แสดงกระทู้
|
หน้า: [1] 2 3 4
|
1
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พลู ประโยชน์เเละสรรพคุณ
|
เมื่อ: ธันวาคม 26, 2018, 10:27:53 pm
|
พลูชื่อสมุนไพร พลูชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พลูเหลือง, พลูทอง, พลูจีน (ทั่วไป), เปล้าอ้วน, ซีเก๊ะ , ซีเก๊าะ (ภาคใต้),กื่อเจี่ย (จีนแต้จิ๋ว), จวีเจียง (จีนกลาง)ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper betle Linn.ชื่อสามัญ Bettle Piper , Bettle leaf vineวงศ์ PIPERACEAEถิ่นกำเนิดพลู มีบ้านเกิดเมืองนอนในเขตร้อนชื้นในแถบทวีปเอเชียใต้อาทิเช่นประเทศอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อื่นๆอีกมากมาย (แม้กระนั้นอีกตำราหนึ่งกล่าวว่าพลูมีต้นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย) โดยพบว่าพลูมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ทั้งโลกซึ่งส่วนมากพบได้ทั่วไปในประเทศประเทศอินเดียกว่า 40 สายพันธุ์ ส่วนในประเทศไทยพลูพบบ่อยในทั่วทุกภาคแล้วก็มีแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญในประเทศเป็น ในจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก จังหวัดนครปฐม จังหวัดกรุงเทพ มหาสารคาม ขอนแก่น และจังหวัดโคราช ซึ่งชอบเป็นการปลูกเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น และปลูกเพื่อการค้าขาย และก็ส่งออกต่างแดนในบางส่วน ลักษณะทั่วไป พลูเป็นพืชสกุลเดียวกับพริกไทย (PIPERACEAE) จัดเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งลำต้นเกลี้ยงเป็นปล้อง และมีข้อ ขนาดลำต้น 2.5-5 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ รวมทั้งมีร่องเล็กๆสีน้ำตาลอมแดงตามแนวยาวของลำต้น สันร่องมีสีเขียว โดยลำต้นส่วนปลายจะมีสีเขียว ส่วนลำต้นส่วนต้นจะมีสีเขียวอมเทา โดยมีรากยึดเกาะที่ออกตามขอของลำต้นบางครั้งเรียกว่า รากตุ๊กแก แตกออกตามข้อของลำต้นเพื่อยึดเกาะสิ่งของสำหรับช่วยประคองลำต้นเลื้อยขึ้นที่สูงได้ แล้วก็ทำให้ลำต้นไม่หลุดหล่นลงสู่พื้นได้ง่าย ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ออกสลับกัน รูปหัวใจหรือกลมแกมรูปไข่กว้าง 8 – 12 ซม. ยาว 12 – 16 ซม. ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม เนื้อใบค่อนข้างวาวสด ใบอ่อนมีสีเหลืองอ่อน และค่อยๆกลายเป็นสีเขียวอ่อน และก็สีเขียวเข้ม เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจเฉพาะ รสเผ็ดร้อน เส้นใบนูนเด่นทางข้างล่าง ก้านใบยาว ดอกพลูมีสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อ มีช่อดอกแบ่งเพศกันอยู่คนละต้น มีช่อดอกตัวเมียและดอกตัวผู้ มีใบประดับดอกขนาดเล็กรูปวงกลม ช่อดอกเพศผู้ยาว 2-12 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาว 1.5-3 เซนติเมตร ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ 2 อัน มีขนาดสั้นมากมาย ส่วนช่อดอกตัวเมียมีความยาวพอๆกับช่อดอกตัวผู้ แม้กระนั้นมีก้านช่อดอกยาวกว่า ดอกมักบานไม่พร้อมกัน จึงทำให้ไม่ค่อยประสบพบเห็นผลของพลู ด้วยเหตุว่าได้โอกาสผสมเกสรน้อย ผลของพลูมีลักษณะอัดแน่นที่เกิดจากดอกในช่อดอก ผลของพลูมีลักษณะค่อนข้างจะนุ่ม ข้างในมี 1 เม็ด โดยเม็ดมีลักษณะกลม ปริมาณยาวประมาณ 2.25-2.6 มม. กว้างราวๆ 2 มิลลิเมตร การขยายพันธุ์ พลูสามารถปลูก และก็เพาะพันธุ์ใหม่ด้วยการปักชำกิ่ง เหมือนกับพืชเชื้อสายพริกไทยอื่นๆ โดยใช้กิ่งหรือลำต้นที่มีข้อประมาณ 3-5 ข้อ ปักชำในแปลงปักชำหรือถุงปักชำเมื่อกิ่งปักชำติดแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยย้ายลงปลูกไว้ในแปลงปลูก แล้วจึงทำค้างให้พลูเลื้อยพันขึ้น ซึ่งพลูจะสามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในสภาพของดินร่วนซุยที่มีสารอินทรีย์มากมาย มีความเป็นกรดนิดหน่อย (pH 6- 6.7) พื้นที่การระบายได้ดีมีค่าความชุ่มชื้นสัมพันธ์ราวๆ 70-80% องค์ประกอบทางเคมี ใบพลู มีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีสาระสำคัญต่างๆดังเช่น chavicol, chavibetol, eugenol , estragole methlyeugnol แล้วก็ hydroxycatechol สารกรุ๊ปโมโนเทอร์ปีนป่ายส์ ได้แก่ 1,8-cineol, carvacrol, camphene, limonene สารกลุ่มเซสควีเทอร์ป่ายปีนส์ ยกตัวอย่างเช่น cadinene, caryophyllene นอกจากนั้นยังมีสารอื่นๆอีก อย่างเช่น β-carotene, β-sitosterol, stigmasterol แล้วก็ในส่วนของต่างๆของพลูสดยังเจอสาร Fluoride , tectrochrysin, adunctin A, yangonin, fargesin, pluviatilol, sesamin ที่มา : wikipedia นอกจากนั้นเมื่อนำใบพลูสดมาพินิจพิจารณาคุณประโยชน์ทางอาหารพบว่า มีส่วนประกอบต่างๆดังต่อไปนี้ คุณประโยชน์ทางโภชนาการในใบพลูสด (100 กรัม) Water (น้ำ) 85 – 90% Protein (โปรตีน) 3 – 3.5% Fat (ไขมัน) 2.3 – 3.3% Minerals (เกลือแร่) 0.4 – 1.0% Fiber (ใยอาหาร) 2.3% Chlorophyll (คลอโรฟีล) 0.01 – 0.25% Carbohydrate (ค้างรโปรไฮเดรต) 0.5 – 6.10% Nicotinic acid (วิตามืน บี 3) 0.63 – 0.89 มิลลิกรัม/100 ก. Vitamin C (วิตามิน ซี) 0.005 – 1.01% Vitamin A (วิตามิน เอ) 1.9 – 2.9 มิลลิกรัม/100 กรัม Thiamine (วิตามิน บี1) 10 – 70 มคกรัม/100 ก. Riboflavin (วิตามิน บี2) 1.9 – 30 มคกรัม/100 ก. Tannin (แทนนิน) 0.1 – 1.3% Nitrogen (ไนโตรเจน) 2.0 – 7.0% Phosphorus (ฟอสฟอรัส) 0.05 – 0.6% Potassium (โพแคสเซียม) 1.1 – 4.6% Calcium (แคลเซียม) 0.2 – 0.5% Iron (เหล็ก) 0.005 – 0.007% Essential oil (น้ำมันหอมระเหย) 3.4 มดกรัม/100 กรัม Energy (พลังงาน) 44 กิโลแคลอรี่/100 กรัม ประโยชน์/คุณประโยชน์ ใบ พลูกับคนประเทศไทยนับว่ามีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วโดยคนภายในอดีตเชื่อว่าใบพลูรับประทานกับหมาก และปูนแดง จะช่วยทำให้เหงือกและก็ฟันแข็งแรง ช่วยกำจัดกลิ่นปาก แล้วก็ในตำราเรียนยาไทยที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ จะใช้ใบสดกินเป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง ฝาดสมาน ขับเสมหะ เป็นยากระตุ้นน้ำลาย ขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง(ที่มีลักษณะเย็นรอบๆท้อง) ปวดท้อง ด้วยเหตุว่าพยาธิ ใช้เป็นยาที่ใข้เพื่อการฆ่าเชื้อ แล้วก็ยังชื่อว่ารักษาอาการบอบช้ำบวม รักษาอาการปวดท้อง รักษาอาการไอเจ็บคอ รักษาอาการผื่นคันอันเนื่องมาจากเกิดผื่นคัน รักษาโรคผิวหนัง รักษาโรคกลาเกลื้อน แผลอักเสบฝีหนองรวมทั้งสิว นอกเหนือจากนั้นยังคงใช้น้ำคั้นจากใบสดเป็นยาถ่ายพยาธิ ยาระบาย แก้ท้องผูก ขับเสลด ลดไข้แก้ปวดศีรษะ ขับลมในกระเพาะ ทำให้ลมหายใจหอมชื่นบาน นอกเหนือจากนั้นจากการศึกษาเรียนรู้วิจัยยังเจาะจงถึงคุณประโยชน์ของพลูว่าใช้รักษาแผลและใช้ปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ แล้วก็นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าในน้ำพลูมีสารeugenol รวมทั้ง chavicol ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชารวมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ ใช้ใบสด 3-5 กรัม ต้มน้ำดื่มสำหรับแก้อาการปวดท้อง แก้ลมพิษ ให้ใช้ใบสดตำผสมเหล้าทาบริเวณที่เป็น ใช้บดแล้วคายทิ้งวันละ 2-3 ครั้งช่วยขจัดกลิ่นปาก แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อแล้วก็บำรุงกระเพาหาร ใช้ใบสดตำให้รอบคอบคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนหนึ่งแก้วใช้ดื่ม ลดปวดบวม ใช้ใบพลู ใบใหญ่ๆนำไปอังไฟให้ร้อนใช้ไปประคบบริเวณที่ปวดบวมช้ำ รักษากลากรวมทั้งฮ่องกงฟุต เอาใบสดตำให้ละเอียดดองกับเหล้าขาวทิ้งเอาไว้ 15 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) จากการเรียนฤทธิ์การยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียของสารสกัดจากใบพลูที่สกัดด้วยน้ำ พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus mutans โดยพบว่าที่ความเข้มข้น 1 มิลลิกรัม/มล. ของสารสกัดจากใบพลูมีผลทำให้เซลล์แตก นอกจากเชื้อดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว มีการเล่าเรียนเกี่ยวกับพลูว่าเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์กว้างใหญ่สำหรับในการยั้งการเจริญของเชื้อได้หลายแบบ อาทิเช่น Ralstonia sp., Xanthomonas sp. แล้วก็ Erwinia sp., เป็นต้น โดยส่วนประกอบหลักที่เจอในสารสกัดจากใบพลูที่สกัดด้วยน้ำคือ hydroxychavicol, fatty acid รวมทั้งhydroxybenzenacetic acid แล้วก็ยังพบว่าสารสกัดใบพลูที่สกัดด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ยั้งการเติบโตของเชื้อ S, aureus, B. cereus, K. pneumonia และ E. coli ฤทธิ์สำหรับการยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา (Antifungal activity) มีการศึกษาพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบพลูมีความรู้และมีความเข้าใจสำหรับในการยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้หลายแบบอาทิเช่น Colletotrichum capsici, Fusarium pallidoroseum, Botryodiplodia theobromae, Altemaria altemate, Penicilium citrinum, Phomopsis caricae-papayae รวมทั้งAspergillus niger ซึ่งทดลองโดยใช้วิธี disc diffusion method พบว่าสารสกัดใบพลูจากเอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราดังกล่าวได้ดีกว่าprochloraz 2.5 มิลลิกรัม/มล. หรือ clorimazole 10 มก.มลนอกจากมีการศึกษาเพื่อปรับปรุงครีมพลูเพื่อใช้สำหรับการรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ที่สามารถติดต่อสู่กันระหว่างคนรวมทั้งสัตว์โดยเตรียมครีมพลูที่มี สารสกัดพลูจากเอทานอล10 % เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน ketoconazole cream 20% ด้วยแนวทาง disc diffusion method ผลการศึกษาเรียนรู้พบว่าให้ค่าการขัดขวางการเจริญเติบโตของเชื้อรา microsporum canis, microporum gypreum รวมทั้ง Trichophyton mentagrophyte ใกล้เคียงกับ ketosporum canis, microsporum gypreum รวมทั้ง trichophyton mentagrophyte ใกล้เคียงกับ ketoconazole cream เมื่อกระทำการอ่านผลที่ 96 ชั่วโมงแต่คุณภาพของครีมพลูเริ่มลดน้อยลงภายหลังจาก 96 ชั่วโมง แล้วก็หมดไปในวันที่ 7 ของการทดสอบ ฤทธิ์การต้านอักเสบ (Anti-inflammatory activity) การเรียนรู้เกี่ยวกับฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบจากสารสกัดที่ได้จากพลูพบว่าสารสกัดจากใบพลูอบแห้งทีสกัดด้วยเอทานอล 95% มีสาระสำคัญที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอับเสบ คือ allylpyrocatechol โดยมีการเรียนในหนู Sprague Dawley rat เพศผู้มีขนาดน้ำหนักตัว 100 – 120 ก. ผลจาการทดสอบพบว่าการฉีด allypyrocatechol ขนาด10 มิลลิกรัม/กก. เข้าใต้ผิวหนังบริเวณ sub-plantar มีฤทธิ์สำหรับในการต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นในหนูโดย allylpyrocaate-chol จะลดการแสดงออกของ mRNA ของ inducible nitric oxide synthase (iNOS), cyclooxygenase-2 (COX-2), interleukin-12p40 (IL-12p40) แล้วก็ tumor necrosing factoralpha (TNF-α) ซึ่ง allylpyocatachol จะปกป้องการทำลาย kappa B inhibitor (IKB) ส่งผลยั้งแนวทางการทำงานของ transcription ขึ้น นำมาซึ่งการทำให้มีการกระตุ้นลักษณะการทำงานของ macrophage น้อยลง นำมาซึ่งการอักเสบต่ำลง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Free radlcal scavenging activity) การศึกษาเล่าเรียนผลของสารสกัดใบพลูด้วยเอทานอลต่อการต้านอนุมูลอิสระในหนู Swiss albino mice โดยศึกษาเล่าเรียนถึงต้นเหตุต่างๆที่ส่งผลต่อการเกิดอนุมูลอิสระผลจาการศึกษาพบว่าสารสกัดจากใบพลูมีผลในการยั้งการเกิดกระบวนการ lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นมาจากการกระตุ้นด้วยรังสีแกมมา และก็นอกเหนือจากนั้นพบว่าเมื่อทำการป้อนสารสกัดพลูในขนาด 1,5 และก็ 10 มิลลิกรัม/กก. ให้หนูกินทุกๆวันต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังจากนั้นก็เลยนำตับของหนูมาวิเคราะห์พบว่าไม่มีการเปลี่ยนระดับของ lipid peroxidation แล้วก็ยังพบว่าสารสกัดจากใ พลู[/url]ส่งผลทำให้จำนวนของ glutathione มากขึ้น ซึ่งglutathione มีส่วนสำคัญในกรรมวิธีการ detoxification โดยจะไปกระทำควบคุมและก็รักษาระดับของปฏิกิริยา redox รวมทั้ง thiol homeostasis ในตับ ซึ่งส่งผลสำหรับในการควบคุมการเกิดปฏิกิริยาcellular oxidative และยังพบว่าสารสกัดใบพลูมีผลในการทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นรูปแบบการทำงานของเอนไซน์ superoxide dismutase (SOD) แต่ในทางตรงกันข้ามพบว่า แนวทางการทำงานของเอนไซน์ catalase น้อยลงนอกจากการเล่าเรียนต้นสายปลายเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว ยังมีการเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพการณ์เครียดของสัตว์ทดลองที่เกิดภายหลังการให้สารสกัดจากใบพลู โดยเรียนถึงความเคลื่อนไหวของระดับ glyoxalase system (Gly l รวมทั้ง Gly ll) ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงสภาวะเครียดของหนู ซึ่งจากการทดสอบพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับ Gly l และ Gly ll) ภายหลังจากการให้สารสกัดใบพลูกับหนู ฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน (lmmunomodulating Activity) การเรียนรู้ผลของสารสกัดพลูด้วยเอทานอลต่อการผลิต histamine รวมทั้ง granulocyte macrophage colony stimulating factor (GM-CSF) จาก bone marrow mast cells ของหนูแรท (murine rat) แล้วก็การหลั่งของ eotaxin และ IL-8 โดย human lung epithelial cell line (BEAS-2B) ซึ่งจากการเล่าเรียนพบว่าสารสกัดพลูด้วยเอทานอล มีผลลดการหลั่ง histamine รวมทั้ง GM-CSF ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการกระตุ้นของ lgE ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาhypersensitive อย่างเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็สารสกัดพลูจากเอทานอลยังส่งผลในการยั้งการหลั่ง eotaxin และก็ IL-8 ซึ่งมาจากจากการกระตุ้นของ TNF-α รวมทั้ง IL-4 ในปฏิกิริยา allergic reaction ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากพลูมีผลต่อการกระบวนการ phagocytosis ของ macrocytes ในหนูถีบจักร และน้ำมันหอมระเหยจากพลูยังมีผลต่อการเพิ่มจำนวนของlymphocytes จากม้าม ไขกระดูก และต่อม thymus ในหนูถีบจักรด้วย การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดลองความเป็นพิษ (Toxicity test) ขนาดของสารสกัดพลูที่ป้อนให้หนูถีบจักรกินแล้วตายกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 3.22 กรัม/กิโลกรัม หนูที่ได้รับสารสกัดต่ำลงมากยิ่งกว่า 2 กรัม/กิโลกรัม มีลักษณะอาการซึมและก็หลับ ไม่มีผลต่อการหายใจรวมทั้งกลายเป็นธรรมดาได้ ถ้าได้รับสารสกัดมากกว่า 2.5 ก./กก. พบว่าหนูมีอาการซึมและก็หลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีลักษณะเหน็ดเหนื่อย หลังจากนั้นมีลักษณะซึมและตายเนื่องมาจากหายใจไม่ออก รวมทั้งนอกเหนือจากนี้ยังพบว่า chavicol และ chavibetol เป็นสารในใบพลู ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ phenol เป็นพิษกับเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) นำไปสู่ hypopigmentation ในส่วนของ basal cell layeres ของผิวหนังชั้นกำพร้า ทดสอบความเป็นพิษเมื่อส่องแสง (Phototoxicity) ของขี้ผึ้งพลู4% ซึ่งทำมาจากสารสกัดใบพลูด้วยอีเทอร์ใน modified polyethylene glycol ointment ต่อผิวหนังหนูตะเภา ไม่เจอผื่นแดง หรืออาการเคืองใดๆทั้งยังก่อนฉายรวมทั้งหลังฉายแสงอุลยี่ห้อไวโอเล็ต ขณะที่ยาจัดเตรียมขึ้ผึ้งใบพลูที่ใช้ base เป็น hydrophilic petrolatum จะเป็นพิษต่อผิวหนังหนูตะเภา โดยมีสีแดงกระจ่างแจ้ง ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดอะซีโตนรวมทั้งสารสกัดน้ำจากใบ ความเข้มข้น 200 ไมโครกรัม/เพลท ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100 ,TA1535, TA1537 รวมทั้ง TA1538 สารสกัดคลอโรฟอร์ม สารสกัด 50% เอทานอล สารสกัด 95% เอทานอล และสารสกัดน้ำจากใบ ความเข้มข้น1.41 37.5 50 และ 153.8 มิลลิกรัม/ เพลท เป็นลำดับไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ต่อเชื้อ S.typhimurium TA98, TA100 พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากช่อดอก ความเข้มข้น 800 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ oralmucosal fibroblasts และก็สารสกัดเดียวกันนี้เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ gingival keratinocytes สารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ความเข้มข้น20 ไมโครกรัม/มล. เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ 9KB พิษต่อยีน สารสกัดน้ำจากช่อดอก เป็นพิษต่อยีนเมื่อทดลองในเซลล์ oral mucosal fibroblasts และเซลล์ gingival keratinocytes สาร hydroxychavicol จากช่อดอกเป็นพิษต่อยีน ทำให้โครโมโซมของเซลล์ Chinese hamster ovary (CHO-K1) แบ่งตัวแตกต่างจากปรกติ เมื่อให้สารสกัดน้ำจากใบพลูร่วมกับสารสกัดน้ำจากหมากและยาสูบ ขนาด9.4 ก./กิโลกรัม แก่หนูถีบจักรตรงเวลา 10 เดือน พบว่าทำให้โครโมโซมของเซลล์ไขกระดูกของหนูเปลี่ยนและก็มีการแบ่งตัวเปลี่ยนไปจากปกติ ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัด 95% เอทานอลจากก้านใบขนาด 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลคุมกำเนิดในหนูขาวทั้ง 2 เพศ ให้หนูถีบจักรเพศผู้กินสารสกัด 95% เอทานอลจากใบแล้วก็ลำต้นขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. ใน 30 วันแรก รวมทั้งขนาด 1000 มิลลิกรัม/กก. ใน 30 ครั้งหน้า พบว่าสามารถคุมกำเนิดได้โดยลดการปฏิสนธิ (ferility) ได้ถึง 0% ในเวลาที่สารสกัด 95% เอทานอล สารสกัดน้ำและสารสกัดน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบและก็ราก (ไม่กำหนดขนาดที่ใช้) ไม่เป็นผลต่อการคุมกำเนิดในหนูถีบจักรและไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนที่มดลูกในหนูขาวที่ได้รับสารสกัดนี้ใบแล้วก็รากแห้งไม่ระบุสารสกัดและขนาดที่ใช้ ก็ไม่เป็นผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนเหมือนกัน เมื่อให้โดยการฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูขาว ฤทธิ์ก่อกำเนิดมะเร็ง นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในชายที่เคี้ยวหมากในประเทศไต้หวัด โดยเรียนในผู้เจ็บป่วยที่เป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะเริ่มต้น (esophageal squamous-cell-carcinoma) ปริมาณ 126 ราย โดย 65 ราย เป็นคนเจ็บที่มีประวัติว่าบดหมาก รวมทั้ง 61 ราย ในนั้นเป็นผู้เจ็บป่วยที่บดหมากกับดอกพลู (Piper betle infloesence) และ 4 ราย บดหมากกับดอกและใบพลู (Piper betle inflorecence and betel leaf) พบว่าเพศชายที่เคี้ยวหมาก ได้โอกาสที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลอดของกินได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าผู้ที่มิได้เคี้ยวถ้า 4 เท่า และก็จากการเรียนเพิ่มเติบพบว่า คนที่บดหมากกับดอกพลูมีโอกาสในการเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้มากกว่าผู้ที่บดหมากกับใบแล้วก็ดอกพลู หรือเคี้ยวหมากกับใบและก็ดอกพลู หรือบดหมากกับใบพลูอย่างเดียวถึง 24 เท่า(ไม่พบผลไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญในคนที่เคี้ยวหมากกับใบรวมทั้งดอกพลู หรือบดหมากกับใบพลูสิ่งเดียว) ซึ่งผลจากการทดลองในครั้งนี้คาดว่าในดอกของพลูมีสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง (carcinogens) แล้วก็ในใบพลูมีสารต้านโรคมะเร็ง (anticarcinogenic) ข้อเสนอแนะ/ข้อควรปฏิบัติตาม 1. การเก็บใบ พลู มาใช้ควรจะเก็บตอนสาย เพราะว่าเป็นตอนที่ใบมีการสังเคราะห์แสงสมบูรณ์ โดยเลือกเก็บเฉพาะใบที่มีสีเขียวเข้ม ไม่สมควรเก็บใบอ่อนรอบๆยอดหรือเก็บใบแก่ที่เหลืองแล้ว เนื่องจากว่าใบพวกนี้จะมีสารเคมี หรือน้ำมันหอมระเหยน้อย 2. ในคนที่แพ้ยางของพืชจำพวก ชะพลู พริกไทย ควรระมัดระวังไม่ให้โดนยางของพลูด้วยด้วยเหมือนกันเนื่องจากเป็นพืชในตระกูลเดียวกันอาจจะทำให้มีการแพ้ได้ 3. การใช้พลูในแบบสมุนไพรเพื่อการดูแลและรักษาโรคควรที่จะใช้ในขนาดแล้วก็จำนวนที่เหมาะสมไม่ใช้มากหรือใช้เป็นเวลานานเกินไป 4. สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว สตรีตั้งครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์และก็ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ เอกสารอ้างอิง- กานต์ วงศาริยะ , มัลลิกา ชมนาวัง , พลูกับคุณประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ , จุลาสารข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. ปีที่ 26 ฉบับที่ 3 . เมษายน 2552.หน้า 3-10
- ผกากรอง ขวัญข้าว.พืชใกล้ตัว.อภัยภูเบศรสาร,2549.ปีที่4,หน้า1
- อรัญญา และ จรีเดช มโนสร้อย.น้ำมันหอยระเหยและสารสกัดจากสมุนไพรไทย การใช้ทางยาและเครื่องสำอาง.2548,คอกข้าง:เชียงใหม่.หน้า 146-17.https://www.disthai.com/[/color]
- อริญญา ศรีบุศราคัม.พลู กับโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่20.ฉบับที่3.เมษายน2546.หน้า4-8
- จุฑามณี จารุจินดา จงจิตร อังคทะวานิช ลิ้นจี่ หวังวีระ และคณะ,บรรณาธิการ.ความก้าวหน้าของยาที่ใช้ในระบบทางเดินอาหาร.กรุงเทพฯ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,2532:271 หน้า.
- นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร.บรรณธิการ.สมุนไพรไม้พื้นบ้านเล่ม 1 กรุงเทพ:บริษัท ประชาชน จำกัด 2541
- ผศ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล.เลื่อยและพลู.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่40.สิงหาคม.2525
- พลู ใบพลู ประโยชน์และสรรพคุณพลู.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย(ออนไลน์).Choudhary, D.ang R.K. Kale, Antioxidant and non-toxic properties of Piper betle leaf extract: in vitro and in vivo studies. Phytother Res, 2002. 16(5):p. 461-6.
- Mohamed, S., et al., Antimycotic screening of 58 Malaysia against pathogens. Pesticds science, 1996. 47(3):p.259-264.
- Guha, P.,Betel Leaf: Negalected Green Gold of lndia. J. Hum. Ecol., 2006. 19(2):p.87-93.
- Best R, Lewis DA, Nasser N. The anti-ulcerogenic activity of the unripe plantain banana (Musa species). Brit J Pharmacol 1984;82(1):107-16.
- Ghosal S, Saini KS. Sitoindosides l and ll, two new anti-ulcerogenic sterylacylgucosides from Musa paradisiaca. J Chem Res(s) 1984;4:110
- Nopamart, T., C. Arinee, and K. Watcharee, An invitro evaluation of Piper betle skin cream as anti-zoonotic dermatophytes. The proceeding of 42th Kasetsart University annual conference 2004:p.441-448.
- Pannangpetch P, Vuttivirojana A, Kularbkaew C, et al. The antiulcerative effect of Thai musa species in rats. Phyther res 2001;15(5):407-10.
- Sengupta, A., et al., Pre-clinical toxicity evaluation of leaf-stalk extractive of Piper betle Linn in rodents. Lndian J Exp Biol,2000. 38(4): p.338-42.
- Lirio, L.G.,M.L. Hermana, and M.Q. Fontonilla, Note Antibacterial Activity of Medicinal Plants from the Philippines Pharmaceutical Biology, 1998.36(5): p.357-359.
- Gruenwald J, Brendler T, Jaenicke C, et al (eds.)PDF for herbal for herbal medicines (2 nd Edition) New Jersey:Medical Economic Company,2000:858pp
- Wu, M.T., et al., Constituents of areca chewing related to esophageal cancer risk in Taiwanese men. Dis Esophagus, 2004. 17(3):p.257-9.
- Dompmartin A, Szczurko C, Michel M, et al. Two cases of urticaia following fruit ingestion, with cross-sensitivity to latex Contact Dermat 1994;30(4):250-2.
Tags : พลู
|
|
|
2
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เสาวรส สรรพคุณเเละประโยชน์
|
เมื่อ: ธันวาคม 26, 2018, 03:13:38 am
|
เสาวรสชื่อสมุนไพร เสาวรสชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สุคนธรส (ภาคกลาง) , กะทกรกฝรั่ง กะทกรกสีดา , กะทกรกยักษ์ (ทั่วไป)ชื่อวิทยาศาสตร์ Passiflora edulis Sims. (พันธุ์สีม่วง)Passiflora edulis f. flavicarpa O. Deg. (พันธุ์สีเหลือง)ชื่อสามัญ Passion fruit , Yellow granadilla , Jamaica honey-suckleวงศ์ Passifloraceaeถิ่นกำเนิด เสาวร มีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปอเมริกาใต้ในประเทศบราซิลขว้างรากวัย และก็ประเทศอาร์เจนตินา แล้วมีการกระจายชนิดโดยการนำเสาวรสไปปลูกเพื่อคุณประโยชน์เชิงพาณิชย์ในหลายประเทศทั่วทั้งโลก อาทิเช่น อินเดีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซียเปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐฯประเทศออสเตรเลีย อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้ประเทศโปรตุเกสรวมถึงประเทศแถบทะเลแคริบเบียนแล้วก็แอฟริกาตะวันออก สำหรับในประเทศไทย เสาวรสถูกนำเข้ามาทดลองปลูกครั้งแรกในภาคเหนือ ประมาณปี พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน เจอปลูกมากมายในภาคเหนือ รวมทั้งภาคตะวันออก ในแถบจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยอง และจังหวัดชลบุรี ลักษณะทั่วไป เสาวรสจัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ส่วนโคนเป็นไม้เนื้อแข็ง อายุหลายปี สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 12 เมตร มีมือเกาะ ใบคนเดียว รูปคล้ายโล่ หรือรูปไข่ ออกเรียงสลับกัน ขอบของใบมักเว้าลึกเป็น 3 พูปลายใบแหลม หรือเรียวแหลม โคนใบกลม หรือรูปหัวใจเว้าตื้น เนื้อใบออกจะเหนียว ขอบของใบจักฟันเลื่อย มีเส้นใบ 3 เส้น ออกมาจากโคนใบก้านใบยาว 4-4.5 เซนติเมตร ที่ปลายก้านมีต่อม หูใบรูปหอก ขอบเรียบ หรือจะฟันเลื่อย ดอกเสาวรสจัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศ สามารถผสมเกสรด้วยตนเองได้ดี ตัวดอกแทงออกเป็นดอกลำพัง ดอกแทงออกรอบๆซอกใบตามเถา มีกลีบเลี้ยง ด้านนอกกลีบเลี้ยงมีสีเขียว ภายในมีสีขาว และกลีบดอกสีครีมอมม่วง 5 กลีบ กลีบดอกเรียงสลับเป็น 2 ชั้นถัดมาด้านในมีฝอยเป็นเส้นล้อมเป็นวงกลมเป็นจำนวนมาก โคนฝอยมีสีม่วง ปลายฝอยมีสีขาวกึ่งกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียมีปลายแยกเป็น 3 แฉก เมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเสาวรสออกเป็นผลโดดเดี่ยวผลมีรูปทรงกลมหรือรูปไข่ และอวบน้ำ ขนาดผลประมาณ 5-7 ซม. มีน้ำหนักผลราวๆ 35-115 กรัม ขึ้นกับขนาดผล ส่วนสีเปลือกไม่เหมือนกันตามสายพันธุ์ อาทิ จำพวกสีม่วงจะมีเปลือกสีม่วงเข้ม ส่วนชนิดสีเหลืองจะมีเปลือกสีเหลืองสด เปลือกผลทุกจำพวกออกจะหนา และ เป็นเงา ด้านในผลประกอบด้วยเมล็ดจำนวนมาก ส่วนพันธุ์ที่เจอในประเทศไทยและนิยมนำมาปลูกกันมาก มี 3 พันธุ์ 1. ชนิดผลสีม่วง ( Passiflora edulis) พันธุ์ผลสีม่วงในธรรมชาติพบได้บ่อยในที่สูงราว 1,000-2,000 เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นตลอดระยะเวลา ทำให้ผลมีขนาดเล็ก เมื่อผลสุกจะมีสีม่วงเข้มผิวเป็นมัน น้ำจาก ชนิดผลสีม่วง มีรสชาติดีมากยิ่งกว่าพันธุ์ผลสีเหลือง มีกรดต่ำสีงามแล้วก็หวาน จึงเหมาะกับรับประทาน ผลสดข้อผิดพลาดของพันธุ์นี้เป็น ค่อนจะอ่อนแอต่อโรค 2. ประเภทผลสีเหลือง (Passiflora edulis, var flaicarpa) ชนิดผลสีเหลือง ตามธรรมชาติเจอขึ้นตามพื้นที่สูงในแถบประเทศชายฝั่งทะเลที่มีความสูงตั้งแต่ 800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ผลมีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดใหญ่เมื่อผลสุกจะมีสีเหลืองขมิ้น ผิววาว น้ำคั้นของจำพวกนี้ มีกรดมากมาย ซึ่งมีpH ต่ำลงยิ่งกว่า 3 เหมาะกับส่งเข้าโรงงานเพื่อดัดแปลงมากกว่าการ กินผลสด ข้อดีของจำพวกนี้คือ ได้ผลดกและมีแรงต้านทานโรคและแมลงสูงยิ่งกว่าพันธุ์ผลสีม่วง 3. จำพวกลูกผสม เป็นพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาจากการผสมระหว่างพันธุ์ผลสีม่วงกับชนิดสีเหลือง เพื่อคัดเลือกต้นพันธุ์ใหม่ ศูนย์รวมลักษณะผลที่เด่นของแต่ละจำพวกไว้ ทำให้มีลักษณะผลใหญ่ ได้ผลดก มีเกลื่อนกลาดหุ้มห่อ เม็ดมากเปลือกบาง ขัดขวางโรค รวมทั้งมีขณะสำหรับในการได้ผลที่ช้านาน จำพวกนี้จะให้ทั้งยังผลที่มีสีม่วงรวมทั้งผลสีเหลือง สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดทั้งปี การขยายพันธุ์ [url=https://www.disthai.com/17031928/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA]เสาวรส สามารถเจริญเติบโตเจริญในสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเขตอากาศเย็นทางภาคเหนือ หรือเขตอากาศร้อนเปียกชื้นทางภาคกลางรวมทั้ง ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย การรักษาไม่ยุ่งยาก แม้กระนั้นให้ผลผลิตต่อไร่สูง ส่วนการขยายพันธุ์เสาวรสสามารถขยายพันธุ์ได้จากต้นกล้าที่เพาะเม็ด รวมทั้งต้นกล้าที่ได้จากการปักชำหรือการตอนเถา แต่โดยมากนิยมปลูกจากเมล็ดมากที่สุด โดยมีวิธีการดังนี้ การเตรียมเมล็ด เม็ดที่ใช้เพาะกล้า ควรที่จะเลือกจากผลเสาวรสที่ส่งผลขนาดใหญ่ ผลมีความสมบูรณ์ เปลือกผลเป็นมันวาว ไม่มีรอยกัดแทะของแมลง โดยนำเม็ดมาใส่ผ้าขาวบางแล้วนำไปขยี้ให้น้ำ และเยื่อห่อเมล็ดหลุดออกจากเม็ด หลังจากนั้นนำเมล็ดมาล้างชำระล้าง ก่อนที่จะนำเมล็ดมาตากตากแดดให้แห้ง นาน 5-7 วัน เก็บพักเอาไว้ในที่ร่มนาน 1-2 เดือน ค่อยเอามาเพาะ ภายหลังจากพักเม็ดไว้ 1-2 เดือนแล้ว ก่อนเพาะให้นำเมล็ดมาแช่น้ำไว้ 1 คืน การเพาะเม็ดบางทีอาจเพาะในถุงเพาะชำได้โดยตรง หรือหยอดเพาะในกระบะเพาะก่อน แล้วค่อยแยกลงเพาะต่อในถุงเพาะชำได้ การเตรียมแปลงปลูก การปลู เสาวรส[/url]ในแปลงใหญ่จำนวนหลายต้นต้องตระเตรียมแปลงก่อน โดยการไถกระพรวนดิน 1-2 รอบ พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด ต่อจากนั้น ขุดหลุมปลูกขนาดราว 30 ซม. โดยให้ลึกราวๆ 30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว แล้วก็ระยะห่างระหว่างต้นหรือหลุม โดยประมาณ 2-3 เมตร แล้ว ปลดปล่อยหลุมตากแดดไว้ 3-5 วัน กรรมวิธีปลูก ก่อนปลูก ให้โรยก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก 3-5 กำมือ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 ถือมือ ก่อนคลุกหน้าดินลงผสม ก่อนฉีกถุงสีดำออก แล้วนำต้นกล้าเสาวรสลงปลูกลงในหลุม พร้อมกลบดินให้แน่นพอควร จากนั้น นำไผ่มาปักข้างหลุม เพื่อให้ลำต้นอิงเติบโตสักระยะ แนวทางการทำค้าง เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากว่าเสาวรสเป็นไม้เถาเลื้อย ควรต้องเกาะเลื้อยตามอุปกรณ์ต่างๆการเตรียมค้าง ควรจะจัดเตรียมข้างหลังการขุดหลุมปลูกเสร็จหรือทำร่วมกับการขุดหลุมปลูก หรือบางทีอาจทำข้างหลังการปลูก แม้กระนั้นพึงระวังไม่ให้ต้นพันธุ์มีอันตรายขณะทำค้าง การเตรียมค้างทำเป็นโดยการใช้เสาคอนกรีตหรือเสาไม้มาฝังใกล้กับต้นเสาวรสตามแนวยาวของแถว แล้วต่อจากนั้น ใช้ลวดกางโยงแต่ละเสาตามแนวยาว และหลังจากนั้นก็ค่อยกางโยงตัดตามแนวขวางให้เป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดราว 50×50 ซม. องค์ประกอบทางเคมี ในน้ำเสาวรสเจอสาระสำคัญ เป็นต้นว่า Carotenoid (ติดอยู่โรทีนอยด์) Pectin methyhesterase (เอนไซม์ เพคทนเมทิลเอสเตอเรส) Catalase (ติดอยู่ทาเลส) Leucine (ลิวซีน) Valine (วาลีน) Tyrosine (โทโรซีน) Prline (โพรลีน) Threonine (ทรีโอนีน) Glycine (ไกลซีน) Aspertic acid (กรดแอสพาร์ทิก) Arginine (อาร์จินีน) Lysine (ไลซีน) Alkalod (อัลคาลอยด์) ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของเสาวร ประโยชน์/สรรพคุณ เม็ดพร้อมเยื่อหุ้มห่อเม็ดนำมาคั้นหรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่ม ให้รสเปรี้ยวจัด หรือปั่นผสมกับผลไม้อื่นที่มีรสหวาน เพื่อเพิ่มความหวาน อาทิเช่น ประเทศทางแถบอเมริกาใต้นิยมนำเยื่อห่อหุ้มเม็ด และก็เปลือกมาปั่นผสมกับน้ำตาล ได้เครื่องดื่มที่เรียกว่า refresco หรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น ตัวอย่างเช่น น้ำผลแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำพีช เป็นต้น โดยอัตราการผสมน้ำเสาวรสราวๆ 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสที่ดี ซึ่งเป็นที่นำยมกันอย่างแพร่หลายในต่างถิ่น เพราะนอกจากทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นหอมและก็รสที่ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารสูง แล้วก็น้ำเสาวรสยังสามารถใช้ประโยชน์แต่งกลิ่นและก็รสของไอศกรีม เค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกกวาดเหล้าองุ่น เป็นต้น และเยื่อหุ้มเม็ดยังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอาทิ เสาวรสผง แยมเสาวรส รวมทั้งเยลลี่เสาวรส ส่วนเปลือกเสาวรสมีคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งโปรตีนสามารถนำมาตากแห้งหรือใช้สดเป็นอาหารเลี้ยงโค ควาย แกะแพะ รวมทั้งหมู ได้ นอกจากนี้ยังมีการนำเสาวรสเอามาสกัดสารสำหรับเป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งตัว โดยยิ่งไปกว่านั้นครีมที่เอาไว้ดูแลผิว เนื่องจากมีสารที่สามารถสะท้อนรังสียูวีได้ และก็ในงานศึกษาค้นคว้าวิจัยได้กำหนดไว้ว่า เสาวรสอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ วิตามินและไฟเบอร์ ขณะที่เสาวรส 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 51-60แคลอรีแค่นั้น และเสาวรส100 กรัม ให้วิตามินซีถึง 30 มก. การกินเสาวรสเสมอๆแล้วจะห่างไกลจากไข้หวัด แล้วก็ยังช่วยทำให้มีภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรง เสาวรสดีต่อการขับถ่าย เพราะว่ามีเส้นใยสูง จึงสามารถช่วยขจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยขับพิษในไส้ คุ้มครองโรคมะเร็งไส้อีกด้วย เสาวรสบำรุงสายตาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะเหตุว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอ และยังมีสารฟลาโวนอยด์อย่างเบต้าแคโรทีนรวมทั้งคริบโทแซนทินเบต้า(cryptoxanthin-ß) ซึ่งสารพวกนี้มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคู่ไปกับวิตามินเอที่ช่วยทำนุบำรุงสายตาได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนสรรพคุณตามตำรายาไทยกำหนดไว้ว่า ยอด สามารถกินเป็นผักสด แต่ว่าจะมีรสขมบางส่วนบางทีอาจเอามาจิ้มน้ำพริกหรือนำไปแกงยอดเสาวรสก็ได้ เนื้อไม้ ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษ และใช้รักษาบาดแผล ราก แก้ไข้ รักษาผื่นคัน รวมทั้งรักษาโรคกามโรค โดยนำรากไปต้มน้ำใบ เอามาตำแล้วคั้นมัวแต่น้ำ กินเป็นยาถ่ายพยาธิได้ ดอกขับเสลด แก้ไอ ผลแก่ ใช้คั้นเอาน้ำเป็นน้ำผลไม้ช่วยลดไขมันในเลือดเป็นยาระบาย และยังมีสรรพคุณ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดความดับโลหิต และก็โรคกระเพาะเยี่ยวอักเสบ รูปแบบ / ขนาดวิธีการใช้ โดยธรรมดาแล้ว มักจะนำเสาวรสสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้หรือใช้รับประทานสดๆก็สามารถได้ประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ต่างๆของเสาวรสแล้วส่วนในคัดค้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรก็มีการมาใช้ เช่น นำรากเสาวรสไปต้มแล้วใช้ดื่มช่วยแก้ไข้ รักษาตามโรค แก้ผื่นคัน หรือนำใบมาต้มกับน้ำใช้กินสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ หรือจะใช้เนื้อในของผลสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม จะช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิตและช่วยทำให้ระบายได้ ฯลฯ การศึกษาทางเภสัชวิทยา ในการทดสอบฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดสอบ (in vitro) พบว่า สารสกัดเอทานอล 80% จากเนื้อห่อเมล็ดของเสาวรสทั้งยังจำพวกผลสีม่วงและผลสีเหลืองมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี 2,2-azino-bis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid) decolorization assay (ABTS assay), H2O2 scavenging assay และ 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging capacity assay (DPPH assay) จากผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวข้างต้นชี้ให้เห็นว่า น้ำเสาวรสมีคุณค่าทางโภชนาการและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมาะกับใช้เป็นเครื่องสำหรับคนรักสุขภาพ ใยอาหารส่วนที่ไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber-rich fraction) จากเมล็ดเสาวรสมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด เมื่อทดลองผสมลงในของกินที่มีไขมันสูง (hypercholesterolemic diet) ปริมาณ 5% แล้วใช้เลี้ยงหนู แฮมสเตอร์นาน 30 วันพบว่า ไตรกลีเซอไรด์แล้วก็คอเลสเตอรอลในเลือดและก็ในตับหนูลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง และพบว่ามีไขมันในน้ำดีและในอุจจาระที่ถ่ายออกมามากเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แล้วก็สำหรับการป้อน น้ำคั้นเสาวรสประเภทเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทขนาด 1,000 มิลลิกรัม/กก. วันละ 2 ครั้ง นานต่อเนื่องกัน 28 วัน มีผลลดค่าไขมันรวมทั้ง LDL (low-density lipoprotein) ใน เลือดแล้วก็เพิ่มค่า HDL (high-density lipoprotein) นอกจากนั้นยังมีผลลดค่า thiobarbituric acid reactive substance (TBARS) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึง การเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมัน (lipid peroxidation) ทำให้เห็นว่าเมล็ดเสาวรสรวมถึงน้ำจากส่วนเยื่อหุ้มห่อเม็ดมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันได้ นอกจากนี้การป้อนส่วนเนื้อหุ้มเมล็ดของเสาวรสจำพวกเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทที่มีความดันโลหิตสูง ขนาดวันละ 5 – 8 ก./กก. นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ส่งผลทำให้ค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวลดลง และก็พบว่าระดับglutathione ในเยื่อไตสูงขึ้น และสามารถยับยั้งการเกิดสาร TBARS เห็นผลการทดลองดังกล่าวทำให้เห็นว่าส่วนเนื้อหุ้มห่อเม็ดของเสาวรสมีฤทธิ์ลดความดันเลือดรวมทั้งฤทธิ์ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนทางคลินิก การเล่าเรียนฤทธิ์ ต้านทานอนุมูลอิสระของน้ำคั้น เสาวรสในกลุ่มอาสาสมัครคนแก่ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่มีร่างกายแข็งแรงและไม่มีภาวะของโรคร้ายแรงปริมาณ 60 คน ทั้งปวงศชายแล้วก็หญิง โดยให้อาสาสมัครดื่ม น้ำคั้นเสาวรสทั้งจากจำพวกผลสีม่วงและก็ผลสีเหลืองวันละ 1 แก้ว (ราวๆ 125 มล.) หลังจากกิน อาหารเที่ยง นานติดต่อกัน 4 อาทิตย์เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครอีกทั้งตอนก่อนแล้วก็หลังดื่มน้ำคั้น เสาวรส เพื่อวัดค่าทางวิชาชีวเคมีในเลือดและก็เปรียบเทียบผลการเปลี่ยน ผลจากการเรียนพบว่า การกินน้ำคั้นเสาวรสทั้งยังจำพวกผลสีม่วงแล้วก็สีเหลืองมีผลทำให้จำนวนวิตามินเอและก็วิตามินอีในร่างกาย เพิ่มสูงขึ้น และก็มีผลเพิ่มลักษณะการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวกับกรรมวิธีการต้านทานการเกิดอนุมูลอิสระ ได้แก่ superoxide dismutase (SOD) รวมทั้ง catalase นอกนั้นยังส่งผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวโยง ในวิธีการอักเสบเป็น interleukin-6 (IL-6) รวมทั้ง tumor necrosing factor-α (TNF-α) อีกด้วย ส่วนการเรียนทางสถานพยาบาลอีกชิ้นหนึ่งระบุว่าการทดสอบโดยให้อาสาสมัคร 9 คน(ทั้งชายรวมทั้งหญิง) ที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี รับประทานแคปซูลสารสกัดน้ำหรือชา (เข้มข้น 10%) จากส่วนใบเสาวรส วันละ 4 แคปซูลก่อนอน ติดต่อกันนาน 1 อาทิตย์ พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสรวมทั้งกลุ่มที่ได้รับยาหลอกในเรื่องผลการนอนหลับ แต่พบว่าอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสบางรายมีค่าโปรตีนและก็โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวโยงกับหลักการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ไตและตับเพิ่มสูงมากขึ้นอาทิเช่น bilirubin, uric acid, creatinine phosphokinase และ glutamic-oxaloacetic transaminase ข้อแนะนำ / ข้อควรไตร่ตรอง 1. การรับประทานเสาวรสอาจก่อให้เป็นผลข้างๆ ดังเช่นว่า วิงเวียนหัว รู้สึกงงเต็ก กล้ามเนื้อดำเนินการไม่ปกติ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป เส้นโลหิตอักเสบ บางรายพบกล่าวว่ามีอาการอ้วก คลื่นไส้ ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นเปลี่ยนไปจากปกติ 2. จากการทดลองในหลอดทดลอง (in vitro) น้ำคั้นเสาวรสมีฤทธิ์ยับยั้ง โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีCYP450 ประเภทCYP3A4 เมื่อทดลองบนเซลล์human liver microsomes โดยเหตุนี้จำเป็นจะต้องรอบคอบ การกินน้ำคั้นเสาวรสร่วมกับกรุ๊ปแผนปัจจุบันที่จะต้องอาศัยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีดังที่กล่าวมาแล้วในวิธีการเผาผลาญยา 3. หญิงมีครรภ์ไม่สมควรกินเสาวรสเพราะสารเคมีบางตัวในเสาวรสอาจจะเป็นผลให้มดลูกหดตัว 4. คนที่เข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเสาวรสอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพราะเสาวรสอาจมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางซึ่งบางทีอาจไปยับยั้งฤทธิ์ยาสลบหรือยาตัวอื่นต่อสมองในช่วงผ่าตัดแล้วก็ภายหลังผ่าตัดได้ เอกสารอ้างอิง - ศุภวัชร สิงห์ทอง, เสนีย์ เครือเนตร, ศุภพงษ์ อาวรณ์. ผลของน้ำเสาวรสต่อการต้านอนุมูลอิสระและต้าน การอักเสบในผู้สูงอายุและในหลอดทดลอง. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย; 2557. Report No. RDG5420047.
- การใช้สมุนไพร.กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล.ธิดารัตน์ จันทร์ดอน.ผลไม้โครงการหลวงกับงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- "Passion Fruit: Background, Nutrition, Preparation". Exotic Fruit for Health. 25 August สืบค้นเมื่อ 18 September 2011.
- เสาวรส/กะทกรกฝรั่ง สรรพคุณและการปลูกเสาวรส.พืชเกษตรดอทคอมพิชานันท์ ลีแก้ว . เสาวรส ผลไม้สำหรับผู้รักสุขภาพ. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/b]
- เสาวรส.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.Mallhi TH, Sarriff A, Adnan AS, Khan YH, Qadir MI, Hamzah AA, et al. Effect of fruit/vegetable-drug interactions on CYP450, OATP and p-glycoprotein: A systematic review. Trop J Pharm Res. 2015;14(10):1927-35.
- de Souza Mda S, Barbalho SM, Damasceno DC, Rudge MV, de Campos KE, Madi AC, et al. Effects of Passiflora edulis (yellow passion) on serum lipids and oxidative stress status of Wistar rats. J Med Food. 2012;15(1):78-82.
- Patel SS. Morphology and pharmacology of Passiflora edulis: a review. J Herb Med Toxicol. 2009;3(1):1-6
- Konta EM, Almeida MR, do Amaral CL, Darin JD, de Rosso VV, Mercadante AZ. Evaluation of the antihypertensive properties of yellow passion fruit pulp (Passiflora edulis Sims f. flavicarpa Deg.) in spontaneously hypertensive rats. Phytother Res. 2014;28(1):28-32.
- Chau CF, Huang YL. Effects of the insoluble fiber derived from Passiflora edulis seed on plasma and hepatic lipids and fecal output. Mol Nutr Food Res. 2005;49(:786-90
- Tala Y, Anavia S, Reismana M, Samachb A, Tirosha O, Aron M, et al. The neuroprotective properties of a novel variety of passion fruit. Journal of Functional Foods 2016;23:359- 69.
- Hidaka M, Fujita K, Ogikubo T, Yamasaki K, Iwakiri T, Okumura M, et al. Potent inhibition by star fruit of human cytochrome P450 3A (CYP3A) activity. Drug Metab Dispos. 2004;32(6):581-3
|
|
|
3
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพร เพชรสังฆาต มีประโยชน์เเละสรรพคุณ
|
เมื่อ: ธันวาคม 26, 2018, 01:17:43 am
|
เพชรสังฆาตชื่อสมุนไพร เพชรสังฆาตชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus quadrangularis Linn.วงศ์ Vitaceaeถิ่นกำเนิดเพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในเขตร้อนของทวีปเอเชีย และแอฟริการวมทั้งมีการแพร่ระบาดประเภทไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่กล่าวมาแล้ว โดยมักพบตามบริเวณป่าหรือที่เปียกชื้นที่หรูหราความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยพบมากตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป และก็ชอบออกดอกและก็ติดผลในช่วงเดือน เดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคม ลักษณะทั่วไป เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันเห็นข้อปล้องกระจ่างแจ้ง ลักษณะเป็นข้อๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวโดยประมาณ 6-10 ซม. บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงกันข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบผู้เดียว เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 เซนติเมตร ยาว 4-10 เซนติเมตร ใบเป็นสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมหนา เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า หลังใบและท้องใบเรียบเป็นมัน ขอบใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวราว 2-4 เซนติเมตรดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มม. กลีบดอกมี 4 กลีบโคนกลีบดอกด้านนอกมีสีแดง ส่วนกลีบด้านในสีเขียวอ่อน เมื่อบานสุดกำลังดอกจะงองุ้มไปทางข้างล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบ ผลสดรูปทรงกลม ผิวเรียบวาว ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเขียว พอเพียงสุกเป็นสีแดงหรือดำ เม็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เม็ด การขยายพันธุ์ เพชรสังฆาตนิยมใช้ขั้นตอนการปักชำโดยมีวิธีการคือ เลือกเฟ้นเถาที่มีลักษณะเหมาะสม คือ ต้องเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งแก่ครึ่งอ่อน เอามาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่ปริมาณ2 ข้อแล้ว ทำปักชำท่อนประเภทโดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม รวมทั้งควรจัดวางถุงต้นกล้าที่ปักชำไว้ภายในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ด้านบนจะเป็นบริเวณที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญเป็นเถาต่อไป ส่วนประกอบทางเคมี เถาของเพชรสังฆาตมีองค์ประกอบทางเคมี อาทิเช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone และ 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกรุ๊ป stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกรุ๊ป flavonoids อย่างเช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมไปถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene และ calcium oxalate. ผลดี/คุณประโยชน์ ตามตำรายาไทย กล่าวว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ระดูไม่ดีเหมือนปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารทั้งจำพวกกลีบมะไฟแล้วก็เดือยไก่ • ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก • ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้เมนส์ไม่ดีเหมือนปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย • ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคลำไส้ (อาการอาหารไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก นอกเหนือจากนี้ในการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังกำหนดไว้ว่าเพชรสังฆาต มีคุณภาพที่ดีสำหรับการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยเฉพาะการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดไหล แล้วก็กลายเป็นซ้ำ อีกทั้งในปัจจุบันได้มีงานวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี และก็ยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก แล้วก็สารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกและก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารไม่วโคโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในกรรมวิธีการสมานกระดูก อีกทั้งสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักแล้วก็มีความยืดหยุ่นในตัวเองอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นเพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เพราะว่าเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะรูปทรงเป็นสีเหลี่ยมแปลกตา มีดอกรวมทั้งผลเป็นช่อสีแดงสวยงาม สามารถนำไปปลูกเพื่อการตกแต่งบริเวณรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อเถาก้าวหน้าเลื้อยพันขึ้น แบบ/ขนาดการใช้ ในอดีตการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (เพราะเหตุว่าเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดบางทีอาจ เกิดการเคืองทางเดินอาหารได้) ถัดมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในรูปแบบแคปซูลเพื่อง่ายต่อการบริหารยา โดยในรูปยาผงใส่แคปซูล 250 มิลลิกรัม ให้รับประทานทีละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหารแล้วก็ก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน แบบเรียนยาท้องถิ่นนครราชสีมา ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานทีละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำกิน แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้รอบเดือนไม่ดีเหมือนปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในไส้ ตำรับยาสมุนไพรประจำถิ่นล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้โลหิตรอบเดือนสตรีแตกต่างจากปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก ส่วนประเทศอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นรับประทานแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการไม่ดีเหมือนปกติของรอบเดือน การศึกษาทางเภสัชวิทยา ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดโลหิตดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นหลอดเลือดดำ ให้มีความตึงตัวมากขึ้น คล้ายกับส่วนประกอบของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 ประเภท เป็นต้นว่า ไดออสมิน 90%รวมทั้งฮิสเพอริดิน 10% ที่เจอในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบรุนแรง สารสกัดเมทานอลยั้งการบวมของใบหู และการบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 1 และก็สารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่รั้งนำด้วยสารเคมี ได้ที่เวลา 30 นาที ตรวจเจอส่วนประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดจำนวนครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะการเจ็บปวดท้องเพราะได้รับกรดอะซีว่ากล่าวกที่ฉีดเข้าทางช่องท้อง รวมทั้งลดช่วงเวลาของการเลียเท้าหลังทั้ง 2ระยะ สำหรับในการทดลองด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านทั้งยังระบบประสาทส่วนกลาง รวมทั้งส่วนปลาย ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องการเกิดแผลในกระเพาะ สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 รวมทั้ง 750 มิลลิกรัม/กก. ให้หนูกินนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 และ 72.6% เป็นลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ลดการเกิดแผล 71.9% ด้วยเหตุดังกล่าวสารสกัดขนาด 500 มก./กก. เป็นขนาดที่ดีที่สุด เนื่องจากว่าออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine และก็ได้ผลไม่มีความแตกต่างกับขนาด 750 มิลลิกรัม/กิโลกรัมจะลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะ และรายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งกล่าวว่า การศึกษาเล่าเรียนประสิทธิผลและผลกระทบของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในคนป่วยโรคริดสีดวงทวารระยะกะทันหัน ปริมาณ 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กรุ๊ป คือ กลุ่มที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มิลลิกรัม/เม็ด) กลุ่มที่ได้รับสมุนไพร เพชรสังฆาต (500 มก./เม็ด) และก็กลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในช่วง 4 วันแรก ให้กินครั้งละ 3 เม็ด ยามเช้าแล้วก็เย็นหลังอาหาร รวมทั้งช่วง 3 คราวหน้า ได้รับครั้งละ 2 เม็ด รุ่งเช้าแล้วก็เย็น หลังอาหาร คนป่วยจะได้รับการประมาณอาการต่างๆคือ เลือดออกทางทวารหนัก เมือก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก รวมทั้งการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามอาการ รวมถึงมีการตรวจเลือดรวมทั้งติดตามผลข้างเคียงของการได้รับยาหรือสมุนไพรควบคู่ไปพร้อมกันด้วย ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยในทุกกรุ๊ปส่วนใหญ่อาการเลือดไหลทันควันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา รวมทั้งมีลักษณะดียิ่งขึ้นข้างหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการรักษาในคนไข้ทุกกรุ๊ปไม่มีความต่างกันอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ และไม่มีผลใกล้กันเกิดขึ้น สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตให้ผลสำหรับเพื่อการรักษาริดสีดวงทวารในระยะเฉียบพลันไม่ได้แตกต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์รวมทั้งยาหลอก แสดงว่าเพชรสังฆาตไม่เป็นผลช่วยในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะกระทันหัน การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา ความเป็นพิษทันควัน เมื่อทดลองความเป็นพิษโดยให้หนูขาวกิน ขนาด 0.5 – 5.0 กรัม/กก ไม่พบพิษใดๆ ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวพันธุ์วิสตาร์ 5 กรุ๊ปๆละ 12 ตัว/เพศ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ในขณะที่หนูอีก 4 กลุ่มได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 และก็ 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเท่ากัน 1,10 และ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน เป็นลำดับ โดยกรุ๊ปสุดท้ายเป็นกรุ๊ปพินิจอาการข้างหลังการหยุดยา ผลวิจัยพบว่าการเติบโตของกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มพินิจอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่าการเติบโตของกลุ่มได้รับผงยาและก็กลุ่มควบคุมไม่ได้มีความแตกต่างกัน ไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าทางโลหิตวิทยาและค่าทางซีรั่มชีวเคมี หรือจุลพยาธิสภาพของอวัยวะภายในที่มีความเกี่ยวเนื่องกับขนาดของผงยา และไม่เจอความแปลกใดๆก็ตามซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเพราะว่าความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต ข้อเสนอ/ข้อควรพิจารณา การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจจะทำให้เกิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเนื่องมาจากเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลโคนยู่มาก 2. ห้ามกินติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์เนื่องจากว่าอาจก่อให้เกิดนิ่วในทางเดินเยี่ยว คนเจ็บโรคไตห้ามกิน 3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรจะขอคำแนะนำแพทย์หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับการใช้เสมอ เนื่องจากว่าอาจจะทำให้เกิดผลใกล้กันที่ไม่ปรารถนาได้ อาทิเช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง เยี่ยวน้อย แน่นท้อง เป็นต้น เอกสารอ้างอิง- นพมาศ สุนทรเจริญนนท์.เพชรสังฆาต.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- วีรพล ภิมาลย์และคณะ.การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานประสิทธิภาพในการรักษาริดสีดวงทวารหนักของเพชรสังฆาต.วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่10.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2557.หน้า403-418https://www.disthai.com[/b]
- Panthong A, Supraditaporn W, Kanjanapothi D, Taesotikul T, Reutrakul V. Analgesic, anti-inflammatory and venotonic effects of Cissus quadrangularis Linn. J Ethnopharmacology 2007; 110 : 264–70.
- เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีPanpimanmas S, Sithipongsri S, Sukdanon C, Manmee C. Experimental Comparative Study of the Efficacy and Side Effects of Cissus quadrangularis L. (Vitaceae) to Daflon (Servier) and Placebo in the Treatment of Acute Hemorrhoids. J Med Assoc Thai 2010; 93 (12): 1360-7.
- ผลของการใช้เพชรสังฆาตในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการเฉียบพลัน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.J Med Assoc Thai 2010;93(12):1360-7
|
|
|
4
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรมะระจีน สรรพคุณเเละประโยชน์
|
เมื่อ: ธันวาคม 22, 2018, 05:33:37 am
|
มะระจีนชื่อสมุนไพร มะระจีนชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะระ (ทั่วไป)ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica charantia Linn. var. maxima Williums & Ngชื่อสามัญ Bitter Gourd ,Balsam apple, Leprosy Gourd, Bitter melonวงศ์ CUCURBITACEAEถิ่นกำเนิด มะระจีนมีบ้านเกิดเมืองนอนในเขตร้อนทวีปเอเชีย และก็ทวีปแอฟริกา เป็นพืชที่มีการปลูกในแถบประเทศเขตร้อนอย่างมากมาย โดยมีการปลูกกันในหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่นจีนประเทศอินเดีย , เมียนมาร์ , ไทย , เวียดนาม ฯลฯ ส่วนในประเทศไทยปลูกมากมายในภาคเหนือ ซึ่งมีการปลูกหลายสายพันธุ์ ลักษณะทั่วไป เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นมีลักษณะเหลี่ยม เถาเลื้อยมีสีเขียว มีขนเล็กๆจะมีมือเกาะบนเถา อยู่รอบๆใต้ข้อต่อของใบ • ใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกเรียงสลับกันคนละข้างตามเถา มีลักษณะเป็นแฉกเว้าลึก 5 แฉก โคนใบมีลักษณะกลม มีก้านใบยาว ใบมีสีเขียว มีขนสากเล็กๆมีมือเกาะยื่นออกมาจากที่ข้อ • ราก เป็นระบบรากแก้ว รากมีลักษณะกลม แทงลึกลงดิน มีรากกิ่งก้านสาขาแล้วก็รากฝอยเล็กๆแทงออกตามบริเวณมีสีน้ำตาล • มือเกาะ มีลักษณะกลม เป็นเส้นเล็กๆคล้ายหนวดขนาดเล็กๆแตกออกรอบๆข้อใต้ใบของเถา ปริมาณมือเกาะ 1 เส้นต่อข้อ ส่วนปลายมีขนาดเล็กสุดม้วนงอ จะม้วนงอเข้ายึดเกาะรอบตัว ยึดลำต้นเพื่อเลื้อยแผ่ขึ้นที่สูง ใช้มือเกาะใช้ปลายหนวดม้วนใช้ยึดของ เป็นเกลียวพันรอบคล้ายสปริง • ดอก ดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว มีลักษณะรูประฆัง กลีบดอกจะมีเหลือง ก้านดอกยาว ออกตามซอกใบ • ผล มีลักษณะทรงยาวรี เปลือกบาง ผิวขรุขระมีร่องลึกตามทางยาว ผลใหญ่เนื้อหนา ผลดิบจะมีสีเขียวอ่อน ใช้รับประทาน เมื่อผลสุกจะมีสีแดง แต่ว่ากินไม่ได้ ด้านในผลจะมีหลายเม็ด มีเนื้อฉ่ำน้ำ มีรสชาติขม • เม็ด จะอยู่ภายในผล จะมีเม็ดเล็กๆมากมาย เรียงอยู่ด้านในผล เมล็ดมีลักษณะกลมแบนรี ผิวเรียบ เปลือกเมล็ดแข็ง สีน้ำตาล การขยายพันธุ์มะระจีนเป็นพืชที่นิยมปลูกกันมากในประเทศไทย โดยมะระจีนเป็นพืชปีเดียว สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล แล้วก็ปลูกขึ้นได้ดิบได้ดีกับดินเกือบทุกประเภท แต่ว่าดินต้องมีความชุ่มชื้นสูงเป็นประจำ แล้วก็ควรได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดทั้งวัน มะระจีนที่ปลูกลงในประเทศโดยมากมีอายุเก็บเกี่ยวโดยประมาณ 45-50 วัน การเก็บมะระควรที่จะเก็บวันเว้นวัน เลือกผลที่โตได้ขนาด มีสีเขียวยังไม่แก่เกินไป ถ้าหากเริ่มมีสีขาวและเริ่มแตกถือว่าแก่เกินความจำเป็น สำหรับวิธีการขยายพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์โดยวิธีการหยอดเม็ดหรือปลูกจากต้นกล้าแค่นั้น โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้ การเตรียมดิน ทำการไถลูกพรวนดิน พร้อมกำจัดวัชพืช และก็ตากแดดโดยประมาณ 5-10 วัน ขึ้นกับชนิดดิน แล้วทำแนวปลูกด้วยการขึงเชือกหรือกะระยะ ในระยะระหว่างแถว 1-1.5 เมตร แล้วทำการไถตามจุดของแนวปลูกตามแนวยาวของแปลงให้เป็นร่องลึกประมาณ 30 ซม.จากนั้นหว่านโรยปุ๋ยธรรมชาติหรือขี้วัว จำนวน 1000 กิโลกรัม/ไร่ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ 30 กิโลกรัม/ไร่ แล้วกระทำการไถกลบหรือกลบแนวร่อง ตากดิน 2-3 วัน การเตรียมกล้า กระทำการเพาะกล้าในกระบะเพาะกล้า โดยใส่ดินผสมมูลสัตว์หรืออุปกรณ์อื่นๆยกตัวอย่างเช่น เถ้า กากมะพร้าว แล้วรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1-2 ครั้ง เช้า-เย็น หากกล้าเริ่มแตกใบ 4-6 ใบ หรือ 15-20 วัน สามารถเอามาปลูกได้ กรรมวิธีปลูก การปลูกด้วยกล้ามะระ ให้ปลูกไว้ในระยะห่างของหลุม 1.5-2 เมตร แต่แม้เป็น การปลูกด้วยการหยอดเม็ด ให้หยอดเม็ด 1-2 เมล็ด/หลุม ในระยะห่างของหลุมอย่างเดียวกัน ข้างหลังการปลูกหรือหยอดเม็ดเสร็จ ต้องรดน้ำหลุมปลูกให้ชุ่ม องค์ประกอบทางเคมี องค์ประกอบทางเคมีแล้วก็สารออกฤทธิ์ จากส่วนต่างๆของมะระจีน อย่างเช่น ผล เม็ด ใบ ลำต้น เอนโดสเปิร์ม และแคลลัส มีสารสำคัญมากถึง 228 ประเภท ที่บางทีอาจจะออกฤทธิ์แบบเดี่ยวๆหรือ ออกฤทธิ์แบบด้วยกัน charantin, polypeptide-p, vicine, momordin แล้วก็สารอนุพันธ์ที่คล้ายกัน เป็นต้นว่า momordinol, momordicilin, momorcharin, momordicin , Gallic acid , Caffeic acid และก็ Catechin เป็นต้นส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของมะระจีน (100 กรัม) ประกอบด้วย ใยอาหาร2.8 กรัม เถ้า 1.1 กรัม โปรตีน 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม ไขมัน 0.17 กรัม พลังงาน 17 กิโลแคลอรี วิตามิน A 380 มิลลิกรัม วิตามิน B1 0.04 มิลลิกรัม วิตามิน B2 0.4 มิลลิกรัม วิตามิน B3 0.4 มก. วิตามิน B5 0.212 มก. วิตามิน B6 0.043 มก. วิตามิน C 84 มิลลิกรัม สังกะสี 0.8 มก. แคลเซียม 19 มก. ทองแดง 0.034 ไมโครกรัม เหล็ก 0.43 มก. แมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม แมงกานีส 0.089 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 31 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 296 ไมโครกรัม โซเดียม 5 มิลลิกรัม คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ มะระจีนนิยมเอามาทำเป็นอาหาร ยกตัวอย่างเช่น ต้มกับน้ำซุปกระดูกหมู หรือแกงจืดยัดไส้หมูสับบ้างพลิกแพลง นำมะระมาหั่นเป็นแว่นบางๆชุบไข่ทอด แบบชะอมหรือมะเขือยาว หรือจะใช้ฝานเป็นแว่นบางๆจิ้มกับน้ำพริก หรือจะทำมะระผัดไข่ก็นิยมกินกันมากมาย ซึ่งมะระจีนนับว่าเป็นผักที่นิยมกินมากสำหรับผู้ที่มีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน เพราะว่ามีสารประกอบหลายชนิด เช่น แคแรนทิน (charantin), โพลีเปปไทด์ พี (p-insulin) และวิซิน (vicine) ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนคุณประโยชน์ทางยาตามตำรายาไทยบอกว่า ราก แก้พิษ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ฝาดสมาน ยาบำรุง เถา บำรุงน้ำดี ยาระบายอ่อนๆเจริญอาหาร ใบ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับพยาธิ ขับลม ดอก แก้พิษ แก้บิด ผล ขับลม ดับพิษร้อนแก้พิษฝี แก้ฟกบวม แก้อักเสบ บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ เจริญอาหาร บำบัดรักษาโรคเบาหวาน และก็เมล็ด แก้พิษ บำรุงธาตุนอกนั้นตำรายาแผนโบราณในต่างประเทศได้มีการใช้มะระแก้เบาหวาน สิ่งเดียวกัน ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา แอฟริกาตะวันตก ประเทศฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย และก็อังกฤษ เป็นต้น สำหรับในการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการทำการศึกษาเรียนรู้บอกว่า มะระจีนมีฤทธิ์ต่อต้านเบาหวาน ช่วยระบายและก็ฆ่าเชื้อ โดยด้านการแพทย์แผนไทยใช้เข้าตำรับยาแก้ไข้ที่มีลักษณะอาการติดเชื้อต่างๆสารต้านเบาหวานในมะระจีนยกตัวอย่างเช่นสารชาแรนทิน ซึ่งมี ฤทธิ์ต้านเบาหวานได้ดีกว่ายา tolbutamide ยิ่งกว่านั้น พบ สารไวซีน (vicine) โพลีเพปไทด์-พีแล้วก็สารออกฤทธิ์อื่นที่ กำลังศึกษากันอยู่ โพลีเพปไทด์-พี ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลใน เลือดเมื่อฉีดแบบอินซูลินให้กับคนป่วยเบาหวานชนิด ฤทธิ์ต้านเบาหวานของมะระจีนได้ถูกศึกษาอย่างใหญ่โต ทั้งโดยการเพาะเลี้ยงเซลล์ การเรียนในสัตว์ทดลอง และการเรียนรู้ทางคลินิก สารจากมะระจีนได้ผลทั้งยังในแง่การควบคุมจำนวนการหลั่งอินซูลินรวมทั้งเปลี่ยนเมแทบอลิซึมของเดกซ์โทรส การแพทย์หนทางของอเมริกาชี้แนะการใช้น้ำคั้นผลมะระจีน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวาน แบบ / ขนาดวิธีการใช้ • แก้ลักษณะของการป่วยไข้ ให้นำมะระจีนทั้งยัง 5 เป็น ดอก ผล ใบ ราก และก็เถาอย่างละ 1 กำมือใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มจนเดือด รับประทานทีละ 1 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหาร วันละ 3 - 4 ครั้งติดต่อกันเพียงแค่ 3-4 วันก็จะหายไข้ • แก้อาการคอแหบ เสียงไม่มี เหตุเพราะโรคไข้หวัด นำผลมะระจีนต้มกิน หรือใช้ประกอบเป็นอาหารช่วยรักษาให้ดีขึ้นกว่าเดิมจนกระทั่งหายสนิทได้ • ให้นำมะระจีนใกล้สุก มาหั่นอีกทั้งเนื้อและเม็ดแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง คั่วจนหอมแล้วตำอย่างละเอียดผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดหัวแม่มือกินทีละ 1 เม็ดก่อนนอน แก้ท้องผูก • บำรุงสายตา ให้นำผลมะระจีนและก็ยอดอ่อนมาทำอาหารตามใจชอบ ควรจะกินวันเว้นวันเป็นประจำ สายตาจะดียิ่งขึ้น • บำรุงเลือด • บำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถนะทางเพศ ให้นำเม็ด มะระจีนแก่จัดมาตากแห้งแล้วแกะเปลือกออก ใช้เนื้อในบดจนละเอียดละลายน้ำร้อนรับประทานทีละ 1 ช้อนชาวันละ 1 คราวก่อนนอน ต่อเนื่องกัน 2 อาทิตย์ เว้น 2 อาทิตย์ กินอีก 2 อาทิตย์ จะก่อให้เจริญอาหารมีกำลังวังชาขึ้น ยาขนานนี้ยังช่วยขับพยาธิตัวเล็กได้อีกด้วย • ใบ มะระจีนใช้ ต้มดื่ม แก้ไข้หวัด บำรุงน้ำดี ดับพิษฝี แก้ปากเปื่อย แก้ตับม้ามทุพพลภาพ แก้อักเสบ ฟกช้ำดำเขียวบวม ใช้ทาข้างนอก แก้ผิวแห้ง ลดอาการระคาย อักเสบ การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา มีการเล่าเรียนถึงผลของมะระจีนในมนุษย์หลายการเรียนรู้อีกทั้งในผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็ผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานประเภทต่างๆพบว่า มีหลายการศึกษาที่รายงานว่าสารสกัดหรือน้ำจากผลมะระมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้โดยการศึกษาเล่าเรียนเจอฤทธิ์รักษาเบาหวานของมะระจีนเริ่มตั้งแต่ปี 1942 โดยพบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในกระต่าย และเสริมฤทธิ์ยาลดน้ำตาลในกระต่ายที่เป็นเบาหวาน ก็เลยได้มีผู้เล่าเรียนฤทธิ์ของมะระในสัตว์ทดลองต่างๆตัวอย่างเช่นกระต่าย หนูขาว หนูถีบจักร แมว gerbils ลิง ตลอดจนการทดลองทางคลินิก ซึ่งสำหรับในการทดลองได้ใช้มะระจันอีกทั้งในรูปสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์ สารสกัดด้วยอะซีโตนสารสกัดด้วย้ำในรูปผลแห้งและน้ำคั้น แล้วก็ได้มีผู้ทดลองสกัดแยกสารซึ่งมีฤทธิ์ลดโรคเบาหวาน ยกตัวอย่างเช่น charantin , polypeptide , polypeptide P และก็ purified proteinสำหรับกลไกการออกฤทธิ์ พบว่ามะระจีนมีฤทธิ์เสมือนอินซูลินและกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ เพิ่มการใช้น้ำตาลกลูโคสในเนื้อเยื่อต่างๆโดยไปเพิ่ม tissue respiration เมื่อให้น้ำคั้นผลมะระจีนก่อนให้น้ำตาลกลูโคส พบว่ามีการนำเดกซ์โทรสไปใช้ก็เลยมีการสะสมของglycogen ในตับแล้วก็กล้ามเนื้อ ซึ่งอาจด้วยเหตุว่าไปเร่งการหลั่งอินซูลิน รวมทั้งรีบการดูดซึมของเดกซ์โทรสก็ได้ นอกจากนั้นน้ำคั้นยังส่งผลต่อ gluconegensis ในไตคล้ายกับสาร hypoglycin ซึ่งลดน้ำตาลเพราะว่าเบาหวาน รวมทั้งพบว่าการทดสอบให้หนูที่รั้งนำด้วย strepotozotocin ให้เป็นโรคเบาหวาน มะระจีนไม่ได้ผล อาจเนื่องจากเบต้าเซลล์ถูกทำลายไปแล้วไม่เพียงแต่มีการทดสอบโดยใช้ผลมะระจีนเพียงแค่นั้น ยังมีการทดสอบผลของเมล็ดมะระจีนอีกด้วย จากการเรียนของนักวิจัยในฮ่องกง พบว่าในเม็ดมีสารซึ่งมีฤทธิ์เหมือนกับอินซูลินซึ่งต่อมาได้พบว่า คือ α-momorcharin, β-momorcharin , α-trichosantin และเลคติน ในเวลาใกล้ๆกัน ได้มีหัวหน้าเม็ดมะระมาสกัดด้วย 50% เมทานอล แล้วก็ 0.9% น้ำเกลือ เมื่อนำสารสกัดไปทดสอบในหนูซึ่งอดอาหาร พบว่าจำนวนน้ำตาลในเลือดต่ำลง และก็สารสกัดเมทานอลรวมทั้งน้ำเกลือยังปกป้องไม่ให้ adrenaline ไปรั้งนำให้กำเนิดเบาหวานโดยมีแถลงการณ์ว่า สารสกัดมะระจีนยั้ง glucose optake ใน cell Ehrlich ascites tumor cell ซึ่งใช้เป็นการพิจารณาเบื้องต้นของพืชที่ยับยั้งโรคเบาหวาน มีการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของตำรับยาซึ่งมีมะระจีนเป็นส่วนผสม (ไม่กำหนดจำพวกของสารสกัด) โดยฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร ขนาด 0.1 ก./กิโลกรัม พบว่าลดน้ำตาลในเลือด เมื่อทดลองฉีดสารสกัดอินซูลินจากมะระจีนเข้าทางท้องหรือให้ทางปากหนูขาวธรรมดา และหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวาน ด้วย alloxan หรือ streptozotocin พบว่าน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง ต่อมามีการเล่าเรียนผลของสารสกัดเมทานอล:น้ำ ของดอกแห้งและก็ใ มะระจีน[/url]ขนาด 10 และ 30 มก./กก. เมื่อกรอกเข้าทางกระเพาะอาหารหนูขาว พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งสารสกัด 95% เอทานอลของผลสด ขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหารของหนูขาวที่ใช้ streptozotocin เหนี่ยวนำให้กำเนิดเบาหวาน มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดลง 22% รวมทั้งน้ำคั้นผลดิบสดของมะระจีน(ไม่กำหนดขนาด) กรอกเข้าทางกระเพาะหนูขาว มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ยิ่งไปกว่านี้เมื่อให้น้ำสกัดผลมะระจีน 2 มิลลิลิตรตรงเวลา 3 สัปดาห์ ในหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงจาก 220 มก.% เป็น 105 มิลลิกรัม%คิดเป็น 54% ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้มากกว่าผงแห้ง ซึ่งลดน้อยลง 25% การศึกษาฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำโดย alloxan ตรวจสอบและลองใช้สารสกัดเอทานอลขนาด 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทดลองตรงเวลา 2 สัปดาห์ พบว่ามะระมีฤทธิ์อย่างแรงสำหรับเพื่อการลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดมะระ 3 ตัวอย่างคือ สารสกัด A ได้ผลแห้งมะระ 0.5 กิโลกรัม ในเมทานอล (1:10) สารสกัด B สำเร็จแห้งมะระ 0.5 กก. ในคลอโรฟอร์ม (1:10) สารสกัด C สำเร็จสดมะระ 0.5 กก. ในน้ำ (10:25) ในขนาด 20 มก/กก มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan เมื่อตรวจสอบและลองใช้ตรงเวลา 4 สัปดาห์ไม่เจอความเป็นพิษต่อตับรวมทั้งไต และก็ตรวจสอบและลองใช้ในขนาดสูงไม่เจอพิษต่อตับรวมทั้งไตเหมือนกัน โดยมองจากค่า SGOT , SGPT และก็ lipid profile การศึกษาวิจัยที่ประเทศแอฟริกาใต้ ปี พ.ศ.2549 ถึงฤทธิ์ของการใช้สารสกัดมะระจีนทั้งยัง5เพื่อลดจำนวนน้ำตาลในเลือดของหนูที่ทำให้เป็นโรคเบาหวานโดยใช้สารสเตรปโทโซโทซิน พบว่าจำนวนน้ำตาลในเลือดหนูน้อยลงทั้งยังหนูธรรมดารวมทั้งหนูที่เป็นเบาหวาน ผลของการลดปริมาณน้ำตาลผันแปรตามจำนวนสารสกัดที่ได้รับ ส่วนการทดลองให้สารสกัดมะระจีนทั้งยัง 5 โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดกับหนูปกติและหนูที่ถูกทำให้มีความดันสูง (hypertensive Dahl salt-sensitive rats) พบว่าลดความดันช่วงบนแล้วก็อัตราการเต้นของหัวใจของหนูทั้งๆที่ปกติรวมทั้งมีลักษณะอาการความดันสูงอย่างแปรเปลี่ยนกับจำนวนสารสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้ว การให้สารอะโทรพีนต่อหนูไม่มีผลต่อการลดระดับความดันเลือดสำหรับการทดลองนี้ จึง เชื่อว่าผลของการลดระดับความดันดังที่กล่าวถึงมาแล้วมิได้มีสาเหตุมาจากกลไกวัวลิเนอร์จิก ส่วนการค้นคว้าที่ญี่ปุ่น ปีพ.ศ.2549 พบว่าไทรเทอร์พีนอะไกลโคนจากสารสกัดแอลกอฮอล์ของผล มะระจีนแห้งจำนวน 2 ชนิด แสดงผลลดจำนวนน้ำตาลในเลือดตัวทดลองที่เป็นเบาหวาน (หนูเบาหวานเพศผู้ พันธุ์ ddY) สารดังที่ได้กล่าวมาแล้วเป็น epoxydihydroxycucurbitadiene และ trihydroxycucurbitadien-al การทดสอบทางคลินิกในคนธรรมดาพบว่า เมื่อรับประทานผลมะระจีนสด (ไม่กำหนดขนาด) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด มีการเล่าเรียนโดยใช้ใบมะระจีนพบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (postpandrial glucose level) อีกทั้งในคนธรรมดาแล้วก็ผู้ป่วนโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 รวมทั้งใบมะระจีน ลดน้ำตาลในเลือดคนไข้โรคเบาหวานจำพวกที่ 2 ได้ 60% อย่างเป็นจริงเป็นจังเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับกลูโคส75 กรัม (97%) แต่ระดับอินซูลินและก็เดกซ์โทรสในเลือดไม่ได้มีความแตกต่างกัน นอกเหนือจากนั้นจากผลที่ได้รับจากงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ยังพบว่าอีกทั้งมะระจีนมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ HIV โดยออกฤทธิ์สำหรับการกระตุ้นภูมิต้านทาน มีรายงานค้นคว้าทำการวิจัยว่าชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้ติดโรคได้ใช้สารสกัดจากมะระจีนนาน 4 ปี พบว่ามีปริมาณ T lymphocytes มากขึ้น แล้วก็มีแพทย์คนจีนกล่าวว่ามีผู้ใช้มะระจีนนาน 4 เดือน ถึง 3 ปี พบว่ามีจำนวน T lymphocytes มากขึ้น ทำให้เห็นว่ามะระจีนมีฤทธิ์สำหรับในการกระตุ้นภูมิต้านทาน การเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดพืชอีกทั้งต้นด้วยเอทานอล(50%) เข้าใต้ผิวหนังในขนาด 20 กรัม/กิโลกรัม หรือให้หนูถีบจักรกินในขนาด 10 ก./กิโลกรัม ไม่เจอพิษ สารสกัดส่วนเหนือดินและไม่กำหนดส่วนที่ใช้ด้วยเอทานอล (50%) เมื่อฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 681 มก./กก. และก็มีค่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 1,000 มก./กก. แอลติดอยู่ลอยด์ที่แยกได้จากมะระจีน เมื่อให้กระต่ายกินขนาด 56 มก./ตัว หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร 14 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เจอพิษ ฉีดน้ำคั้นจากผลเข้าท้องหนูขาวขนาด 15 ซีซี/กก. หรือ 40 ซีซี/กก. พบว่าทำให้สัตว์ทดลองตายด้านใน 18 ช.ม.และก็เมื่อฉีดน้ำคั้นผลเข้าช่องท้องของกระต่ายในขนาด 15 ซีซี/กก. พบว่าทำให้กระต่ายตายด้านใน 18 ช.มัธยม แต่ว่าเมื่อให้เข้าทางกระเพาะของกระต่ายในขนาด 6 ซีซี/กก. พบว่ากระต่ายตายภายหลังจากได้รับสารสกัดอย่างสม่ำเสมอตรงเวลา 23 วัน ส่วนน้ำต้มผลสดฉีดเข้าช่องท้อง หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ค่า LD50 เท่ากับ 16 มคกรัม/ซีซี และก็ 270 มคกรัม/ซีซี เป็นลำดับ เมื่อฉีดสารสกัดผลด้วยเอทานอล (50%) เข้าช่องท้องหนูถีบจักรพบว่าLD50 พอๆกับ 681 มก./กิโลกรัม ให้หนู gerbil รับประทานสารสกัดผลด้วนเอทานอล (95%) ขนาด 1.1 กรัม/กก. นานติดต่อกัน 30 วัน และสารสกัด (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) ด้วยเอทานอล (95%) เมื่อผสมอาหารในขนาด 50 มคกรัม/ตัว ในหนูถีบจักรกิน พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเมล็ดด้วยน้ำเข้าช่องท้องหนูขาวพบว่า LD50 เท่ากับ 25 มก./กก.สารสกัดผลด้วยคลอโรฟอร์ม เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักรในขนาด 1,000 มก./กิโลกรัม ทำให้สัตว์ทดลองอ่อนเพลีย แล้วก็ตายหลังได้รับสารสกัดเป็นเวลา 24 ช.ม. พิษต่อระบบขยายพันธุ์ เมื่อให้น้ำคั้นจากผล ขนาด 6 ซีซี/กิโลกรัม ในกระต่ายที่ตั้งท้อง ทำให้มีเลือดออกจากมดลูกและก็มีกระต่ายตายจากการตกเลือด เมื่อฉีดสารสกัดผลซึ่งมีสาร charantin และก็เม็ดซึ่งมีสาร vicine เข้าทางช่องท้องของหมาในขนาด 1.75 กรัม/ตัว พบว่าฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างน้ำอสุจิแล้วก็ในหนูถีบจักรเพศภรรยา เมื่อได้รับสารสกัด (ไม่ระบุชนิด) พบว่ามีผลยั้งการผสมพันธุ์เมื่อให้ใบและเปลือกลำต้น (ไม่ระบุขนาด) เข้าทางกระเพาะในหนูขาวที่ตั้งท้อง พบว่ามีเลือดออกแตกต่างจากปกติจากมดลูก น้ำคั้นผลสดเมื่อให้ในหนูถีบจักรเพศเมียมีฤทธิ์ยั้งการเจริญพันธุ์ รวมทั้งน้ำคั้นผลสดเมื่อให้เข้าทางกระเพาะของหนูขาว เมื่อให้น้ำคั้นจากผล (ไม่ระบุขนาด) สารสกัดด้วยน้ำ (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้) ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เมื่อให้หนูขาวที่ท้องรับประทานไม่พบว่าเป็นพิษต่อตัวอ่อนหรือทำให้แท้ง และสารสกัดด้วยเอทานอลในขนาดที่เท่ากับ ก็ไม่พบว่ามีฤทธิ์ยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนหรือทำให้แท้ง น้ำสุกจากใบเมื่อให้หนูขาวเพศภรรยากินในขนาด 500 มก./กก พบว่าไม่มีฤทธิ์ยั้งการฝังของตัวอ่อน และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน ผลต่อเม็ดเลือดขาว น้ำคั้นจากผลในขนาดที่ส่งผลทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวธรรมดา(lymphocyte) ตายครึ่งเดียว มีค่าเท่ากับ 0.35 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ สารสกัดด้วยน้ำเกลือ (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้) เมื่อทดสอบกับเซลล์เม็ดเลือดขาว (lymphocyte) ในขนาด 40 มคกรัม/จากเพาะเชื้อ พบว่ามีความเป็นพิษต่อยืน (gene) lectin และโปรตีนบางประเภทในเม็ดของมะระ มีผลยับยั้งบางแนวทางการสังเคราะห์ DNA ของทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวธรรมดาแล้วก็เซลล์ของมะเร็ง ป้อนน้ำคั้นจากผลสดแล้วก็เม็ดของมะระจีนให้หนูขาวเพศผู้ในขนาด 1 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม ตรงเวลา 30 วัน พบว่าทำให้ enzyme serum Ƴ-glutamyltransferase และก็ alkaline phosphatase มีความเข้มข้นสูงมากขึ้นจึงคาดว่าน่าจะมีสารที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความเป็นพิษต่อตับ ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง 1. ใบมะระจีนใช้ ต้มดื่ม แก้ไข้หวัด บำรุงน้ำดี ดับพิษฝี แก้ปากยุ่ย แก้ตับม้ามทุพพลภาพ แก้อักเสบ ฟกช้ำดำเขียวบวม ใช้ทาภายนอก แก้ผิวแห้ง ลดอาการระคาย อักเสบ 2. ผู้ที่มีภาวการณ์ขาดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีจีสิกข์พีดี (G6PD) ไม่สมควรรับประทานเมล็ดมะระ เนื่องจากบางทีอาจเกิดผลข้างๆ ดังเช่นว่า โลหิตจาง ปวดศีรษะ ปวดท้อง จับไข้ รวมทั้งอาจมีสภาวะโคม่าได้ในบางราย 3. หญิงท้องและก็อยู่ในช่วงให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานมะระจีน เนื่องจากว่ามีการเรียนในสัตว์ทดสอบพบว่า สารเคมีในผลหรือเม็ดมะระอาจทำให้มีเลือดออกระหว่างตั้งท้อง และก็อาจเป็นสาเหตุให้แท้งได้ 4. ผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จำต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด อย่างเช่น อินซูลิน ไกลพิไซด์ โทลบูตาไมด์ ไกลเบนคาไมด์ ไพโอกลิตาโซน ฯลฯ ควรระมัดระวังสำหรับในการรับประทานมะระ เนื่องมาจากมะระอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงเยอะเกินไป เอกสารอ้างอิง- เสาวนิตย์ ดาวรัตนชัย.มะระกับเบาหวาน.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 .ตุลาคม .2546.หน้า 12-21
- รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะระต้านเบาหวาน. คอลัมน์ บทความพิเศษ.นิตยสารหมอขาวบ้าน.เล่มที่ 336.เมษายน 2550
- นิรามัย ฝางกระโทก.”เบาหวาน” “มะระ”. บทความวิชาการ คณะเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยบูรพา .หน้า 1-5
- นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร , บรรณาธิการ . สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 3.กรุงเทพฯ:ประชาชน จำกัด , 2542.823 หน้า.
- การปลูกมะระจีน .พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย.(ออนไลน์). สอบถามเรื่องมะระ.กระดานถามตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/[/b]
- Rajurkar NS, Pardeshi BM.Analysis of some herbal plants from lndia used in the control of diabeter mellitus by NAA and AAS techniques. Appl Radiat lsot 1997;48(:1059-62.
- Kar A, Choudhary BK, Bandyopadhyay NG. Preliminary studies on the inorganic constituents of some lndigenous hypoglycaemic herbs on oral glucose tolerance test. J Ethnopharmacol 1999;64:179-84.
- Singh J, Cumming E, Manoharan G, Kalasz H,Adeghate E. 2011. Medicinal chemistry of the anti-diabetic effects of Momordica charantia: Active constituents and modes of actions. Open Medicinal Chemistry Journal.5:70-77
- Aslam M, Stoclkley IH. Lnteraction between curry ingredient (karela) and drug (chloropamide). Lancet 1979;607.
- Khanna P. Protein/polypeptide-K obtained from Momordica charantia, a process for the extraction thereof ,and therapeutic uses for diabetes mellitus. PCT lnt Appl Won00 61,619 2000;30pp.
- Jain SR, Sharma SN. Hypoglycaemic drugd of lndian indigenous origin . Planta Med 1967;15(4):439-42.
- Ng TB, Wong CM,Li WW,Yeung MW. Lnsulin like molecuies in Momordica charantia seeds. J Ethnopharmacol 1986;15107-17.
- Murakami C, Myoka K, Kasai R, Ohtani K, Kurokawa T, lshibshi S, Sadahiko D, Fabian P, Willam G, Yamasaki K. Screening of
|
|
|
5
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพร ดาวอินคา
|
เมื่อ: ธันวาคม 19, 2018, 10:32:19 am
|
ดาวอินคาชื่อสมุนไพร ดาวอินคาชื่ออื่นๆ ถั่วดาวอินคาชื่อวิทยาศาสตร์ Plukenetia volubilis.ชื่อสามัญ sacha inchi, sacha mani , Inca peanut.วงศ์ Euphorbiaceae ถิ่นกำเนิดดาวอินคาติดอยู่ เป็นพืชวงศ์ Euphorbiaceae เช่นเดียวกับ ยางพารา สบู่ดำ หรือมันสำปะหลัง นับเป็นพืชเฉพาะถิ่นประเภทหนึ่ง มีถิ่นกําเนิดจากบริเวณลุ่มแม่น้ําอเมชอน ในประเทศประเทศเปรู ทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมนุษย์รู้จักนำมาใช้ผลดีตั้งแต่ยุคอินค้าง หรือในตอนปี ค.ศ. 1438-1533 แล้วก็ตกทอดมากันมาสู่คนพื้นถิ่นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการนำดาวอินคามาใช้ประโยชน์นานัปการ ทั้งนี้ จากบ่อเกิด รวมทั้งประวัติที่ชาวอินคานำมาใช้ประโยชน์ ประเทศไทยจึงเรียกพืชจำพวกนี้ว่า ถั่วดาวอินค้าง ในปัจจุบันก็มีการเพาะปลูกดาวอินคาในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็มีการนำดาวอินค้างมาแปรรูป ได้แก่ น้ำมันดาวอินคาที่ได้จากการสกัด ถั่วดาวอินค้างอบเกลือ หรือถั่วดาวอินค้างคั่ว สำหรับในประเทศไทยได้มีบริษัทเอกชนนำดาวอินค้างเข้ามาส่งเสริมการปลูกทีแรก เมื่อไม่กี่ปีให้หลัง โดยเริ่มที่จังหวัดหนองคายเพราะมีความเห็นว่ามีที่ตั้งภูมิศาสตร์เส้นทางคมนาคมที่สมควร และก็สามารถเชื่อมโยงไปสู่กรุ๊ปประเทศอินโดจีนได้จนถึงมีการปลูกอย่างมากมายในหลายพื้นที่ในขณะนี้ ลักษณะทั่วไป ดาวอินติดอยู่จัดเป็นไม้เลื้อยเพราะมีลำต้นเป็นไม้เลื้อยที่แก่นาน 10-50 ปี ลำต้นแตกกิ่งเป็นเถาเลื้อยได้ยาวมากว่า 2 เมตร เถาอ่อนมีสีเขียว เถาแก่หรือโคนเถามีสีน้ำตาล แก่นเถาแข็ง และก็เหนียว ใบของถั่วดาวอินคาเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แตกใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับเยื้องกันตามความยาวของเถา ใบมีรูปหัวใจ โคนใบกว้าง และเว้ากึ่งกลางเป็นฐานหัวใจ ส่วนปลายใบแหลม แผ่นใบมีสีเขียวสด แล้วก็มีร่องตื้นๆตามเส้นแขนงใบ ส่วนขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย มีก้านใบยาวโดยประมาณ 2-4 ซม. ส่วนแผ่นใบกว้างประมาณ 8-10 ซม. ยาวราว 12-18 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อตามซอกใบบนเถา แต่ละช่อมีดอกขนาดเล็กเยอะๆ ดอกมีลักษณะทรงกลม สีเขียวอมเหลือง เป็นดอกจำพวกแยกเพส แต่ว่ารวมอยู่ในช่อดอก และต้นเดียวกัน โดยดอกเพสภรรยาจะอยู่รอบๆโคนช่อดอก 2-4 ดอก ส่วนดอกเพศผู้มีหลายชิ้นต่อจากดอกเพศภรรยามาจนถึงปลายช่อดอก ทั้งนี้ ถั่วดาวอินติดอยู่จะติดดอกคราวแรกเมื่ออายุโดยประมาณ 5 เดือน หลังเม็ดแตกออกรวมทั้งผลจะแก่ที่พร้อมเก็บได้ราวๆอีก 3-4 เดือน ข้างหลังออกดอกผลเรียกเป็นฝัก มีลักษณะเป็นแคปซูลที่แบ่งออกเป็นพูๆหรือแฉก 4-7 พูขนาดฝักกว้าง 3-5 เซนติเมตร เปลือกผลอ่อนมีสีเขียวสด และมีประสีขาวกระจายทั่ว แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นสีดำเมื่อสุก รวมทั้งแก่จนแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล พร้อมกับเปลือกปริแตกจนถึงแลเห็นเมล็ดด้านใน เมล็ดดาวอินติดอยู่ใน 1 ผลหรือฝัก จะมีปริมาณเม็ดตามพูหรือแฉก เป็นต้นว่า ฝักมี 5 พู ก็จะมี 5 เมล็ด ถ้ามี 7 พู ก็จะมี 7 เมล็ด โดยเมล็ดจะแทรกอยู่ในแต่ละพูในแนวตั้งเม็ดมีทรงกลม และก็แบน ขอบเม็ดบางแหลมตรงกลางเมล็ดนูนเด่น ขนาดเม็ดกว้าง 1.5-2.0 ซม. ยาว1.8-2.2 ซม. น้ำหนักเม็ดเฉลี่ย 1.5 กรัม/เมล็ด เปลือกเมล็ดเป็นแผ่นบาง มีสีน้ำตาลอมดำ ถัดมาจากเปลือกเป็นเนื้อเมล็ดที่มีสีขาว เนื้อเม็ดเมื่อคั่วสุกจะกรอบ และมีรสมันอร่อย มีน้ำมันปริมาณมาก การขยายพันธุ์ ดาวอินค้างสามารเติบโตเจริญในลักษณะอากาศอุ่น ที่อุณหภูมิ 10-36 องศาเซลเซียสที่มีความสูงตั้งแต่100-2000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ที่สามารถปลุกได้ทั่วทุกภาคของเมืองไทย สำหรับเพื่อการแพร่พันธุ์สามารถเพาะพันธุ์โดยเม็ด โดยการนำเมล็ดที่แก่แล้วมาเพาะในถุงดำ เมื่อต้นสูงราว 30 เซนติเมตร จึงย้ายปลูกหรือหยอดเมล็ดในหลุมปลูกเลยก็ได้ ระยะปลูก 2 x 3 ถึง 2 x 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 200 – 300 ต้น เป็นพืชที่รังเกียจน้ำขังแฉะในพื้นที่ต่ำควรยกร่อง ทำค้างสำหรับให้ต้นเลื้อยพัน โดยใช้สิ่งของในพื้นที่ ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้มักใช้ท่อพีวีซีเป็นเสาหลักแล้วก็ใช้สายโทรศัพท์เก่าขึงระหว่างเสาเป็นค้างสำหรับให้ยอดเลื้อยพัน ส่วนปุ๋ยที่ใช้จะต้องเป็นปุ๋ยธรรมชาติ โดยธรรมดาดาวอินค้างสามารถให้ผลผลิต 600 – 800 กิโลกรัมต่อไร่รวมทั้งให้ผลผลิตยาวนาน 15 – 50 ปี เลยทีเดียว และน้ำมัน (35-60%) โดยมีกรดไขมันชนิด omega-3 ได้แก่linolenic acid ประมาณ 45-53% (12.8–16.0 g/100 g seed) , omega-6 อาทิเช่น linoleic acid ราว 34-39% (12.4–14.1 g/100 g seed) รวมทั้ง omega-9 ราว 6-10% ของไขมันทั้งหมดทั้งปวง อัตราส่วนของ omega-6 /omega-3 อยู่ในช่วง 0.83–1.09 ยิ่งกว่านั้นมี phytosterols เป็นต้นว่า beta-sitosterol และก็stigmasterol สารที่มีฤทธิ์ต้านทานขบวนการออกซิเดชันดังเช่น วิตามินอีในรูป tocopherols สารกรุ๊ปฟีโนลิก แล้วก็แคโรทีนอยด์ รวมถึงกรดอะมิโยหลายแบบยกตัวอย่างเช่น สิสเตอีน (cysteine) ไทโรซีน (tyrosine) ทรีโอนีน (threonine) และทริปโตเฟน (tryptophan) ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดดาวอินค้าง (คั่วเกลือปริมาณ 100 กรัม) พลังงาน 607 กิโลแคลอรี โปรตีน 32.14 กรัม ไขมันทั้งผอง 46.43 กรัม คาร์โบไฮเดรต 17.86 กรัม น้ำตาล 3.57 กรัมแคลเซียม 143 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.59 มก. โซเดียม 643 มิลลิกรัม คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ เม็ดดาวอินค้างสามารถใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ขนมก็อบแก็บ อาทิเช่น ถั่วคั่วเกลือ ถั่วทอด หรือ เอามาดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ของกิน เป็นต้นว่า ซอส ซีอิ้วเต้าเจี้ยว รวมทั้งแปรรูปเป็นแป้ง ดาวอินคาสำหรับใช้ทำครัวรวมทั้งทำขนมหวาน ในตอนนี้นิยมนำเม็ดดาวอินคานำมาสกัดน้ำมัน ซึ่งเอาไปใช้ผลดีในหลายด้าน ได้แก่ ใช้เป็นน้ำมันรับประทานเพื่อเป็นอาหารเสริมให้แก่ร่างกาย โดยมักผลิตในรูปบรรจุขวดหรือบรรจุแคปซูลพร้อมกิน ใช้เป็นน้ำมันทอดหรือปรุงอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า ดังเช่น โฟมที่ใช้สำหรับล้างหน้า สบู่ น้ำหอม แล้วก็โลชั่นที่มีไว้สำหรับบำรุงผิว น้ำมันที่สกัดได้ใช้สำหรับทานวดแก้เมื่อย รวมถึงใช้ชโลมผมให้ดกดำ และจัดทรงง่าย ส่วน สรรพคุณของดาวอินติดอยู่ มีดังนี้ สารสำคัญที่พบในเม็ด ดาวอินคา เป็นต้นว่ากรดไขมันโดยเฉพาะ omega-3 และก็ phytosterols นั้นมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือดนอกเหนือจากนี้สารต้านทานขบวนการออกซิเดชัน อาทิเช่น tocopherols สารกรุ๊ปฟีโนลิก แล้วก็แคโรทีนอยด์ สามารถต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งคุ้มครองปกป้องการออกซิเดชันของไขมัน จึงสามารถช่วย ลดไขมันในเลือด รวมทั้งคุ้มครองป้องกันโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดได้ แล้วก็กรดไขมันโอเมก้า 3 ในดาวอินคายังมีคุณประโยชน์ช่วยให้ร่างกายซับแคลเซียมมาบำรุตระหนี่เมนส์กได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาความแข็งแรงของเยื่อหุ้มห่อเซลล์ ลดการอักเสบของเส้นโลหิต และก็ลดความเสี่ยงโรคไขข้อได้อีกด้วย ทั้งในดาวอินคายังอุสูดดมไปด้วยวิตามินอี และก็วิตามินเอที่ช่วยบำรุงรักษาสุขภาพผิวแล้วก็ผมช่วยป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระอันเป็นต้นเหตุของการอักเสบ ช่วยลดริ้วรอย และก็ช่วยทำนุบำรุงผิวให้เปียกชื้น ยิ่งไปกว่านี้ยังช่วยคุ้มครองโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (cardiovascular disease) ต้านทาน rheumatiod arthritis โรคมะเร็ง แล้วก็ปกป้องไวรัส โทโคฟีรอล (tocopherols) ไฟโตสเตอรอล (phytosterol) สารโทวัวฟีคอยลรวมทั้งฟลาโวนอยด์จากถั่วดาวอินคาช่วยลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจและก็โรคมะเร็ง สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในส่วนของเปลือกรวมทั้งเม็ดพบกรดไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติ anti-antherogenic, anti-thrombogenic และ hypercholesterolemic effect รวมทั้งยังช่วย ช่วยคุ้มครองป้องกันการแข็งตัวของเลือด คุ้มครองป้องกันโรคความดันเลือดสูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งคุ้มครองปกป้องโรคเบาหวาน กระตุ้นความจำช่วยสนับสนุนพัฒนาการของสมองคุ้มครองโรคสมองเสื่อม ควบคุมความดันในดวงตา รวมทั้งเส้นโลหิต รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ ในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดต้นแบบ / ขนาดการใช้หรือขนาดรับประทานดาวอินติดอยู่อย่างแน่ชัด โดยบางงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยบอกว่า เมล็ดดาวอินติดอยู่รับประทานไม่ได้ เนื่องด้วยมีสารกลุ่มที่ยั้งกานทำงานของเอ็นไซม์ทริปซิน (trypsin inhibitor) แม้กระนั้นสามารถเอามาหีบเอาน้ำมันมาใช้กินเพื่อได้ประโยชน์จากน้ำมันดาวอินคาและก็บางงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยกล่าวว่าเมล็ดดาวอินคาสามารถรับประทานได้เมื่อทำให้สุกแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตามหากปรารถนากินเพื่อคุ้มครองป้องกันแล้วก็เยียวยารักษาโรคควรขอความเห็นแพทย์หรือผู้ที่มีความชำนาญก็จะเป็นการดีที่สุด การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาก่อนหน้านี้ที่ผ่านมามีงานค้นคว้าวิจัยทางสถานพยาบาลที่เล่าเรียนถึงผลของน้ำมันดาวอินติดอยู่ ว่ามีคุณลักษณะซึ่งสามารถน้ามาใช้แทนโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในน้้ามันปลาได้หรือไม่ โดยมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนผลของน้ำมันจากดาวอินติดอยู่ต่อการลดระดับไขมันในเลือด ทดลองในผู้ป่วยที่มีปัญหาคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง โดยให้รับประทานน้ำมันที่สกัดจากดาวอินคา 5 หรือ10 มิลลิลิตรเป็นระยะเวลา 4 เดือน พบว่าทั้งยัง 2 กรุ๊ปส่งผลคลอ-เรสเตอรอลทั้งหมดทั้งปวงและก็ไขมันที่ไม่แรงเป็นในเลือดลดลง รวมทั้งเพิ่มระดับไขมันเอชดีแอล บ่งบอกถึงถึงว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ที่อยู่ในดาวอินคาออกฤทธิ์คล้ายกับกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สกัดออกมาได้จากน้ำมันปลา การเล่าเรียนทางพิษวิทยา สำหรับความปลอดภัยสำหรับการรับประทานน้ำมันดาวอินติดอยู่ ได้มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัย ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองอายุระหว่าง 25-55 ปีจ้านวน 30 คน เป็นเพศผู้ 13 คน และก็ผู้หญิง 17 คน กินน้ำมันดาวอินคา วันละ 10-15 มล. โดยเปรียบเทียบกับน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันจำนวนเสมอกัน ช่วงเช้า เป็นระยะเวลา 4 เดือน พบว่าผลข้างเคียงที่เจอเป็นหลักในกรุ๊ปที่กินน้ำมันดาวอินคา ตัวอย่างเช่นอาการคลื่นไส้ เรอ ส่วนอาการอื่นๆที่พบบ้าง เป็นต้นว่า ร้อนวูบวาบ ปวดหัว เจ็บท้อง ท้องผูก ส่วนผลข้างเคียงที่เจอเป็นหลักในกลุ่มที่รับประทานน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน อย่างเช่นอ้วกท้องขึ้น ส่วนอาการอื่นๆที่พบบ้าง ยกตัวอย่างเช่น เจ็บท้อง ในส่วนของค่า การทำงานของตับเป็นต้นว่า AST (Aspartate transaminase), ALT (Alanine Aminotransferase), GGT (Gammaglutamyl transferase), Alkaline Phosphatase, Total Bilirubin, Albumin, Total protein ค่าการท้างานของไต อาทิเช่น Creatinine ค่าการอักเสบ เช่น CRP และค่ากรดยูริค(Uric acid) ทั้งสิ้นนี้ไม่พบว่ามีความผิดปกติ คำแนะนำ / ข้อควรพิจารณา 1. เหตุเพราะยังไม่มีการกำหนดขนาดการใช้ดาวอินติดอยู่อย่างแน่ชัด ด้วยเหตุนี้สำหรับเพื่อการใช้ป้องกันหรือเยียวยารักษาโรค ควรจะขอคำแนะนำหมอหรือผู้ที่มีความชำนาญ 2. ไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันในปริมาณมากลเป็นเวลานานเพราะว่าอาจมีผลต่อระบบต่างๆภายในร่างกาย 3. สำหรับการเลือกใช้สินค้าที่ดัดแปลงของดาวอินค้าง ควรจะเลือดผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและได้รับการยืนยันจากหน่วยงานของกินและก็ยา เอกสารอ้างอิง- มารู้จักถั่วดาวอินคา กันเถอะ??.. จดหมายข่าว วิทย์-แพทย์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยา.ปีที่5.ฉบับที่ 2.เมษายน-มิถุนายน 2557
- Gonzales GF , Gonzales C. A randomized, double-blind placebo-controlled study on acceptability, safety and efficacy of oral administration of sacha inchi oil (Plukenetia volubilis L.) in adult human subjects. Food Chem Toxicol. 2014;65:168-76.https://www.disthai.com/[/b]
- อุดมวิทย์ ไวทยากร,กัญญรัตน์ จำปาทอง,เถลิงศักดิ์ วีระวุฒิ.ดาวอินคา พืชมหัศจรรย์ สุดยอดโภชนาการ.จดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่การวิจัยและพัฒนาการเกษตร.กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- Souza, A.H.P., Gohara, A.K., Rodrigues, A.C., Souza, N.E., Visentainer, J.V. & Matsushita, M. (2013). Sacha inchi as potential source of essential fatty acids and tocopherols: multivariate study of nut and shell. Acta Scientiarum, 35, 757-763.
- รัชนก ภูวพัฒน์.การศึกษาการเปรียบเทียบความสามารในการผลิตสารทุติยภูมิจากใบอ่อนใบเพสลาดและใบแก่ของถั่วดาวอินคาเพ่อรองรับการผลินใบชาเพื่อชุมน ของจังหวัดนราธิวาส.วารสารมหาวิทยาลัยพระธิวาสราชนครินทร์.ปีที่ 8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2559
- เปลือกถั่วดาวอินคา.กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- ธนกฤต ศิลปะธรากุล.ประสิทธิผล ของอาหารเสริมจากน้ำมันถั่วดาวอินคาในรูปรับประทาน ต่อการทำงานของสมองด้านสติปัญญา.สรุปการประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยระดับชาติครั้งที่ 3 ก้าวสู่ทศวรรษที่2:บูรณาการวิจัยใช้องค์ความรู้สู่ความยั่งยืน 17 มิถุนายน 2559 ณ.วิทยาลัยนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา.หน้า 14-21
- Maurer, N.E., Sakoda, B.H., Chagman, G.P. & Saona, L.E.R. (2012). Characterization and authentication of a nevel vegetable source of omega-3 fatty acid, sacha inchi (Plukenetia volubilis L.) oil. Food Chemistry, 134, 1173-1180.
- ถั่วดาวอินคา สรรพคุณ และการปลูกถั่วดาวอินคา.พืชเกษตรดอทคอม
- Chirnos, R., Zuloeta, G., Pedreschi, R., Mignolet, E., Larondelle, Y. & Campos, D. (2013). Sacha inchi (Plukenetia volubilis): A seed source of polyunsaturated fatty acids, tocopherols, phytosterols, phenolic compounds and antioxidant capacity. Food Chemistry, 141, 1732-1739.
- Hanssen, H.P. & Hubsch, M.S. (2011). Sacha Inchi (Plukenetia volubilis L.) nut oil and its therapeutic and nutritional uses. Nuts & Seeds in health and disease prevention, 991-994.
- Van Welzen,P.C. and K. Chayamarit. Euphorbiaceae. pp. 509 – 512. In Santisuk, T and K. Larsen (eds.) Flora of Thailand. Volume Eight. Part Two. The Forest Herbarium. National Park, Wildlife and Plant Conservation Department, Bangkok.
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : คาวอินคา
|
|
|
6
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เห็ดหลินจือ ต้นเข็ม ต้นไม้ยอดนิยมความหมายดี
|
เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 08:55:40 am
|
เห็ดหลินจือ ต้นเข็ม ต้นไม้ยอดฮิตความหมายดี ที่นิยมปลูกฯลฯไม้ริมรั้ว และก็ใช้ประกอบพิธีไหว้คุณครู ซึ่งต้นเข็มมีอยู่หลายประเภท เราจะพาไปทำความรู้จักกับต้นเข็มกันจ้ะ ต้นเข็ม เtjtyjป็นไม้พุ่มขนาดเล็tyjtjกที่นิerhtrhjยมนำมาปลูกเห็ดหลินจือเพื่อuyukikluiluiluiตกแต่rthtมแต่งรั้วบ้r rtทั้ghงยังuiฯลreyukkuiloi;iฯไม้ที่เปรียบได้hrเป็นเคyukyukรื่องหมkyายที่พิธีการไหว้อาจารย์kyuอีกด้วย ด้วยลักษkyณะดkyuอกที่แหลมเล็ก สีสันผ่องใสuiluilแจ่มใสทั้งยังสีแดง ชมพู หรือสีส้ม พร้อมkilทั้งkyuuความหมายดีๆที่เป็นมงuคล วันนี้กระปุกkuykดอทคอมก็เลยyuyuข้อมูลของต้นเข็มrthาฝากtrได้ศึกษารวมทั้งทำความรู้จักกับsdต้นเข็มใerห้มาaกขึ้นกันค่ะลัrtrtณะทั่วไปของต้นเhyukkrth เข็มเป็นไม้พุ่ม มีขrthนาrehtrดความสูงขergrtองhrthต้นราว 3-5 เมตyukรk รูปแบบขrtองกิ่งเป็นกิ่งลำพัrthง แตกกอแผ่ขยายออก และก็ชอบแkyuตกกิ่งบนยอดyukyuต้น ใบเป็yukนykใบโดดเดี่ยวเช่นเดียวกัน แต่ลักษณะใบจะแข็งเปราะ ปลายใบแหลม มีสีเขียวสyukด มักจะขึ้นyแซมรkyukอบต้น ส่วนดอกเข็มจะแหลมเล็ก รวมกลุ่มกันเป็นพุ่มไม้ ชyukอบมีก้านดอกห่kwsgergอป้jytองกันtyjyukyuดอกเข็มไว้ ส่วนสีรวมทั้yงขนาดyukจะขึ้นกับจำyukพวกukyukของต้นเข็มความหมายของต้นเข็ม ดอกเข็มยังจัดว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลyuukykตามความเชื่อวัตถุโบราณจkyukyuะจัดkว่า ดอกเข็มที่แหลมukyuเรียว ก็เปรียบได้กับปัญญาที่เฉลียวฉลาด เห็ดหลินจือดอกเrthข็มจึงถูกชมเชยให้เป็นดอกไrthม้ประจำวันไหว้คุณครูrt รวมทั้งชอบถูyukกนำไปบูชาพระ และใช้แต่งแต้มแจกัน ตามงานrthพิธีกรรมต่าrhงๆต้นเข็มมีกี่ชนิดhrt ต้นเข็ม มีอhยู่rtด้วยกันหลายชนิด และจะมีลักษณะแตกต่างกัyukuนไปตามสายพันธุ์ เห็ดหลินจือจุดเด่นที่เห็นง่ายเห็ดหลินจือเป็นสีที่แkตกuyต่าthงขอkงดอกเข็ม ส่วนต้นเข็มสายพันธุ์ต่างๆมีดังนี้ต้นเข็มสีชมพู ต้นเข็มสีkyชมพู หรือบางที่เรียกว่า fgjเข็มพิษณุโลกชมพู เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ทรงพุ่มไม้ดrtอกอัดแน่นทึบ ดอกhrtสีชมพูหวาน ชอบออกดอกเป็นพุ่มไม้เล็กๆจุ๋มจิ๋ม ต้นเข็มประเภทนี้มีดอกตลอkyuดทั้งปี ทั้งยัง{ออกkyu
|
|
|
7
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขิง สมุทรบัวแดง สระหนองหานหม้อ
|
เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 06:20:06 am
|
ขิง สมุทรบัวแดง สระหนองหานกุมภ์บึง ดูทุ่งดอกไม้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความอุดมสมบูรณ์ที่มีค่าแก่การศึกษาเล่าเรียน .. เราๆท่าnนๆคงจะfgnbnเคยทราบชื่อgnmghhnmhmj,hk,ของ “หjk,นองหาน” กัkjl.lnghkf/lk;/l;?นมานานนม ขิงแต่ก็มีจำนวjl.นม,jkl/.ากที่งงหรือยัfไม่เคยhjรู้ว่าในภ,hjาคตะวันออกเฉี,hjงhjnghเหนือของพวกเรานี้ ก็มีอีกทั้bnfgง “หนองหาน” สถ/fngdาnghนที่สำคัญประจำ /l;อ.l;กุมภ์บึง จ.จังjhหวัl.kl,hอุดรjธานี แjละ “หนองหาร” หนghmงน้ำใหmghญ่ที่มีตำนานหน้าผาแดงgfngนาง,hjmhjmไอ่ รhmhj,hวมทั้งhjควjk.าmhjmมเลื่อมใสเรื่องพญานาค ใน สกล,hjคร,hj ที่ยังคl;/งกล่า,hjhjl;วขานj,hต่อเ/l;นื่hj,องกันมา จนถึงทุกวันนี้สมุทรบัวแดง,mhj สรkl/d,hjะหนองหานเหยืhjอกบึง อันซีนแklห่งสีสันธรรjhmมชาติ,jkmjhmhj/lk/.สmร้างหนอง,jkหาน ที่เราจะพาไhj,mปเที่j,hยวครั้งgmนี้ คือ, ทะ/ลjh,าบน้ำจืดขfdนbnาดใหญ่ที่fgnกินพื้นที่จำน/l;kมากอยู่ใน อhj,m.ห,hอบึง กับนิดหน่อยในพื้นที่ อ.แจ่มแจ้งศิลปาคมของ จ.จังหวัดhjmhjดรธานี ความhjอุดมสมบูรณ์ของบ่,hjอ,hjหนองหานถือเป็นต้นแhjบบที่น่าดึงดูgghmต่อการศึhj,ษาเล่าngเhj,รียนระบบb นิhjmเวศน์วิทยาgbngf เพราะเหnghmตุว่าที่นี่hj,กระจ่างแจ้งความเกี่jhmยวเนื่องระหว่างพรรณไม้และสัตว์ คืนกลับมาเป็นผลิตผลให้ราfvdษฎรได้เก็บเกี่ยวเลี้ยงชีวิตแลfbdะก็หbsล่อเลี้ยงชุมชนvdfdจนถึง เป็นภาพวิถีชีวิต.klองชาวห.klนองหานมานานปี ยุbfdคสมัยผ่านไปวิถีชาวบ้านเปลี่ยนเbdfbนความสวยสดงดงามตามธรรมชาติในยุคที่ผู้คนโหยหา สิ่งที่เลือนหาย ในช่วงเวลาที่ความอุดมสมบูรณ์ของบึงหนองหานยังคงอยู่ วงจรชีวิตของ บัวแดง หรือ “บัวสาย” ที่สระหนองหานก็เลยเป็นประจักษ์พยานถึงความอุดมสมบูรณ์ที่มีค่าแก่การเรียน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดบัวแดงที่บึงหนองหานจึงงอกงามทั่วท้องน้ำไปไกล สุดลูกหูลูกตานับเป็นหมื่นๆไร่ (นี่ยังไม่ถึงครึ่งของสระเลยด้วย) เพื่อที่การชม ทุ่งทะเลบัวแดง แหล่งชมทุ่งดอกไม้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะได้เต็มอิ่มรวมทั้งเพลินกว่าการนั่งเรือhjดูความงดงามสิ่งเดียวsdvธุรกิจประชาสัมพันธ์สมุทรบัวแดง ขิงบ่อน้ำหนองหานเหยือกวาปี อันซีbdกลับไปบอกต่อ และก็เนื่องจากว่าไ.kl.ด้รับการโปรโมทจากการท่องเที่ยวแห่งประnfgnเทศไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีdffbนแหล่ง ใหม่เริ่มจะเคยชินในหมู่นักท่องเที่ยว ด้วยความสวยงามอันเป็นmghmเอกลักษณ์ของดอกบัวที่ธรรมชาติรังghmสรรค์ ขิงเมื่อสีแดงอมชมbgfพูขอbdfงดอกบัวสดชื่นขึ้นพร้อมๆกัน ก็จะเปลี่ยfdgdfนเป็น.kl.ภาพความสmghmghวยสดงดงามอันhgnงดงามสุดลูกลูกตารhjาวกับเนhj,mรมิตบนผืนผ้าmgใบ เวลาที่บรfgรยากาศรอบๆบึงหนองหาน ก็สะท้อนความอุดมสมบูรnmghของแหล่งน้ำตาม ธmgรมชาติด้วยประเภทปลาน้ำจืด สายพันhngธุ์นกglkmเขตแดน แล้วก็พืชที่ขึ้นอยู่ในน้ำขิงอีklกจำนวนมากอันเป็นหัวใจของระบบนิเวศน์ที่หล่อเลี้ยง ทะเลบัวแดง และวิถีชุมชนให้ยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้ทะเลบัวแดง บึงหนองหานหม้อแอ่งน้ำ อันซีนแห่งสีสันธรรมชาติสร้าง
|
|
|
8
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พริกไทย ชะอมจัดเป็นพืชสวนห้องครัวที่สามารถปลูกเป็นแนวกัน
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2018, 03:09:48 pm
|
พริกไทย ชะอมจัดเป็นพืชสวนครัวที่สามารถปลูกเป็นแนวกั้น มียอดอ่อนให้ตัดกินได้ทุกฤดูกาล เป็นรั้วธรรมชาติที่กินได้ และก็ยังเป็นพืชปลอดสารพิษที่หiulาเลี้ยงชีพได้ง่ายrtjtkuyk ราคาถูก ถึง พริกไทยจะมีกลิ่นค่อนytkuyukyuข้างแkyuรง แม้กระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหiulา ด้วยเหตุว่ามีคุณค่าทางuykukขอuilงกินสูง dekyryfkyukระyukกอบเมนูอาหารได้อย่างนานัปการ อร่อyukykย แถมyukuilยังมีสรรyukพคุ'opณทางยาอีกด้วยชะอมชะอมเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก เป็นพืชที่ตลkyukอดทั้งyukนแล้วuilก็กิ่งมีหนามแหลม มีใบเป็นใบประกอบเล็กๆลักษณะyuราวกับใบกระy'opukน มีกลิ่นแรงทุกส่วนของต้น ปลายใบเล็กแuilนำมา|เอามา}กิyukน ดอกชะอมจะออกตามซอกใบมีสีขtyาวหรือเหลืองนวล ปลูกขึ้นได้โดยแนวทางปักyuuilkชำ ตอนyukกิ่ง ทนทานกัyบสภาพแวดluiล้อมuiสิ่งแวyuดล้อม'op'เจริญ เป็นพืtjyชykyuyukที่มีบ้านเกิดfjแถบเอเjtyyukยอาคเนย์แล้วก็yuuilkjpo'tyทวีปเอเชียใluiต้ค่ergาทางโภuiชนukiulyาการในชะtyอม 1u00 กรัมerg ประกอบไปด้วยdfสารอาหารดังนี้ พluliลังงeopgl;iาน 57 กิโลiu'แop'opคliuลอรี่ เส้luiนใยอาหp'opoารjyuuil 5.gre7 กy'opukergรัม, อสtyop'yukฟอรัส 8op'0opuil กรัม, แคลเซียม 58jjtyjty กรัม, ธาตุเห'op'ล็ก 4.1 มิลลิกรัytkม, วิตามินเอ 10066erop'g IU (หน่erยสากล), วิ'opตาop'มินบี1 0.05op'มิลลิกjรัม, liuวิตามินบี2'op' 0.25 มก., วิตามินop'บี 31.5 luiมิลtrลิกรัมgrt, วิตามินบี 58 คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากชะอม1. บำรุงายตuilา {เพราะ|เพราะว่าttyop'yj|เพราะเหtyjตุว่า|เนื่องจาก|เนื่ulองจากว่า|ด้วยเหjควjtyามร้อนภายในร่างกjyukuyาย ด้วยการ'opนำopยอดอ่อนมารับปtyjระทluiาน ส่วนนี้เป็นtyjtyjjส่วนที่นิยมกินกัuilนมากที่สุด4. ช่วยขับลมในกร'opะเพาะ ช่วยลดลมในกระเพwegejtytyjrgerhrtะ ทำให้คลายจากtyj6. พริกไทยแคลเซียมสูง ส่งผลดีกัiuบk'opjyuหญิงวัยทองที่กำลังจะiuluilไปสู่ภytาวการณ์กระyulดูกพรุน ชะอมสามารถyjtyช่วยได้ 'poเพรuiาะop'tjเหตุว่uillาอุดมไปด้ว'po'op'ยแคล'opเซียมที่เป็'opนผ'opลดีกับกระดูกรวiulมทั้งฟัน7. รักษiuาก'opารอักเสบพริกไทย อย่างเช่น อาการอักเสบที่ลิ้น และลดอาการผื่นแดง8. มีฟอสฟอรัสสูง ฟอสฟอรัสจะช่วยให้วิตามินต่างop'ๆปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดกำลัง9. อุดมด้วยธาตุเหล็ก โดยจะช่วยสำหรับในการบำรุงเลือดพริกไทย ช่วยทำให้ระบบการหมุนเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้เป็นอย่างดีขึ้น Tags : พริกไทย
|
|
|
10
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะกรุด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ลำต้นต้นขี้เหล็กเป็นไม้ขนาดกาง
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2018, 11:56:29 am
|
มะกรุด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ลำต้นต้นขี้เหล็กเป็นไม้ขนาดกาง มีลำต้นสูงราว 5-15 เมตร ลำต้นมีลักษณะไม่สมมาตร ไม่เป็นวงกลม รวมทั้งมักบิดงอ เปลือกลำต้นมีสีเทาอมดำ เปลือกแตกเป็นร่องเล็uilกๆตuiluilามยาว มะกรุดเมื่อจับจะรู้สึกสากมือ ลำต้นแตกกิ่งจำนวนไม่ใช่น้อยปลายใบมน แม้กระoiluiนั้นiluilหลักเว้ากึ่งกลางของdrkyuyulylyปลายใบน้อย ใuiluiบยาuilวราวๆ 3.5-4 เซนติเมตร กว้างราวๆ 1.5-2 ซม. แผ่นใบ และก็uiluขอบใบเรียบ เส้นใบมองดูไม่ค่อยแจ่มแจ้iulง ใบอ่อนหรือยอดอ่อนuมีสีแดงเรื่อ ใบแก่มีสีเขียuiluilวสด ไม่มีขนโดยใบอ่อนจะเuilริ่มแตกออกให้มองเtkjyukห็นมะกรุดตั้งแต่ช่วงก.พ. ซึ่งerhrtjhrjในตอนนี้จะเริ่มเก็บยอดอ่อนมาทำอาหารได้lui แลuilะก็ใบจะเริ่มแก่ในช่oi;วงต้นฤดูฝนราวมิถานายน ซึ่งช่วงนี้จะไม่นำมาประกอบอาหาร แต่ถัดไปจะนำดอกอ่อนที่ออกในช่วงกรกฏาคมมาปรุงอาหารแทนดillkuiluอกดอกขี้เหล็กแทงออกเป็นuilช่อขนาyukyuดใหญ่ โดยจะแทงออกเฉพาะรอบๆปลายกิ่งแค่นั้น ช่อดอกยาวประมาณ 20-40 ซluiuiม. แต่ละช่อมีดอกไม่น้อยเลยทีเดียว มากยิ่งกว่า 10 ดอก ดอกมีกลีบuilรองดอก 3-4 กลีบ กลีบดอกไม้มีสีเหluilลืองเข้ม จำนวน 5 กลีบ ที่uilมีขนาดเสมอกัน io;io;ถัดมาข้างในเป็นเกสyukyukyukyukรตัวผู้ 10 อันมะกรุด ถัดมาเป็นเกyukilสรตัวเมีย และรังไข่ ดอกจะเริ่มบาiuluiนจากโคนช่iuอ เรื่อยiuliuliuจนกระio;ทั่งปลายช่อ ดอiulกio;บานเต็มกำลังมีขนาดประมoi;าณ 2.5-4 ซม. เมื่อดอกบานแล้ว 2-3 วัน จะตกล่นลงดินดlอกจะบานในตอนกรกฎาค มะกรุด[/url]-เtykyuดือนสิงหาคมเริ่มติดฝักในตอนเดืio;io;อนสิงหาคม-ต.ค.ดอกขี้เหล็กykylฝัก และก็เมล็ดผลขี้เหล็กเรียกว่า ฝัก มีลักษณะแilui;io;iluuนยาว ฝักอ่อนมีสีเuiluilขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลอมดำ ขนาดฝัuilกกว้าง 1.5 ซม. ยาว 15-25 ซม. ภายในฝักมีเมล็ดเรียงตามความยาวของฝัก จำนวน 20-30 เม็ด เม็ดมีรูปร่างรีแบน สีน้ำตาลอมดำฝักขี้เหล็ก
|
|
|
11
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / งาดำ ข้าวมันไก่ อาหาร;จานเดียวที่ใครหลายคน
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2018, 11:25:50 am
|
งาดำ ข้าวมันไก่ อาหาร;จานเดียวที่ใครหลายคนชื่นชอบจนกระทั่งลองทำกินเอง แม้กระนั้นก็มักจะพwefergrthjtyjบเkyuyuluilจอปัญหาหุงข้าวไม่อร่อย เนื้อไก่ไม่นุ่ม uildหรือไม่ก็lkulน้ำจิ้มไkyuม่แซ่บ วันนี้พวกเราyukมีแนวkทางuiluiluiluiการทำข้าวมันไก่แบบio;ง่'op'ายๆเพียuiluilงแต่สูตjtyรเดียวจะช่วยkyuให้คุณทำข้าวมันไก่lkil'rfnhtyjuกินเykyukop'องที่บ้uiluานได้แบบผ่opลุย iulที่พ่วงมากั'opบแนวilทาopง'ปรุงsrhน้ำจิ้io;'opม'opข้าrdth'opวมันไก่รสเด็ด แถมยังกลเม็rtjดสำหรับเพื่yjอการทำข้าวมันไก่อีกเยอะมากจากyคุณมันแกวก'opะแkjtyjtyykyukห้วหมู สtrมาชิกเว็บluiพันทิปดอทคอมj ถ้าเกิดพioร้อมแop'';ละก็ลองมอioopกระบวนการทำข้าวมันไก่สูตรjtykyukทำuiเองเหมาะdrบ้าน โดย; คุณมันแกวกะหญ้าแห้oวหมู;io สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมวันนี้ขอเสนอวิธีกio;ารทำข้luาวมันiluilก่แบบทำรับประทานกันเองได้ที่บ้lioานloiนะ ไม่ยากเกินไป งาดำสิ่งแรก ก็yukหาซื้อไก่สดปริมาณjtyพอดีกับจำนวนคนที่จะทานiluiioluก่อliulน เสนอแนะให้ซื้อ;iuoไก่แบบหาซื้อได้ioย่างง่kjyukายดายio;ykคือ ไก่เนื้อที่มีขายอยู่ทั่yukวๆไป ทั้งตามตลาดสดแล้วก็ซูเปอร์มาเก็ต สมาชิdgกในบ้านถูกใจส่วนไหนก็ซื้อมาตาม;io;uioสะดวก หากชอบแบบเนื้อแห้งๆไม่มีมันก็เลือกทรluikวงอก ถ้าถูกใจyuบบเหนียวหนึบyukน่อยก็เลือกน่องlioหรือปี;io;ก หากถูกใจนุ่มyu;ioๆมันๆก็บั้นท้ายyukyk เป็นต้น งาดำพวกเราจะไม่กล่าวถึงการใช้วัตถุดิบชนิด ไuบ้riljyujytuilาน ไก่ไทย ไก่ชuilนิดเบตง อะไรทำนองนี้ครับ เอาแบบง่ายๆก่อkuyนน้ำสำหรับต้มไก่เวลาเราอยากทำน้ำซุปหรืyukอน้ำสต๊อก พ;วกเรามักจะty;ioเอาโครงไก่หรือเนื้อjtyไก่ลงไioปต้มเพื่อน้ำซุปมีรสชาติดี ioน้ำyukจะมีรสหวานจากไก่สkuด เพียงพอio;ต้มเสร็iจ น้ำซุปที่ได้ก็จะอร่อย แต่ว่าเนื้อไก่จะkyuจืดชืด จuiะlต้องพึ่งงาดำน้ำจิ้ytรสจัดมาเป็tyjนตัวทำให้อร่อยแทนj ty{ดังนั้น|เพราะฉะนั้น|jtyjฉะนั้น|โดยเหตุนั้tyปซึมเข้าไปที่เนื้อไก่แทน
|
|
|
15
|
Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / กล้วยน้ำว้า ถั่วลันเตา คุณประโยชน์ทรงคุณค่า
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2018, 11:14:27 am
|
กล้วยน้ำว้า ถั่วลันเตา สรรพคุณมีคุณค่า บำรุงสุขภาพแบบเน้นๆประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากที่คอยioให้io;คุณ|ให้uilาiluน} กล้วยน้ำว้าสัมผัส;กับผuilลดีดีๆเพื่อสุขrthภาพ มาทำความรู้จักกับผักชนิดนี้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณจะหลงเสน่ห์เจ้าผักประเภทนี้จนรีบหามารัiluilบuประทulานกัuilนอuilย่yukางด่วนมากมากเลย ถั่วลันเykuตา ภาษาอังกesrhtyษเรียกว่า Peas, Garden Peas หรือ Green Peas มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pisum sativum uuililL. เป็นuiluilพืชใluiluiนเครือญาติถั่ว (Legumes) คาykyukดคะเนว่ามีต้นกำเนิดมาจากแถบประเทuikyukซีเรียแjล้วjtykuuluilyykก็ประเทศตุรกีในปัจจุluiบันhs โดยมีrftluiการพบว่าเริ่มปลูกพืhrtชจำพวกนี้มาตั้งแต่ kyu8,00lui0-9,500tyjtyj ปีกลายkluil ชื่อของถั่วyukyukลันเตานั้นuiluiyukkพ้องเสียงfgjมาจากuyilาษาจีนแต้จิ๋'วที่เรีyukยuiuillกถั่วชนิดนี้ว่ากล้วยน้ำว้า ห่อหลั่นตา ซึ่งหมายความว่า ถั่วจากฮอลแลนด์ถั่วลันเตา ทั้งนี้ลักษณะโดยทั่วไปของถั่วลันเตาคือ เป็yhtjtนyksjไม้เลื้อย ลำuilต้นเล็กเป็นเหลี่ยม ใบมีuilลักษณะเป็นyukyukใบประกอบแบบขนdtkjyukyukluyl oi;op';opมีใบย่อย 1-tdjuyuillui4 คู่ ใบย่อยมีลักษuilะเyuiloiป็นรู้ครึ่งวuiลม หรือเป็นรูluiปuรี โคนใบกลม luiluilluiลluilายใบแหลม มีสีเขีilยวอ่อนถึงสีเkyuuiluilขียวเข้ม ดอกเป็นดอกแบบyjสมบูรณ์rsเพศ ผสมตนเองiuul ลักษliuณะเป็นแบบช่อกะlio;oiuจะ กลีบกึ่io;io;งกลางสีขาวหรือขาวผสมioคละเคล้าน้ำเงิน กลีบคู่ด้านsrhข้างสีขาว หรือมีtyแต้มสีม่วงแดงtj กลีบคู่ด้านuilางมีสีเtyhjดียวกัน โดยส่วนที่นิยมประยุกต์ใช้ถือผล ซึ่งมีลักuiuilษณะเป็นฝักถั่ว ภายในฝักdejkyukมีเม็ดตั้งแiuo;-10uil เมล็ดio;ามาulรถเอามากินได้{ทั้ง|อีกทั้ง|ทั้งยังyukฝักเมื่อyuยังเป็นtyjฝักอ่อน หรือจะนำเม็ดแก่ออกyukจากฝักมารับประทานก็ได้ กล้วยน้ำว้าถั่วลันเตาไkyukด้รับความนิยมสูงเนื่องจากมีคุณค่าทางtyjของกินสูง โดtyยในเมyukjล็ดถั่วลันเตา uy100 กรัม uมีคุณค่าทางอาหารดังต่อไปนี้วyukกuiาวนอกเหนือจากที่จulะเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงแล้ว ถั่วลันเตาเuiluองlก็ยังมีสาระกับสุข'opภาพอี'กเยyukjอะมาก กล้วยน้ำว้าrfykจึงทำให้ถั่uilวประเภทนี้กลuilายyukป็yukนuilอาหารliulที่มีดีอย่างสมบูรณ์uiluiทั้งในด้านรสที่หวlาoนกรอบ แuiละก็การบำรุuiluilงสุขภาพ ซึ่งปulประkyukโยชน์ต่hjtyางๆที่ได้รัjytจาyukกถั่วลันเตามีดังนี้jtyค่ะ1. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นสาop'รฟลาโวนอยด์kykyuku แคโรทีนอยด์ กรดฟีopโนลิก kyuและก็โพลีฟีนuykyukอล ช่วยyuป้องกันไม่yuให้เซลล์ถูกทำkjyuลาย ลดกาop;รyukอักop';เสบ อันเป็นที่มtykyukyาของโรuilคภัยต่างๆเช่น โjyytjyรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ รวมถึงช่วยชะลyklulอการเกิดuilulio;ริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย ทั้งยังยังมีวิตio;มินซี วิตuilามินอี รวมทั้งสังกะสีที่uilต่อร่างกาย
|
|
|
ฐานข้อมูลผิดพลาด |
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
|
|