กระทู้ล่าสุดของ: ำพ

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มังคุด เมื่อ: เมษายน 30, 2019, 01:56:40 pm
[/b]
มังคุด[/size][/b]
มังคุด Garcinia mangostana L. มังคุด (ทั่วไป)
ไม้ต้น -> สูง 10-20 ม. ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ มีน้ำยางสีเหลือง
ใบ -> เดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม หรือ เป็นติ่ง โคนใบมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา สีเขียวเข้มเป็นมัน เส้นใบจำนวนมาก ก้านใบอ้วน ยาว 18-20 มม.
ดอก -> ออกเดี่ยว ๆ หรือเป็นคู่ตามปลายกิ่ง ดอกเมื่อบานกว้างประมาณ 5 ซม. กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ หนา งอเป็นกระพุ้งติดทนจนเป็นแผล กลีบดอกมี 4 กลีบ สีออกเหลือง ขอบกลีบสีชมพู เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ก้านเกสรเล็ก โคนก้านแบน หรืออาจจะเชื่อมติดกันเล็กน้อย อับเรณูไข่แกมขอบขนาน มี 2 พู รังไข่รูปไข่ ผิวเรียบ มี 5-8 ช่อง เกสรเพศเมีย ไม่มีก้าน
ผล -> กลม เปลือกสีม่วง หนา มียางเหลือง ที่ปลายผลมียอดเกสรเพศเมียติดอยู่ แยกเป็น 4-7 แฉก ที่ขั้วผลมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบติดอยู่ ภายในมีเนื้อสีขาว 4-7 กลีบ รสหวาน เมล็ดมีเพียง 0-3 เมล็ด ส่วนใหญ่เมล็ดลีบ
นิเวศน์วิทยา
ปลูกกันมากทางภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้ที่โตช้า ส่วนถิ่นกำเนิดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด
[/b]
สรรพคุณ
ต้น -> ทุกส่วนของต้นเป็นยาฝาดสมานโดยเฉพาะผล ยางจากต้นเป็นยาถ่ายอย่างรุนแรง น้ำต้มจากเปลือกต้นและใบเป็นยาฝาดสมานอมกลั้วคอแก้แผลในปากและลดไข้
ผล -> เป็นผลไม้เรืองร้อนที่มีรสชาติดีที่สุด เปลือกผล เปลือกผลแห้งใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเสีย แก้บิด ทางเดินปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง ลดไข้  น้ำต้มเปลือกผล ใช้เป็นยากลั้วคอ รักษาแผลในปากและชะล้างแผล มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้เกิดหนองและต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง และลดการอักเสบ ได้มีการพัฒนายาในรูปครีมผสมสารบริสุทธิ์ ที่แยกได้จากเปลือกผล เพื่อใช้รักษาแผลที่เป็นหนอง และสิวซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ ตลอดจนใช้ลดร่องรอยด่างดำบนใบหน้าด้วย

Tags : มังคุด
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรฤาษีผสมแล้ว เมื่อ: เมษายน 24, 2019, 09:29:27 am
[/b]
สมุนไพรฤาษีผสมแล้ว
ฤาษีผสมแล้ว Plectranthus scutellarioides (L.) R. Br.
ชื่อพ้อง Coleus scutellarioides Benth. var. scutellarioides Keng ฤาษีผสมแล้ว (ภาคกึ่งกลาง)
ไม้ล้มลุก -> สูง 30-100 เซนติเมตร
ใบ -สมุนไพรฤาษีผสมแล้ว> ผู้เดียว ออกตรงกันข้าม มีขนาด รูปร่างและก็สีต่างๆกัน โดยปกติรูปไข่ กว้าง (1)-3-5-(10) ซม. ยาว (1)-4-7-(15) ซม. ปลายใบแหลม หรือ เรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบหยักหลายแบบ มน หรือ แหลมตื้น หรือ แหลมลึก เว้นเสียแต่ขอบที่โคนใบเรียบมีขนตามเส้นกิ้งก้านใบ แล้วก็เส้นใบย่อย ก้านใบยาว 1-5(-8) ซม.
ดอก -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960654/-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7]สมุนไพรฤาษีผสมแล้ว[/u][/url][/color]> ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ยาว 5-10 เซนติเมตร ใบประดับรูปไข่ ยาว 2-3 มม. ปลายแหลม มีขน ตกง่าย กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันเหมือนรูประฆัง ปลายแยกออกเป็นปาก ปากบนมี 3 หยัก หยักกึ่งกลางใหญ่ ปลายแหลม หยักข้างเล็กและสั้นมาก ปลายมน ปลายด้านล่างมี 2 หยัก ชิดกันเป็นแถบยาว เหมือนลิ้น ปลายแยกกันมีเส้นตามแนวยาว 10 เส้น มีขนแล้วก็ต่อมขจุยขจาย กลีบเลี้ยงจะขยายใหญ่ขึ้นเมื่อได้ผลสำเร็จ ก้านดอกย่อยยาว 3-4 มม. มีขน กลีบโคนเชื่อมชิดกันเป็นหลอดงอๆปลายแยกเป็นปาก ปากบนสั้นรวมทั้งพับกลับตั้ง ปากล่างยาวโค้งเป็นรูปเรือ ยาว 8-13 มม. เกสรเพศผู้มี 2 คู่ โคนก้านเกสรชิดกันและก็ชิดกับหลอดกลีบดอก ผล รูปไข่ หรือ กลม เล็ก สีน้ำตาล เป็นมัน ยาว 1-1.2 มิลลิเมตร
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นได้ทั่วๆไปทั้งบนที่ราบ รวมทั้งที่สูง นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันมาก
คุณประโยชน์
ต้นสมุนไพรฤาษีผสมแล้วแล้วก็ใบ -> น้ำต้มเป็นยาช่วยในการย่อย แก้อ้วกอาเจียน แก้ปวดด้านในช่องท้อง ตับอักเสบที่มีอาการบวมตามมือรวมทั้งเท้า ตำพอกแก้ปวดบวม ปวดท้อง พอกต่อมต่างๆที่มีลักษณะบวม ยาชงใบใช้ขับเมนส์ น้ำคั้นใบข้าทาสมานแผล
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรคำฝอย เมื่อ: เมษายน 10, 2019, 07:42:23 am
[/b]
สมุนไพคำฝอย[/url][/size][/b]
ชื่อพื้นเมืองอื่น ดอกคำฝอย (ภาคเหนือ) คำยอง (ลำปาง) คำ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Carthamus tinctorius L.
ชื่อตระกูล COMPOSITAE
ชื่อสามัญ False saffron , Safflower , Saffron thistle.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก (ExH) -> มีอายุราว 1 ปี สูงประมาณ 1-1.5 เมตร ลักษณะลำต้นเป็นสัน ผิวเกลี้ยง
ใบ -> เป็นใบคำฝอยโดดเดี่ยว ลักษณะใบรูปหอกปนขอบขนาน ก้านใบสั้น ปลายใบแหลม ขอบใบมีหนามหยักเป็นซี่ฟัน กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาวราวๆ 3-15 ซม. เส้นกิ้งก้านใบมองเห็นเด่นชัด
ดอก -> เป็นกลุ่มที่ปลายลำต้น ก้านดอกใหญ่ ผิวเกลี้ยง กลีบทีแรกๆเหลือง กลายเป็นสีส้มอมแดงเมื่อแห้ง
ผล -> ผลแห้ง ลักษณะเป็นรูปไข่กลับเบี้ยว ยาวโดยประมาณ 5-8 เซนติเมตร มีสีขาวราวกับงวงช้าง ตรงปลายตัดมีสันอยู่ 4 สัน และก็มีรยางค์ยาวคำฝอย 5 ซม. และก็มีเกล็ดด้วย
นิเวศวิทยา
มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย สำหรับเมืองไทยได้นำมาปลูกไว้ในภาคเหนือ
การปลูกและก็ขยายพันธุ์
เติบโตก้าวหน้าในดินร่วนซุย เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ส่วนที่ใช้ รส และก็สรรพคุณ
ดอก -> รสหวานร้อน ใช้เป็นยาระบาย ขับเหงื่อ ยับยั้งประสาท บำรุงเลือด ขับประจำเดือน รักษาอาการบวม แก้ไข้หลังคลอดลูก รักษาแผลพุพอง ยับยั้งลักษณะของการปวดในสตรีที่มีเมนส์มาไม่ดีเหมือนปกติ เป็นยาบำรุงสำหรับผู้ที่เป็นอัมพาต ใช้ลดน้ำหนักแล้วก็ไขมันในเส้นโลหิต
เกสร -> รสหวานร้อน บำรุงโลหิตรวมทั้งน้ำเหลืองให้ปกติ แก้แสบร้อนตามผิวหนัง
เมล็ด -> รสหวานร้อน เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ ลดการอักเสบข้างหลังการคลอดลูก น้ำมันเมล็ดคำฝอย รักษาอาการปวดเมื่อยล้าในโรคไขข้ออักเสบ รักษาแผล ทาแก้อัมพาต ดอกแก่ รสหวานร้อน ใช้แต่งสีอาหารให้มีสีเหลืองส้มในของกินโดยสาร carthamin ในกลีบดอกไม้ และใช้ย้อมผ้าได้
[/b]
การใช้รวมทั้งปริมาณที่ใช้

  • ขับเมนส์ บำรุงหัวใจ โดยใช้ดอกแห้ง 5 กรัม ชงเป็นน้ำชาดื่มก่อนกินอาหาร ตอนเช้า-เย็น เป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน
  • ลดไขมันในเลือด แล้วก็แก้ปวดเมื่อย โดยใช้น้ำมันจากเม็ดใช้ปรุงเป็นอาหาร และก็ทาแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ไขข้ออักเสบ แล้วก็อัมพาต บ่อยๆ
ข้อควรจะทราบ
น้ำมันที่่ใช้สำหรับเพื่อการทำกับข้าวและทานวด ควรจะเป็นน้ำมันที่่สกัดโดยไม่ใช้ความร้อน
ส่วนน้ำมันที่สกัดโดยใช้ความร้อน จะใช้ฉาบหนังไม้ให้เปียกน้ำ และใช้ผสมสีทาบ้านเรือน
สารสกัดจากดอคำฝอย[/url]โดยใช้แอลกอฮอล์ สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียและก็ยั้งเชื้อไวรัสได้
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเพกา เมื่อ: เมษายน 07, 2019, 06:40:20 am
[/b]
สมุนไพรเพกา
ชื่อพื้นบ้านอื่น
มะลิดไม้ มะลิ้นไม้ ลิดไม้ (ภาคเหนือ) หมากลิ้นก้าง หมากลิ้นช้าง (งู-ภาคเหนือ) ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ ดุเอ็ง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กาโด้โด้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) เพกา (ภาคกลาง) ลิ้นฟ้า (เลย) เบโก (มลายู-นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum (L.) Kurz
ชื่อตระกูล BIGNONIACEAE
ชื่อสามัญ Indian trumpet flower.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
เพก[/b][/i]ต้นไม้ขนาดเล็ก (ST) ผัดใบ -> สูงประมาณ 4-20 เมตร เปลือกต้น เรียบสีเทา บางคราวแตกเป็นรอยตื้นเล็กน้อย มีรูระบายอากาศเรี่ยราดตามลำต้นแล้วก็กิ่งไม้
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบคนเดียวๆขนาดใหญ่ที่ปลายก้าน รูปทรงกลม ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ก้านใบยาวเพกา ใบย่อยรูปไข่ ขอบของใบเรียบ ออกตรงกันข้ามชิดกัน อยู่โดยประมาณปลายกิ่ง ก้านใบย่อยสั้น แผ่นใบสีเขียวเข้ม
มีดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ช่อมีขนาดใหญ่ออกที่รอบๆปลายยอด มีก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยขนาดใหญ่ รูปปากเปิดแบบสามมาตรด้านข้าง กลีบดอกครึ้ม มี 5 กลีบ ด้านนอกสีม่วงแดงหรือน้ำตาลคล้ำ ด้านในสีเหลืองเปรอะเปื้อนๆครึ่งหนึ่งสีชมพู โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปลำโพง ส่วนปลายแยกออกเป็นกลีบย่นขยุกขยิก รอบๆปลายกลีบด้านในสีขาวอมเหลือง หรือขาวอมเขียว มีเกสรตัวผู้ 5 อันใกล้กับท่อดอกโคนก้านจะมีขน
ผล -> เป็นฝักแบน ยาวคล้ายรูปดาบ ห้อยระย้าอยู่เหนือเรือนยอด สีน้ำตาลดำ เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ด้าน
เมล็ด -> เมล็ดแบน มีปีกบางใสไม่น้อยเลยทีเดียว
นิเวศวิทยา
เป็นไม้ที่ขึ้นได้ทั่วไปทุกภาคของเมืองไทย ชอบขึ้นบนที่โล่ง รอบๆชายป่าดิบ แล้วก็ไร่ร้างทั่วๆไป
การปลูกและก็แพร่พันธุ์
เป็นไม้ที่ปลูกง่าย และไม่ปรารถนาเอาใจใส่มากเท่าไรนัก เจริญวัยเจริญในที่เปียกชื้นระบายน้ำดีโดยเฉพาะดินซึ่งร่วนซุย ควรจะปลูกเอาไว้ในหน้าฝน ขยายพันธ์ุด้วยการเพาะเมล็ดหรือการตัดชำราก
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960556/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B2]
[/b]
ส่วนที่ใช้ รส รวมทั้งสรรพคุณ
เปลือกราก -> รสฝาดขม แก้ปวดท้อง ฝาดวสมาน เป็นยาบำรุง แก้บิด แก้ท้องเสีย ขับเหงื่อ
ราก -> รสฝาดขม เป็นยาบำรุงธาตุ แก้ท้องวตก เจริญอาหาร เพกาทำให้มีการเกิดน้ำย่อยอาหาร ฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการอักเสบ ฟกช้ำ บวม ลำต้น รสขม แก้แมลงป่องต่อย
เปลือกต้น -> รสขมฝาด ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือด ขับเสลด ดับพิษเลือด เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใบ -> รสฝาด ใช้ต้มดื่มแก้อาการปวดท้อง แก้ปวดข้อ แล้วก็เจริญอาหาร
ผลอ่อนหรือฝักอ่อน ->[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960556/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B2]เพกา[/url] รสขมร้อน ขับผายลม เป็นยาบำรุงธาตุ
ผลแก่หรือฝักแก่ -> รสขมร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ
เม็ดแก่ -> รสขม เป็นยาอมปรับแก้ ขับเมหะ ใช้เป็นองค์ประกอบอย่างหึ่งในน้ำจับเลี้ยงของชาวจีนแก้ร้อนใน
วิธีใช้และก็จำนวนที่ใช้

  • ขับเลือด ขับน้ำเหลืองเสีย โดยใช้เปลือกต้นสด 1 กำมือ หรือหนักราวๆ 20 กรัม สับเป็นชิ้นต้มในน้ำที่สะอาด 1 ลิตร เคี่ยวให้เหลือ 3 ใน 4 ส่วน กรองเอาน้ำ รุ่งเช้า-เย็น
  • แก้ปวดฝี โดยใช้เปลือกสด ราว 1 ฝ่ามือฝนกับสุราโรงทาบริเวณที่บ่อยๆ
  • แก้อาการร้อนใน แก้ไอ และขับเสมหะ เมล็ดเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งใน “น้ำจับเลี้ยง” ของคนจีน โดยใช้เม็ดทีละ 0.5-1 กำมือ (หนักราว 1.5-3 กรัม) ใส่น้ำประมาณ 300 มล. ต้มไฟอ่อนพอเดือดนานราวๆ 1 ชั่วโมง ดื่มวันละ 3 ครั้ง


Tags : เพกา
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / งูเหลือม เมื่อ: เมษายน 06, 2019, 11:55:05 pm
[/b]
งูเหลือม
งูเหลือมเป็นงูไม่มีพิษมีขนาดใหญ่และก็ยาวที่สุดในโลก
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า python retculatus (schneider)
จัดอยู่ในตระกูล Boidae
วงศ์ย่อย pythoninae
มีชื่อสามัญว่า reticulated python หรือ regal python
ชีววิทยาของงูเหลือม
งูเหลือมมีลำดับตัวยาว ดก อาจยาวได้ถึง ๑๐ เมตร ตอนกลางลำตัวป่องออกมีเกล็ดปกคลุม โดยปกติเกล็ดมีสีเหลืองหรือสีเหลืองคละเคล้าสีน้ำตาล มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีเกล็ดสีดำ มีเกล็ดสีเหลืองเป็นขอบใน และก็มี เกล็ดสีน้ำตาลคละเคล้าเทาอยู่ภายในอีกครั้งหนึ่ง ขอบนอกของเกล็ดมีสีดำ มีเกล็ดสีเหลืองทองสดกว่ารอบๆอื่น รอบๆข้างในข้างลำตัวมีแถบเกล็ดสีดำ ข้างในมีเกล็ดสีขาวเป็นแถบ เกล็ดข้างลำตัว บริเวณที่ติด กับเกร็ด ท้อง มีสีดำสลับกับขาวไม่เป็นระเบียบ เกล็ดท้อง สีนวลหรือสีเหลืองอ่อน บริเวณศีรษะมีสีเหลืองผสมน้ำตาล มีเส้นสีดำเล็กๆพิงผ่านกลางหัว ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่ใช้จัดชนิดและประเภท จากงูชนิดเดียวกันชนิดอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน ( อย่างเช่นงูหลาม) นัยน์ตาสีเหลืองหรือสีเหลืองเข้ม มีแถบสีดำเล็กๆภาพถ่านจากตาถึงมุมปาก บางทีอาจ
งูเหลือม
ขายได้ถึงคราวละ๑๒๔ฟอง แม่งูรอดูแลจนกระทั่งไข่ฟักเป็นตัว ลูกที่ฟักออกมาใหม่ยาวราว ๕๕ ซม.
พบได้ในทุกภาคของประเทศ อีกทั้งในป่าดิบแล้วก็ป่าย่ำแย่ มักทำมาหากินบนพื้นดิน โดยการดักรอเหยื่อ เมื่อเหยื่อผ่านเข้ามาในระยะใกล้ก็จะฉกกัด แล้วก็ม้วนตัวรัดเหยื่อจนตาย แล้วจึงกลืนรับประทานเหยื่อที่ตายแล้ว
งูหลาม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า python molunis bivittatus schiegel เป็นงูที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของโลก รองจาก[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960477/%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1]งูเหลือม[/url][/color] และงูแอนะคอนด้า | anaconda ชื่อวิทยาศาสตร์ Eunectes murinus (Linnaeus) ในตระกูล Boidel มักพบในป่าโปร่ง ท้องทุ่ง ยกเว้นทางภาคใต้ (มีเฉพาะจังหวัดชุมพร)งูนี้ มีลักษณะ อ้วน ครึ้ม ลำตัวสั้นกว่ามาก ยาวสุดกำลังไม่เกิน ๗ เมตร มีลวดลายไม่เหมือนกับ โดยที่ลำดับตัวมีสีเหลืองหรือสีเหลืองอมสีน้ำตาลและ มีแผลสีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่ รูปร่างเป็นเหลี่ยมไม่แน่นอน เกล็ดท้องสีขาวหรือสีนวล ลักษณะเด่นอยู่ที่ลวดลายแถวๆศีรษะ ซึ่งมีลาย3สีน้ำตาลเข้ม เป็นรูปลูกศรอยู่กึ่งกลางหัว ข้างๆหัวมีแถบสีน้ำตาลเข้มอย่างเดียวกัน ในตามีสีน้ำตาลเข้ม งูหลามตกไข่คราวละ ๓๐-๕๐ ฟอง แม่งู คอยดูแลไข่โดยใช้ลำตัวออกรอบ ลูกงูหลามที่ฟักออกมามีความยาว ราว ๕๐- ๘๐ ซม. งูหลามอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า งูหลามปากเป็ด (blood python) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า python curtus schiegel เป็นงูที่มีขนาดเล็กที่สุดในวงศ์ พบในป่าดงดิบบริเวณริมน้ำ เหตุเพราะเป็นงูที่ชอบน้ำว่ายได้ พบมากงูจำพวกนี้ในน้ำ ซุกตัวอยู่ตามโคลนหรือตามพืชที่ขึ้นอยู่ในน้ำเพื่อดักรอเหยื่อ เจอเฉพาะภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงไป งูนี้มีความยาวเต็มกำลังที่ราว ๒.๕ -๓ เมตร รูปร่างสั้นและดกกว่าประเภทอื่น หัวมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมสีส้มจนถึงสีแดงคล้ำ สีจะเข้มที่สุดทางข้างบนลำตัว ด้านข้างมีสีอ่อนกว่าด้านบนลำตัวมีแถบสีน้ำตาลเหลืองหรือสีน้ำตาล ยาวบ้างสั้นบ้างไม่แน่นอนกระจายตามสันหลัง ด้านข้างลำตัวมีเกล็ดสีขาว หรือสีนวลเรียงกันแบบสลับฟันปลา ไม่มีระเบียบ ข้างล่างของเส้นนี้มีเกร็ดสีดำ ท่อนหัวมีสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลเข้ม มีเส้นสีเข้มเล็กๆลากผ่าน หัวเหมือน งูหลามปากเป็ดตกไข่คราวละ ๑๐-๑๕ ฟอง ลูกงูที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆมีความยาวราว ๓๕ เซนติเมตร
[/b]
ผลดีทางยา
หมอแผนไทยใช้ดี กระดูกงูแล้วก็น้ำมันเป็นเครื่องยาในตำรับยาหลายขนาน ดีงูงูเหลือมเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งที่ใช้มากในยาไทยใช้ทั้งยังแทรก เป็นกระสายยาและเป็นเครื่องยา ได้จากถุงน้ำดีของเอามาผึ่งไว้จนแห้งสนิท ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า ช่วยให้ตัวยา แล่น เร็ว ดับพิษ ตานซางในเด็ก ใช้ฝนกับยาหยอดตา แก้ตาเฉอะแฉะตามัวตาฟางตาแดงรวมทั้งแก้ปวดตาได้ คัมภีร์ฉันทศาสตร์อันเป็นตำราเรียนแพทย์ที่เรียบเรียงแล้วก็แต่งลางส่วน โดยพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าผู้ครองเมืองเมืองจันท์ในเวลานี้พูดถึงไข้ป่วง๘ ประการและก็ยาบำบัด มีเรื่องมีราวที่เกี่ยวกับการใช้ดีงูเป็นกระสายยาดังนี้ จะอภิปรายในเรื่องรส เปรี้ยวปรากฏเคยตระหนัก ส้มมะขามเปียก ฝักส้มป่อย เปรี้ยวอร่อยน้ำส้มซ่า ขมธรรมดาบอระเพ็ด กระจู๋ม ขมเป็นจอม ดีงู เผ็ดเพียงพอเอื้อม ขิงดีปลี ภิมเสนมีให้ใส่แซก อนึ่งเค็มแปลกนอกเหนือจาก เกลือ ทราบไว้เผื่อแก้ไม่หยุดมุตร์มนุษย์เปลือกลำภูเขา สองสิ่งทราบเถอะเค็มกร่อยอ่านเป็นประจำให้คิดออก จะได้ใช้แซก ลากยาในตำราเรียนป่วง เป็ด ประการตามหนังสือโบราณซึ่งท่านเมื่อก่อนกล่าวเอ่ย ภาพหนังสือปฐมจินดาร์ อันเป็นแบบเรียนแม่บทของแพทย์แผนไทยที่ว่าด้วยแม่และก็เด็กให้ยาหลายขนานที่ใช้ดีงู มีอยู่ขนานหนึ่งที่ใช้ดีงูเป็นเครื่องยาด้วยดังนี้ ยาใช้ภายนอกหละ ขนานนี้ท่านให้เอา ชาดหรคุณ ๑ พิมเสน ๑ ใบนมจิตร์ ๑ ใบมะระ ๑ ใบแมลงสาบ ๑ ดีงู รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันตามเป็นผุยผงทำแท่งไว้เอาเกลือรำฝึกฝนทาหละแลยอดทราง ที่ขึ้นลิ้นนั้นหายดีนักกประจำเดือนกแบบเรียนสรรพคุณ ยาโบราณว่ากระดูกมีรสเย็น เมาเบื่อมีคุณประโยชน์ดับพิษรอยแดง แก้ปวดเมื่อยแก้ร้อนใน กระสับกระส่ายใช้เป็นเครื่องยาในไทยหลายขนาน เป็นต้นว่ายาขนานหนึ่งในพระตำราไกษย มีบันทึกไว้ว่า ยาแก้ลมไกษย เอาหินปูน 1 กระดูกงู 1 หอยกาบเผา 1 ละลายเหล้ากิน ถ้าเกิดไม่ฟังยานี้ แล้ว ก็เป็นบาปของผู้นั้นตายแลอย่าฉงนเลย
๓. น้ำมันตระเตรียมไว้โดยการเอาไปเปลวมันในตัวใส่ขวดผึ่งแดดจัดจัด จนถึงเปลวมันละลายใส่เกลือไว้ก้นขวดเล็กน้อยเพื่อการเหม็นเน่าหมอแผนไทยว่าน้ำมันมีรสร้อน ใช้ป้ายยาแก้เคล็ดลับ ปวดเมื่อยแรงรอบฉายคาดหัวนวดเพื่อให้เส้นเอ็นอ่อนและก็หย่อนยานได้ ในคู่มือชวดารให้ยา 2 ๒ขนานที่เข้า “น้ำมันงูเหลือม” เป็นเครื่องยาด้วย ขนานหนึ่งมีบันทึกไว้ดังนี้ ลมพวกหนึ่งเข้าในไส้ใหญ่ไส้น้อย มัดให้ช่างมือชักที่วางแขนงอจะเปิบเข้าก็ไม่ได้ จะจับสิ่งอันใดก็มิได้สมมุติเรียกว่าลงตะคริว เอาน้ำมันหมู ๑ บาท หัวดองดึง ๑บาท พริกไทย ๒๐ บาทใส่หม้อฝังไว้ใต้ดิน ๓ วันแล้วเอาขึ้นหุงให้คงจะแต่ว่าน้ำมัน จึงเอาการบูร ๑ พิมเสน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ น้ำมังูเหลือม[/url] ๑ ใส่ลงทา ตากแดด สำหรับรมเท้าตาย หายแล นอกจากหนังที่ขัดดีแล้วใช้ซ่อมรองเท้าเข็มขัดกระเป๋า เนื้อกินได้คนจีนถูกใจรับประทานแม้กระนั้นหาเลี้ยงชีพยากและแพงแพง

Tags : งูเหลือม
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรฟันปลา เมื่อ: เมษายน 05, 2019, 08:35:26 am
[/b]
สมุนไพรฟันปลา
ฟันปลา Litsea umbellate Merr.
บางถิ่นเรียกว่า ฟันปลา เสียใจ (ปราจีนบุรี) เมนตรือ (เขมร-จันทบุรี) สะเตื้อ (จังหวัดตราด)
ต้นไม้ -> ขนาดเล็ก หรือไม้พุ่ม สูง 3-10 ม. ตามแขนงมีขนสีน้ำตาล
ใบ -> ลำพังออกเรียงสลับ[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960611/-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2]ฟันปลา[/url][/i] หรือเรียงเวียนห่างๆรูปรี หรือ มีขนาดออกจะเล็ก กว้าง 4-10 ซม. ยาว 7.5-23 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือมน โคนใบแหลมขอบของใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านบนสีเขียวเข้มวาว มีขนเฉพาะตามเส้นกึ่งกลางใบแล้วก็เส้นแขนงใบ ข้างล่างเป็นคราบเปื้อนขาว มีขน เส้นใบมี 6-10 คู่ ด้านล่างแลเห็นชัดกว่าข้างบน ก้านใบยาว 6-12 มิลลิเมตร มี
ดอก -ฟันปลา> ออกเป็นช่อ เป็นกระจุกตามง่ามใบ ก้านช่อยาว 2-5 มม. ช่อดอกมีขนปกคลุมหนาแน่น กลีบรวมเชื่อมชิดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 4-6 กลีบ อีกทั้งถ้วยแล้วก็กลีบติดทนจนถึงได้ผลสำเร็จ
ผล -> รูปไข่หรือค่อนข้างจะกลม ปลายมีติ่งแหลม โคนมีชั้นของกลีบรวมรองรับอยู่ ขอบกลีบรวมมีขน
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นในป่าดงดิบ พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งทางภาคใต้ของไทย
สรรพคุณ
ต้น เปลือกต้น -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960611/-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2]ฟันปล[/b][/i]> เจอ alkaloid ใบ ตำเป็นยาพอกฝี

Tags : ฟันปลา
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ปลาดุก เมื่อ: มีนาคม 31, 2019, 01:38:46 pm
[/b]
ปลาดุก
ปลาดุกเป็นสัตว์เลือดเย็น มีกระดูกสันสันหลัง
ปลาที่ชาวไทยเรียก ปลาดุก หรือ walking catfish นั้น บางทีอาจเป็นปลาน้ำปลาน้ำจืดขั้นต่ำ ๒ จำพวกในสกุล Clariidae คือ
๑. ปลาดุกด้าน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clarias batrachus (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า walking catfish
บางตัวที่มีสีขาวตลอด ชาวบ้านเรียก ดุกเผือก หรือถ้าหากมีสีออกจะแดง ก็เรียก ดุกแดง แม้กระนั้นถ้าหากมีจุดขาวบริเวณทั่วลำตัว ก็เรียก ดุกเอ็น ปลาดุกด้านมีรูปร่างยาวเรียว ยาว ๑๖-๔๐ เซนติเมตร (ในธรรมชาติบางทีอาจยาวได้ถึง ๖๑ เซนติเมตร) บริเวณข้างๆของลำตัวมีสีเทาคละเคล้าดำหรือสีน้ำตาลปนดำ บริเวณท้องมีสีค่อนข้างขาว ไม่มีเกล็ด ความยาวของลำตัวราว ๖-๗.๕ เท่าของความลึกของลำตัว รวมทั้งราว ๓.๕ เท่าของความยาวส่วนหัว หัวออกจะแหลมถ้าเกิดดูทางข้างๆ กระดูกหัวมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ กระดูกท้ายทอยยื่นเป็นมุมค่อนข้างแหลม ส่วนฐานของครีบสันหลังยาวเกือบตลอดส่วนหลัง ครีบหลังมีก้านครีบอ่อน ๖๕-๗๗ ก้าน ไร้ก้านครีบแข็ง ครีบตูดมีก้านครีบอ่อน ๔๑-๕๘ ก้าน ครีบท้องกลม ครีบอกกลม มีก้านครีบแข็งข้างละ ๑ ก้าน ปลายแหลม เป็นหยักทั้งยัง ๒ ข้าง ครีบหางแบน ปลายมน ไม่ต่อกับครีบหลังและก็ครีบก้น ตามีขนาดเล็กอยู่ด้านบนของหัว มีหนวด ๔ คู่ หนวดที่ขากรรไกรข้างล่างยาวถึงส่วนปลายก้านครีบแข็งของครีบอก หนวดขากรรไกรบนยาวถึงก้านครีบหลังก้านที่ ๗-๘ หนวดที่รอบๆจมูกยาวเป็น ๑ ใน ๓ ของก้านครีบแข็งของครีบอก แล้วก็หนวดคางยาวถึงส่วนปลายของครีบอก ด้านในส่วนหัวเหนือช่องเหงือกทั้งยัง ๒ ข้าง มีอวัยวะพิเศษที่ช่วยสำหรับการหายใจ ฟันบนเพดานปากแล้วก็ฟันบนขากรรไกรบนเป็นฟันซี่เล็กๆกระดูกซี่กรองเหงือกมี ๑๖-๑๙ อัน ปลาดุกด้านมีนิสัยดุ ว่องไว รังเกียจอยู่นิ่ง ลุกลี้ลุกลน ชอบดำว่ายดำผุดและชอบลอดไปตามพื้นโคลนตม ชอบว่ายทวนน้ำออกไปจากแหล่งอาศัยในขณะฝนตกรวมทั้งน้ำไหลท่วมลงสู่แหล่งน้ำที่ใหม่ มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่เรวร้ายได้
๒. ปลาดุกอุย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clarias microcephalus Gunther
มีชื่อสามัญว่า broadhead walking catfish
ปลาดุกอุยเป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาวเรียว ยาว ๑๕-๓๕ ซม. สีค่อนข้างจะเหลือง มีจุดประตามข้างๆลำตัวราว ๙-๑๐ แถบ แต่ว่าเมื่อโตจะเลือนหายไป ฝาผนังท้องมีสีขาวถึงเหลืองเฉพาะบริเวณอกถึงครีบท้อง ท่อนหัวออกจะทู่ ปลายกระดูกท้ายทอยป้านแล้วก็โค้งมนมาก ท่อนหัวจะลื่น มีรอยยุบตรงกลางนิดหน่อย มีหนวด ๔ คู่ โคลนหนวดเล็ก ปากไม่ป้าน ค่อนข้างจะมนครีบอกมีครีบแข็งข้างละ ๑ ก้าง มีลักษณะคม ยื่นยาวหรือพอๆกับครีบอ่อน ครีบข้างหลังมีก้านครีบอ่อน ๖๘-๗๒ ก้าน ปลายครีบสีเทาคละเคล้าดำรวมทั้งยาวตลอดถึงคอดหาง ครีบตูดมีก้านครีบอ่อน ๔๗-๕๒ ก้าน ครีบหางกลม ไม่ใหญ่มากนัก สีเทาปนดำ ครีบหางไม่ชิดกับฐานครีบข้างหลังแล้วก็ครีบก้น ปริมาณกระดูกซี่กรองเหงือกราว ๓๒ ซี่งเมื่อดูผิวเผินทั้งยังปลาดุกด้านและปลาดุกอุยมีลำตัวสั้นป้อมกว่า ลำตัวสีดำผสมเหลือง มีจุดเล็กๆสีขาวเรียงเป็นแถวตามทางขวางลำตัวหลายแถว หรืออาจมองเห็นเป็นจุดประสีขาวตามลำตัว ปลายกระดูกกำดันโค้งมน ปลาดุกเป็นปลาที่เจอได้ตามคู คลอง หนอง บ่อน้ำทั่วๆไป จัดเป็นปลาที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจของไทยชนิดหนึ่ง
[/b]
ผลดีทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ปลาดุกผสมเป็นเครื่องยาในตำรับยาหลายขนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน พระตำราไกษย ให้ยาที่เข้า “ปลาดุกปิ้ง” อยู่ ๒ ขนาน ทั้ง ๒ ขนานเป็นยาแกง รับประทานเป็นยาถ่ายอย่างแรง สำหรับแก้กษัย ดังต่อไปนี้ ยาแก้ไกษยปลาดุก เอาเปลือกราชพฤกษ์ ๑ กลีบตาเสือ ๑ รากโคนงแตง ๑ พิงไฉนนุ่น ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ กระเทียม ๑ ผลจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ ข่า ๑ กระชาย ๑ กะทือ ๑ ไพล ๑ หอม ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ กะปิ ๑ ปลาดุกย่าง ๑ ตัว ปลาร้าปลาส้อย ๕ ตัว ยา ๒๐ สิ่งนืทำเป็นแกง แล้วเอาใบมะกาที่เพสลาดนั้นมาหั่นใส่ลงเป็นผัก กินให้ได้ถ้วยแกงหนึ่ง ลงกระทั่งสิ้นโทษร้าย หายดีเลิศนัก และก็ยางแกงเป็นยารุ ท่านให้เอาเปลือกทองหลางใบมนที่ ๒ เปลือกมะรุม ๑ ลูกคัดเค้า ๑ เครื่องยาทั้งนี้เอาสิ่งละ ๗ ตัว ปลาดุกปิ้ง ๑ ตัว เอาใบสลอดที่รับประทานลงที่อ่อนๆนั้น ๗ ใบ หั่นเป็นผักใส่ลง ทำเป็นยาเถิด ลงเสมหะเขียวเหลืองออกมา หายแล

Tags : ปลาดุก
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พญาแร้ง เมื่อ: มีนาคม 28, 2019, 05:08:39 am
[/b]
พญานกแร้ง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarcogyps calvus (Scopoli) จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับอีแร้ง
คือตระกูล Accipitridae
มีชื่อสามัญว่า red-headded vulture หรือ king vulture
อีแร้งเจ้าพระยา หรือ นกแร้งหัวแดง (ลาว) ก็เรียก นกประเภทนี้เป็นนกขนาดใหญ่ ขนาดวัดจากปลายปากถึงปลายหางยาวราว ๘๔ ซม. ขนทั่วตัวสีดำ หัว คอ และแข็งเป็นเนื้อสีแดง มีขนอุยสีน้ำตาลออกขาว มีแถบสีขาวตรงส่วนบนของอกรวมทั้งที่ต้นขาทั้งสอง เมื่ออายุยังน้อยขนทั่วตัวมีสีน้ำตาล ใต้ท้องสีอ่อนกว่า และมีลักษณะเป็นลายเกร็ด ส่วนบนมีขนสีขาวทั่วๆไป
พญานกแร้งเกลียดชังอยู่รวมกันเป็นฝูงราวกับอีแร้งธรรมดา พบได้ทั่วไปอยู่โดดเดี่ยวหรืออยู่เป็นคู่ และก็ลงกินซากสัตว์ร่วมกับอีแร้งอื่นๆมั่นใจว่านกจำพวกนี้เป็น “เจ้าที่อีแร้ง” ต้องลงรับประทานซากสัตว์ก่อนชนิดอื่นๆรวมทั้งเลือกกินเฉพาะส่วนที่มีรสชาติเยี่ยมที่สุด จึงเรียก“พญาอีแร้ง” ถูกใจอาศัยอยู่ตามป่าเขาและก็ทุ่งนา มีเขตผู้กระทำระจายจำพวกกว้างมาก ตั้งแต่จีน ประเทศอินเดีย ลงมาทางด้านใตนจนถึงแหลมมลายู ในอดีตเคยเจอชุกชุมอยู่ทั่วไปในประเทศไทย มักสร้างรังอยู่บนต้นไม้สูง ตามป่าเขารวมทั้งทุ่งนา นอกจากนั้น ในประเทศไทยยังเจออีแร้งดำหิมาลัย (cinereous vulture) อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aegypius monachus (Linnaeus) เป็นนกที่อพยพเข้ามายังเมืองไทยในตอนนอกฤดูสืบพันธุ์ หรืออาจเป็นนกที่หลงเข้ามา แม้กระนั้นเป็นนกหายากและมีจำนวนน้อยมาก
[/b]
คุณประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยตามชนบทใช้หัวอีแร้งเผา ผสมเป็นยาแก้ไข้กาฬ ไข้พิษ กระดูกอีแร้งเผาไฟเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งใน “ยามมหานิลแท่งทองคำ” (มอง คู่มือเภสัชกรรมแผนไทย เล่ม ๔ เครื่องยาธาตุวัตถุ) แก่ไข้พิษ ไข้กาฬ ส่วนหางอีแร้งแล้วก็หางอีกาเผาไฟ ตำราเรียนโบราณมีรสเย็น เบื่อ บดผสมกวาวเครือแก้ซางชัก รวมทั้งใช้รมภูติผีปีศาจแม่ซื้อที่ก่อกวพญาอีแร้ง[/url]เด็กที่เป็นลมเป็นแล้งซางจำพวกนี้ ถ้าหากแก้เลือดเป็นพิษให้เข้า “ดีอีแร้ง” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ยาแก้เลือดทำพิษ เอาดีแร้ง เจาะไนดี แล้วเอาพริกไทยตำยัด ใส่ให้เต็ม ตากให้แห้ง ถ้าหากจะแก้เลือดทำพิษ ให้ฝนกับเหล้ารับประทานหายดีเลิศฯ พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ให้ยาหลายขนานที่เข้า “กระดูกนกแร้ง” เป็นเครื่องยาด้วย มีอยู่ขนานหนึ่งเข้า “ศีร์ษะนกแร้ง” เป็นยากวาดซางแดงดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่ง ท่านให้เอาศีร์ษะงูเห่า ๑ ศีร์ษะอีแร้ง ๑ ศีร์ษะกา ๑ หอยสังข์ ๑ รากดิน ๑ ดอกบุนนาค ๑ ดินถนำ ๑ บอแร็ก ๑ หมึกหอม ๑ นอแรด ๑ เขากุย ๑ มูลหมูไม่มีอารยธรรม ๑ กฤษณา ๑ กะลำพัก ๑ ผลจันทร์ ๑ ดอกจันทร์ ๑ เขี้ยวเสือ ๑ เขี้ยวไอ้เข้ ๑ เขี้ยวแรด ๑ เขี้ยวหมู ๑ กรามแรด ๑ กรามช้าง ๑ รวมยา ๒๒ สิ่งนี้ เอาเท่าเทียมกัน ทำเปณจุณ บดปั้นแท่งไว้ละลายน้ำมะนาว กวาดได้สารพัดทรางทั้งปวงหายยอดเยี่ยมนัก
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : พญาแร้ง

Tags : พญาแร้ง
9  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เต่าเดือย เมื่อ: มีนาคม 26, 2019, 07:41:20 pm
[/b]
วงศ์เต่าบก[/b][/color][/size][/b]
เต่าเดือย
manouria impressa(Gunther), ๓๐ เซนติเมตร
เต่าขนาดกลาง มีเดือยแหลมที่ต้นขาข้างหลังข้างละ ๑ อัน กระดองข้างหลังสีเหลืองคละเคล้าสีน้ำตาล มีลายดำ พบตามภูเขาสูงจากระดับ ๖๐๐ เมตรขึ้นไป ทางภาคเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและก็ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เต่าเหลือง
Indotestudo elongata(Blyth), ๓๖ เซนติเมตร
เต่าขนาดกลาง กระดองยาวนูนสูง สีเหลือง มีลายดำ ไม่มีเดือยเหมือนเต่าบกชนิดอื่น อยู่ในที่แห้งแล้งได้ เจอตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และก็ป่าดิบแล้งทั่วราชอาณาจักร
[/b]
เต่าหก
Manouria emys(Schlegel & Muller), ๕๐ เซนติเมตร
เต่าบกที่ใหญ่ที่สุดของไทย เมื่อโตเต็มกำลังกระดองยาวได้ถึง ๖๐ เซนติเมตร โคนขาหลังทั้ง ๒ ข้างมีเดือยหลายเดือย กระดองสีน้ำตาลเข้มหรือดำ พบในป่าดิบที่สูงทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และก็ภาคใต้มี ๒ ชนิดย่อย คือ เต่าหกเหลือง manouria emys emys (Schlegel & Muller) รวมทั้งเต่าหกดำ manouria emys phayrei(Blyth)
ผลดีทางยา
เต่าที่หมอแผนไทยนำมาใช้ประโยชน์ทางยาเป็นเต่าน้ำจืดและเต่าบก แต่ว่าที่ใช้กันมากมายคืเต่า[/url]นา Malayemys subtrijuga(Gray) อันเป็นเต่าน้ำจืดที่หาได้ง่ายยิ่งกว่าเต่าจำพวกอื่นๆแล้วก็เป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป
10  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชีววิทยาของเม่น เมื่อ: มีนาคม 26, 2019, 12:53:30 am
[/b]
เม่น
เม่นเป็นสัตว์กินนม
จัดอยู่ในวงศ์ Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒ ชนิด เป็นต้นว่า
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix brachyuran Linnaeus
ชื่อสามัญว่า Malayan porcupine
เม่นชนิดนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐ เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๓-๗ โล ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ปกป้อง หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ และก็ไหล่ มีขนแข็ง สั้น สีดำ ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนรวมทั้งปลายสีขาว กึ่งกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนคล้ายหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นประเภทนี้ชอบออกหากินเพียงลำพังในช่วงเวลาค่ำคืน รักสงบ เวลาพบศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึกแล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ไล่หลังมาอย่างเร็วแม้หยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ และถ้าศัตรูใช้ตีนตะครุบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นกัน ได้รับความเจ็บปวดเจ็บมากมาย เมื่อศัตรูหนีจากไปแล้ว เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่ผลิออกขึ้นมาแทนที่ เม่นจำพวกนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ แล้วก็กระดูกสัตว์ เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี ท้องนาน ๔ เดือน ตกลุกทีละ ๑ -๓ ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นทารกมีขนที่อ่อน แต่เมื่อถูกอากาศด้านนอกขนจะค่อยๆแข็งขึ้น อายุราว ๒๐ ปีเจอทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างถิ่นเจอที่มาเลเชียแล้วก็อินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า bush-tailed porcupine
เม่นจำพวกนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง ๔๐ – ๕๐ ซม. หางยาว ๑๕ – ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕ กิโล จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งและปลายแหลมมาก คล้ายหนาม ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่บริเวณกลางหลังขนแบน มีร่องยาวอยู่ด้านบน ช่วงกึ่งกลางหางไม่ค่อยมีขน แต่ว่าเป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนงอกดกครึ้มเป็นกระจุก ดูเป็นพวง ขนดังกเงินล่าวแข็งและก็คม ส่วนขนที่หัวบริเวณขาอีกทั้ง ๔ แล้วก็รอบๆใต้ท้อง แหลม แต่ไม่แข็ง ขาค่อนข้างสั้น ใบเครื่องทอผ้าลมและเล็กมากมาย เล็บเท้าดูหมิ่นเหยียดหยามตรง ทู่ แล้วก็แข็งแรงมากมาย เหมาะกับขุดดิน เม่นจำพวกนี้ออกหากินในช่วงกลางคืน ตอนกลางวันมักซ่อนอยู่ในโพรงดิน ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง ใช้ขนเป็นอาวุธป้องกันภัย กินหัวพืช หน่อไม้ เปลือกไม้ รากไม้ ผลไม้ แมลง เขาแล้วก็กระดูกสัตว์ คลอดลูกครั้งละ ๓- ๕ ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นทารกมีขนอ่อนนุ่ม แต่จะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี เจอในทุกภาคของประเทศไทย ในเมืองนอกพบทางภาคใต้ของจีน และที่ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย แล้วก็อินโดนีเซีย
[/b]
ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง แก้พิษรอยดำ พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะอาหารของเม่นใช้ปรุงเป็นยารับประทานบำรุงน้ำดี ช่วยทำให้ลำไส้มีกำลังบีบย่อยอาหาร พระหนังสือปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาทาตัวเด็ก ดังนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งปวง แล้วก็จะเจ็บป่วยอภิฆาฏก็ดีแล้ว โอปักกะไม่กาพาธก็ดีแล้ว ท่านให้เอาใบมะขวิด รอยเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายตราบาปโทษทั้งมวลดีนัก

Tags : เม่น
11  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ประเภทเมล็ด มีสรรพคุณอย่างไรบ้าง เมื่อ: มีนาคม 20, 2019, 12:40:52 am
[/b]
ประเภทเมล็ด
กรวยป่า – เมล็ด ริดสีดวง
นกกระทุงลาย – เมล็ด แก้ปวดตามข้อแล้วก็กล้าม แก้ลมอัมพาต
กระทกรก – เม็ด แก้เด็กท้องเฟ้อ อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ทำให้ลมผาย
ก้ามปู – เมล็ด แก้กลากโรคเกลื้อน โรคเรื้อน
ข่อย – เม็ด เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับลมผาย แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
คนทีสอขาว – เม็ด เจริญอาหาร แก้มองคร่อ โรคหืดไอ แก้ไข้สตรีตั้งท้อง
คำไทย – เม็ด ตัดไข้ สมานแก้ลม
คำฝอย – เมล็ด เป็นยาถ่าย ขับเสลด แก้โรคผิวหนัง แก้บวม ขับโลหิตรอบเดือน แก้ปวดมดลูก (ภายหลังจากคลอดลูกมีลักษณะปวดเกิดขึ้น)
ประเภทเมล็ด จันทน์เทศ – เมล็ด เรียก “ลูกจันทน์” แก้ลมในกองเสมหะ จันทน์เทศ – รกห่อเมล็ด เรียก “ดอกจันทน์” บำรุงเลือด บำรุงผิวเนื้อให้รุ่งโรจน์
ชุมเห็ดไทย – เม็ด แก้ฟกบวม บำรุงหัวใจให้สดชื่น แก้หัวใจรั่ว
เถาเอ็น – เมล็ด แก้จุกเสียด ขับลมในลำไส้ให้ผายแล้วก็เรอ แก้แน่นพองเฟ้อ
ทองคำกวาว -เมล็ด ขับไส้เดือน แก้ผิวหนังอักเสบ
บวบขม – เมล็ด แก้หืด ขับเสมหะ
ผักกาด – เม็ด ขับเสมหะรวมทั้งโลหิต แก้ปอดบวม แก้อักเสบ ฟกบวม
ผักชีล้อม – เม็ด ขับลมในไส้ แก้ธาตุทุพพลภาพ แก้หอบ บำรุงปอด แก้ไอ
ผักเสี้ยนไทย – เมล็ด ฆ่าไส้เดือนในท้อง

พริกหอม – เมล็ด ขับลมในลำไส้ ทำให้หาวรวมทั้งเรอ ขับเยี่ยวให้เดินสบาย
พิกุล – เมล็ด แก้แมงกินฟัน
พุทรา – เมล็ด แก้ซางชัก
มะกล่ำตาหนู – เมล็ด แก้ตาแดง ตาต้อ
โมกหลวง -เม็ด แก้ไข้ ท้องร่วง
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16959750/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94]ประเภทเมล็ด[/url][/color] เร่วใหญ่ -เม็ด แก้คลื่นเหียนอาเจียน ขับลมผาย ขับน้ำนมของสตรี
ลูกซัด – เม็ด แก้ท้องเดิน กล่อมอาจม กล่อมเสมหะ
เล็บครุฑ – เมล็ด ถอนพิษตะขาบรวมทั้งแมงป่อง
สมอสมุทร -เมล็ด ขับไส้เดือน
สมอพิเภก -เมล็ด แก้บิดมูกเลือด
สลอดบก – เมล็ด ถ่ายแรงมากมาย (อันตราย)
แสลงใจเครือ – เมล็ด บำรุงประสาท แก้ปวดเมื่อยบั้นท้าย แก้กระษัย แก้ฉี่ทุพพลภาพ (เป็นยาอันตราย)
หมีเหม็น – เม็ดแก้ปวดพิษอักเสบต่างๆ

Tags : ประเภทเมล็ด
12  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / จันทน์ชะมด เมื่อ: มีนาคม 18, 2019, 12:05:37 am
[/b]
จันทน์ชะมด
มันชะมดหรือจันทร์ประเทศพม่า
มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mansonia gagel J.R.Drumm
จัดอยู่ในวงศ์ sterculiaceae
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็จันทน์ชะมด[/url]ถึงขั้นกึ่งกลาง ผลัดใบ สูง๑๐-๒๐เมตร ลำต้นเปลา ตรง เปลือกสีเทาอมชมพูเรียบ เรือนยอดเป็นพุ่มตรง ค่อนข้างโปร่งใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันรูป รีแกม รูปขอบขนานถึงรูปรีปน รูปไข่กลับกว้าง๓-๖ซม. ยาว๘-๑๔ เซนติเมตร โคนใบตัดหรือหยักเว้าบางส่วน เบี้ยว บางส่วน ก้านใบยาว ๕-๑๐ มิลลิเมตร ดอกมีขนาดเล็กสีขาวออกรวมกันเป็นช่อ ที่ปลายกิ่งหรือตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อยาวราว ๑๕ เซนติเมตรกลีบดอกมี ๕ กลีบ ไม่ชิดกัน เกสรเพศผู้ มี 10 อัน เป็นเกสรเพศผู้เป็นหมัน 5อันรังไข่มี 5 พูไม่ติดกันและแต่ละพูมี 1 ช่อง ผลได้ผลสำเร็จแห้ง มักติดกันเป็นคู่ๆแต่ละผลมีปีกสามเหลี่ยม ที่ปลายผล ๑ปี จันทน์ชะมดออกดอกตอนสิงหาคมถึงกันยายน ผลแก่จัดระหว่างธ.ค.ถึงม.ค.

ต้นจันทน์ชะมด กระพี้สีขาวแก่นสีน้ำตาลเข้ม เศษไม้ตรง เนื้อละเอียดแข็ง ไสกบตกแต่งง่ายไม้ที่ตายเองมีกลิ่นหอมยวนใจเหมือนชะมดใช้ทำหีบและตู้เก็บเสื้อผ้าในทางยาใช้เนื้อไม้เข้ายาแก้ไข้แก้โลหิตและดีพิการแก้อยากกินน้ำแล้วก็หมดแรง น้ำมันระเหยง่ายที่กลั่นได้จากเนื้อไม้ใช้ปรุงเครื่องหอมจันทน์ชะมด[/i]แล้วก็ใช้ทำน้ำหอมเข้า ยาบำรุงหัวใจ
13  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / นกกระจอก เมื่อ: มีนาคม 16, 2019, 11:59:07 pm

นกกระจอก
นกกระจอก หรือนกกระจอกบ้าน ภาคใต้เรียก นกจอก
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passer montanas (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า tree sparrow หรือ European sparrow ที่เจอในประเทศไทยเป็นชนิดย่อย Passer montanus malaccensis A. Dubois
ชีววิทยาของนกกระจอก
นกประเภทนี้เป็นนกขนาดเล็ก ความยาวของตัววัดจากปลายปากถึงปลายหางราวนกกระจอก ๑๓ เซนติเมตร ปากอ้วนสั้นเป็นปากกรวย หัวค่อนข้างจะใหญ่ คอสั้น ปีกสั้น ท้ายปีกมน หางออกจะสั้น ปลายหางหยักเว้าไปทางโคนหางน้อย ขาค่อนข้างสั้น กระหม่อมสีน้ำตาลเข้ม หัวด้านข้างและก็คอสีขาว ขนบริเวณหูมีแถบสีดำ คอหอยสีดำ ลำตัวด้านบนรวมทั้งปีกสีน้ำตาลเข้ม ขนท้ายปีกรวมทั้งขนโคนปีกมีแถบสีขาว ๒ แถบ ลำตัวด้านล่างสีน้ำตาลอ่อน ตัวผู้และก็ตัวเมียมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่เพศผู้มีสีแจ่มใสกว่านิดหน่อย มักอยู่รวมกันเป็นฝูงใกล้ถิ่นอาศัยของผู้คน อาจพบได้ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนกระทั่งที่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ๑,๘๐๐เมตร
นกกระจอกรับประทานเมล็ดพืชแล้วก็แมลงขนาดเล็กเป็นของกิน ทำรังตามใต้หลังคาบ้านหรือตามหลืบตามซอก อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำรังประกอบด้วยต้นหญ้าแห้งเป็นส่วนใหญ่ แพร่พันธุ์ได้ตลอดปี ออกไข่คราวละ ๓ – ๕ ฟอง ใช้เวลาฟักราว ๑๓ วัน ข้างหลังออกจากไข่ราว ๑๔ วัน ก็บินได้
[/b]
ประโยชน์ทางยา
แพทย์ตามบ้านนอกใช้นกกระจอกหมดทั้งตัว ถอนขน ผ่าเอาเครื่องในออก ทำความสะอาด เอาพริกไทยและกระชายยัดในตัว แล้วต่อจากนั้นจึงย่างไฟ แล้วคัดออกมาตำเป็นผง อาจผสมกับยาอื่นอีกหรือผสมน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ชาวบ้านตามชนบทลางถิ่นใช้เลือนกกระจอก[/i][/url]ทาปานแดงเด็กแรกเกิด
14  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะคำดีควาย เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์เเละสรรพคุณอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: มีนาคม 06, 2019, 07:09:27 pm
[/b]
มะคำดีควาย
ชื่อสมุนไพร มะคำดีควาย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ลูกประคำดีความ(ทั่วๆไป,ภาคกลาง),มะซัก,ส้มป่อยเทศ(ภาคเหนือ),มะซัก(ภาคใต้),ชะแซ,ซะเหล่าด(กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ มะคำดีควายสามารถแบ่งออกเป็น 2 จำพวก คือ Sapindus rarak DC. แล้วก็ Sapindus trifoliatus L.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ จำพวก S.rarak DC. เป็น Dittelasma rarak (DC.) Benth. & Hook. f. และประเภท S. trifoliatus L. คือ Sapindus emarginatustus Vahl.
ชื่อสามัญ ชนิด S.rarak DC. คือSoap Nut Tree . และก็ S. trifoliatus L. คือ Soapberry Tree
สกุล SAPINDACEAE
บ้านเกิดมะคำดีควาย
มะคำดีควาย (ทั้ง 2 ประเภท) มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อยของภูมิภาคทวีปเอเชียใต้และก็เอเซียอาคเนย์ ตัวอย่างเช่น ในประเทศ อินเดีย(โดยเฉพาะดินแดนอัสลัม),เนปาล,บังคลาเทศ,ประเทศพม่า,ไทย,ลาว,กัมพูชา,มาเลเซีย อินโดนีเซีย ต่อมาได้มีการกระจัดกระจายจำพวกไปในประเทศในทวีปเอเชียอื่นๆยกตัวอย่างเช่น ไต้หวัน,จีน,ประเทศปากีสถาน ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศโดยพบได้บ่อยในป่าเบญจพรรณ และก็ป่าดงดิบแล้งที่มีความสูงตั้งแต่ 150-1600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะทั่วไปมะคำดีควาย
มะคำดีความ(ประเภท S.rarak DC.) จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลาง ลำต้น ความสูงราว 5-10 เมตร มีลักษณะเปลือกเป็นสีน้ำตาลอมเทา ค่อนข้างเรียบ มีเหย้ามีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มไม้แน่นหนา
ใบ ออกเป็นช่อ เรียงสลับกัน ช่อใบมีใบย่อยราว 5-9 คู่ ใบย่อยมีลักษณะรูปหอก โคนใบสอบเข้าพบกัน ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 0.6 -1.2 นิ้ว ยาวราว 2.5- 4 นิ้ว ใบมีสีเขียวเข้มราวกับใบทองหลาง
ดอกออกเป็นช่อ ตามปลายกิ่ง มีลักษณะดอกขนาดเล็ก สีขาวนวล หรือสีเหลืองอ่อน ดอกมีกลีบรองกลีบดอกไม้ขนาดเล็ก ประมาณ 4 กลีบ โคนกลีบเชื่อมชิดกัน มีกลีบดอกโดยประมาณ 5 กลีบ กลีบข้างนอกมีขนสั้น สีน้ำตาลปนแดง ขึ้นเล็กน้อย มีเกสรตัวผู้กึ่งกลางดอก ราวๆ 10 อัน
ผลมีลักษณะค่อนข้างจะกลม สีเขียวเมื่ออ่อน สีเหลืองฉ่ำเมื่อสุก รวมทั้งมีสีน้ำตาล จนกระทั่งดำเป็นลำดับเมื่อแก่แล้วก็แห้ง เปลือกมีลักษณะแข็ง ด้านในมีเม็ด ผลหนึ่งมี 1 เมล็ดแค่นั้น ออกผลหลาบผลเป็นพวง ขนาดผลเส้นผ่านศูนย์กลาง ราวๆ 0.6 นิ้ว
ส่วนมะคำดีควาย (จำพวก Sapindus trifoliatus L.) จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลาง เช่นกันมีเรือนยอดของต้นหนาทึบ ลำต้นมักคดงอ มีความสูงของต้นประมาณ 10-30 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นร่องลึกตามแนวยาว ยอดอ่อนแล้วก็กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล
ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน ในช่อหนึ่งจะมีใบย่อยอยู่ราว 2-4 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-7 ซม.และก็ยาวราวๆ 10-14 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบเป็นสีเขียว
ดอกออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ โดยจะออกบริเวณปลายกิ่ง ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ลักษณะของดอกเป็นดอกเล็กสีขาวนวลหรือเป็นสีเหลืองอ่อนๆในหนึ่งดอกจะมีกลีบรองดอกขนาดเล็กราว 4 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน แล้วก็มีกลีบโดยประมาณ 5 กลีบ กลีบข้างนอกมีขนสั้นๆสีน้ำตาลปนแดงขึ้นกระจาย ส่วนบริเวณกึ่งกลางดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 10 ก้าน
ผลออกรวมกันเป็นพวง มีลักษณะค่อนข้างจะกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5-2 ซม. ผลสดสีเขียว ผิวผลเรียบหรืออาจมีรอยย่นที่ผลบ้างน้อย เปลือกผลเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้มแทบดำ ผลมีพู 3 พู และชอบฝ่อไป 1-2 พู เนื้อในผลมีลักษณะเหนียว ใส เป็นสีน้ำตาล รวมทั้งมีรสหวาน ด้านในผลมีเม็ด 1 เม็ด เมล็ดมีลักษณะกลมสีดำเป็นเงา เป็นเมล็ดที่มีเปลือกแข็ง
การขยายพันธุ์มะคำดีควาย
มะคำดีควายสามารถแพร่พันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด โดยใช้เม็ดแก่แช่น้ำราวๆ 1-2 คืน ก่อนนำไปเพาะเพื่อให้ผลิออกได้เร็วขึ้น แล้วจึงนำไปเพาะในกระบะเพาะหรือถุงเพาะชำ แล้วหลังจากนั้นให้น้ำทุกๆวันจนถึงเริ่มแตกออก และเมื่อต้นกล้าโตและมีความสูงราว 30 ซม. ก็เลยนำไปปลูกลงหลุมในพื้นที่ที่ต้องการ หรือบางทีก็อาจจะใช้เมล็ดที่แช่น้ำแล้วไปหยอดลงหลุมที่จะต้องปลูกเลยก็ได้
ส่วนประกอบทางเคมี ทั้ง 2 ประเภท พบสาร hederagenin Quercetin, Quercetin -3 - a - A- arabofuranoside, ß - Sitosterol, Emarginatoside, O - Methyl-Saponin, Sapindus – Saponin
สรรพคุณมะคำดีควาย
ในอดีตกาลชาวไทยตามชนบทใช้ประโยชน์จาก อาทิเช่น นำผลมาใช้เป็นสารชำระล้างแทนสบู่เพื่อชำระล้างร่างกาย สระผม หรือใช้ประโยชน์ซักผ้า หรือใช้ทำความสะอาดสิ่งของต่างๆนำเมล็ดที่มีลักษณะกลมแล้วก็แข็ง มีสีน้ำตาลดำ ไปใช้ร้อยทำเป็นลูกประคำ หรือเครื่องรางของขลังต่างๆและก็ยังมีการนำผลของมาใช้เพื่อสำหรับการเบื่อปลา และใช้เป็นยาฆ่าแมลงต่างๆ
ในส่วนของการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรนั้นตามตำรายาไทยบอกว่า มะคำดีควาย[/i]ทั้งยัง 2 ประเภท (S.rarak DC. และก็ S.trifolialus L.) สามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรแทนกันได้เพราะให้คุณประโยชน์ทางยาแบบเดียวกัน เป็น ผลแก่ แก้ไข้ ดับพิษร้อนด้านใน ดับพิษทุกอย่าง แก้ไข้แก้เลือด แก้หอบเนื่องจากว่าปอดชื้น ปอดบวม แก้หวัด คัดจมูก แก้รอยดำ แก้โรคผิวหนัง รักษาสิว แก้พิษตานซาง แก้เสมหะสุมฝีอันยุ่ยพัง แก้จุดรอยดำ บำรุงน้ำดี หรือใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆรักษาโรคตัวร้อนนอนไม่หลับ นอนสะดุ้งผวา แก้สลบ แก้พิษ ฝึกหัด เปล่งปลั่ง แก้ฝีเกลื่อน แก้ปากยุ่ย แก้สารพัดสารพันพิษ สรพัดกาฬ แก้ไข้จับเซื่องซึม แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ แก้สารพัดไข้ทั้งผอง แก้ชันนะตุ(โรคผิวหนังพุพองบนศีรษะเด็ก) แก้เชื้อรา แก้รังแค ใช้บำรุงรักษาผมให้ดกดำ ยากำจัดเหา ฆ่าเชื้อโรครา รังแคบนหนังหัว ใบ แก้พิษรอยดำ ดับพิษรอยดำ แก้ทุราวาส ราก แก้ริดสีดวงมองคร่อ แก้หืดรากผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้แก้โรคฝีในท้อง ต้น แก้ลมคลื่นไส้ แก้พิษไข้ แก้พิษร้อน แก้ฝีอักเสบ แก้ฝีหัวคว่ำ แก้กษัย รูปแบบ/ขนาดการใช้
รักษาชันตุ ใช้ผล 4-5 ผล แกะมัวแต่เนื้อ ต้มกับน้ำราว 1 ถ้วย ใช้น้ำทาที่ศีรษะที่เป็นชันตุๆวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้า เย็น หรือใช้เนื้อ 1 ผล ตีกับน้ำที่สะอาดจนเป็นฟอง ใช้สระผมที่เป็นชันเหม็นตุวันละ 1 ครั้ง กระทั่งจะหาย
รักษาผิวหนังพุพอง น้ำเหลืองเสีย ใช้ผล 10-15 ผล ต้มกับน้ำพอสมควร นำเฉพาะน้ำมาชำระล้าง หรือแช่รอบๆที่เป็นแผลนาน 5 นาที ทั้งยังตอนเวลาเช้าและเย็น
ใช้เม็ดสดหรือแห้งเอามาตำให้ ละเอียด ใช้พอกหรือเอามาละลายน้ำล้างแผล แก้โรคผิวหนัง ใช้ผลที่แห้งนำมาคั่วให้เกรียม จาก นั้นใช้ปรุงเป็นยาดับพิษได้ทุกหมวดหมู่ แก้กาฬภายใน แก้ไข้ แก้โรคหืด หอบ แก้โรคผิวหนัง รวมทั้งแก้เสลดสุมฝีที่เปื่อยพัง
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
จำพวก S.rarak DC. ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา สารสกัดจากผลไม่ระบุตัวทำละลาย และสารสกัดน้ำจากผล มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนัง, Candida albicans และก็ Cryptococcus neoformans ด้วยแนวทางทดสอบแบบ agar disc diffusion แต่มีฤทธิ์ต้านเชื้อดังที่กล่าวผ่านมาแล้วต่ำกว่ายา ketoconazole (1, 2) สารสกัดน้ำจากเปลือกผลที่ทำให้แห้งด้วยวิธีแช่แข็ง แล้วผสมลงในแชมพู ความเข้มข้น 5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เส้นผมสะอาดแล้วก็อาการคันหัวน้อยลง
ชนิด S.trifolialusL. ฤทธิ์ต้านเชื้อรา สารสกัดซาโปนินจากผลมะคำดีควายมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา dermatophytes คือ Epidermophyton floccosum, Microsporum gypseum รวมทั้งTrichophyton mentagrophytes ค่าความเข้มข้นต่ำสุดซึ่งสามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา (MIC) เท่ากับ 250 มคก./ล. และก็ยังมีการทดลองของซาโปนินจากสารสกัดต้านทานเชื้อรา T. mentagrophytes รวมทั้ง E. floccosum ที่ค่าความเข้มข้นต่ำสุดซึ่งสามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา (MIC) เท่ากับ 25 มก./ล. แล้วก็ต้านเชื้อรา M. gypseum ที่ค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา (MIC) เท่ากับ 50 มก./ล. มีการทดสอบทางคลินิกโดยใช้สารสกัดเอทานอล (70%) ทาข้างนอก ขนาด 2% ในคน มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ มีการทดลองทางคลินิกโดยใช้น้ำสกัดฉีดเข้าท้องของคน พบว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบได้
ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 กรอกเข้าทางกระเพาะอาหารของหนูถีบจักร พบว่าไม่มีฤทธิ์แก้ปวด
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษพบว่า เมื่อฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งหนึ่ง (LD50)เป็น 17.8 มก./กก. ส่วนอีกการทดสอบพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50)มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กิโลกรัม
ขึ้นรถเคมีในผลประคำดีควายที่เป็นพิษ เป็น saponin, emerginatonede และก็ o-methyl-saponin มีรสเฝื่อนฝาด ขม รวมทั้งกลิ่นแรง โดยจะออกฤทธิ์ทำลายเม็ดเลือดแดงได้ หากเป็นผงแห้ง ถ้าเข้าทางจมูกจะมีการระคายเยื่อบุจมูก
[/b]
คำแนะนำ/ข้อควรระวัง
สำหรับการใช้ผลมแล้วก็ใช้ชโลมผมเพื่อแก้ชันนะตุ ไม่สมควรทาไว้นานเกินกว่าไปและพึงระวังอย่าให้เข้าตาเพราะอาจทำให้แสบตาและก็ทำให้ตาอักเสบได้และไม่ควรที่จะใช้บ่อยหรือใช้ในจำนวนที่มากกระทั่งเหลือเกิน
เมื่อใช้น้ำต้มผลมะคำดีควาย[/i]ทาผมแล้วควรล้างออกให้หมด เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้ผมตกได้
ไม่สมควรกินผลด้วยเหตุว่า จะทำให้กำเนิดอาการอ้วกคลื่นไส้ มีอาการท้องเสีย เคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
ถ้าหากผงของซึ่งมีสารซาโปนินเข้าทางจมูก จะทำให้เกิดอาการระคายแล้วก็ทำให้จาม ถ้าหากฉีดเข้าเส้นโลหิตจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.  “มะคำดีควาย”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ).  หน้า 151.
 ฐานข้อมูลสมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.  “มะคำดีควาย”.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ).  หน้า 151.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “มะคำดีควาย Soapberry”.  หน้า 183.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “ประคำดีควาย”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 445-446.
.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์อุบลราชธานี(ออนไลน์)
ประคำดีควาย.กลุ่มยาลดไข้ ลดความร้อน.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี(ออนไลน์)
ประคำดีควาย(Soapberry) สรรพคุณและพิษประคำดีควาย.พืชเกษตรดอทคอม.เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)

Tags : ขายมะคำดีควาย
15  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พิกัดเกสร มีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง เมื่อ: มีนาคม 04, 2019, 11:41:13 pm

พิกัดเกสร
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น มีความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ อาจหมายคือโครงสร้างที่ใช้ขยายพันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งแสดงอยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้และเกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง หลังจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบรวมทั้งกลีบเลี้ยงตามลำดับ แต่ในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ดังเช่น เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ทั้งยังดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ แล้วก็เกสรเพศเมีย) (ยกตัวอย่างเช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ เป็นต้น) หรือบางทีอาจหมายถึงช่อดอกทั้งช่อ (ยกตัวอย่างเช่น ดอกลำเจียก )ที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัด คือ ทั้งยัง ๕ พิกัดเกสรทั้งยัง ๗ รวมทั้งทั้งยัง ๙ ทั้ง ๕ อย่างเช่น เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ แล้วก็ดอกสารภี มีคุณประโยชน์บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดแล้วก็โลหิต แก้ไข้เพ้อกลุ้ม แก้ลมเวียนหัว แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงท้อง เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากมายในยาแก้ลมหน้ามืด ยาหอมบำรุงหัวใจ ทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ทั้ง ๕ โดยมีดอกจำปา รวมทั้งดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีคุณประโยชน์โดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดและเลือด แก้ไข้เพพ้อกลุ้มใจ แก้ลมหน้ามืด แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้โรคตาทั้ง ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในทั้ง ๗ โดยมีดอกลำเจียก รวมทั้งดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา
ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของมูลเหตุ
ตระกูล
ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง
Nelumbo nucifera Gaertn.
Nelumbonaceae
เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค
 Mesua ferrea L.
Guttiferae
อีกทั้งดอก
ดอกพิกุล
Mimusops elengi L.
Sapotaceae
ทั้งยังดอก
ดอกมะลิ
Jasminum sambac Ait.
Oleaceae
อีกทั้งดอก
 ดอกสารภี
Mamea siamensis (T.and) Kosterm.
Guttiferae
อีกทั้งดอก
ดอกจำปา
Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)
Magnoliaceae
ทั้งดอก
ดอกกระดังงา
Cananga odorata Hook.f. & Th.
Annonaceae
ทั้งยังดอก
ดอกลำเจียก
Pandanus odoratissimus L.f
Pandanaceae
ช่อดอกทั้งช่อ
ดอกลำดวน
Melodorum fruiticosum Lour.
Annonaceae
ทั้งดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงประเภทดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท นิโลบล ฯลฯ) บัวหลวงเป็นบัวน้ำประเภทก้านแข็ง (บัวชาติ) มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในวงศ์ Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า มีกลิ่นหอมสดชื่น รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรอีกทั้งเจ็ดและเกสรทั้ง ๙
ดอกบุนนาค
ดอกบุนนาคได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชประเภทนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนเล็กน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทารวมทั้งปนแดง มีรอยแตกตื้นๆข้างในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบของใบเรียบ ข้างบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบดก ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มิลลิเมตร ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกผู้เดียวๆหรือออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอม เมื่อบานเต็มที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕-๑๐ ซม. กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานรวมทั้งเว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีจำนวนไม่น้อย ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ เซนติเมตร ยาว ๔๐ เซนติเมตร ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบห่อผล ๔ กาบ มีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด พืชนี้มีแก่นไม้สีแดงคล้ำ วาวเลื่อม เสี้ยนค่อนข้างจะตรง เนื้อออกจะหยาบ แข็ง และก็แข็งแรงดีเยี่ยม เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาได้ดี ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้ต่อเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเมล็ดทำเครื่องสำอาง แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมสดชื่น เย็น รสขมบางส่วน ช่วยบำรุงดวงใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้กาฬ แก้ร้อนในดับหิว บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย แล้วก็ว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้ง ๕ และก็เกสรทั้งยัง ๗ แล้วก็เกสรทั้ง ๙ นอกเหนือจากนี้ส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังใช้ผลดีทางยาได้ อาทิเช่น รากใช้แก้ลมในลำไส้ เปลือกต้นมีคุณประโยชน์กระจัดกระจายหนอง และกระพี้แก้เสลดในคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุลเป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในวงศ์ Sapotaceae พืชจำพวกนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางดง (ลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ ซม. ยาว ๕-๑๕ เซนติเมตร โคนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบของใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกลำพัง หรือออกเป็นกลุ่ม ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันนิดหน่อย ร่วงง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมสดชื่นเย็น กลิ่นยังคงอยู่ถึงแม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้สมบูรณ์มี ๘ อัน แล้วก็เกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบมี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ เซนติเมตร เมื่ออ่อนสีเขียว และสุกมีสีแดงแสด มีรสหวานเล็กน้อย เมื่อต้นพิกุลแก่มากมายๆเนื้อไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย ก็เลยไม่นิยมนำมาปลูกเอาไว้ในรอบๆบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้แก่นไม้มีกลิ่นหอมหวน โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านยาสมุนไพรเป็นเนื้อไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมสดชื่นฝรั่งเรียก “bullet wood” เพราะว่าเนื้อไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยกระสุน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย อาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. วงศ์ Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อรารุ่งเรืองเข้าไปในแก่นไม้ แต่ว่าโบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะหามจะมีคุณภาพด้อยกว่า ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอม รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด รวมทั้งหัวใจ บำรุงลูกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดหัว แก้เจ็บคอแล้วก็แก้ร้อนใน แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ และก็เกสรทั้ง ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมยวนใจเพื่อทำบุหงา เว้นแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังใช้ผลดีทางยาได้แบบเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อนฝาด เข้ายาบำรุงโลหิต แก้เสมหะ แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมเฝื่อน เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้โรคหืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในวงศ์ Oleaceae ถ้ามีกลีบชั้นเดียวเรียก มะลิลา ถ้าหากมีกลีบซ้อนกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่กำหนดในตำราเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มคอยเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ ซม.ยาว ๕-๗ เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น หากเป็นจำพวกดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ แล้วก็สีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมยวนใจแรง ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกเป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มกำลังจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ ซม. เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แต่ว่าจะ ดกในฤดูร้อนและฤดูฝน หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมหวนเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจสดชื่น บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในกระหายน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ รวมทั้งเกสรอีกทั้ง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ประเภทอื่นๆที่มีกลิ่นหอมยวนใจ สำหรับทำบุหงา นอกจากนั้นตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด แพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวก้นกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง และก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยรอยแผล รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำกิน แก้ปวดปวดหัว แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มาก (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้หมดสติ ตำพอกหรือแก้เคล็ดลับขัดยอกจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในวงศ์ Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่สำนึกบุญคุณ (จันทบุรี) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับแนวทางกัน รูปไข่ปนรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ ซม.ยาว ๑๕-๒๐ ซม. โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทู่ๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบหนา ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมหวนมาก กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมชิดกัน ติดทนและขยายโตตามผล กลีบดอกมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีเป็นจำนวนมาก ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ เซนติเมตร เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเม็ด
สารภีแนน
สารภีแนนเป็นชื่อถิ่นทางตะวันตกเฉียงเหนือของพืชที่มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในตระกูล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า สารภีสมุทร (ประจวบคีรีขันธ์) กากะทิง (ภาคกึ่งกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป พืชประเภทนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดแห่งกว้างเป็นพุ่มกลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลผสมเทา ข้างในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๕ เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางนิดหน่อย ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่และก็ขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีจำนวนหลายชิ้น ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕-๓ ซม. ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวร่น เปลือกออกจะครึ้ม แพทย์แผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากที่หนีบได้จากเมล็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ และก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องสำอางตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมสดชื่น รสขมเย็น แก้เลือดทุพพลภาพ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ แล้วก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙
ดอกจำปา
ดอกจำปาได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในสกุล Magnoliaceae พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนรวมทั้งใบอ่อนมีขน ใบแก่หมดจด ใบเป็นใบคนเดียว เรียงเพียรสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ ซม. ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกผู้เดียว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีจำปาดอกขาว
เหตุเพราะต้นจำปามีเขตผู้กระทำระจายพันธุ์กว้าง เป็นตั้งแต่ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ไทย ไปถึงจนกระทั่งเวียดนาม ก็เลยอาจมีการคลายข้างในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนถึงขนาดรวมทั้งสีของดอกไม่เหมือนกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเสมือนดอกจำปีทั่วๆไป) แม้กระนั้นจะกลายเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ราษฎรเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะมองเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาแก่ต้นนี้เอง ส่วนกลุ่มคำ ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่บิดาขุนบางกลางเวหา ผู้เสพผู้สืบทอดจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย ย้ายถิ่นมาตั้งภูมิลำเนาจำต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พุทธศักราช ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับบิดาขุนหน้าผาเมือง เจ้าผู้ครองนครราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของเขมรรวมทั้งรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ แต่งตั้งพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงชื่อว่าบิดาขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่คนไทยอีสานรวมทั้งชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae ชาวไทยภาคกึ่งกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นบางทีอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชประเภทนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายปนรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ ซม. ปลายรวมทั้งวัวนมน ข้างบนสีเขียวเข้ม วาว ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กึ่งกลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมล้ำกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงบางส่วน เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมากมาย ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ส่วน เม็ดมีเยอะมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว นิยมนำมาปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลผู้ไม่เคยทราบลางท่านมีความเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ โศกเศร้า อันมีความหมายว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชจำพวกนี้ใหม่ว่า “ท่าทางวดี” ซึ่งเป็นการไม่ควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า กลีบจำปามีกลิ่นหอมยวนใจ มีรสขม ช่วยให้ใจร้าย กระจัดกระจายโลหิต อันร้อน ขับฉี่ ขับลม แก้เหน็ดเหนื่อย ตาลาย หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงเลือด ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร อีกทั้ง ๗ และเกสรอีกทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้โรคหอบหืด และก็เมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนฝาดขม แก้คอแห้งผาก แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำแก้โรคหนองใน ขับเมนส์ ใบมีรสขื่นขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาททุพพลภาพ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสขื่นขม ใช้ทำลายพิษผิดสำแดง แก่นมีรสขื่นขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย

ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ตอนนี้เป็นบ้านดูดซับจำปาตำบลซึมซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์พืชรวมทั้งสัตว์ป่านานาจำพวกซึ่งยังมีคนเฒ่าคนแก่เล่าขานถึงแม้กระนั้นในขณะนี้ถูกราษฎรแผ้วถางเป็นพื้นที่ดินในการเลี้ยงชีพโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไร่มันสำปะหลังสุดสายตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ราษฎรเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากประชาชนเรียกพืชนั้นว่าจำเป็นต้องจับปลาแล้วก็เรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าดูดซึมจําปาอันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อหมู่บ้านชื่อวัดแล้วก็ชื่อตำบลเป็นลำดับเมื่อเร็วๆนี้นิสิตที่จะศึกษาเล่าเรียนจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมระเบียบพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ประเภทใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีกล่าวว่าเจอที่ใดมาก่อน ก็เลยได้ระบุชื่อวิชาพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกประเภทว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อสรรเสริญแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ประเทศไทยบรมราชเด็กหญิง แล้วก็เพื่ออนุรักษ์พืชประเภทนี้ไว้ให้แหล่งกรรมพันธุ์และระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชจำพวกนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดังงา
ดอกกระดังงาเป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในตระกูล Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกึ่งกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งชัน เปลือกสีเทาหมดจดหรือสีเงิน กิ่งแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบลำพัง เรียงสลับกัน แขวนลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ ซม. ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบออกจะกลมมน หรือเบี้ยว ขอบของใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ สามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ ซม. มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบชอบม้วนหรือต้องการเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ ซม. กลีบชั้นในสั้นกว่าบางส่วน เกสรเพศผู้และก็รังไข่มีเยอะมากๆ ผลได้ผลสำเร็จกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ ซม. ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกไม้แรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลุกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย แก้หมดแรง อยากดื่มน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรอีกทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับฉี่ แก้เยี่ยวทุพพลภาพ แก้ท้องร่วง นอกจากแก่นไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับเยี่ยวรวมทั้งแก้ปัสสาวะทุพพลภาพเช่นเดียวกัน
  กระดังงาสงขลา
กระดังงาจังหวัดสงขลา หรือ กระดังงาค่อย มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในสกุล Annonaceae
เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและก็ดอกคล้ายต้นกระดังงามากมาย แตกต่างที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกคนเดียวๆบนกิ่งด้านตรงกันข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกไม้มี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และก็เป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและก็ใหญ่มากยิ่งกว่ากลีบชั้นใน พืชประเภทนี้เป็นพืชถิ่นเดียวแล้วก็พืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย เจอคราวแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่เพาะพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบจะทั้งปี นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในตระกูล Pandanaceae พืชจำพวกพืชนี้ดอกเพศผู้แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศภรรยา เรียก เตย หรือเตยสมุทร มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชประเภทนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆกระจายอยู่ทั่วๆไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนไม่ใช่น้อย ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ ซม. ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใบหยักมีหนามแข็ง ปลายหนามโค้งไปทางปลายใบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเพศผู้แล้วก็ดอกเพศภรรยามีต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้ยาว มีก้านรองดอกสีขาวนวล ๒-๓ กาบห่อหุ้ม มีดอกย่อยมากมาย ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม ช่อดอกเพศเมียสีเขียว มีขนาดใหญ่ อยู่ชิดกันเป็นกรุ๊ป มีกาบรองดอกสีเขียว ๒-๓ กาบ ผลเป็นรูปลิ่ม แข็ง ปลายมีหนามสั้นๆติดกันเป็นกรุ๊ปแน่น เมื่อสุกมีสีส้มอมแดง มีกลิ่นหอมอ่อนๆตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณว่ารากเตยมีรสจืด หวาน เย็น แก้เยี่ยวแดง ขับฉี่ แก้หนองใน แก้มุตกิต ตกขาว ละลายก้อนนิ่วในไต รากอากาศมีรสจืด หวาน แก้หนอง ในแก้ขัดเบา แก้เบาขุ่นเป็นแป้ง แก้กระเพาะค่อยพิการหรืออักเสบ ขับเยี่ยว แก้นิ่วมุตกิต ใบแก้หนองและน้ำเหลือง ดอกเพศผู้มีรสเย็น แก้ไข้ แก้ไอ บำรุงหัวใจ แก้อ่อนแรง แก้ลม บำรุงธาตุ แก้ร้อนในก
หน้า: [1] 2 3
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย