โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 42 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ณเดช2499
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 03, 2018, 08:08:15 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกเป็นอย่างไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานัปการ แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ ดังเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  กระทั่งในขณะนี้จึงมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตใจเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของสัมพันธ์จิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความไม่ปกติของวิวัฒนาการเด็กแบบอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว  เป็นโรคที่เกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของวิวัฒนาการหลายด้านหมายถึงกลุ่มอาการความแตกต่างจากปกติ 3 ด้านหลักคือ

  • ภาษาและก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติปฏิบัติแล้วก็ความสนใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมซึ่งมักจะเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำทุกๆวันและก็การเคลื่อนไหว ซึ่งอาการกลุ่มนี้เกิดในตอนต้นของชีวิต มักเริ่มมีลักษณะอาการก่อนอายุ 3 ปี

คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งมีความหมายว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตัวเอง เปรียบได้เสมือนดั่งมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กั้นบุคคลพวกนี้ออกมาจากสังคมรอบตัว
ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานผู้เจ็บป่วยเป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐฯ รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีอาการแปลกๆอย่างเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆเกลียดการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น และก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้ต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับแนวทางการทำอะไรซ้ำๆแปลกๆแต่กลับคุยเก่งมาก และดูเหมือนจะฉลาดมากจริงๆด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พุทธศักราช2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มากมาย นักวิจัยรุ่นหลังก็เลยสรุปว่า แพทย์ 2 คนนี้กล่าวถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในเนื้อหาที่แตกต่าง ซึ่งในขณะนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder”
                จากการเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกโดยประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แต่ว่ากล่าวในพักหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากเพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากความรู้ความเข้าใจเรื่องออทิสติกที่มากยิ่งขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวินิจฉัยที่ต่างกัน รวมถึงจำนวนคนเจ็บที่อาจมีมากเพิ่มขึ้น โรคออทิสติกเจอในเพศชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อผู้หญิงต่ำลงในกรุ๊ปที่มีภาวะปัญญาอ่อนร้ายแรงร่วมด้วย
ต้นเหตุของโรคออทิสติก  มีความเพียรพยายามในการศึกษาถึงสาเหตุของออทิสติก แต่ก็ยังไม่เคยรู้สาเหตุของความเปลี่ยนไปจากปกติที่ชัดแจ้งได้ ในขณะนี้มีหลักฐานช่วยเหลือแจ่มกระจ่างว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากลักษณะการทำงานของสมองที่ไม่ปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสิ่งแวดล้อม
            ในอดีตกาลเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดขึ้นจากการอุปถัมภ์ค้ำชูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (พ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องงาน จนความเกี่ยวพันระหว่างบิดามารดากับลูกมีความห่างเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้แช่เย็น) แต่จากหลักฐานข้อมูลในตอนนี้รับรองได้เด่นชัดว่า แบบอย่างการเลี้ยงไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ว่าหากชุบเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็จะช่วยให้เด็กปรับปรุงได้มาก
           แต่ว่าในตอนนี้นักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านกรรมพันธุ์สูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ดังเช่นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และ 16p ฯลฯ รวมทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดเหมือน ซึ่งมีรหัสกรรมพันธุ์เหมือนกัน ได้โอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นมากยิ่งกว่าแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน
                และการเล่าเรียนทางด้านกายวิภาคและสารสื่อประสาทในสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติก จากอีกทั้งทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ เจอความไม่ดีเหมือนปกติหลายชนิดในคนไข้ออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบแบบที่เฉพาะเจาะจง ในทางกายตอนพบว่าสมองของคนป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วไป แล้วก็นิดหน่อยของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความแตกต่างจากปกติของเนื้อสมอง เช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                ยิ่งกว่านั้นการตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (EEG) ในคนเจ็บออทิสติก พบความไม่ปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เจาะจง  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปเป็น พบจำนวนร้อยละ 5-38 นอกจากนั้นยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ  serotonin ที่ค้นพบว่าสูงขึ้นในคนเจ็บบางราย แต่ก็ยังมิได้ข้อสรุปที่เด่นชัดถึงความเชื่อมโยงของความผิดปกติกลุ่มนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในตอนนี้สรุปได้ว่า ต้นสายปลายเหตุโดยมากของออทิสติกเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์แบบหลายต้นเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวเนื่องหลายตำแหน่งแล้วก็มีภูไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ
อาการโรคออทิสติก การที่จะทราบดีว่าเด็กคนใดกันเป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะพินิจได้จากความประพฤติปฏิบัติในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่อาจจะมองเห็นตั้งแต่ปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับผู้อื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำๆ    ความประพฤติปฏิบัติจะเริ่มแสดงกระจ่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเด็กอายุราวๆ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา      ด้านปฏิสัมพันธ์กับสังคมดูได้จากการที่เด็กจะไม่สบตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางรวมทั้งลีลาเสมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับผู้ใดกัน  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน อย่างเช่น

  • ความบกพร่องสำหรับการมีความสัมพันธ์ทางสังคม (impairment in social interaction) ความผิดพลาดสำหรับการมีความสัมพันธ์ทางด้านสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความร้ายแรงที่ต่างๆนาๆ แม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความสัมพันธ์โดยมานะที่จะอยู่ใกล้คนเลี้ยงดู แม้กระนั้นสิ่งที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปเป็น การขาดความรู้สึกแล้วก็ความพอใจร่วมกับคนอื่นๆ  (attention-sharing behaviours) ไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร ฯลฯ

เด็กออทิสติกที่มีระดับปัญญาปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม ได้แก่ ไม่รู้วิธีการเริ่มหรือจบทบพูดคุย บิดามารดาบางบุคคลอาจสังเกตเห็นความแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องมาจากเหตุการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับรู้ว่าคนอื่นๆกำลังคิดหรือรู้สึกยังไงกับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก

  • ความบกพร่องสำหรับในการติดต่อสื่อสาร (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนใหญ่มีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ปกครองพาเด็กมาเจอหมอ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในลักษณะของการท่องซ้ำๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำด้านหลังประโยค ใช้คำสรรพนามไม่ถูกจำต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะเพลงการพูดที่ผิดปกติ

เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มบอกคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราปัญญาปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ค่อนข้างดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราวๆ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดคุยกันโต้ตอบ อาจพูดจาวกวน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ออกกาลเทศะ

  • การกระทำและความพอใจแบบเฉพาะซ้ำเดิมเพียงแต่ไม่กี่ประเภท (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติบ่อยๆเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด ก็เลยช่วยในการวินิจฉัยโรคเจริญ พฤติกรรมต่างๆพวกนี้อาจเป็นความประพฤติปฏิบัติทางกายรวมทั้งการเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพึงพอใจในกิจกรรมหรือข้าวของไม่กี่จำพวก เช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก และเมื่อมีความตื่นเต้นหรือมีภาวะกดดัน การเคลื่อนไหวซ้ำๆพบได้มากได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางบุคคลพึงพอใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้อื่นมองข้าม

เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตมีความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัด โดยสิ่งที่สนใจนั้นอาจเกิดเรื่องที่เด็กปกติพอใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น จำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็คุยเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พึงพอใจอาจเป็นความทราบทางวิชาการบางสาขา ได้แก่ เลข คอมพิวเตอร์ รวมทั้งวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานที่เรียน จึงช่วยให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในโรงเรียนก้าวหน้าขึ้น
นอกเหนือจากนี้เด็กออทิสติกบางทีอาจจะดื้อมากและมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้พึงพอใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งบางเวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะเมื่อลักษณะของออทิสติกไม่กระจ่าง ในเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าอย่างยิ่งบางทีอาจพบความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเอง อย่างเช่น โขกหัวหรือกัดตนเอง เป็นต้น
ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้พิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุ๊ป high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวเขียนแล้วก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
ขั้นตอนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวิเคราะห์ว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือเปล่า  ไม่มีเครื่องตวงที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่อาจมีการตรวจประกอบกิจการวินิจฉัยจากการกระทำ
                โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแม้กระนั้น DSM-III (พุทธศักราช 2523) และก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พ.ศ. 2530) ในตอนนี้ใช้เกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายถึงความผิดแปลกในด้านวิวัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 ประเภท ดังเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะดูอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านพัฒนาการหรือเปล่า ซึ่งอาการของเด็กที่มีความเจริญช้าจะมีลักษณะดังนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตพฤติกรรม ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และก็มีอาการ จากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่โรคออทิสติก[/url] 70% มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนร่วมด้วยเว้นเสียแต่ โรค Asperger’s disorder จะหรูหราเชาวน์ปัญญาธรรมดา
  • ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก มีโอกาสชักสูงขึ้นยิ่งกว่าประชากรทั่วไป รวมทั้งพบว่าการชักสัมพันธ์กับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกลุ่มที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แต่ว่าพบอาการชักในกรุ๊ปมี IQ ปกติเพียงแค่ 5% จำนวนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่ได้โอกาสชักมากที่สุดเป็น 10 -14 ปี
  • ความประพฤติปฏิบัติก้าวร้าวรวมทั้งความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเอง พบบ่อย เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไม่อาจจะสื่อสารสิ่งที่มีความต้องการได้ และกิจวัตรประจำวันที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่อาจจะทำได้ตามปกติ เจอปัญหานี้หลายครั้งขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนความประพฤติปฏิบัติทำร้ายตนเองพบได้มากในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • ความประพฤติดื้อ/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้มาก ทำให้เกิดผลกระทบต่อปัญ หาการเรียน แล้วก็กระบวนการทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาเกี่ยวกับการนอน เจอปัญหาการนอนได้บ่อยครั้งในเด็กกลุ่มโรคออทิสติกโดยยิ่งไปกว่านั้นปัญหานอนยาก นอนน้อย และนอนไม่เป็นเวลา
  • ปัญหาด้านการกิน กินยาก/เลือกกิน หรือทานอาหารเพียงแค่บางประเภท หรือรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่ของกิน
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรสิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวพันกับความแปลกทางพันธุกรรม นับว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรสิสส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อนิ่มๆงอกขึ้นมาที่อวัยวะแล้วก็สมองของเด็ก แม้จะไม่มีสาเหตุชัดเจนว่าเนื้องอกเกี่ยวข้องกับอาการออทิสติกอย่างไร แต่ว่าจากศูนย์ควบคุมและก็คุ้มครองปกป้องโรค (Centers for Disease Control and Prevention) กล่าวว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรซิสสูง

การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยรู้มูลเหตุการเกิดโรคที่แจ่มกระจ่างแน่ๆแต่ว่าส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านกรรมพันธุ์ แล้วก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
กรรมวิธีการดูแลช่วยเหลือคนเจ็บออทิสติก เนื่องจากว่าโรคออทิสติกพบมากมากในเด็ก ด้วยเหตุนั้นจึงต้ออาศัยการดูแลรักษ



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ