigenin, liquirtin, isoliquiritigenin, isoliquiritin , formononetin , glabrone , neoliquiritin, neoisoliquirtin,
licuroside, hispaglabridin A และก็ B , licochalcone B, isobavachin, sigmoidin B1
สารกลุ่ม coumarins : herniarin, umbelliferone
สารกรุ๊ป stibenes: gancaonin R
สารกลุ่มอื่นๆ: gums แล้วก็ wax
นอกเหนือจากนั้นG.glabrn L. ยังประกอบด้วยสารกรุ๊ป flavonoids แล้วก็isoflavonoids อื่นๆดังเช่น sapinaretin, vitexin, pinocembrin, prunetin, glabranin, glabrene, glabridin, glabrol , kanzonol T , kanzonol W-Z , รวมทั้งสารกรุ๊ปcoumarins อื่นๆเป็นต้นว่า kanzonol U, kanzonol V
ส่วน G.uralansis มีสารกลุ่ม flavonoids แล้วก็isoflavonoids อื่นๆอาทิเช่น licobichalcone , licocbalcone , licochalcone A , echinatin , licoflavone A , licoricone , isoliciflavonol , ononin , สารกรุ๊ป coumarins อื่นๆอย่างเช่น glycyrol, isoglycyrol , glycycoumarin , licopyranocoumarin, สารกรุ๊ป triterpene saponins อื่นๆอย่างเช่นuralsaponin A,B, uralenolide, licorice saponin A3, licorice saponin C2, licorice saponin D3, licorice saponin E2, สารกรุ๊ป pterocarpenes (glycyrrhizol A,B) สารกลุ่มอื่นๆตัวอย่างเช่น 3-(p-hydroxyphenyl) propionic acid, (3R) – vestitol, 4-hydroxy-guaiacol apioglucoside
 
ผลดี /คุณประโยชน์
ในปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์ของชะเอมเทศ คือ รากชะเอมเทศมีสารสำคัญเป็นสาร Glycyrrhizin (Glycyrrhizic acid หรือ Glycyrrhizinic acid) และสาร 24-hydroxyglyrrhizin ขึ้นรถพวกนี้เป็นสารที่ให้ความหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาลทรายประมาณ50-100 เท่า ก็เลยถูกนำมาใช้เพื่อแต่งรสชาติของกิน ใช้แต่งรสหวานในของหวานแล้วก็ทอฟฟี่ ใช้แต่งกลิ่นรสยาให้หวานรวมทั้งช่วยกลบรสขมของยาต่างๆและชะเอมเทศยังสามารถประยุกต์ใช้เป็นไวต์เทนนิงจากธรรมชาติ ขึ้นรถสกัดที่ได้จากรากนั้นมีลักษณะเด่นสำหรับการช่วยลดความเข้มของเม็ดสี ลดฝ้ากระบนบริเวณใบหน้า ช่วยปรับให้ผิวหน้าสว่างกระจ่างขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยลดแล้วก็ต้านการอักเสบของผิว ก็เลยสามารถนำมาใช้ทดแทนสารเคมีที่ช่วยทำให้ปรับผิวหน้ากระจ่างขาวใสได้ และก็ยังไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหน้าและไม่ก่อให้เกิดเป็นสิวอุดตันอีกด้วย
นอกนั้นชะเอมเทศมีคุณประโยชน์ช่วยสร้างความชื้นให้กับคอรวมทั้งกล่องเสียง เนื่องมาจากชะเอมเทศนั้นจะช่วยกระตุ้นการผลิตสารหล่อลื่นในรอบๆคอเหนือกล่องเสียงได้
ส่วนสรรพคุณทางยาของชะเอมเทศระบุว่า สรรพคุณยาไทย ใช้ขับเลือดเน่า บำรุงหัวใจใช้กระชุ่มกระชวย แก้กำเดา แก้ไอ ทำให้เปียกแฉะคอ เป็นยาระบายอ่อนๆชะเอมเทศใช้แต่งรสยาให้กินง่ายโดยใช้เป็นตัวยาผสานให้ตัวยาอื่นๆในตำรับสามารถเข้ากันได้ และช่วยทำให้ตัวยาหลักออกฤทธิ์เร็วขึ้นแล้วก็ช่วยลดพิษ หรืออาการใกล้กันที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากยาได้ นอกเหนือจากนั้นยังช่วยให้รสยาดียิ่งขึ้น แล้วก็ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ โดยตามสรรพคุณยาไทยยังสามารถแยกสรรพคุณจากส่วนต่างๆของชะเอมเทศได้ คือ เปลือกของราก จะมีเป็นสีแดง และก็มีรสหวานใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ใบทำให้เสมหะแห้ง แล้วก็เป็นยารักษาดีพิการ ดอกใช้รักษาอาการคัน รวมทั้งรักษาพิษไข้ทรพิษ ผลจะมีรสหวาน ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง และอาการคอแห้ง ทำให้เปียกชื้น รากจะมีรสชุ่ม ใช้เป็นยาบำรุงปอด ขับเลือดที่เน่าในท้อง รักษาพิษยาหรือพืชพิษต่างๆรักษาอาการไม่อยากกินอาหาร อ่อนแรงจากการ ทุกข์ยากลำบากทำงานมาก ปวดท้อง ไอไม่สบาย สงบประสาท บำรุงปอด ใช้รากสดรักษาลักษณะการเจ็บคอ เป็นแผลเรื้อรัง ระบบการย่อยอาหารไม่ดี หรือของกินเป็นพิษ แล้วก็รักษากำเดาให้เป็นปกติ รากแห้งของพืชประเภทนี้ใช้ทำยาระบายอ่อนๆหรือใช้ปรุงแต่งรส
ส่วนในประเทศประเทศจีนชะเอมเทศจัดเป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญถัดลงมาจากโสม และก็เป็นสมุนไพรที่ใช้มากที่สุดในประเทศ จะมองเห็นได้จากตำรับยาแผนโบราณจีนกว่ากึ่งหนึ่งมีชะเอมเป็นองค์ประกอบ คุณประโยชน์ยาจีน โดยในสรรพคุณของจีนกล่าวว่า ชะเอมเทศมีรสหวาน ฤทธิ์ปานกลาง มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ช่วยสำหรับการย่อยอาหารแก้ไอ ทำให้เปียกแฉะคอ แก้อาการใจสั่น และก็โรคลมชัก
นอกนั้นมีการศึกษาค้นคว้าพบว่า ส่วนของรากชะเอมเทศมีสารสำคัญที่ชื่อ Glabridin มีรายงานว่ามีฤทธิ์ยับยั้งลักษณะการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับวิธีการสร้างเม็ดสีของผิว ทำให้ผิวกระจ่างใน ลดลางเลือนริ้วรอย และก็จุดด่างดำได้
แบบ / ขนาดการใช้
นำชะเอมเทศไปคั่วให้เหลืองกรอบ มีกลิ่นหอมยวนใจนำไปชงน้ำดื่ม จะช่วยแก้อาการชักช่วยสงบประสาท ทำให้นอนหลับก้าวหน้า แม้มีลักษณะอาการร้อนในอยากกินน้ำ ชะเอมเทศนำไปต้มกับน้ำจับเลี้ยงแล้วก็ใช้ดื่มจะช่วยเสริมสรรพคุณสำหรับในการระบายความร้อนและก็พิษร้อนในร่างกายออกได้ รักษาอาการเส้นเลือดขอดและอาการปอดบวม โดยใช้ชะเอมเทศ 50 กรัม ต้มน้ำแบ่งรับประทานก่อนรับประทานอาหารวันละ 3 ครั้ง รักษาอาการตัวเหลือง โดยใช้สารสกัดชะเอมเทศครั้งละ 15-20 มล. วันละ 3 ครั้ง พบว่าอาการตัวเหลืองจะหายเป็นปกติโดยใช้เวลาประมาณ 13 วัน ใช้ภายนอกรักษาอาการอักเสบบริเวณผิวหนัง ผิวเป็นผื่นแดงแล้วก็คัน หรือเป็นขุย ใช้น้ำต้มชะเอมเทศล้างก็ช่วยลดอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้นได้
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดความดันเลือด สารสกัดแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ซึ่งสาระสำคัญเป็น glycycoumarin, glycyrin, glycyrin, dehydroglyasperin C แล้วก็ D และก็เมื่อนำตำรับยาซึ่งมีสารสกัดรากชะเอมเทศกับสารสกัดหนอนตายอยาก และน้ำมันกานพลู ฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวที่รั้งนำให้เกิดการไอด้วยแอมโมเนีย พบว่ามีผลยับยั้งการไอได้ และยังมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Streptococcus pneumonia รวมทั้ง b-Streptococcus group B เมื่อทดลองตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 1กรัม/กก. ทดลองในหนูตะเภาซึ่งได้รับควันบุหรี่ที่รั้งนำให้กำเนิดอาการไอด้วย capsaicin พบว่าสามารถระงับการไอได้
ฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร การให้สารสกัดน้ำ สารสกัดแอลกอฮอล์ อีกทั้งทางปากฉีดเข้าท้อง หรือเข้าลำไส้เล็ก พบว่าสามารถลดการหลั่งของกรดในกระเพาะหนู และมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยกรด ยาแอสไพริน และยา ibuprofen สาร glycyrrhizin แล้วก็สารที่ตัดส่วนน้ำตาลออก (aglycone) แล้วก็สารสกัดชะเอมที่สกัดเอาสารกรุ๊ป glycyrrhizin ออกแล้ว มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยกระตุ้นการหลั่งสารเมือก สร้างสาร glycyrrhizin ที่พลังกระเพาะอาหารมากเพิ่มขึ้น และก็มีฤทธิ์ต่อต้านลักษณะการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี pepsin ที่ทำหน้าที่สำหรับในการย่อยโปรตีน จึงทำให้เยื่อบุกระเพาะของกินแก่ยืนยาว สารกรุ๊ป flavonoids (liquirtigenin รวมทั้งisoliquiritigenin) มีฤทธิ์ต้านทานการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบในสัตว์ทดสอบ สาร isoliquirtitigenin มีความเฉพาะต่อ H histamine receptor โดยเป็น H recepior antagonist นอกนั้นยังมีฤทธิ์ลดการหลั่งของกรด และคุ้มครองการเกิดแผลในกระเพาะ
ฤทธิ์ลดการอักเสบ รากชะเอมเทศไม่ระบุขนาดกิน สามารถลดการอักเสบในคน รวมทั้งหนูที่ถูกรั้งนำให้มีการอักเสบด้วยcarrageenan หรือ a-chymotrypsin ส่วนสารสกัดบิวทานอล อีเทอร์ แล้วก็น้ำสุกจากรากขนาด 20 กรัม/กก. และไม่กำหนดขนาด ทดลองโดยให้ทางสายยางลงไปยังกระเพราะของกินหนูขาวซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้มีการอักเสบด้วยฟอร์มาลีน และทดสอบด้วยวิธี albumin stabilizing พบว่าสามารถลดการอักเสบได้
เมื่อนำยาชงจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ไม่ระบุขนาดกิน พบว่าสามารถลดการอักเสบในคน สารสกัดตำรับที่มชะเอมเทศ[/url]เป็นส่วนประกอบ ไม่ระบุขนาด ทดสอบในหนูขาวซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้มีการอักเสบด้วยฮีสตามีน พบว่าสามารถต้านการอักเสบ ยิ่งไปกว่านี้สารสกัดน้ำร้อนแล้วก็เอทานอล 95 % ขนาด 18 มก./กิโลกรัม, 180 แล้วก็ 500 มิลลิกรัม/กก., 100 แล้วก็ 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, 1.1 ก./กิโลกรัม , 350 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และไม่เจาะจงขนาดโดยป้อนทางปาก ให้ทางสายยางเข้าสู่กระเพาะของกิน รวมทั้งฉีดเข้าช่องท้อง ทดสอบในหนูขาว หนูถีบจักร แล้วก็หนูเผือกซึ่งถูกรั้งนำให้มีการอักเสบด้วย carrageenan, dextran, paw immersion ในน้ำร้อน , ก้อนสำลี และก็ adjuvant, พบว่าสามารถลดการอักเสบได้ เมื่อให้ยาชงกับสารสกัดน้ำร้อนจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 100 มก./กก .ทางสายยางเข้ากระเพาะอาหารของหนูขาวหรือหนูถีบจักร ซึ่งถูกรั้งนำให้มีการอักเสบด้วย carrageenan, dextran, paw immersion ในน้ำร้อน , adjuvant ก้อนสำลี และ mustard พบว่าไม่สามารถที่จะลดการอักเสบได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดเอทานอล 95% จากเหง้าแห้งและก็ราก ความเข้มข้น 25 มิลลิกรัม/หลุม ทดลองในจานเพาะเชื้อPseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, Streptococcus epidermidis, Streptococcus pyogenes พบว่าสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้ แต่ว่าก็พบว่าบางการทดสอบ เมื่อทดสอบกับเชื้อ S. aureus, S. pyogenes สามารถต่อต้านเชื้อได้เพียงเล็กน้อย สารสกัดน้ำจากราก ความเข้มข้น 10 มิลลิลิตร/จานเพาะเชื้อ สารสกัดเอทานอล 95% จากราก ไม่ระบุขนาด สารสกัดน้ำ เฮกเซน รวมทั้งเอทานอลจากราก ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. สารสกัดเมทานอลจากรากไม่เจาะจงขนาด ทดลองสำหรับการจานเพาะเชื้อ S. aureus , P. aeruginosa พบว่าไม่อาจจะต้านเชื้อแบคทีเรียได้
นอกเหนือจากนั้นยังมีการเล่าเรียนทางคลินิกในชะเอมเทศอีกดังเช่นกรณีคนป่วยโรคกระเพาะอาหาร การกินรากชะเอมเทศจะมีผลให้แผลหายเร็วขึ้น 75% สาระสำคัญคือสารglycyrrhetic acid (enoxolone) ซึ่งมีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์ 15-hydroxyprostaglandin dehydrogenase แล้วก็ –prostaglandin reductase ทำให้มีการสร้างสาร prostaglandins E แล้วก็ F ที่กระเพาะ ซึ่งจะช่วยการสมานแผลกระเพาะก้าวหน้า
ส่วนในกรณีผู้เจ็บป่วยโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เมื่อกินชะเอมเทศที่มีการสกัดเอาสาร glycyrrhizin ออกไปแล้วในปริมาณ 380 มก. วันละ 3 ครั้ง พบว่าให้ผลการรักษาเท่ากันกับการให้ยาลดกรดและก็ยา cimetidine
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษในมนุษย์ เมื่อนำสารสกัดน้ำจากรากชะเอมเทศ ไปใช้เป็นยาระบายในคน เจอ 5 ราย เกิดเป็นพิษ โดยมีอาการภาวะความดันโลหิตสูง โดยระดับโพแทสเซียมไอออนเพิ่มพลาสมาเรนิน รวมทั้งระดับ aldosterone น้อยลง นอกเหนือจากนั้นผู้ที่กินสารสกัดน้ำจากรากไม่ระบุขนาด พบว่ามีอาการความดันเลือดสูง กระดูกจมูก ขากรรไกร นิ้วมือนิ้วเท้าโตกว่าธรรมดา (acromegaly) แล้วก็มีลักษณะอาการบวมน้ำร่วมด้วย ยิ่งกว่านั้นยังเจอรายงานอาการความดันเลือดสูงเมื่อรับประทานรากชะเอมเทศ เป็นต้นว่า หญิงรับประทานรากชะเอมเทศไม่เจาะจงขนาด หญิงอายุ 40 ปี กินรากชะเอมเทศขนาด 100 กรัม/วัน ผู้ป่วยหญิงความเป็นมาเป็นโรคไม่อยากกินอาหารชายอายุ 36 ปี รับประทาน ขนาด 25 ก./วัน นาน 1 เดือน และเด็กผู้ชายอายุ 15 ปี รับประทานลูกกวาดที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบอยู่ 0.5 ก. นอกจากนั้นยังมีรายงานความเป็นพิษของตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ โดยนำมาซึ่งความดันเลือดสูง เป็นต้นว่าหญิงรับประทานตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ขนาด 0.25 กิโลกรัม/วัน รวมทั้งยังมีแถลงการณ์ว่าหญิงรับประทานชาชงชะเอมเทศ ขนาด 3 ล./วัน มีอาการภาวะความดันโลหิตสูง
การทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง
สารสกัดเอทานอล-น้ำ (1:1) จากราก ฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว (LD50)เท่ากับ 681 มิลลิกรัม/กก. แล้วก็สารสกัดน้ำซึ่งมี glycyrrhizin อยู่ 48-58 % ฉีดเข้าท้องหนูขาว หนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) เท่ากับ 1.5 ก./กก. เมื่อป้อนทางปากหนูขาว หนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว (LD50) พอๆกับ 16 ก./กก. เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูขาว หนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว (LD50) เท่ากับ 4.2 กรัม/กิโลกรัมอีกการทดสอบพบว่าสารสกัดเอทานอล 30% จากรากไม่ระบุขนาดป้อนให้ทางปากหนูถีบจักรพบว่า ค่าที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่ง (LD50) พอๆกับ 32 มิลลิลิตร/กก.สารสกัดจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร พบว่าค่าที่ทำให้สัตว์ทดลองตายสูงที่สุด (MLD) เท่ากับ 23.6 ก/กก นอกเหนือจากนั้นการทดสอบตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ทดลองในหนูถีบจักรเพศผู้เพศเมีย พบว่าค่า LD50 มากกว่า 5 กรัม/กก. แล้วก็สารสกัดเอทานอลจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ทดสอบในหนูถีบจักรพบว่าค่า LD50 เท่ากับ 1.8 กรัม/กิโลกรัม
พิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเอทานอล 40% จากราก ขนาด 1.6 มล./กิโลกรัมทดลองในกระต่ายและหนูขาวที่ตั้งท้อง ไม่เจอความเป็นพิษต่อตัวอ่อน นอกจากนี้การศึกษาความเป็นพิษ พบว่าเมื่อให้สารสกัดดังกล่าวตรงเวลา 13 สัปดาห์ ไม่เจอความเป็นพิษต่อทุกระบบ ยังพบว่าสารสกัดเอทานอล95% จากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ขนาด 250 มก./กิโลกรัม ให้ทางสายยางลงสู่กระเพาะอาหารหนูขาวที่ท้อง พบความเป็นพิษต่อตัวอ่อนแต่ว่าผลที่เกิดไม่แน่นอน (equivocal) และสารสกัดไม่เจาะจงส่วน ขนาด 200 มิลลิกรัม/กก.ทดสอบในหนูขาวและก็หนูถีบจักร ไม่เจอความเป็นพิษต่อระบบต่างๆของร่างกาย นอกจากนั้นยาชงจากรากชะเอมเทศ ไม่กำหนดขนาด ให้ทางสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารหมารวมทั้งหนูขาว ไม่เจอความเป็นพิษ
พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ความเข้มข้น 250 มคก./มิลลิลิตร แล้วก็ 500 มคก./มล.ทดสอบในการเพาะเลี้ยง CA-mamary-microalveolar พบว่าความเข้มข้นขนาด 250 มคก. มีความเป็นพิษต่อเซลล์อย่างอ่อน ส่วนความเข้มข้น 500 มคกรัม ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์ นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดน้ำร้อนจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ความเข้มข้น 500 มคล./มิลลิลิตรทดลองสำหรับในการเพาะเลี้ยง cells-HE-1 ความเข้มข้น 250 มคล./มล. ทดลองในการเพาะเลี้ยง CA-JTC-26 พบว่าที่ความเข้มข้น 500 มคลิตร ปราศจากความเป็นพิษต่อเซลล์ ส่วนความเข้มข้น 250 มคลิตร พบว่าเป็นพิษต่อเซลล์ อีกการทดลองหนึ่งพบว่าสารสกัดเอทานอล-น้ำ (1:1) จากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นองค์ประกอบ ขนาด 25 มคกรัม/มิลลิลิตร ทดสอบสำหรับเพื่อการเพาะเลี้ยง CA-9KB ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ขนาด 2 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ทดลองสำหรับเพื่อการเพาะเลี้ยง Hela cells ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำ สารสกัดเมทานอลจากรากชะเอมเทศ ความเข้มข้น 100 มคก/มิลลิลิตร ทดลองในการเพาะเลี้ยง Vero cells ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์นอกเหนือจากนั้นสารสกัดน้ำจากรากชะเอมเทศ ความเข้มข้น 10% ความเข้มข้น 400 มคลิตร/มิลลิลิตรทดสอบสำหรับเพื่อการเพาะเลี้ยง Hela cells และก็ cell-MT2 เป็นลำดับ ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัดเมทานอลจากราก ทดลองสำหรับการเพาะเลี้ยง Ishikava cells และ S-30 cells พบว่าค่า IC50 เท่ากับ มากยิ่งกว่า 20 มคก./มล. แต่ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดน้ำจากตำรับที่มีชะเอมเทศเป็นส่วนประกอบ ไม่เจาะจงความเข้มข้น ทดลองสำหรับในการเพาะเลี้ยง Salmonella typhimurium TA100, TA98 ไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง
1. ห้ามใช้ในคนเจ็บที่มีความดันเลือดสูง ตับแข็ง ภาวการณ์โปตัสเซียมต่ำ โรคไตเรื้อรัง โรคตับอักเสบ และหญิงมีท้อง
2. ห้ามใช้ชะเอมเทศร่วมกับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
3. เลี่ยงการใช้ชะเอมเทศร่วมกับยาขับปัสสาวะSpironolactone หรือ Amiloride เนื่องจากว่าจะมีผลให้ประสิทธิผลของการรักษาโรคความดันเลือดลดลง
4. คนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรงดเว้นบริโภคชะเอมเทศอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุว่าชะเอมเทศอาจก่อกวนการควบคุมความดันโลหิตในระหว่างรวมทั้งหลังการผ่าตัด
5. ชะเอมเทศในขนาดที่มากกว่า 50กรัม/วัน เกินกว่า 6 สัปดาห์ จะทำให้เกิดการสะสมน้ำภายในร่างกาย มีการบวมที่มือและก็เท้า สารโซเดียมถูกขับได้น้อยลง ในช่วงเวลาที่สารโพแทสเซียมถูกขับเพิ่มมากขึ้น นำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. ชะเอมเทศ.บทความวิชาการ สมุนไพรในตำรับยาหอม.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่28.ฉบับที่2.มกราคม 2554 หน้า 7-12
  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และ วิเชียร จีรวงศ์. คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 1 น้ำกระสายยา. พิมพ์ครั้งที่ กทม. อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. 2556. หน้า 34 – 35
  • ชะเอมเทศ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุจิตรา ทองประดิษฐ์ ยุวดี วงษ์กระจ่าง วิสุดา สุวิทยาวัฒน์ จรุงจันทร์ กิจผาติ.  การศึกษาความเป็นพิษของยาหอม.  วารสารสมุนไพร2542;6(1):1-10.https://www.disthai.com/[/color]
  • ชะเอมเทศกับความดันโลหิตสูง.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิดล.
  • ชะเอมเทศ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.Patcharin B, Pusit S, Malee L.  Preparation and evaluation of cough pills from natural products.  Special project, Faculty of Pharmacy, Mahidol University, 1984:30pp.
  • Naovi SAH, Khan MSY, Vohora SB.  Anti-bacterial, ant
13  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รู้ไหมว่าชาเขียวเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: ธันวาคม 11, 2018, 10:08:33 am

ชาเขียว
กว่าจะมาเป็นชาเขียวเป็น ชาที่ได้มาจากต้นชา ซึ่งเป็นต้นที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis โดยเป็นชาในจำพวกที่ไม่ผ่านแนวทางการหมักแต่อย่างใด ซึ่งคุณสามารถเตรียมเครื่องดื่มชาเขียวได้ โดยการนำใบชาเขียวสดมาผ่านความร้อนเพื่อทำให้ใบชาเกิดความแห้งอย่างเร็ว
ในส่วนของวิธีทำก็คือ
เริ่มต้นจากการเก็บใบชาแล้วเอามาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อทองแดงโดยใช้ความร้อนที่ไม่สูงจนถึงเหลือเกินรวมทั้งใช้มือสำหรับการคลึงเบาๆก่อนที่ใบชาจะเริ่มแห้ง แต่สำหรับผู้ใดกันแน่ที่ปรารถนาใช้แนวทางสำหรับในการอบไอน้ำ ก็สามารถทำได้ด้วยการอบไอน้ำในระยะเวลาสั้นๆต่อจากนั้นก็นำไปอบแห้งเพื่อเป็นการยับยั้งลักษณะการทำงานของเอนไซม์ โดยความร้อนนั้นจะเป็นการช่วยในส่วนของการยับยั้งแนวทางการทำงานของเอนไซม์กระทั่งทำให้ไม่มีการสลายตัว จึงเห็นได้ว่าใบชาที่ได้มานั้นแม้จะแห้งแม้กระนั้นก็ยังคงความสดใหม่เอาไว้รวมทั้งมีสีที่ค่อนข้างเขียว
สำหรับใบชาที่ผ่านขั้นตอนของการหมักดองนั้น
จะมีผลให้ใบชามีสารประกอบของฟีนอลคงเหลือมากยิ่งกว่าในชาอู่หลงแล้วก็ชาดำ เพราะชาทั้งสองชนิดนี้จะผ่านการดองมาก่อน ก็เลยทำให้ชาเขียวเป็นชาที่มีฤทธิ์สำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระมากยิ่งกว่าชาทั้งสองประเภทนั่นเอง นอกเหนือจากนี้ ชาเขียวยังมีสาร EGCG โดยประมาณ 35-50% แม้กระนั้นในชาอู่หลงจะมีสารดังที่กล่าวถึงแล้วราวๆ 8-20% และชาดำจะมีสารดังที่กล่าวมาข้างต้นประมาณ 10% เท่านั้น
เก็บใบชายังไงให้ได้ประสิทธิภาพ
สำหรับชาเขียวที่มีคุณภาพนั้นจะได้จากใบชาคู่อันดับที่หนึ่งรวมทั้งใบชาคู่ลำดับที่สองที่ทำการเก็บจากยอดซึ่งชาคู่อันดับแรกแล้วก็สองนั้นคนจีนจะเรียกว่า บู๋อี๋ ส่วนใบชาคู่ลำดับที่สามและสี่จากยอดนั้นคนจีนจะเรียกว่า อันเคย รวมทั้งส่วนใบชาคู่ที่ห้าแล้วก็หกจากปลายยอดจะจัดอยู่ในชนิดของชาชั้นเลว โดยที่ชาวจีนจะเรียกว่า ล่ำก๋อง ส่วนในเรื่องของกลิ่น สี รวมทั้งรสชาติของชาเขียวนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณของสารคาเทชินที่มีอยู่ในชา และก็ในส่วนของฤดูการเพาะปลูก และก็การเก็บเกี่ยว ก็จะส่งผลต่อระดับของสารคาเทชิน ซึ่งสารจำพวกนี้จะมีอยู่โดยประมาณ 12-13% ในตอนที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ในทางกลับกันในช่วงฤดูร้อนจะมีสารติดอยู่เทเคยชินในชาอยู่โดยประมาณ 13-14% แล้วก็สำหรับใบชาเขียวอ่อนจะมีสารค้างเทคุ้นชินอยู่มากกว่าใบชาเขียวแก่สารอาหารสำคัญจากชาเขียว
คุณประโยชน์ของชาเขียว
มีส่วนสำหรับการรักษาโรคปวดศีรษะไปจนกระทั่งโรคเศร้าใจได้เป็นอย่างดี โดยเมืองจีนได้มีการใช้ชาเขียวสำหรับการรักษาโรคต่างๆมาตรงเวลามากยิ่งกว่า 4,000 ปีมาแล้ว
 มีส่วนช่วยแก้หวัด แก้อาการร้อนใน ช่วยสำหรับในการขับสารพิษ และก็ช่วยขับเหงื่อภายในร่างกาย
 ช่วยแก้อาการเมาแอ๋ ทั้งยังมีผลให้หายเมาได้อย่างดีเยี่ยม
 มีส่วนช่วยในการกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการก้าวหน้าอาหารมีส่วนช่วยในการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียประเภทดีในไส้ ก็เลยมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการล้างสารพิษและก็ช่วยกำจัดพิษในไส้ได้ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในร่างกายคุ้มครองตับจากพิษต่างๆแล้วก็โรคชนิดอื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นกับตับได้มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านอาการอักเสบต้านจุลชีวันที่อยู่ในไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แล้วก็ช่วยต่อต้านเชื้อ Botulinus และเชื่อStaphylococcusมีส่วนช่วยในการขับฉี่ และก็ช่วยคุ้มครองนิ่วในถุงน้ำดีและในไตช่วยสำหรับการห้ามเลือดหรือทำให้เลือดออกได้ช้าลงมีส่วนช่วยในการคุ้มครองป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาติก ซึ่งเป็นโรคที่มีลักษณะอักเสบบวมแดง ส่งผลทำให้ปวดเมื่อตามกล้ามและก็ข้อต่อ โดยอาการลักษณะนี้มักจะกำเนิดกับวัยกลางคนใช้เป็นยาพอกเพื่อรักษาแผลอักเสบ แผลพุพอง ฝีหนอง ไฟไหม้ รวมทั้งช่วยบรรเทาอาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้เป็นยากันยุง และแก้ผิวร้อนแห้งได้อย่างดีเยี่ยมมีส่วนช่วยสำหรับการทำให้มีการเกิดการผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยระบายความร้อนที่เกิดกับศีรษะและก็เบ้าตา จึงทำให้ตาสว่าง ไม่ง่วงนอน แถมยังทำให้หายใจสดชื่นได้อีกด้วยช่วยแก้อาการท้องเดิน ท้องเสีย และก็ท้องบิดได้เป็นอย่างดีมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการแก้อาการอยากดื่มน้ำ ช่วยสำหรับการระบายความร้อนให้ออกจากปอด แถมยังช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย
ชาเขียวกับฤทธิ์ทางยา
ชาเขียวส่งผลต่อการหยุดยั้งสภาวะโรคต่างๆซึ่งมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยมากมายก่ายกองที่เกื้อหนุนว่าชาเขียวนั้นเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
 มีฤทธิ์สำหรับการลดน้ำหนักเนื่องจากมีงานค้นคว้าได้กล่าวว่าสารแคททีชินที่มีส่วนสำหรับเพื่อการลดน้ำหนักพบได้บ่อยที่สุดในชาเขียว
 มีฤทธิ์ในการช่วยเพิ่มการเผาพลังงานและไขมัน จนกระทั่งมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกายได้เป็นอย่างดี
 มีส่วนช่วยสำหรับการลดคอเลสเตอรอลรวมทั้งระดับน้ำตาลในเลือด
 มีการค้นคว้าทางสถานพยาบาลที่ศึกษาค้นพบว่าชาเขียวมีฤทธิ์ในการต้านทานการเกิดโรคของเส้นโลหิตหัวใจ
 ส่งผลต่อการช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งต่างๆ
 เขียวปกติ VS ชาเขียวมัทฉะ
 ตามปกติชาเขียวผงจะถูกแยกชนิดกันตั้งแต่กรรมวิธีปลูกว่าอยากให้ผงชาเขียวที่ออกมาเป็นชนิดไหนก่อนจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการทำให้เป็นผุยผงที่ต่างกัน ความไม่เหมือนของชาเขียวทั้งสองประเภทนี้ มาจาก "กรรมวิธีการปลูก" ที่แตกต่าง ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวเอาส่วนของยอดอ่อนใบชาเขียวที่มีความใหม่ รวมทั้งเป็นใบอ่อน เมื่อเก็บมาใหม่ๆจะนำไปเข้าสู่ขั้นตอนการอบแห้ง จะได้ออกมาเป็นชาเขียวแบบใบแห้งที่เรียกว่า “เทนชะ” ก่อนนำไปเข้าขั้นตอนการผลิต
ต่อไปโดยแยกประเภทออกเป็น 2 จำพวก เป็น
1. ผงชาเขียวธรรมดา
 ผงชาเขียวปกติ จะมีกรรมวิธีบดที่ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย ส่วนมากนำมาชงด้วยแนวทางกรองเอาใบชาออก ให้ได้เป็นน้ำชาใสๆที่มีกลิ่นและรสไม่เข้มข้นเท่าไรนัก สำหรับกินได้ทั้งร้อนแล้วก็เย็นใบจะไม่ละเอียดมาก อาจมีสีเข้มขึ้น เนื่องจากผ่านการบดที่โดนความร้อน
2. ผงชาเขียวมัทฉะ
 มัทฉะจะเป็นผงชาเขียวที่ราคาแพงแพงมากยิ่งกว่าหลายเท่าตัว เนื่องจากขั้นตอนการทำมีความยุ่งยากมากยิ่งกว่า สำหรับในการบดควรต้องใช้เทคโนโลยีที่จะไม่ทำให้ใบชาโดนความร้อน เพื่อเป็นการรักษาสีเขียวของใบ รสชาติที่สดใหม่เหมือนเด็ดจากต้น และคุณประโยชน์ของใบชาให้เพอร์เฟ็คมากที่สุด ทั้งเมื่อบดออกมาแล้วจะมีความละเอียดมากๆสามารถนำไปชงละลายน้ำได้โดยทันที และได้รสที่เข้มข้นมากยิ่งกว่าผงชาเขียวปกติ ชาเขียวจำพวกนี้ยังนิยมเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องดื่ม ขนมหวาน รวมไปถึงของกินบางจำพวกอีกด้วย
[/b]
คุณประโยชน์ของชาเขียว
ใช้เพื่อเป็นการปรุงแต่งกลิ่น สี รวมทั้งรสของอาหาร
 เพื่อเป็นการตอบสนองในสิ่งที่ต้องการที่มีความมากมายของผู้บริโภค และชาเขียวยังจัดเป็นสารที่ให้กลิ่นรสจากธรรมชาติยอดนิยมอย่างมากมายในขณะนี้ อีกทั้งยังเป็นกลิ่นแล้วก็รสชาติที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากประเภท ยกตัวอย่างเช่น ขนมปัง ขนมเค้ก ของหวานขอบเคี้ยว ลูกกวาด เป็นต้น
 ใช้เป็นส่วนประกอบของสินค้าของใช้ต่างๆ
 ไม่ว่าจะเป็นเกลืออาบน้ำ ครีมที่มีไว้สำหรับบำรุงผิว สบู่ น้ำยากำจัดกลิ่น ยาสีฟัน โลชั่น รวมถึงน้ำยาบ้วนปาก โดยผ่านการสกัดจากชาเขียวก่อนประยุกต์ใช้สำหรับการทำสินค้าดังกล่าว
 สามารถเอามาเพิ่มความสวยสดงดงามให้แก่เองได้
 โดยการนำน้ำแร่มาต้มให้เดือด จากนั้นใส่ผงชาเขียวหรือใบชาเขียวตามลงไป แล้วจึงค่อยทิ้งเอาไว้ให้เย็น เสร็จแล้วจึงเทน้ำที่ได้มาใส่ลงไปในขวดสเปรย์ เอาไว้ใช้ฉีดหน้าในทุกเมื่อที่ปรารถนา ซึ่งวิธีการแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและความผ่องใสให้กับผิวหน้าได้เป็นอย่างดี
 สามารถใช้เพื่อขจัดกลิ่นปากและแบคทีเรียในช่องปากได้
 ทั้งยังยังช่วยปรับลมหายใจมีความสดชื่นอีกทั้งยังช่วยคุ้มครองการรับเชื้อได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากได้มีผลการเรียนจากมหาวิทยาลัยเพส อเมริกา ได้ศึกษาค้นพบว่าสารสกัดจากชาเขียวนั้นมีคุณประโยชน์ที่ช่วยสำหรับการยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียรวมทั้งช่วยทำลายจุลชีพซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆนั่นเอง
 มีส่วนช่วยสำหรับในการคุ้มครองปกป้องฟันผุ เนื่องจากว่าชาเขียวสามารถทำลายแบคทีเรียได้ และก็สามารถคุ้มครองปกป้องของกินเป็นพิษแล้วก็ยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่อาจส่งผลให้เกิดคราบพลัคในช่องปากได้เช่นเดียวกัน โดยจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่าสาร catechins นั้นมีส่วนช่วยในการยับยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ Streptococcus mutans ในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งจริงๆ
การรักษาโรคด้วยชาเขียวกับพืชสมุนไพร

  • ชาเขียวกับเม็ดบัว ช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก ทั้งยังยังช่วยสำหรับเพื่อการหลั่ง
  • เร็วของสุภาพบุรุชาเขียว[/url]กับลูกเดือย ช่วยลดอาการบวมน้ำ มดลกอักเสบ รวมทั้งอาการตกขาว
  • ชาเขียวกับน้ำตาลเดกซ์โทรส ช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
  • ชาเขียวกับโสมอเมริกา ช่วยปรับร่างกายมีความสดชื่น ทั้งยังช่วยแก้คอแห้ง และช่วยทำนุบำรุงหัวใจ
  • ชาเขียวกับขิงสด ช่วยรักษาอาการจุกลมรวมทั้งของกินเป็นพิษ
  • ชาเขียวกับบ๊วยเค็ม ช่วยทุเลาอาการคอแห้งผาก แสบคอ และก็เสียงแหบ
  • ชาเขียวกับเม็ดเก๋ากี้ ช่วยลดหุ่นและก็อาการตาฝ้า
  • ชาเขียวกับตัวต้นหอม ช่วยแก้โรคไข้หวัดแล้วก็ช่วยขับเหงื่อไหลจากร่างกาย
  • ชาเขียวกับใบหม่อน ช่วยคุ้มครองป้องกันโรคหวัด แลช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตได้อย่างดีเยี่ยม
  • ชาเขียวกับเนื้อลำไยแห้ง ช่วยทำนุบำรุงสมองและก็เสริมสร้างในเรื่องความจำ
  • ชาเขียวกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง ช่วยแก้อาการเวียนหัวหัวรวมทั้งอาการตาลาย
  • ชาเขียวกับตะไคร้ ช่วยขับไขมันในเส้นเลือดได้อย่างดีเยี่ยม
  • ชาเขียวกับขึ้นฉ่าย ช่วยลดความดันโลหิต
  • ชาเขียวกับหนวดข้าวโพด ช่วยลดความดันเลือด ลดอาการบวมน้ำและก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
  • ชาเขียวกับไส้หมาก ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
           https://www.disthai.com/[/b]
14  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เตย เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: ธันวาคม 08, 2018, 03:58:37 pm

เตย
ชื่อสมุนไพร เตย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ใบเตย , เตยหอม , ต้นเตย , เตยหอมใหญ่ , เตยหอมเล็ก (ภาคกลาง) , หวานข้าวใหม่ (ภาคเหนือ) , ปาแนะวอวิง , ปาแง๊ะออริง (นราธิวาส,มาเลเซีย) ,พังลั้ง (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Pandanus amaryllifolius Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์    Pandanus ordorus Ridl.
ชื่อสามัญ  Pandanus Palm , Fragrant Pandan , Pandom wangi.
วงศ์  Pandanaceae
ถิ่นกำเนิด
เตย เป็นพืชที่คนประเทศไทยรู้จักกันอย่างดีเยี่ยมมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เพราะได้ประยุกต์ใช้ผลดีต่างๆเยอะมาก โดยเฉพาะส่วนของใบที่เราเรียกว่า ใบเตย ก็เลยทำให้เรียกพืชชนิดนี้ติดปากกันมาจนถึงเดี๋ยวนี้ว่า “ใบเตย” สำหรับบ้านเกิดเมืองนอนของเตยนั้น เป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในเอเซียอาคเนย์ เป็นต้นว่า ไทย ประเทศพม่าลาว มาเลเซีย รวมทั้งอินเดีย รวมทั้งทวีปอื่นเป็นต้นว่าแอฟริกา และประเทศออสเตรเลีย ถูกใจขึ้นตามพื้นที่เปียก ขอบลำน้ำหรือบริเวณที่เฉอะแฉะที่มีน้ำขังบางส่วน ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
ลักษณะทั่วไป
เตยจัด เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นทรงกลม รวมทั้งเป็นข้อสั้นๆถี่กัน โผล่ขึ้นมาจากดินเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ โคนลำต้นแตกรากกิ้งก้านออกเป็นรากค้ำชูหรือเรียกว่า รากอากาศ ลำต้นสามารถแตกหน่อเป็นต้นใหม่ได้ ทำให้มองดูเป็นกอหรือเป็นพุ่มไม้ใหญ่ๆที่รวมความสูงของใบแล้วสามารถสูงได้มากกว่า 1 เมตร
ใบเตย แตกออกเป็นใบโดดเดี่ยวข้างๆรอบลำต้นและเรียงสลับวนเป็นเกลียวขึ้นตามความสูงของลำต้น จนกระทั่งขอด ใบมีลักษณะเรียวยาวเป็นรูปกระบี่ ปลายใบแหลม สีเขียวสด ใบชูเฉแนบไปกับลำต้น แผ่นใบเป็นเงา กว้างราวๆ 2-3 ซม. ยาวประมาณ 30-50 ซม. แผ่นใบแล้วก็ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านล่างมีสีจางกว่าข้างบน มีเส้นกึ่งกลางใบลึกเป็นแอ่งตื้นๆตรงกลาง ใบนี้ส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา เพราะเหตุว่ามีน้ำมันหอมระเหย รวมทั้งสาร ACPY
การขยายพันธุ์
เตย สารมารถเพาะพันธุ์ได้เองโดยการแตกหน่อ แต่ว่าในปัจจุบันก็สามารถปลูกด้วยการแยกเหง้าหรือย้ายหน่อปลูกได้เช่นกัน ทั้งนี้ เตยสามารถขึ้นได้ดีในที่เปียก และทนต่อภาวะดินเปียกแฉะได้ดิบได้ดี แต่ควรจะเลือกพื้นที่ปลูกไม่ให้อุทกภัยขังง่าย โดยมีวิธีการดังนี้
การเตรียมแปลง แปลงปลูกเตย ควรจะไถแปลง และตากดินก่อน 5-10 วัน พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด ก่อนหว่านด้วยปุ๋ยธรรมชาติอัตรา 2 ตัน/ไร่ แล้วก็ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 10 กิโล/ไร่ พร้อมไถกลบ
การปลูกเตย ควรปลูกในช่วงฤดูฝน เพราะดินจะชื้นดี ทำให้ต้นเตยติด แล้วก็ตั้งตัวได้ง่าย ด้วยการขุดหลุมปลูกเป็นแถว ระยะหลุม และก็ระยะแถวที่ 50 ซม. หรือที่ 30 x 50 ซม. ก่อนนำต้นจำพวกเตยลงปลูก
หลังจากปลูกเตยเสร็จ ควรจะให้น้ำโดยทันทีแต่ว่าหากดินเปียกชื้นมากก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ รวมทั้งให้น้ำเสมอๆทุกๆ7-10 วัน ขึ้นอยู่กับความชื้นดิน และฝนที่ตก
องค์ประกอบทางเคมี
จากการศึกษาเล่าเรียนทางเคมีของใบเตยพบว่ามีประโยชน์สำคัญหลายอย่างเมื่อนำใบเตยหอมากลั่นด้วยละอองน้ำจะได้สารหอมที่มี แพนดานาไมน์ (Pandanamine) ไลนาลิลอะซีเตท ( linalyl acetate) เบนซิลอะซีเตท (benzyl acetate) ไลนาโลออน (linalool)แล้วก็เจอรานิออล (geraniol) มีสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมคือ คูมาริน (coumarin) แล้วก็เอทิลวานิลลลิน (ethyl vanillin)สารคลอโรฟิลล์(chlorophyll) ทำให้มีสีเขียว เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) และก็สารในกรุ๊ปแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ที่สำคัญ

linalyl acetate benzyl acetate
องค์ประกอบของสารไลนาลิลอะซีเตท โครงสร้างของเบนซิลอะซีเดท


linalool Geraniol
โครงสร้างของไลนาโลออล โครงสร้างเจอรานิออล

Pandanamine Chlorophyll
องค์ประกอบของแพนดานาไมน์ ส่วนประกอบของคลอโรฟิลล์

Anthocyanin Ethylvanillin
องค์ประกอบของแอนโทไซยานิน ส่วนประกอบของเอทิลวานิลลิน
นอกเหนือจากนี้ในส่วนของคุณประโยชน์ทางโภชนาการของเตย คุณค่าทางโภชนาการของใบเตยสดใน 100 กรัม
ส่วนประกอบ ใบเตยสด
พลังงาน (กิโลแคลอรี่) 35
ความชื้น (กรัม) 85.3
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 4.6
โปรตีน (กรัม) 1.9
ไขมัน (กรัม) 0.8
สายสัมพันธ์(กรัม) 5.2
แคลเซียม (มก.) 124
ธาตุฟอสฟอรัส (มก.) 27
เหล็ก(มิลลิกรัม) 0.1
วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม) 0.2
ไนอะซิน (มก.) 1.2
วิตามิน ซี (มิลลิกรัม) 8
เบตา-แคโรทีน (ไมโครกรัม) 2.987
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
ใบเตย มักถูกเอามาผสมในอาหาร เพื่ออาหารมีกลิ่นหอมสดชื่นน่าอร่อย และยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยโบราณหลายๆชนิด ยกตัวอย่างเช่น ขนมแฉะปูน ขนมชั้น แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นเครื่องดื่มอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นยังคงใช้ใบเตยนำมาห่อทำอาหารหวาน อาทิเช่น ขนมตะโก้ใบนำมาผูกรวมกัน ใช้สำหรับวางในห้องน้ำห้องรับแขกเพื่อให้อากาศมีกลิ่นหอมยวนใจช่วยสำหรับการกำจัดกลิ่นหรือใช้ใบเตยสดนำมายัดหมอน ช่วยให้มีกลิ่นหอมสดชื่น ประยุกต์ใช้เป็นสารแต่งกลิ่นบุหรี่ นำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆนำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนใช้ชงเป็นชาดื่ม น้ำมันหอมระเหยจากเตยนำไปเป็นส่วนผสมของน้ำยาปรับอากาศ ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า ครีมทาผิว แชมพู สบู่ หรือ ครีมนวด ฯลฯ
ส่วนสรรพคุณทางยาของเตยนั้น หนังสือเรียนยาไทย ได้เล่าสรรพคุณทางยาของใบเตยไว้ว่าเตยมีคุณประโยชน์หลายประการ ยกตัวอย่างเช่น บำรุงหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดระดับความดันเลือด ใช้รักษาโรคฝึกหัด เลือดออกตามไรฟัน หวัด ตับอักเสบ ดับพิษไข้ แก้โรคฝึกฝน แก้ท้องขึ้น แก้อยากกินน้ำ แก้ร้อนในขับปัสสาวะ รากเตย ใช้เป็นยาขับฉี่ รักษาเบาหวานเพราะมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดยิ่งกว่านั้นยังใช้รักษาโรคตับ ไตอักเสบ รวมทั้งรักษาโรคโรคหืด แก้โรคหนองใน แก้พิษเลือดแก้ตานซางในเด็ก ช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
รูปแบบ/ขนาดการใช้
• ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำกิน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง
• ช่วยดับหิว นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้รอบคอบ แล้วเติมน้ำบางส่วน คั้นเอาแต่น้ำดื่ม
• รักษาโรคฝึกหรือโรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว
• ใช้รักษาโรคโรคเบาหวาน ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น
• ใช้เป็นยาขับเยี่ยว โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือไปต้มกับน้ำหรือใช้ใบมาหั่นตากแดดให้แห้งแล้วชงดื่มแบบชาก็ได้
• ใช้บำรุงผิวหน้า โดยการกางใบเตยล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆเอามาปั่นรวมกับน้ำที่สะอาดจนถึงละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ราว 20 นาที
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ใบเตย มีฤทธิ์ลดระดับความดันเลือดแล้วก็ลดอัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มความแรงสำหรับเพื่อการหดตัวแล้วก็ลดอัตราการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ต้านทานอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียStaphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis แต่ยังเป็นการทดลองในสัตว์ทดสอบและในหลอดทดลองเท่านั้น
การเรียนทางพิษวิทยา
จากการสืบค้นข้อมูลในขณะนี้ ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษหรืออาการไม่พึงปรารถนาจากการกินใบเตย
ข้อเสนอ/ใจความระวัง

  • แม้เตยจะเป็นพืชจากธรรมชาติ แม้กระนั้นก็ควรจะบริโภคในจำนวนที่เหมาะสมและไม่บริโภคเป็นเวลานานจนถึงเกินไป
    2. คนที่มีโรคประจำตัวหรือสตรีมีครรภ์แล้วก็สตรีให้นมบุตรควรหารือแพทย์แล้วก็ผู้ชำนาญก่อนบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆก็ตามจากเตย เพราะว่าสารเคมีในเตยอาจมีผลกระทบต่อร่างกายได้
    3. ในขั้นตอนการตระเตรียมใช้ใบเตยด้วยตัวเองควรจะล้างทำความสะอาดใบเตยอย่างดีอย่าให้มีสิ่งเจือปนผสมไป เนื่องจากว่าอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
เอกสารอ้างอิง

  • อัจฉรา นิยมเดชา.ผลของการเสริมใเตย[/url]หอม(Pandanus amarylifolius Roxb.) ในอาหารต่อสมรรถภาพการผลิตของนกกระทาญี่ปุ่นและคุณภาพไข่.รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปีงบประมาณ 2555.38หน้า
  • ดวงจันทร์เกรียงสุวรรณ. พืชผักผลไม้ไทยมีคุณค่าเป็นทั้งอาหารและยาเตยหอมและแตงกวา. งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรมฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่
  • ใบเตย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/color]
  • วันดี กฤษณพันธ์.2538.สมุนไพรสารพัดประโยชน์.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.กรุงเทพฯ
  • สรรพคุณของน้ำเห็ดหลินจือต้มผสมกับอ้อยดำและใบเตย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เตย/ใบเตย สรรพคุณและการปลูกเตย.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรเพื่อพืชไทยLinda S.M Ooi, Samuel S.M Sun and Vincent E.C Ooi . 2004. Purification and characterization of a new antiviral protein from the leaves of Pandanus amaryllifolius (Pandanaceae). Department of Biology. The Chinese University of Hong Kong, Shatin, N.T., Hong Kong, China.


Tags : เตย
15  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรโด่ไม่รู้ล้มประโยชน์เเละสรรพคุณ เมื่อ: ธันวาคม 03, 2018, 04:09:45 pm


โด่ไม่รู้ล้ม
ชื่อสมุนไพร  โด่ไม่รู้ล้ม
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น หญ้าไก่นกคุ้ม , หญ้าสามสิบสองหาบ , หญ้าไฟนกคุ้ม , หนาดผา (ภาคเหนือ) , ขี้ไฟนกคุ่ม (เลย) , หญ้าปราบ (ภาคใต้) , หนาดมีแคลน (สุราษฎร์ธานี) , เคยโป๊ , ตะชีโกวะ (กะเหรี่ยง) , ก้อมทะ (ลั๊วะ) , จ่อเก๋ (ม้ง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Elephantopus scaber Linn.
ชื่อสามัญ   Prickly-Leaved Elephant’s Foot
วงศ์    ASTERACEAE [/color]

ถิ่นกำเนิด
โด่ไม่รู้ล้ม เป็นพืชที่ถูกเรียกชื่อตามลักษณะของลำต้นที่เมื่อถูกดูถูกดูหมิ่นหรือถูกทับก็จะแบนราบลงไปกับพื้นดิน แม้กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่หนึ่ง ลำต้นก็จะกลับมาตั้งโด่อย่างเดิมจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อ โด่ไม่รู้ล้ม ซึ่งพืชนี้ข้อมูลบ้านเกิดที่จริงจริงยังไม่ชัดแจ้งแม้กระนั้นจัดเป็นพืชในเขตร้อนที่พบได้ในประเทศเขตร้อนทั้งโลก รวมถึงเมืองไทยด้วย ซึ่งในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ และพบได้ทั่วไปตามป่าดงดิบ ป่าสนเขา ป่าเต็งรัง และป่าโปร่งที่มีภาวะของดินเป็นดินร่วนซุยปนทราย
ลักษณะทั่วไป โด่ไม่รู้ล้ม จัดเป็นพืชล้มลุก ลำต้นสั้น กลม ชี้ตรง สูง 10-30 ซม. ตามผิวลำต้น มีขนสีขาวตรงละเอียดห่าง สาก ใบเป็นใบผู้เดียวอยู่บริเวณเหนือเหง้าชิดกันเป็นวงกลม เรียงสลับชิดกันอยู่เป็นกลุ่ม เหมือนกุหลาบซ้อนที่โคนต้น รูปแบบของใบเป็นรูปหอกหัวกลับ แผ่นใบกว้างราว 3-5 ซม.รวมทั้งยาวราว 8-20 เซนติเมตร ขอบใบหยักหรือเป็นจักคล้ายฟันเลื่อยห่างๆมีเส้นแขนงของใบโดยประมาณ 12-15 คู่ ส่วนของใบที่ค่อนไปทางปลายจะผายกว้าง แล้วสอบเป็นแหลมทื่อๆส่วนโคนใบจะสอบแคบจนกระทั่งก้านใบ มีเนื้อใบครึ้มสาก ผิวใบจะมีขนสากเล็กๆขนตรงห่างมีสีขาว และมีขนต่อมห่างอยู่ทั้งคู่ด้าน โดยท้องใบจะมีขนมากกว่าข้างหลังใบ แผ่นใบมักแผ่ราบไปกับพื้นดิน ก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร ไหมมีก้านใบ ดอกช่อแทงออกจากกึ่งกลางต้น ช่อดอกรูปขอบขนาน มี 4 ดอกย่อย ยาว 8-10 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 มิลลิเมตร ดอกย่อยขนาดเล็กดอกรูปหลอดสีม่วง หลอดกลีบยาว 3-3.5 มม. หมดจด ปลายกลีบดอกยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ไม่มีขน เกสรเพศผู้สีเหลือง มีอับเรณูยาว 2.2-2.3 มิลลิเมตร ปลายแหลม ฐานเป็นติ่งแหลม ก้านยกอับเรณูยาว 1.5-1.7 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมีก้านเกสรยาว 7-8 มิลลิเมตร ยอดเกสรยาว 0.5-0.6 มม. มีขนที่ปลายยอดและจบที่รอยแยก แต่ละช่อย่อยมาอยู่รวมกันเป็นช่อกระจุกกลมที่ปลายก้านดอก รอบๆโคนกระจุกดอกมีใบแต่งแต้มแข็งรูปสามเหลี่ยม แนบอยู่ 3 ใบ ยาว 1-2 ซม. กว้าง 0.5-1.5 ซม. ขอบของใบเรียบปลายเรียวแหลม ที่ผิวใบทั้งสองด้านมีขนตรงสีขาว ออกที่ปลายยอดแบบช่อแยกแขนง ก้านช่อดอกมีความยาวได้ถึง 8 ซม.แล้วก็มีขนสาดๆอยู่ทั่วไป ส่วนฐานรองดอกจะแบนและก็เกลี้ยง มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 0.5-0.7 มม. วงใบแต่งแต้มเป็นรูปขอบขนาน มี 2 ชั้น สูงราว 7-10 มิลลิเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 มม. ใบประดับคล้ายรูปหอก ผิวข้างนอกมีขนตรง ส่วนขอบของใบมีขนเสื้อครุย ชั้นนอกเป็นรูปใบหอกยาวประมาณ 4-6 มิลลิเมตรและก็กว้างโดยประมาณ 0.5-1.5 มม. ปลายแหลม ส่วนชั้นที่ 2 เป็นรูปขอบขนานกว้างราวๆ 1-2 มม.แล้วก็ยาวประมาณ 8-10 มิลลิเมตร ปลายแหลม สีขาว เป็นเส้นตรงแข็ง มี 5 เส้น เรียง 1 ชั้น ยาวราว 5-6 มิลลิเมตรส่วนผลได้ผลสำเร็จแห้งและไม่แตก รูปแบบของผลเล็กและก็เรียว เป็นรูปกรวยแคบ ผิวภายนอกผลมีขนหนาแน่น ยาวประมาณ 2.5-3 มม.และกว้างโดยประมาณ 0.4-0.5 มิลลิเมตร ผลไม่มีสัน
การขยายพันธุ์ โด่ไม่รู้ล้มเป็นพืชล้มลุกที่ทนแล้งได้ดี สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี อย่างเช่น การเพาะเม็ดหรือการแยกต้นแยกหัว ซึ่งสามารถปลูกในแปลงหรือปลูกใส่กระถางได้โดยการปลูกโด่ไม่รู้ล้มนั้นก็ราวกับการปลูกพืชธรรมดา เป็น เตรียมหลุมและรองก้นหลุมใส่ต้นชนิดลงไปกลบดินแล้วรดน้ำพอเพียงเปียกแม้กระนั้นภาวะดินที่ปลูกควรจะเป็นดินร่วมคละเคล้าทราย และควรจะปลูกที่โล่งแจ้ง เนื่องมาจากโด่ไม่รู|ไม่รู้เรื่อง|ไม่เคยรู้|ไม่เคยทราบ|ไม่ทราบ|ไม่รู้จัก}ล้มเป็นพืชที่ชอบแดดและก็ทนแล้งเจริญ
ส่วนประกอบทางเคมี
ในส่วนต่างๆของโด่ไม่รู้ล้มเจอสารกลุ่ม elephantopins แล้วก็ deoxyelephanpin Crepiside E, cynaropicrin deacyl; cyanaropicrin-3-β-D-glucopyranoside deacyl; dotriacontan-1-ol; elephantopin, 11-13-dihydro-deoxy; elephantopin, 11-13-dihydro; elephantopin deoxy; elephantopin, iso-deoxy; friedelanol, epi; friedelinol, epi; lupeol; stigmasterol; stigmasterol 3-O- β-D-glucoside; triacontan-1-ol; zaluzanin C, gluco; scabertopin


คุณประโยชน์/สรรพคุณ

หนังสือเรียนยาไทย อีกทั้งต้น มีรสกร่อยฝาดให้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น ขับน้ำเหลืองเสีย แก้บิด แก้ท้องร่วง แก้ไอ แก้วัณโรค บำรุงหัวใจ ขับเหงื่อ ขับรอบเดือนขับพยาธิตัวกลม แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ บำรุงความกำหนัด แก้กษัยขับไส้เดือน แก้กามโรค แก้บวมน้ำ แก้นิ่ว แก้ไข้หวัด แก้เจ็บคอ แก้ตาแดง แก้โรคดีซ่าน แก้เลือดกำเดาออกง่าย แก้ฝี แก้แผลมีหนอง แก้แผลงู แก้แมลงมีพิษกัดต่อย แก้อักเสบ แก้แผลในกระเพาะ แก้แผลยุ่ยในปาก แก้เหน็บชา ราก รสกร่อยฝาด ขับเยี่ยว แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้หวัด แก้ไอเรื้อรังแก้ท้องเดิน แก้บิด ขับพยาธิ ขับเมนส์ บีบมดลูก ต้มเอาน้ำอมแก้ปวดฟัน แก้ฝี แผลมีหนอง บวมอักเสบทั้งหลายแหล่ เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับหญิงที่คลอดบุตรใหม่ เป็นยาบำรุง เป็นยาขับไส้เดือน รักษาโรคผู้ชาย ต้มดื่มแก้คลื่นไส้ ใบ รสกร่อยขม รักษาบาดแผล แก้โรคผิวหนัง แก้ไข้ ขับเยี่ยว แก้หมดแรง รักษากามโรค รักษาโรคชาย เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับหญิงที่คลอดลูกใหม่ เป็นยาบำรุง เป็นยาขับไส้เดือน แก้ไอ นำมาซึ่งความกำหนัด รากรวมทั้งใบ รสกร่อยขมขับปัสสาวะ แก้ท้องเดิน แก้โรคแผลในกระเพาะอาหารแก้บิด แก้กามโรคในสตรี ไม่กำหนดส่วนที่ใช้ ชูกำลัง ชูกำลัง ตัดกษัย บำรุงกษัยไม่ให้เกิด แก้ฉี่พิการ บำรุงความกำหนัด ขับเยี่ยว แก้ไข้จับสั่น แก้ไอ แก้ไข้ ขับพยาธิไส้เดือน แก้กามโรค แก้โรคหลอดลมอักเสบ แก้ปวดบวม แก้ตับอักเสบ แก้บิด รักษาตัวบวม รักษาไตอักเสบ
ตำราเรียนยาประจำถิ่น ใช้ รากต้มน้ำกิน แก้ไอ ชูกำลัง บำรุงสมรรถภาพทางเพศ ร้อนใน อยากกินน้ำ แก้ไข้ ราก ต้มน้ำหรือดองสุราดื่ม กับยากำลังเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรงบำรุงร่างกายแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ราก ลำต้น ใบ รวมทั้งผล ต้มน้ำ แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้ไอ
 
ตำราหมอแผนจีน
 
โด่ไม่รู้ล้มกล่าวไว้ว่า ” ทั้งยังต้น มีรสขมเผ็ด ฤทธิ์เย็น เข้าเส้นลมปราณ ปอด ตับแล้วก็ม้าม สรรพคุณ แก้เจ็บคอ รักษาต่อมทอนซิลอักเสบ แก้บวมน้ำในร่างกาย โรคกำเดาห้ามเลือด นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ขับปัสสาวะ ฝีภายในแล้วก็ข้างนอก ใช้ข้างนอกแก้โรคผิวหนัง แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย
ส่วนในทางแพทย์แผนปัจจุบัน บอกว่า โด่ไม่รู้ล้มอาจช่วยเรื่องบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนแรง ช่วยทำให้มีกำลัง และก็มีฤทธิ์ในการช่วยถอนพิษไข้แก้อาการตัวร้อน แก้ไอ แก้อ้วก แก้ท้องร่วง โดยแนวทางกินที่ยอดเยี่ยมเป็นการนำมาต้นน้ำดื่ม แล้วก็ยังสามารถช่วยลดการเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยมีรายงานค้นคว้าทำการวิจัยว่าที่เอทานอลที่สกัดได้จากโด่ไม่รู้ล้มมีค่าความเข้มข้นที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนั้นทางด้านการแพทย์ยังนำโด่ไม่รู้ล้มไปสกัดเพื่อรักษาอาการอักเสบจากการติดเชื่อจำพวกต่างๆตัวอย่างเช่นลำไส้อักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ แล้วก็ยั้งเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาอาการที่เกี่ยวกับระบบเยี่ยวเช่นช่วยสำหรับเพื่อการขับฉี่ แก้อาการขัดเบาซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของทางเท้าเยี่ยวอักเสบ ช่วยลดการเกิดนิ่ว และก็ยังมีฤทธิ์ช่วยบำรุงกำหนัดเพิ่มความต้องการทางเพศอีกทั้งในผู้หญิงและก็ผู้ชาย ช่วยฟื้นฟูแล้วก็บำรุงความสามารถ ช่วยลดสภาวะอวัยวะสืบพันธุ์แข็งตัวช้า อ่อนตัวเร็ว และก็หลั่งเร็วในผู้ชาย ทำให้โด่ไม่รู้ล้มก็เลยเป็น 1 ในสมุนไพรที่นิยมนำไปสกัดเป็นยาหรือสินค้าเสริมอาหารที่ให้คุณประโยชน์สำหรับในการสร้างเสริมสมรรถนะทางเพศ
แบบ / ขนาดวิธีการใช้
• แก้เลือดกำเดา ใช้ต้นสด 30-60 กรัม (หรือต้นแห้ง หนัก 10-15 กรัม) ต้มกับเนื้อหมูพอสมควร กินติดต่อกันเป็นเวลานาน 4-5 วัน
• แก้ดีซ่าน ใช้ต้นสด 120-240 กรัม ต้มกับเนื้อหมูพอควร รับประทานติดต่อกันนาน 4-5 วัน
• แก้ท้องมาน ใช้ต้นสด 60 กรัม ต้มเอาน้ำ รุ่งเช้า-เย็น หรือตุ๋นกับเนื้อหมูรับประทาน
• แก้ขัดค่อย ใช้ต้นสด15-30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม
• แก้นิ่ว ใช้ต้นสด 90 กรัม ต้มกับเนื้อหมู 120 กรัม เพิ่มน้ำใส่เกลือบางส่วน ต้มเคี่ยว กรองมัวแต่น้ำ แบ่งไว้ดื่ม 4 ครั้ง
• แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้เจ็บคอ ใช้ต้นแห้ง 6 กรัม แช่น้ำร้อน 300 ซีซี(ราวๆขวดแม่โขง) นาน 30 นาที รินเอาน้ำกินหรือจะบดเป็นผุยผงปั้นเม็ดไว้รับประทานก็ได้
• แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ใช้ต้นสด 30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม
• แก้ฝีบวมหรือฝีเป็นหนอง ใช้ต้นสด ตำผสมเกลือเล็กน้อย ละลายน้ำส้มสายยกเพียงพอข้นๆพอก
• แก้ฝีฝักบัว ใช้ต้นสด 25 กรัม ใส่น้ำ 1 ขวด รวมทั้งสุรา 1 ขวด ต้มดื่มและก็ใช้ต้นสดต้มกับน้ำ เอาน้ำล้างหัวฝีที่แตก
รักษาโรคผิวหนังต่างๆและก็ใช้ทาแผล โดยใช้ใบสด 2 กำมือ มาเคี่ยวกับน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะพร้าวแล้วก็ใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้รากและใบ (สดหรือแห้งก็ได้) 2 กำมือ ต้มดื่มแก้ท้องร่วง แก้กระเพาะเป็นแผล ช่วยขับเยี่ยว หรือใช้อาบในสตรีหลังคลอด ส่วนรากใช้ตำผสมพริกไทย แก้ลักษณะของการปวดฟัน หรือใช้รากต้มกับน้ำแล้วก็ใช้อบแก้ปวดฟันก็ได้เหมือนกัน
การเรียนทางเภสัชวิทยา สารสกัดต่างๆของโด่ไม่รู้ล้มมีฤทธิ์ลดไข้ ลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต รวมทั้งมีความเป็นพิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ยั้งเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งเชื้อไวรัส ต้านความเป็นพิษต่อตับ ลดไข้ ลดการอักเสบ ลดระดับความดันโลหิตรวมทั้งยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กกระตุ้นมดลูก ยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase, glutamate-oxaloacetate-transaminase แล้วก็ glutamate-pyruvate-transaminase มีการเล่าเรียนผลของโด่ไม่รู้ล้มในหนูเพศผู้ต่อความกำหนัด ประสิทธิภาพน้ำเชื้อ ของลับเสริม ขนาดแล้วก็กล้ามลึงค์ รวมทั้งรูปทรงเพศลูก พบว่าสมุนไพรโด่ไม่รู้ล้ม มีฤทธิ์กระตุ้นกำหนัดรวมทั้งทำให้ระดับ testosterone สูงขึ้นในหนูแรท แต่ว่าในขนาดสูงกลับทำให้ระดับ testosterone แล้วก็เชื้อน้ำอสุจิน้อยลง เพิ่มการเกิด libido เปลี่ยนค่า osmolality แล้วก็จำนวนอสุจิของน้ำกาม ลดเปอร์เซ็นต์อสุจิขยับเขยื้อน เพิ่มน้ำหนักอวัยวะเพศเสริม รวมทั้งเพิ่มสเกลเพศลูก (เพศภรรยา/เพศผู้)
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
จากการศึกษาพบว่าน้ำสุกโด่ไม่รู้ล้ม หรือสารสกัด 50% เอทานอลจากพืชทั้งต้น ไม่มีพิษ เมื่อให้หนูถีบจักรรับประทานแม้จะให้ในขนาดสูงถึง 6.0 กรัม/กิโลกรัม รวมทั้งพบว่าขนาดของสารสกัดทั้งสองประเภทที่ทำให้หนูถีบจักรตายจำนวนร้อยละ 50 มีค่ามากยิ่งกว่า 2 กรัม/กก. เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้อง
สารสกัดรากแล้วก็ใบที่หมักกับเหล้าโรง 40 ดีกรี เมื่อเอามาป้อนหนูทดลองในขนาดความเข้มข้น 2,000 มก.ต่อกิโลกรัม เพียงครั้งเดียว แล้วเก็บผลในวันที่ 14 ผลการทดสอบพบว่าหนูไม่มีการแสดงอาการเปลี่ยนไปจากปกติ ส่วนการทดสอบความเป็นพิษแบบระยะสั้น พบว่าไม่แตกต่างอย่างมีความนัยสําคัญของน้ำหนักตัว น้ำหนักตับ ไต ม้ามหัวใจ adrenal cortex รวมทั้งอัณฑะ แล้วก็ระดับเอนไซม์ BUN creatinine AST และ ALT ของหนูทุกกลุ่ม
 
ข้อแนะนำ / ข้อควรระวัง
 
1. สตรีตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมหรือยาแผนโบราณที่มีส่วนประกอบจากโด่ไม่รู้ล้ม
2. ผู้ที่มีลักษณะปัสสาวะมากมายไม่ดีเหมือนปกติไม่ควรใช้โด่ไม่รู้ล้มเนื่องจากมีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้อาการร้ายแรงขึ้น
3. ผู้ที่มีสภาวะหยางพร่อง (กลัวหนาว , แขนขาเย็น , ไม่กระหายน้ำ , ถ่ายเหลว , ตัวซีดเผือด , ง่วงหงาวหาว นอน) ไม่ควรใช้โด่ไม่รู้ล้ม
 
เอกสารอ้างอิง

  • ไพบูลย์ แพงเงิน.สมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค (สมุนไพรคู่บ้าน 2).กรุงเทพฯ:มติชน.2556.272 หน้า.
  • ผศ.ดร.วีณา นุกูลการ. โด่ไม่รู้ล้ม.สมุนไพรกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/b]
  • โด่ไม่รู้ล้ม.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีโด่ไม่รู้ล้ม.กลุ่มยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ.สรรพคุณสมุนไพร.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
  • โด่ไม่รู้ล้ม.สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1 สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ104.ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
หน้า: [1] 2 3
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย