Advertisement
โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี[/b] (Respiratory Syncytial virus infection)[/color][/size][/b]
โรคอาร์เอสวี เป็นยังไง โรคอาร์เอสวี หรือโรคไวรัสอาร์เอสวี หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี(Respiratory syncytial virus infection ย่อว่า RSV infection) เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเท้าหายใจที่เกิดขึ้นจากไวรัสชื่อ Respiratory syncytial virus ซึ่งเป็นไวรัสที่ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายผลิตสารคัดหลั่งไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น เสมหะ เป็นต้น เชื้อไวรัสนี้แพร่ผ่านการไอหรือจาม โดยผู้ป่วยชอบมีอาการเบื้องต้นคล้ายเป็นหวัด คือ ปวดหัว เป็นไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล
ในการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV, Respiratory Syncytial Virus) จะเจอการต่อว่าดเชื้อได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโรคนี้จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในเด็กเล็กที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง โดยมีการคาดหมายว่าในเด็กอายุสองขวบทุกคนจะต้องเคยติดโรคจำพวกนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง อันที่จริงแล้วเชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ฟุตบาทหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แม้กระนั้นชอบพบได้ทั่วไปในเด็กตัวเล็กๆ
ดังนี้ เชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus :RSV) เจอหนแรกเมื่อปี ค.ศ 1955(พุทธศักราช2498) ในลิงชิมแปนซีที่มีอาการป่วยด้วยอาการหวัดฝูง ทำให้มีชื่อเรียกว่า Chimpanzee Coryza Agent (CCA) ก่อนจุพบว่าสามารถติดต่อไปสู่คนได้ โดยสามารถแยกเชื้อได้จากเด็กเล็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 1 ปีที่มีลักษณะปอดบวมและก็เมื่อต้นปี พุทธศักราช 2553 แมกกาซีนแลนเซต ประเทศอังกฤษ รายงานผลวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัส RSV ว่า ทำให้เด็กเป็นปอดบวม หรือปอดอักเสบ เสียชีวิตปีละ 2 แสนราย ซึ่งร้อยละ 99 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วทั้งโลก ติดเชื้อโรคไวรัสดังที่กล่าวมาแล้ว 33.8 ล้านคน เชื้อไวรัสอาร์เอสวีเป็นสาเหตุการตายของเด็กเล็กชั้น 1 เฉพาะในอเมริกาเด็กเสียชีวิตปีละ 2,500 กว่าคน สำหรับประเทศไทยนั้นมีแถลงการณ์ว่าเฉพาะปี พุทธศักราช 2552 มีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ราว 1 ใน 4 ติดไวรัสจำพวกนี้ รวมกว่า 1 หมื่นราย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคอาร์เอสวี โรคอาร์เอสวี เป็นผลมาจากเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus (RSV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในสกุล Pneumovirus และก็อยู่ในตระกูล Paramyxoviridae โดยเป็นเชื้อไวรัสที่พบในคน โดยมักพบอยู่ในโพรงข้างหลังจมูก รวมทั้งจากการเรียนพบว่าเชื้อไวรัสนี้สามารถก่อโรคได้ในสัตว์หลายหมวดหมู่ อย่างเช่น หนู แกะ ฯลฯ โดยปกติไวรัสอาร์เอสวีแบ่งเป็น 2 จำพวกย่อย(Subtype)หมายถึงจำพวก เอ แล้วก็จำพวกบี โดยชนิดย่อย A, มักมีความรุนแรงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าจำพวกย่อย B เชื้อไวรัสอาร์เอสวี ขณะอยู่ในผู้เจ็บป่วยที่มีภูมิต้านทานปกติ ไวรัสนี้สามารถแพร่สู่คนอื่นได้นานราว 1 อาทิตย์ นับจากวันที่คนป่วยเริ่มมีอาการ แต่ว่าถ้าอยู่ในมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำจะแพร่กระจายสู่คนอื่นๆได้นานถึง 4 สัปดาห์
อาการของโรคอาร์เอสวี ไวรัส RSV จำพวกนี้มีระยะฟักตัวโดยประมาณ 1 – 6 คราวหลังจากได้รับเชื้อ โดยส่วนมากมักไม่ค่อยออกอาการรุนแรงในผู้ใหญ่ อาการที่เจอในคนแก่โดยทั่วไปมักคล้ายกับอาการโรคหวัดหมายถึงปวดศีรษะ จับไข้ต่ำ เจ็บคอ ไอแบบไม่มีเสลด มีลักษณะคัดจมูก โดยอาการกลุ่มนี้มักหายได้เองใน 1–2 อาทิตย์ แม้กระนั้นในคนป่วยที่มีความเสี่ยงจะมีลักษณะอาการที่ร้ายแรงเป็นคนป่วยที่มีโรคเรื้อรังเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด หรือในคนไข้ที่มีสภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมักนำไปสู่อาการรุนแรง ยิ่งไปกว่านี้ผู้เจ็บป่วยอีกกลุ่มที่เจอการต่อว่าดเชื้อโรคนี้ได้บ่อยมากและมีอาการร้ายแรงคือ เด็กตัวเล็กๆที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ โดยเฉพาะในเด็กอ่อนจะมีอัตราการเสี่ยงที่จะมีการติดเชื้อโรคในทางเดินหายใจส่วนล่างและทำให้โรคมีความรุนแรงสูง
ในผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการรุนแรงอาจจะมีอาการเริ่มเช่นเดียวกับอาการติดโรคในทางเดินหายใจส่วนบนเป็น มีลักษณะอาการคล้ายหวัดปกติ แต่ว่าต่อไป 1–2 วันอาจจะมีอาการแสดงของการต่อว่าดเชื้อในทางเดินหายใจข้างล่างดังเช่น มีไข้ ไอรุนแรง หายใจติดขัดโดยอาจมีอาการหายใจเร็ว หรือมีเสียงวี๊ดขณะหายใจ
ในเด็กตัวเล็กๆซึ่งยังติดต่อสื่อสารไม่ได้ต้องบางทีอาจจะจำต้องอาศัยการสังเกตอาการ โดยในขั้นแรกจะมีลักษณะอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ซึมลง และกินอาหารได้น้อย ต่อจากนั้น 1–3 วัน จะมีอาการไอ เป็นไข้ หายใจไม่สะดวก หายใจตื้น สั้นๆเร็วๆและอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเสียงตอนหายใจด้วย ในรายที่อาการร้ายแรงมากอาจมีอาการตัวเขียวหรือสภาวะ cyanosis เกิดเนื่องมาจากการขาดออกสิเจนทำให้สีผิวออกม่วงๆโดยมักจะเริ่มมองเห็นจากริมฝีปากหรือที่เล็บ นอกจากนี้แล้วการต่อว่าดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีบางทีก็อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆที่มักพบคือ หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ (otitis media) หรือในภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการตำหนิดเชื้อในทางเดินหายใจด้านล่างอื่นๆได้แก่ หลอดลมอักเสบหรือปวดบวมได้
กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคอาร์เอสวี- คนที่มีภูมิคุ้นกันของร่างกายต่ำมาก
- เด็กคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะอย่างยิ่งรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์
- ผู้ที่มีโรคปอดเรื้อรัง
- คนที่มีโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่มีความผิดธรรมดาสำหรับเพื่อการไหลเวียนเลือด ที่เรียกว่า Cyanotic heart disease
- ผู้สูงวัยที่แก่ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
- เด็กที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า 5 กิโลกรัม
กระบวนการรักษาโรคอาร์เอสวี โดยปกติ แพทย์วินิจฉัยคนเจ็บโรคอาร์เอสวีจากลักษณะทางคลินิก ยกตัวอย่างเช่น ใช้เครื่องที่ช่วยในการฟัง (Stethoscope) เพื่อฟังเสียงกรีดร้องในระบบทางเดินหายใจ เสียงแนวทางการทำงานของปอด หรือเสียงไม่ปกติจากส่วนอื่นๆในร่างกาย รวมทั้งอาศัยแนวทางซักประวัติคนป่วยโดยวิเคราะห์จาก อายุคนเจ็บ เรื่องราวลักษณะของโรค การระบาดในแหล่งที่พักที่อาศัย การระบาดในสถานที่เรียน เป็นต้น แม้กระนั้นบ้างครั้งหากผู้เจ็บป่วยมีลักษณะรุนแรง แพทย์อาจจำต้องวิเคราะห์แยกโรคที่มีต้นเหตุมากจากการตำหนิดเชื้อไวรัสประเภทอื่น หรือจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์ก็เลยจะมีการตรวจค้นเพิ่มเติม ได้แก่
- วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximetry) เพื่อตรวจดูระดับออกสิเจน
- ตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ตรวจค้นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งเจือปนอื่นๆ
- เอกซ์เรย์ทรวงอก เพื่อตรวจหาโรคปอดอักเสบ
- ตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดเลือกหลั่งในจมูก
ในขณะนี้บางโรงหมออาจจะมีการตรวจรับรองหาเชื้อด้วยแนวทาง RSV Rapid Ag-detection test ซึ่งได้ผลการทดสอบข้างในไม่กี่ชั่วโมง เนื่องมาจากโรค อาร์เอสวี เป็นโรคติดเชื้อโรคที่เกิดขึ้นจากไวรัสจึงทำให้ไม่มียารักษาอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวการดูแลรักษาก็เลยเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาขยายหลอดลม ฯลฯ ส่วนในรายที่เริ่มมีลักษณะรุนแรง ดังเช่นว่า อิดโรย หอบ มีค่าออกสิเจนในเลือดลดน้อยลง อาจมีการให้ยาพ่นขยายหลอดลม ร่วมกับการให้ออกสิเจน ในรายที่มีอาการรุนแรงมากมาย บางทีอาจจะต้องมีการใส่ท่อช่วยหายใจหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ นอกเหนือจากนี้บางครั้งก็อาจจะต้องมีการให้สารน้ำทดแทนเพื่อคุ้มครองภาวการณ์ขาดน้ำโดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็ก ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการตำหนิดเชื้ออื่นๆมักจะได้รับยาฆ่าเชื้ออื่นๆที่เหมาะสมตามอาการ
การติดต่อของโรคอาร์เอสวี การตำหนิดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเท้าหายใจยกตัวอย่างเช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ฯลฯ และเชื้อไวรัสจำพวกนี้สามารถทนอยู่นอกร่างกายได้หลายชั่วโมง ดังนั้นนอกจากการได้รับเชื้อผ่านการไอจามใส่กันแล้ว ยังสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสิ่งของที่แปดเปื้อนเชื้อไวรัสแล้วนำเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ปากรวมทั้งเยื่อบุดวงตาได้ ตอนหลังการได้รับเชื้อคนไข้สามารถแพร่ขยายเชื้อได้ตั้งแต่ข้างหลังติดโรค 2–3 วันไปจนกระทั่ง 2–3 สัปดาห์ ด้วยเหตุดังกล่าวในผู้ป่วยที่เริ่มมีลักษณะอาการแสดงควรลดการแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆโดยการใส่ผ้าปิดปาก ส่วนผู้ที่จะต้องคลุกคลี่กับคนป่วยก็ต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆรวมถึงสวมหน้ากากอนามัยทุกหนด้วยเหมือนกัน
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรค อาร์เอสวี - พักผ่อนให้เต็มกำลัง หยุดงาน หยุดสถานศึกษา จวบจนกระทั่งไข้จะลงปกติแล้ว 48 ชั่วโมง
- ล้างมือเสมอๆและก็ทุกครั้งก่อนอาหารรวมทั้งหลังเข้าห้องน้ำภ
- แยกเครื่องใช้ต่างๆจากคนภายในบ้าน
- ไม่ไปในที่คับแคบ/ที่ชุมชน
- รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
- กินอาหารมีประโยชน์ครบทั้ง 5 กลุ่ม
- ในกรณีที่เจอแพทย์แล้ว ให้กินยาต่างๆที่หมอสั่งให้ครบถ้วนบริบูรณ์
- กินน้ำมากๆด้วยเหตุว่าน้ำจะช่วยให้สารคัดเลือกหลัง ดังเช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนถึงเกินความจำเป็น และไม่ไปกีดกั้นหลักการทำงานของระบบฟุตบาทหายใจ
- นั่งหรือนอนในตำแหน่งที่หายใจได้สะดวก อาทิเช่น นั่งหลังตรง ไม่ห่อตัว ใช้หมอนที่ไม่นุ่มหรือแข็งเหลือเกิน
- ใช้ยาหยอดจมูก เพื่อช่วยลดอาการบวมของจมูก บางทีอาจล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและดูดน้ำมูกเพื่อทำให้ฟุตบาทหายใจเตียนโล่งขึ้น
- ถ้าหากอาการต่างๆเลวลง ให้รีบไปโรงพยาบาล อาทิเช่น ไข้สูงขึ้น ไอเยอะขึ้น มีเสลดมากเพิ่มขึ้น เสมหะกลายเป็นสีอื่น ดังเช่น เขียว น้ำตาล เทา
การปกป้องตัวเองจากโรคอาร์เอสวี เพราะในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV จึงทำให้มีการเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มาก ก็เลยควรจะมีการคุ้มครองป้องกันตนเองดังต่อไปนี้
- ล้างมือให้สะอาด ล้างมือบ่อยๆเป็นต้นว่า ก่อนมื้อของกิน หลังเข้าห้องสุขา ฯลฯ
- ทำความสะอาดบ้านอยู่เป็นประจำ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ โดยเฉพาะกระดาษชำระที่ใช้แล้ว ควรทิ้งลงถังสำหรับใส่ขยะที่ปิดมิดชิด
- ไม่สมควรใช้แก้วน้ำร่วมกับคนอื่นๆ ควรที่จะใช้แก้วน้ำของตนเอง และหลบหลีกการใช้ถ้วยน้ำที่ผู้ป่วยใช้แล้ว
- ไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกับคนไข้ที่เป็นหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียน หรือในที่ชุมชนที่มีคนหนาแน่น ในตอนระบาดของโรค
- เมื่อต้องอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคอาร์เอสวี เพราะว่าโรคอาร์เอสวี เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วก็สามารถติดต่อได้ทางสารคัดเลือกหลั่งของร่างกายโดยการ ไอ จาม รดกัน ซึ่งจะมีการฟุ้งกระจายของละอองน้ำมูก น้ำลายของคนไข้ซึ่งหากคนที่อยู่ใกล้ชิด สูดเอาละอองนั้นไปก็จะมีการติดต่อกันรวมทั้งการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆที่ปนเปื้อนในสิ่งของต่างๆของผู้ป่วยด้วย ซึ่งเป็นโรคที่มีปัจจัย,อาการ รวมทั้งการติดต่อคล้ายกับโรคหวัดมากมาย นอกจากยังเป็นโรคในระบบทางเท้าหายใจเช่นเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นสมุนไพรที่จะช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคอาร์เอสวีนั้น จึงเป็นสมุนไพรชนิดเดียวกันกับโรคไข้หวัด (อ่านหัวข้อสมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคหวัดในเรื่องโรคไข้หวัด)
เอกสารอ้างอิง- อาจารย์ ดร.ภก.ปิยทิพย์ ขันตยาภรณ์.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ไวรัสร้ายของลูกน้อย.โรคอาร์เอสวี (RSV).ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล.ไวรัส RSV เชื้ออันตรายที่คล้ายไข้หวัด. Rama Channal. ภาควิชากุมรเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
- Dawson-Caswell,M., and Muncle, JR, H. Am Fam Physician.2011;83(2):141-146
- Mayo Foundation for Medical Education and Research. Respiratory syncytial virus (RSV). [Accessed on July 2016]
- ไวรัสRSV-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
- Krilov L.R. Respiratory Syncytial Virus Infection. [Accessed on July 2016]
- Falsey,A. et al. NEJM.2005;352(17): 1749-1762
Tags : โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี