กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 44
91  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเหงือปลาหมอ เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างมากมาย เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2018, 06:08:19 pm
เหงือกปลาหมอ
ชื่อสมุนไพร  เหงือกปลาหมอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน  แก้มหมอ (จังหวัดสตูล) , อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง) , แก้มหมอเล (กระบี่) , นางเกร็ง,จะเกร็ง อื่นๆอีกมากมาย
ชื่อวิทยาศาสตร์     Acanthus ebracteatus Vahl. (เหงือกปลาแพทย์ดอกสีขาว)
Acanthus ilicifolius L. var. ilicifolius (เหงือกปลาแพทย์ดอกสีม่วง)
ชื่อสามัญ  Sea Holly.
สกุล  ACANTHACEAE
บ้านเกิดเมืองนอน เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของไทยพวกเราด้วยเหตุว่ามีประวัติสำหรับในการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้งและก็ชอบพบบ่อยในรอบๆป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งลำคลอง เจริญวัยได้ดีในที่ร่มและมีความชุ่มชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ถูกใจที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้เช่นเดียวกัน เหงือกปลาแพทย์ พบอยู่ 2 จำพวกหมายถึงจำพวกดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบบ่อยในภาคกลางและภาคตะวันออก ประเภทดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. พบทางภาคใต้ อีกทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นพันธุ์ไม่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป

  • ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราวๆ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 1.5 เซนติเมตร
  • ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบใบและก็ปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบวาวลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแนวก้าง เนื้อเรือใบแข็งแล้วก็เหนียว ใบกว้างประมาณ 4-7 ซม. แล้วก็ยาวราว 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
  • ดอกเหงือกปลาหมอ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราวๆ 4-6 นิ้ว ทั้งนี้สีของดอกขึ้นกับจำพวกของต้นเหงือกปลาหมอคือ ดอกมีประเภทดอกสีม่วง หรือสีฟ้า และก็ชนิดดอกสีขาว แต่ว่าลักษณะอื่นๆเหมือกันคือ ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบดอกเป็นท่อปลายบานโต ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร รอบๆกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
  • ผลเหงือกปลาหมอ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวราวๆ 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ข้างในฝักมีเม็ด 4 เมล็ด

การขยายพันธุ์ เหงือกปลาหมอสามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยแนวทางเพาะเม็ดแล้วก็การใช้กิ่งปักชำ แต่แนวทางที่เป็นที่ชื่นชอบและได้ผลผลิตที่ดีเป็นการใช้กิ่งปักชำ นำกิ่งที่ไม่แก่และไม่อ่อนกระทั่งเกินความจำเป็น อายุ 1-2 ปี มาชำลงในดินโคลน รอรดน้ำให้เปียกแฉะ โดยประมาณ 2 เดือน จะผลิออกราก จึงกระทำย้ายปลูก ก่อนปลูกควรจะจัดเตรียมแปลงปลูก ระยะปลูก 80x80 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยหมัก ให้ปุ๋ยคอกหว่านรอบโคนต้นปีละ 2 ครั้งๆละ 1 กิโลกรัม/ต้น ให้ปุ๋ยบ่อยขึ้นในกรณีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตบ่อยมาก ทำให้ต้นชำรุดทรุดโทรม ใบเป็นสีเหลือง กำจัดวัชพืชดูแลรักษาแปลงให้สะอาด
                หลังปลูก 1 ปี จึงจะเก็บผลิตผล โดยตัดกิ่งให้แพทย์ทั้งต้น (โคน) ให้เหลือความยาวกึ่งหนึ่ง เพื่อแตกใหม่ในปีหน้า กิ่งที่ได้เอามาสับเป็นท่อนๆละ 6 นิ้ว นำไปผึ่งแดดกระทั่งแห้งดี หรืออบแห้ง กิ่งรวมทั้งใบสด  3 กก. จะตากแห้งได้ 1 กก. แล้วก็ผลิตผลจากต้นอายุ 1 ปี จำนวน 4 ต้น (กอ) จะมีน้ำหนักสด 1 กิโลกรัม
ส่วนประกอบทางเคมี ในใบพบสาร : alpha-amyrin, beta-amyrin, ursolic acid apigenin-7-O-beta-D-glucuronide, methyl apigenin-7-O-beta-glucuronate campesterol, 28-isofucosterol, beta-sitosterol ในรากเจอสาร : benzoxazoline-2-one, daucosterol, octacosan-1-ol, stigmasterol อีกทั้งต้นเจอสาร : acanthicifoline, lupeol, oleanolic acid, quercetin, isoquercetin, trigonelline , dimeric oxazolinone
คุณประโยชน์ ยาสมุนไพรพื้นเมือง ใช้  ใบ ต้มกับน้ำดื่ม แก้นิ่วในไต ทั้งต้น 10 ส่วน กับพริกไทย 5 ส่วน ทำเป็นยาลูกกลอน แก้โรคกระเพาะ ขับเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ ต้น ใช้รักษาแผลฝีหนอง ใช้  ใบและต้น แก้ตกขาว โดยตำเป็นผงละลายน้ำผึ้ง หรือน้ำมันงา ปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน
               หนังสือเรียนยาไทย  ใช้  ใบ รสเค็มกร่อยร้อน ตัดรากฝีด้านใน และด้านนอกทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยบำรุงรักษารากผม แก้ประป่าดง ใบเป็นยาอายุวัฒนะ รักษาตกขาว , ตกขาวของสตรี ใบสด แก้ไข้ ผื่นคันฝี แก้ฝีทราง หรือใช้ใบสดเอามาตำให้ละเอียด ใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัด พอกฝี และก็แผลอักเสบ ต้นแล้วก็เม็ด มีรสเผ็ดร้อน รักษาฝี แก้โรคน้ำเหลืองเสีย เมล็ด ใช้เป็นยาขับพยาธิ เป็นยาแก้ไอ ขับเลือด แก้ฝี ทั้งยังต้น มีรสเค็มกร่อย อีกทั้งต้นสด รักษาโรคผิวหนังพวกพุพอง น้ำเหลืองเสีย และก็ผื่นคันตามร่างกาย ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ พิษฝีภายใน ตัดรากฝีทั้งผอง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย เป็นยาอายุวัฒนะ ต้มอาบ แก้พิษไข้หัว แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ตำพอก ปิดหัวฝี แผลเรื้อรัง คั้นเอาน้ำทาหัวบำรุงรากผม ใช้ยั้ง/ต่อต้านมะเร็ว ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาลักษณะของการปวดหัว ราก ใช้รากสด เอามาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคงูสวัด บำรุงประสาท แก้หอบหืด ขับเสมหะ เหงือกปลาแพทย์  5 (ราก,ต้น,ใบ,ผล,เม็ด) มีคุณประโยชน์ช่วยแก้พิษฝี แก้มะเร็ง ช่วยสำหรับเพื่อการเจริญอาหาร ช่วยให้เลือดลดธรรมดา เป็นยาอายุวัฒนะ
แบบอย่าง/ขนาดการใช้

  • ยับยั้งโรคมะเร็งต้านมะเร็ง นำเหงือกปลาแพทย์อีกทั้ง 5 ส่วน (ราก,ต้น,ใบ,ผล,เม็ด) มาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
  • รักษาประจำเดือนมาไม่ดีเหมือนปกติ นำทั้งต้นมาตำผสมกับน้ำมันงารวมทั้งน้ำผึ้งเอามากิน
  • แก้ผื่นคัน นำใบและต้นสดราว 3-4 กำมือเอามาสับต้นน้ำอาบเป็นประจำ 3-4 ครั้ง
  • แก้ไข้หนาวสั่น นำต้นมาตำผสมกับขิง
  • แก้ผิวแตกทั้งตัว นำอีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน และก็ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ
  • ขับเสมหะ บำรุงประสาท แก้ไอ แก้หืด รักษามุตกิดตกขาว นำรากมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
  • รักษาโรคผิวหนัง ขับน้ำเหลืองเสียแก้แผลผุพอง เป็นฝีเสมอๆนำต้น ใบรวมทั้งเมล็ดต้มกับน้ำอาบ
  • ปรับปรุงแก้ไขข้ออักเสบ แก้ปวดต่างๆนำใบมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
  • ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอนไว้กิน
  • ช่วยแก้โรคกษัย อาการผอมเกร็งเหลืองตลอดตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผุยผงรับประทานวันแล้ววันเล่า
  • แก้อาการร้อนทั้งตัว เจ็บระบบตลอดตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาแพทย์และก็เปลือกมะรุมอย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือบางส่วน หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำเดือดกระทั่งงวดแล้วชูลง เมื่อเสร็จให้กลั้นหายใจรับประทานขณะอุ่นๆจนหมด อาการก็จะดีขึ้น
  • รากช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดเอามาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เหมือนกัน
  • แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ
  • ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นและก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน
  • ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย เอามาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้

ในปัจจุบันเหงือกปลาแพทย์ มีการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาแคปซูลสมุนไพรเหงือกปลาหมอ ยาชงสมุนไพรและก็ยาเม็ด มีสรรพคุณใช้รักษาโรคผิวหนังอีกทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นสมุนไพรที่ใช้สำหรับการอบตัวเป็นการอบตัวด้วยละอองน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร และการอบเปียกแบบเข้ากระโจม โดยเหงือกปลาแพทย์มีสรรพคุณสำหรับรักษาโรคผิวหนัง
นอกนั้นเหงือกปลาหมอยังเป็นส่วนผสมในสินค้าเครื่องแต่งหน้าต่างๆเป็นต้นว่า ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมแล้วก็สบู่สมุนไพร เป็นต้น
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ  ทดลองน้ำสกัดจากใบแห้ง ความเข้มข้น 500 มคกรัม/มิลลิลิตร กับหนูขาว พบว่าสารสกัดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยไปยั้งการผลิต leukotriene B-4 แม้กระนั้นสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์เป็น serotonin antagonist  เมื่อเร็วๆนี้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 500 มคกรัม/มล. มีฤทธิ์ยับยั้ง 5-lipoxygenase activity ด้วยกลไกสำหรับในการลดการผลิต leukotriene B-4 ถึง 64% แล้วก็สารสกัดด้วยน้ำ ขนาด 500 มคก./มิลลิลิตร ลดได้ 44% รวมทั้งมีการวิเคราะห์สารสำคัญของเหงือกปลาแพทย์ดอกม่วงที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ พบว่าสารนั้นเป็นพวก dimeric oxazolinone ที่มีสูตรโครงสร้างเป็น 5,5¢-bis-benzoxazoline-2,2¢-dione
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีการทดลองสารสกัดเอทานอล (90%) จากต้นแห้ง (ไม่เคยทราบความเข้มข้น) กับ Staphylococcus aureus พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์ แต่ว่าการทดสอบเมล็ดเหงือกปลาแพทย์ พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ S. aureus
ฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชั่น          มีการทดสอบสารสกัดอัลกอฮอล์จากใบของเหงือกปลาหมอดอกม่วง พบว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์ต้านทานการเกิดอนุมูลอิสระหลายประเภท เช่น superoxide radical, hydroxyl radical, nitric oxide radical และก็ lipid peroxide ฯลฯ นอกจากนั้นสารสกัดจากส่วนผลด้วยเมทานอล เมื่อทดลองในหนูถีบจักร พบฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ โดยมีขนาดที่ยับยั้งได้ 50% (IC50)หมายถึง79.67 มคล./มล. และพบฤทธิ์ยับยั้งการเกิด lipid peroxide โดยขนาดที่ยับยั้งได้ 50% (IC50) คือ 38.4 มคล./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับการเพิ่มภูมิต้านทาน  มีการนำสารสกัดน้ำอย่างหยาบคายจากรากของเหงือกปลาหมอมาทำให้ครึ่งบริสุทธิ์ โดยวิธี gel filtration (Sephadex G-25) เพื่อเรียนฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานที่มีต่อ mononuclear cell (PMBC) ของคนธรรมดา 20 ราย โดยประเมินผลการเล่าเรียนจาก H3-thymidine uptake พบว่าสารสกัดครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ของเหงือกปลาหมอดอกม่วง ที่ความเข้มข้นต่ำ (10 มคกรัม/มล.) สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของ lymphocytes ได้สูงกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (P < 0.05)
การเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ
          เมื่อให้สารสกัดลำต้นแห้งด้วยน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์ ขนาดความเข้มข้น 5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการก่อกลายจำพวก ใน Salmonella typhimurium TA98 และ TA100 แต่ว่าเมื่อให้สารสกัดด้วยน้ำจากส่วนรากกับหนูเพศเมียขนาด 2.7 แล้วก็ 13.5 กรัม/กก. เป็นเวลา 12 เดือน เจอความเป็นพิษต่อตับในตัวทดลอง
หลักฐานความเป็นพิษ และก็ยังมีการศึกษาวิจัยเกี่ยววกับการทดลองความเป็นพิษของเหงือกปลาแพทย์อีกจำนวนมากบอกว่า เมื่อฉีดสารสกัดพืชอีกทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) เข้าทางท้องของหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นปริมาณกึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่ามากกว่า 1 กรัม/กก. ส่วนสารสกัดใบด้วยเมทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) ฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก. และก็สารสกัดจากใบร่วมกับต้นด้วยเมทานอลและน้ำ (1:1) ฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ด้วยเหมือนกัน ค่า LD50 พอๆกับ 750 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สารสกัดจากต้นด้วยเมทานอลและก็น้ำ (1:1) ค่า LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก. เมื่อกรอกสารสกัดใบร่วมกับก้านใบ ลำต้น รากแห้ง ด้วยน้ำหรือน้ำร้อน หรือฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักร (ไม่กำหนดขนาด) ไม่นำไปสู่พิษ รวมทั้งเมื่อกรอกสารสกัดรากแห้งด้วยน้ำให้หนูถีบจักร ในขนาด 0.013 มิลลิกรัม/สัตว์ทดลอง ไม่พบพิษ  ทั้งมีการเล่าเรียนถึงพิษของเหงือกปลาแพทย์ดอกม่วงแบบกะทันหันและแบบครึ่งหนึ่งเฉียบพลันในหนูจำพวกสวิส โดยใช้ส่วนสกัดจากใบรวมทั้งรากแยกกัน ในขนาดความเข้มข้นต่างๆพบว่า สารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่มีพิษอย่างกระทันหัน แต่การใช้เหงือกปลาแพทย์ในขนาดสูงๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้เป็นผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินเยี่ยวได้ รวมถึงมีการทดสอบนำสารสกัดจากรากเหงือกปลาหมอกับ mononuclear cell (PMBC) ของคนภายในหลอดทดสอบโดยใช้สารสกัดอย่างหยาบ พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ขนาด 100 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นพิษต่อ PBMC (P< 0.05) แม้กระนั้นเมื่อนำสารสกัดหยาบมาทำให้ครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์โดยวิธี gel filtration (Sephadex G-25) พบว่าสารสกัดครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ที่ได้ไม่เป็นพิษต่อ PMBC ที่เลี้ยงเอาไว้ภายในหลอดทดลองถึงแม้จะใช้ในความเข้มข้น 1,000 มคกรัม/มิลลิลิตร
การต้านการฝังตัวของตัวอ่อน ให้สารสกัดเอทานอล (90%) ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กับหนูขาวที่ท้อง พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์ต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อน
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง หากแม้ในการค้นคว้าทางด้านพิษวิทยารวมทั้งการทดลองความเป็นพิษของเหงือกปลาหมออีกทั้งจำพวกดอกสีม่วงรวมทั้งจำพวกดอกสีขาว จะมีผลการศึกษาเล่าเรียนชี้ว่า ไม่มีพิษแต่ว่าแต่ การใช้สมุนไพรเหงือกปลาหมอก็คล้ายกับการใช้สมุนไพรประเภทอื่นนั้นก็คือ ไม่ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่สูง แล้วก็ใช้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เพราะว่าอาจส่งผลให้กำเนิดความไม่ปกติหรือผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
เอกสารอ้างอิง

  • เอมอร โสมนะพันธุ์ 2543. สมุนไพรและผักพื้นบ้านกับโรคเอดส์และโรคฉวยโอกาส ในโครงการสัมมนาวิชาการ เรื่อง การดูแลผู้ติดเชื้อเอดส์ด้วยสมุนไพรและผักพื้นบ้าน, 19-21 เมษายน 2543 ณ. ห้องประชุมตะกั่วป่า โรงแรมเจ.บี. อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หน้า 1-26.
  • Hoult JRS, Houghton PJ, Laupattarakesem P.  Investigation of four Thai medicinal plants for inhibition of pro-inflammatory eicosanoid synthesis in activated leukocytes.  J Pharm Pharmacol Suppl 1997;49(4):218.
  • Ghosh, A. et al. 1985. Phytochemistry, 24(เจ๋ง : 1725-1727. http://www.disthai.com/[/b]
  • จงรัก วัจนคุปต์.  การตรวจหาสมุนไพรที่มีอำนาจทำลายเชื้อแบคทีเรีย.  Special Project Chulalongkorn Univ, 2495.
  • เหงือกปลาหมอ.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Nair, A.G.R. and Pouchaname, V. 1987. J. Indian Chem Soc. 64(4) : 228-229.
  • Bhakuni DS, Dhawan BN, Garg HS, Goel AK, Mehrotra BN, Srimal RC, Srivastava MN.  Bioactivity of marine organisms:part VI-screening of some marine flora from Indian coasts.  Indian J Exp Biol 1992;30(6):512-7.
  • Laupattarakesem P, Houghton PJ, Hoult JRS.  An evaluation of the activity related to inflammation of four plants used in Thailand to treat arthritis.  J Ethnopharmacol 2003;85:207-15
  • Bunyapraphatsara N, Srisukh V, Jutiviboonsuk A, et al. Vegetables from the mangrove areas. Thai J Phytopharm 2002;9(1):1-12
  • Minocha, P.K. and Tiwari, K.P. 1981. Phytochemistry, 20: 135-137.
  • ชุลี มาเสถียร ผ่องพรรณ ศิริพงษ์ จงรักษ์ เพิ่มมงคล.  ฤทธิ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันของสารสกัดจากรากเหงือกปลาหมอที่มีต่อ lymphocytes ของคนในหลอดทดลอง.  Bull Fac Med Tech Mahidol Univ 1991;15(2):104.
  • D’Souza L, Wahidulla S, Mishra PD.  Bisoxazolinone from the mangrove Acanthus ilicifolius.  Indian J Chem, Sect B: Org Chem Incl Med Chem 1997;36B(11):1079-81.
  • เหงือกปลาหมอดอกขาว.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Babu BH, Shylesh BS, Padikkala J.  Antioxidant and hepatoprotective effect of Acanthus ilicifolius.  Fitoterapia 2001;72(3):272-7.
  • เหงือกปลาหมอดอกม่วง.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานสมุนไพรคณะเภสัชมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Srivatanakul P, Naka L.  Effect of Acanthus ilicifolius Linn. in treatment of leukemic mice.  Cancer J (Thailand) 1981;27(3):89-93.
  • ปิยวรรณ ญาณภิรัต สุนันทา จริยาเลิศศักดิ์ จงรักษ์ เพิ่มมงคล และคณะ.  การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับพิษของสมุนไพรเหงือกปลาหมอในหนูขาว.  วารสารโรคมะเร็ง 530;13(1):158-64.
  • Piyaviriyakul S, Kupradinun P, Senapeng B, et al. Chronic toxicity of Acanthus ebracteatus Vahl. in rat.  Poster Session 6th National Cancer Conference, Bangkok, Dec. 3-4, 2001.
  • Nakanishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plants. Preliminary chemical and pharmacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;13(7):882-90. 
  •    Jongsuwat Y.  Antileukemic activity of Acanthus ilicifolius.  Master Thesis, Chulalongkorn University, 1981:151pp.
  • Rojanapo W, Tepsuwan A, Siripong P.  Mutagenicity and antimutagenicity of Thai medicinal plants.  Basic Life Sci 1990;52:447-52.
92  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทองพันชั่ง มีทั้งสรรพคุณ เเละ ประโยชน์อันมากมาย เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2018, 01:25:26 pm
ทองพันชั่ง
ชื่อสมุนไพร ทองพันชั่ง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ต้นหญ้าไก่ (ไทย) ,แปะเฮาะเล่งจือ (จีน-จีนแต้จิ๋ว) , หญ้ามันไก่ , ทองพันดุลย์ , ทองคันชั่ง (ภาคกึ่งกลาง) , ผกาฮ้อมบก (จังหวัดสุรินทร์)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Rhinacanthus nasutus (Linn.) Kurz.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Rhinacanthus communis Nees
ชื่อสามัญ   White crane flower
สกุล   Acanthaceae
ถิ่นเกิด ทองคำพันชั่งเป็นไม้ล้มลุกกึ่งไม้พุ่ม มีบ้านเกิดเมืองนอนในประเทศแถบเอเชียใต้แล้วก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริเวณแถบเส้นศูนย์สูตร พบทั่วๆไปในประเทศเขตร้อนของภูมิภาคดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ได้แก่ ประเทศ อินเดีย เกาะมาตุรงค์กัสการ์ , มาเลเซีย อื่นๆอีกมากมาย แล้วมีการกระจายชนิดไปในประเทศเขตร้อนใกล้เคียง ตัวอย่างเช่น บังคลาเทศ , พม่า ,ไทย , อินโดนีเซีย ฯลฯ ส่วนในประเทศไทย มีการประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรรวมทั้งนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ,พืชที่มีความเป็นสิริมงคลมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
ลักษณะทั่วไป

  • ต้น ทองพันชั่งมีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็ก มีความสูงต้นโดยประมาณ 1 - 1.5 เมตร มักแตกหน่อและก็แผ่แขนงออกเป็นกอ ลำต้นและแขนงมีขนประปรายทั่วๆไป กิ่งอ่อนมักเป็นสันสี่เหลี่ยมตามทางยาว ส่วนโคนของลำต้นแก่นไม้แกนแข็ง
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวลักษณะรูปไข่ ปลายใบแล้วก็โคนใบแหลม ขอบของใบเรียบ หรือเป็นคลื่นน้อย ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆแล้วก็แต่ละคู่ออกสลับแนวทางกัน เนื้อใบบางและหมดจด ใบยาว 4 – 6 ซม. กว้าง 2 – 3 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวอ่อน
  • ดอก เป็นดอกช่อขนาดเล็ก มีสีขาวออกเป็นช่อสั้นๆตรงซอกมุมใบ ดูดอกมีลักษณะเหมือน นกยางกำลังบิน (แต่ชาวสุรินทร์เห็นว่าดอกทองพันชั่งคล้ายข้าวเม่าเป็นมีกลีบดอกไม้สี่กลีบตกออกเหมือนข้าวเม่า จึงเรียกต้นทองพันชั่งว่า “บุปผาอ็อมบก” หมายความว่า ต้นดอกข้าวเม่า) กลีบรองดอกมี 5 กลีบ แล้วก็มีขน กลีบดอกสีขาวติดกันตรงโคนเป็นหลอด ยาวราว 2 ซม. ปลายแยกเป็น 2 กลีบ กลีบขนยาวราว 0.8 เซนติเมตร กว้าง 0.1 ซม. ปลายแยกเป็น 2 แฉกแหลมสั้นๆกลีบข้างล่างแผ่กว้าง 1.5 เซนติเมตร แยกเป็น 3 แฉก โคนกลีบมีจุดประสีม่วงแดง เกสรตัวผู้สีน้ำตาลอ่อน มีสองอันยื่นพ้นปากหลอดออกมาน้อย รังไข่มี 1 อัน รูปยาวรี มีหลอดท่อรังไข่คล้ายด้าย ยาวเสมอปากหลอดดอก ก้านเกสรสั้นติดอยู่ที่ปากท่อดอก
  • ผล มีลักษณะเป็นฝัก กลมยาว แล้วก็มีขนข้างใน มี 4 เม็ดเมื่อแห้งสามารถแตกได้
การขยายพันธุ์ ทองคำพันชั่งสามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วย การเพาะเมล็ดและก็นำกิ่งมาปักชำ แต่ว่าในตอนนี้วิธียอดนิยมแล้วก็มีอัตราการปลูกที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีหมายถึงแนวทางการคือตัดกิ่งแก่ที่มีตาติดอยู่ 2-3 ตา แล้วปลิดใบทิ้งให้หมดจากนั้นตัดบริเวณกิ่งให้เฉทำมุม 45 องศา แล้วปักลงไปในดินที่เปียกแฉะน้ำโดยให้กิ่งเอียงบางส่วน ทองพันชั่งเป็นพืชที่เกลียดร่มเงามากมาย (อยากได้ที่ที่มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านมารำไร) มักชอบที่ดินผสมทรายที่มีการระบายน้ำดี ไม่ขังแฉะ รวมทั้งจำต้องรอดูแลการให้น้ำให้ดินเปียกชื้น รวมทั้งต้องคอยกำจัดวัชพืชอยู่เป็นประจำ เนื่องจากถ้าขาดน้ำหรือถูกแสงแดดมากเกินความจำเป็นใบจะเป็นจุดเหลืองและหลังจากนั้นก็ค่อยๆแห้งตาย เพราะฉะนั้นการปลูกควรต้องปลูกเอาไว้ภายในฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใบเจอสารสำคัญคือ rhinacanthin รวมทั้ง oxymethylanthraquinone รากมี Resin Rhinacanthin (1.9 เปอร์เซ็นต์) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้ มีเกลือโปตัสเซียส รวมทั้งมี Oxymethylanthraquinone นอกจากนี้ยังพบสาร  Quinone, Rutin (quercetin - 3 - rutinoside)
สรรพคุณ แบบเรียนยาไทยใช้ ใบ และราก  รักษาขี้กลาก โรคเกลื้อน ผื่นคัน ใบ รสเบื่อเย็น ดับพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้พยาธิผิวหนัง รักษาอาการผมหล่น , ปวดฝี , แก้พิษ , แก้อักเสบ , บำรุงร่างกาย เป็นยาขับฉี่ ยาระบาย  ราก รสเบื่อเมา แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน และโรคผิวหนังที่เป็นน้ำเหลืองบางประเภท   รักษาโรคมะเร็ง ดับพิษไข้ แก้พิษงู พยาธิวงแหวนตามผิวหนัง ทั้งต้น รักษาโรคผิวหนัง กลากโรคเกลื้อน แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน รักษาโรคมะเร็ง ขับพยาธิตามผิวหนังหรือรอยแผล รักษาอาการไส้เลื่อน เยี่ยวผิดปกติ ต้น บำรุงร่างกาย รักษาอาการผมร่วงยิ่งกว่านั้นยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆรักษาโรคต่อแต่นี้ไปคือ

  • ราก - รักษามะเร็งเนื้องอก รักษาโรคมะเร็งปอด กระเพาะลำไส้ มะเร็งตามร่างกาย ทำให้ผมดกดำ แก้ไอเป็นเลือด คลื่นไส้เป็นเลือด แก้ริดสีดวงทวาร ดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง แก้กษัย แก้ผมหงอก ผมหล่น รักษาโรคตับทุพพลภาพ รักษาโรครูมาติเตียนซึม รักษาโรคไขข้อทุพพลภาพ แก้ลมเข้าข้อทำให้ปวดบวมต่างๆขับเยี่ยว แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค
  • อีกทั้งต้น - รักษาโรคผิวหนัง โรคกุฏฐัง แก้เม็ดผื่นคัน
  • ต้น - รักษาโรคมะเร็งเนื้องอก รักษาโรคมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ มะเร็งตามร่างกาย มะเร็งไส้ แก้แมงเคียนรับประทานรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง
  • ใบ - แก้แมงเคียนรับประทานรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง แก้ไข้ แก้ปวดศรีษะตัวร้อน แก้มะเร็งไช แก้หิดมะโคนย รักษาโรคมะเร็ง รักษาวัณโรค แก้หัวใจโกลาหล แก้คลั่ง แก้สารพันพิษ

นอกเหนือจากนี้ในแบบเรียนบางเล่ม ยังได้เอ่ยถึงสรรพคุณทองพันชั่ง โดยมิได้บอกว่าใช้ส่วนใดของพืช หรือส่วนใดในหนังสือเรียนยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆสำหรับการบำบัดรักษาโรคต่างๆดังต่อไปนี้เป็น
- รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคโรคมะเร็ง แก้มุตกิตระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว
- แก้เคล็ดลับปวดเมื่อยชายโครง มือเคล็ด คอกลยุทธ์ แก้มะเร็งในกระเพาะ แก้ฝีประคำร้อย แก้มะเร็งในคอ แก้มะเร็งในปาก แก้ไข้เหนือ แก้จุกเสียด เป็นยาหยอดตา แก้ไอเป็นเลือด แก้ช้ำใน แก้นิ่ว แก้โรคผิวหนัง แก้ลมสาร แก้มะเร็งในปอด แก้มะเร็งภายในแล้วก็ข้างนอก
ทองคำพันชั่งน้ำหนักรักษามะเร็ง ช่วยยับยั้งโรคมะเร็ง ดังเช่นว่า มะเร็งในกระเพาะ มะเร็งในคอ โรคมะเร็งในปาก มะเร็งในปอด ด้วยเหตุว่าต้นทองคำพันชั่งน้ำหนักมีสารสำคัญเป็น “สารแนพโทควิโนนเอสเทอร์” (Naphthoquinone Ester) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีการออกฤทธิ์สำหรับเพื่อการช่วงยั้งโรคมะเร็งเยื่อบุช่องปาก โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก  มีแถลงการณ์ว่าในประเทศไต้หวันใช้ทองพันชั่งน้ำหนักเป็นยาพื้นเมืองในการเยียวยารักษาเบาหวาน โรคผิวหนัง ความดันโลหิตสูง รวมทั้งตับอักเสบ
แบบอย่าง/ขนาดการใช้

  • ทาแก้กลากโรคเกลื้อนหรือโรคผิวหนังผื่นคันอื่นๆใช้ใบสดผสมน้ำมันถ่านหินหรือแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจใช้รากบดเป็นผุยผงแช่แอลกอฮอลล์ 1 อาทิตย์ เอามาทาแก้โรคผิวหนัง ขี้กลากเกลื้อน รวมทั้งผื่นคันอื่นๆใช้ใบหรือรากสด ตำกับน้ำปูนใสผสมพริกไทย พอกแก้โรคผิวหนังเรื้อรัง กลาก รวมทั้งโรคผิวหนังอักเสบ หรือใช้ใบ (สดหรือแห้ง) หรือราก (สดหรือแห้ง) ตำให้รอบคอบ แช่เหล้าเพียงพอท่วมตั้งไว้ 7 วัน นำน้ำยาที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นบ่อยๆหรือทาวันละ 3-4 ครั้ง ตราบจนกระทั่งจะหาย เมื่อหายแล้วให้ทาต่ออีก 7 วัน เหตุที่จำต้องแช่ไว้นาน 7 วัน เป็นเนื่องจากน้ำยาที่ยังแช่ไม่ถึงกำหนดจะมีฤทธิ์กัดผิวหนัง ถ้าหากนำไปทาจะมีผลให้ผิวหนังแสบและคันมากเพิ่มขึ้น น้ำยาจากรากแห้งกัดผิวมากกว่าใบแห้ง
  • ส่วนน้ำยาจากใบสดไม่กัดผิว ใช้กินเป็นยาภายใน รักษาโรคโรคมะเร็ง รวมทั้งวัณโรคระยะเริ่มต้น

o ใช้ต้น สด ปริมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำ จำนวนท่วมใบยา ต้มดื่มต่างน้ำ
o ใช้ก้านรวมทั้งใบสด 30 กรัม (แห้ง 10-15 กรัม) ผสมน้ำตาลกรวดต้มน้ำกิน รักษาโรคปอดระยะเริ่มแรก

  • ช่วยขับปัสสาวะ ให้ใช้ใบสด คั่วให้แห้งเอามาชงเป็นชาใช้ดื่มจะช่วยขับเยี่ยวได้

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและยีสต์     ผลการศึกษาวิจัยการฆ่าเชื้อรา Trichophyton rubrum ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคกลาก โดยแนวทาง paper disc เทียบกับยาต่อต้านเชื้อรา griseofulvin รวมทั้ง nystatin โดยใช้สารสกัดจากใบและก็กิ่ง ด้วยน้ำ แอลกอฮอล์ และก็คลอโรฟอร์ม พบว่าสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์น้อยมาก ส่วนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์รวมทั้งคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้ดีพอสมควร  สารสกัดทองคำพันชั่งน้ำหนักด้วยเมทานอล ไดคลอโรมีเทนรวมทั้งเฮก เซน มีผลยั้งเชื้อรา Epidermophyton floccousm, Microsporum gypseum, Trichophyton mentagrophytes แล้วก็ T. rubrum ที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนัง เมื่อทดลองบนจานเลี้ยงเชื้อ   สาร rhinacanthin C, D และ N ซึ่งแยกจากใบเมื่อนำมาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา บนจานเลี้ยงเชื้อ  พบว่าสารดังที่กล่าวมาแล้ว 3 จำพวก สามารถต้านเชื้อราที่ส่งผลให้เกิดโรคทางผิวหนัง อาทิเช่น  Trichophyton rubrum, T. mentagrophytes และก็ Microsporum gypseum  ได้ โดยที่สาร rhinacanthin C มีฤทธิ์แรงที่สุด  สารสกัด RN-A แล้วก็ RN-B ซึ่งเป็นกรุ๊ป sesquiterpenoid จากใบทองพันชั่งน้ำหนัก มีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับสาร pyrano-1,2-naphthoquinones  สามารถฆ่าสปอร์ของเชื้อรา  Pyricularia oryzae ซึ่งเป็นราที่เป็นสาเหตุของโรคในข้าวเจ้าได้  สาร 3,4-dihydro-3,3-dimethyl-2H-naphtho(2,3-o)pyran-5,10-dione จากทองพันชั่งน้ำหนักมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา              สาร rhinacanthin C, D และก็ N จากใบทองพันชั่ง สามารถยับยั้งยีสต์ Candida albicans ซึ่งเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อราในโพรงปากแล้วก็ช่องคลอด
ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส  สารสกัดใบทองพันชั่งด้วยน้ำแล้วก็เอทานอล เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสในเซลล์เพาะเลี้ยง  พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อไวรัส Herpes simplex type1 (HSV-1) ซึ่งเป็นสาเหตุของเริม  สาร rhinacanthin C และก็ D จากต้นทองพันชั่ง เมื่อเอามาทดลองฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส ในเซลล์เพาะเลี้ยง  พบว่าสามารถยั้งเชื้อ cytomegalovirus ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญอย่างหนี่งของการตำหนิดเชื้อไวรัสในคนเจ็บภูมิต้านทานบกพร่อง  สาร rhinacanthin E และก็ F จากส่วนเหนือดินของต้นทองพันชั่ง เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสที่ส่งผลให้เกิดไข้หวัดใหญ่ได้
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ    สารสกัดต้นทองพันชั่งด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50  เมื่อป้อนหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังในขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม ไม่เจออาการเป็นพิษในหนูเม้าส์ ซึ่งขนาดที่ใช้ทดสอบนี้เป็น 3,333 เท่าของขนาดที่ใช้ในแบบเรียนยา
คำแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง   การเก็บมาใช้ ควรที่จะเก็บใบและก็รากจากต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์แข็งแรงได้รับปุ๋ย, แสงอาทิตย์ รวมทั้งน้ำพอเพียง กล่าวคือใบไม่มีจุดเหลือง มีสีเขียวสดเป็นมัน และควรที่จะทำการเลือกเก็บจากต้นที่มีอายุเกิน 1 ปี หรือออกดอกแล้ว และก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคหืด โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งในเลือด โรคความดันเลือดต่ำ ไม่ควรกินสมุนไพรทองคำพันชั่งน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • นันทวัน บุณยะประภัศร, บรรณาธิการ. 2530. ก้าวไปกับสุมนไพร เล่ม 3 พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพมหานคร:ธรรกมลการพิมพ์.
  • ทองพันชั่ง.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ทองพันชั่ง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Wu, T.S., Tien, J.J., Yeh, M.Y., and Lee, K.H. 1988. Isolation and cytotoxicity of rhinacanthin-A and - B, Two napthoquinones from Rhinacanthus nasutus. Phytochemistry 27 (12) : 3787-3788.
  • มาโนช วามานนท์ และเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, บรรณาธิการ. 2530. ยาสมุนไพร สำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. http://www.disthai.com/[/b]
  • ทองพันชั่ง.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่6.คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้.ตุลาคม 2522
  • ภโวทัย พาสนาดสภณ.สารออกฤทธิ์ในสมุนไพร (Active Ingradients in Herbs). คอลัมน์ บทความวิชาการ.วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี.ปีที่ 27 .ฉบับที่1.กันยายน 2558 – กุมภาพันธ์ .2559. หน้า 120-131
  • ทองพันชั่ง.กลุ่มสมุนไพรแก้มะเร็ง.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  • โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง. 2531. ทองพันชั่ง : แก้กลาก เกลื้อน สังคัง. ข่าวสารสมุนไพร 32 : 32-35.
  • Wongwanakul, R., Vardhanabhuti, N.,Siripong, P., &Jianmongkol, S. (2013). Effects of rhinacanthin-C on function andexpression ofdrugeffluxtransporters in Caco-2cells. Fitoterapia,89, 80-85.
93  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / รู้หรือไม่ว่าการบูรนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่งอย่างมาก เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2018, 10:44:33 am
การบูร (Camphor)
การบูรเป็นยังไง การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ประเภทหนึ่ง ที่มีผลึกแทรกอยู่สะกดรอยแตกของเนื้อไม้รวมทั้งยังสามารถนำลำต้น,ราก,ใบ มากมายลั่นหรือสกัดจนได้ผลึกดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งก่อนนั้น คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “แขนปูร” ซึ่งแสดงว่า “หินปูน” เพราะว่าโบราณเข้าใจว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอมยวนใจ ถัดมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “กรบูร” แล้วก็เป็น “การบูร” ในปัจจุบัน (นักเขียนรู้เรื่องว่า ชื่อการบูรนี้คงจะถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนลักษณะของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดกลมๆเล็กๆมันวาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมหวนเย็นฉุน  มักจะจับกันเป็นก้อนร่วนๆแตกง่าย  ถ้าหากทิ้งเอาไว้ในอากาศ  จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา
สูตรทางเคมีแล้วก็สูตรโครงสร้าง ผลึกการบูรมีชื่อสามัญว่า Camphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกลุ่มเทอร์พีนที่พบได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo 2.2.1heptan-2-one รวมทั้งมีชื่ออื่นๆเช่น 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa  มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ และมีสูตรองค์ประกอบดังนี้
มูลเหตุ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากแก่นไม้ของต้นการบูรและก็การกลั้นหรือสกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ของต้การบูร[/url]คือ สมุนไพรการบูร มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า การะบูน การบูร (ภาคกลาง), อบเชยญวน (ไทย), ประพรมเส็ง (งู), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (ภาษาจีนกลาง) เป็นต้น ชื่อวิทยาศาสตร์  Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng.  ชื่อสกุล Lauraceae
การบูร เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของจีน ประเทศญี่ปุ่น แล้วก็ไต้หวัน และมีการกระจัดกระจายจำพวกไปในแถบ   เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย อินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล สหรัฐฯ และก็ประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มไม้กว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบคาย ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนแก่นไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อเอามากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอมสดชื่น โดยยิ่งไปกว่านั้นที่ส่วนที่ของรากแล้วก็โคนต้น เพาะพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และกรรมวิธีการปักชำ
ใบเป็นใบผู้เดียว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 5.5-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบของใบเรียบหรือเป็นคลื่นบางส่วน แผ่นใบค่อนข้างเหนียว ด้านบนสีเขียวเข้ม วาว ข้างล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบโดยประมาณ 3-8 มม. แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม แล้วก็ตามเส้นกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนเหลื่อมหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กมากยิ่งกว่าเกล็ดชั้นในเป็นลำดับ
ดอกช่อแบบแยกกิ่งก้านสาขาออกตามเป็นกลุ่มบริเวณง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกสั้นมากมาย กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ข้างนอกเกลี้ยง ข้างในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 รวมทั้งวงที่ 2 หันเข้าข้างใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออกภายนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน  ต่อมรูปไข่กว้างและก็มีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิด 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ข้างในสุด รูปร่างคล้ายลูกศร มีขนแต่ไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวราวๆ 1 มม. ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบเสริมแต่งเรียวยาว หล่นง่าย มีขนอ่อนนุ่มผลรูปไข่ หรือกลม สำเร็จมีเนื้อ ยาว 6-10 มม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกกลายเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ออกดอกราวมิถานายนถึงกรกฎาคมซึ่งการบูรจากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วๆไปทั้งต้น ชอบอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ มีสูงที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงมากขึ้นมา ในใบแล้วก็ยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย แล้วก็จะมีน้อยกว่าใบแก่  ส่วนการสร้างการบูร จะใช้ขั้นตอนการกลั่นด้วยละอองน้ำ (ซึ่งบางทีอาจไม่สามารถกลั่นการบูรได้เองภายในครัวเรือน เนื่องด้วยจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆของลำต้นและรากการบูรที่แก่เกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วค่อยนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะตกผลึกเป็นก้อนสีขาวๆแยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย หลังจากนั้นจึงกรองแยกเอาผลึกการบูร (บางทีอาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ในประเทศอเมริกา จะใช้ใบและก็ยอดอ่อนของต้นที่แก่ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้ว่าจะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แม้กระนั้นสามารถตัดใบแล้วก็ยอดอ่อนมากมายลั่นได้ทุกๆสองเดือน ในตอนนี้การบูรเกือบ 100%ได้จากกระบวนการครึ่งหนึ่งสังเคราะห์จากสารเริ่มต้น คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน
ประโยชน์/สรรพคุณ
หนังสือเรียนยาไทย: “การบูร”  มีรสร้อนปร่าเมา ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวด แก้เคล็ดลับบวม ขัดยอก พลิก แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงต่อย แล้วก็โรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นยาระงับเชื้ออย่างอ่อน ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับเยี่ยว แก้ไข้หวัด และขับลม บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด ยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ ใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมต่างๆอย่างเช่น ยาหอมเทพจิตร นอกเหนือจากนั้นยังคงใช้แก้อาการชักบางประเภท ใช้การบูร 1-2 เกรน แก้ปวดขัดตามเส้นประสาท ข้อบวมเป็นพิษ แก้กลยุทธ์บวม เส้นตกใจ กระตุก ปวดเมื่อยแพลง แก้เจ็บท้อง ท้องร่วง ขับน้ำเหลือง แก้เลือดลม บำรุงกำหนัด ขับเหงื่อ ขับเสมะหะ บำรุงธาตุ แก้โรคตา กระจายลม ขับผายลม นำมาผสมเป็นขี้ผึ้ง เป็นยาร้อน ใช้ทาแก้เพื่อถอนพิษอักเสบเรื้อรัง ปวดยอกตามกล้ามเนื้อ สะบักจม อก เจ็บปวดรวดร้าวตามเอ็น โรคปวดผิวหนัง รอยผิวแตกในช่วงฤดูหนาว แก้พิษสัตว์กัดต่อย วางในห้องหรือตู้ที่มีไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้าไล่ยุงและก็แมลง
          บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้การบูร ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ ในยารักษาหลายกลุ่มอาการ ยกตัวอย่างเช่น  “ยาธาตุบรรจบ” มีสรรพคุณของตำรับ ใช้บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ และอาการอุจจาระธาตุทุพพลภาพ ท้องร่วงที่ไม่ติดโรค ฯลฯ, ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับในการทุเลาอาการปวดตามเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับสำหรับในการรักษาเมนส์มาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อชูว่าธรรมดา ทุเลาลักษณะของการปวดประจำเดือน  และขับน้ำคาวปลาในหญิงข้างหลังคลอดบุตร
ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าการบูรซับทางผิวหนังได้ดี และก็รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสกับผิวหนังเหมือนกันกับเมนทอล มีฤทธิ์เป็นยาชารวมทั้งต้านจุลชีวันอย่างอ่อนๆใช้ทาเฉพาะที่แก้กลยุทธ์บวม ขัดยอก พลิก แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และก็โรคผิวหนัง นอกเหนือจากนั้นยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทศูนย์กลาง นอกจากนี้ยังมีการนำการบูรมาใช้ประโยชน์อื่นๆอีกเช่น

  • ช่วยแก้รอยผิวหนังแตกในฤดูหนาว
  • การบูรเมื่อนำมาวางในห้องหรือตู้ที่มีไว้สำหรับใส่เสื้อผ้าจะสามารถช่วยไล่ยุงและก็แมลง รวมทั้งยังเอามาผสมเป็นตัวขจัดกลิ่นอับในรองเท้าได้อีกด้วย
  • กิ่งไม้และก็ใบสามารถประยุกต์ใช้แต่งกลิ่นของกินและขนมได้ ได้แก่ สินค้าเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ ไส้กรอก เบคอน ข้าวหมกไก่ ลูกกวาด แยม เยลลี่ เครื่องดื่มวัวค้างวัวลา เหล้า หรือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องพะโล้ เครื่องแกงมัสมั่น ผงกะหยี คุกกี้ เค้ก อื่นๆอีกมากมาย ใช้แต่งกลิ่นยารวมทั้งใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารจำพวกผักดอง ซอส เป็นต้น
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • รากของต้นการบูรมีน้ำมันหอมระเหย 3% ซึ่งประกอบไปด้วย azulene, cadinene, camphene, camphor, carvacrol, cineol, citronellol, citronellic acid, fenochen, limonene, phellandene, pinene, piperiton, piperonylic acid, safrole และ terpineol ส่วนใบของต้นการบูรเจอ camphor และ camperol
  • แก่นไม้ของต้นการบูรเมื่อนำมากลั่นด้วยละอองน้ำ จะได้การบูรและก็น้ำมันหอมระเหยรวมกันประมาณ 1% ซึ่งมี acetaldehyde, betelphenol, caryophyllen, cineole, eugenol, limonene, linalool, orthodene, p-cymol, และ salvene
  • ราก กิ่ง และก็ใบ พบน้ำมันระเหยโดยเฉลี่ยราว 3-6% โดยในน้ำมันระเหยจะมีสารการบูรอยู่ราว 10-50% รวมทั้งพบว่าต้นการบูรยิ่งมีอายุมากแค่ไหน จะพบว่ามีสารการบูรมากตามไปด้วย โดยเจอสาร ต่างๆตัวอย่างเช่น Azulene, Bisabolone, Cadinene, Camphorene, Carvacrol, Safrol เป็นต้น
  • ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ เล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในหลอดทดลองของการบูร โดยนำสารสกัดหยาบคายจากใบการบูร สกัดด้วย 80% methanol แล้วนำสารสกัดที่ได้ มาผ่านการแยกโดยใช้  hexane แล้วก็ ethyl acetate (EtOAc) จากการทดลองพบว่าสารสกัด hexane รวมทั้ง EtOAc ขนาด 100 μg/ml ของการบูร สามารถยั้งการผลิตสารที่เกี่ยวโยงกับการอักเสบดังเช่น  interleukin (IL)-1b, IL-6 และ tumor necrosis factor (TNF-α) จากเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 cells ของหนู ซึ่งถูกกระตุ้นโดย  lipopolysaccharide (LPS) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้ในช่วง 20-70% และก็สามารถยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ได้ 65% สารสกัดหยาบคายด้วย 80% methanol  และก็ส่วนสกัดย่อย hexane แล้วก็ ethyl acetate สามารถยับยั้งการสร้าง prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในกรรมวิธีอักเสบ ในเซลล์ macrophages ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS หรือ IFN-gamma ได้ 70% แล้วก็สารสกัด hexane  รวมทั้ง ethyl acetate ในขนาด 100 μg/ml สามารถยั้งการกระตุ้น β1-integrins (CD29) ซึ่งเกี่ยวพันกับการขัดขวางไม่ให้มีการจับกลุ่มของโมเลกุล แล้วก็เซลล์ในระบบภูมิต้านทานที่จะมารวมตัวกันบริเวณที่เกิดการอักเสบ โดยสามารถยับยั้งได้ 70-80% ด้วยเหตุนั้นก็เลยสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบการบูรมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยเกี่ยวข้องกับการหยุดยั้ง cytokine, NO แล้วก็ PGE2
  • ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย การเรียนฤทธิ์ยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Staphylococcus aureus (เป็นเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร แผล ฝีหนอง และอีกหลายระบบภายในร่างกาย) ของสาร camphor ที่สกัดได้จากต้นการบูร และเป็นส่วนประกอบหลักของ essential oil จากต้นการบูร ทดลองด้วยแนวทาง agar disk diffusion วัดผลด้วยการวัดค่า inhibition zone พบว่า camphor ในขนาดความเข้มข้น 2% สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus ได้ แต่ไม่มีผลยับยั้งเชื้อ E.coli

การเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าช่องท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่งมากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก. เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้หมาในขนาด 5 ซีซี/กก. ไม่เจอพิษ
มีรายงานว่าการกินการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้รับประทานเกินครั้งละ 2 กรัม จะทำให้สลบ และก็เป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต รวมทั้งสมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษ คือ อ้วก คลื่นไส้ ปวดศีรษะ วิงเวียนหัว กล้ามเนื้อสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองดำเนินงานผิดพลาด เกิดภาวะงงงัน ดังนี้
สังกัดขนาดที่ได้รับ ธรรมดาแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อรับประทานเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกกลายเป็นสารกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกซิเจนในโมเลกุล เกิดเป็นสาร campherolแล้วจะจับกับ glucuronic acid ในตับ เกิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ และก็ถูกขับออกทางฉี่ แต่ว่าหากได้รับในปริมาณสูงเกินความจำเป็น ก็จะมีการตกค้างจนถึงก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ และก็ไตได้
         การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นกลางอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะก่อให้กำเนิดอาการนิดหน่อยถึงปานกลาง เช่น การระคายเคืองต่อจมูก ตา รวมทั้งลำคอ ขนาดที่ส่งผลให้เกิดพิษรุนแรงต่อชีวิต แล้วก็สุขภาพเป็น 200 mg/m3ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดขึ้นมาจากการรับประทาน อาทิเช่น คลื่นไส้ คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ชัก หมดสติ หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตจากภาวะระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่ทำให้เกิดอาการพิษที่รุนแรง (ชัก สลบ) ในผู้ใหญ่หมายถึง34 mg/kg
        นอกเหนือจากนี้ยังมีแถลงการณ์ว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น  20% หรือมากยิ่งกว่า 30 mg/Kg จะมีผลให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report  กำหนดไว้ว่า มีเด็กหญิงอายุ 3 ปีครึ่ง ทานการบูรเข้าไป โดยไม่ทราบขนาดที่รับประทาน  ปรากฏว่ามีอาการชักแบบกล้ามเกร็งหมดทั้งตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนจะมาถึงโรงหมอ  ผลของการตรวจทางห้องทดลองพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes และระดับแคลเซียม มีค่าปกติ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าธรรมดา และมีอาการอ้วก 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงหมอ เจอสารสีขาว และก็มีกลิ่นการบูรร้ายแรงจากการอาเจียน
ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ สำหรับการรักประทานยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันชัดแจ้งว่าควรจะบริโภคการบูรเท่าไร ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแม้กระนั้นในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่ควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งหมายความว่า มีปริมาณของการบูร 2 มิลลิกรัมในสารละลาย 1 ลิตร ด้วยเหตุนี้ในการใช้การบูรทั้ง การรับประทานแล้วก็การสูดดมความต้องระมัดระวังแล้วก็ใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ข้อเสนอ/ข้อควรระวัง

  • สตรีตั้งครรภ์ ไม่ควรรับประทานการบูร
  • ผู้ที่เป็นโรคท้องผูกริดสีดวงทวารเยี่ยวแสบขัดเป็นเลือดไม่ควรรับประทาน
  • น้ำมันการบูรที่มีสีเหลืองหรือน้ำตาลห้ามใช้ เนื่องมาจากมีความเป็นพิษสูง
  • ความเข้มข้นของกลิ่นการบูรที่มีมากมายอาจส่งผลให้เป็นโทษต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปอดและก็ตับได้
เอกสารอ้างอิง

  • (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “การะบูน , การบูร”.   หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  หน้า 60-62.
  • Chen W, Vermaak I, Viljoen A. Camphor-A Fumigant during the Black Death and a Coveted Fragrant Wood in Ancient Egypt and Babylon-A Review. Molecules. 2013:18;5434-5454.
  • “การบูร Camphor Tree”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).    หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  หน้า 82.
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดมมีอันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์Drug Tips.ฉบับที่5 กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า 6-7
  • Narayan LtCS, Singh CN. Camphor poisoning—An unusual cause of seizure. Medical Journal, Armed Forces India. 2012;68:252-253.
  • การบูร.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/.[/b]
  • (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “การบูรต้น”.  หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  หน้า 72.
  • Gupta N, Saxena G.antimicrobial activity of constituents identified in essential oils from mentha and cinnamomum through gc-ms. International Journal of Pharma and Bio Sciences. 2010;1(4):715-720.
  • การบูร.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.Manoguerra AS, Erdman AR, Wax PM, Nelson LS, Caravati EM, Cobaugh DJ, et al. Camphor poisoning: an evidence-based practice guideline for out-of-hospital management. Clinical Toxicology. 2006;44:357-370.
  • (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เกล็ดการบูร (Camphor)”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.   หน้า 74.
  • การบูร.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • Lee HJ, Hyun E-A, Yoon WJ, Kim BH, Rhee M, Kang HK, et al. In vitro anti-inflammatory and anti-oxidative effects of Cinnamomum camphora extracts. J Ethnopharmacology. 2006;103: 208–216.
  • การผลิตการบูรแบบง่าย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันทวัน บุณยะประภัศร,อรนุช โชคชัยเจริญพร.การบูร.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน.เล่ม1.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ.2539.
94  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรหญ้าหนวดเเมว มีสรรพคุณดีอย่างไร-เเละสามารถรักษาโรคได้อย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2018, 09:28:21 am

ต้นหญ้าหนวดแมว
ชื่อสมุนไพร  หญ้าหนวดแมว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น  พยับก้อนเมฆ (จังหวัดกรุงเทพมหานคร) บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ์), อีตู่ป่าดง (เพชรบุรี) หญ้าหนวดเสือ
ชื่อสามัญ Kidney tea plant, Cat’s whiskers, Java tea, Hoorah grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ Orthosiphon aristatus (Blume) Miq.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Orthosiphon grandiflorus Bold. ,Orthosiphon stamineus Benth.
วงศ์ Lamiaceae หรือ Lamiaceae
ถิ่นเกิด  หญ้าหนวดแมวจัดเป็นพืชป่าในเขตร้อนชื้นมีถิ่นกำเนิดแถวทวีปเอเชียใต้แถบประเทศอินเดีย , บังคลาเทศ , ศรีลังกาแล้วก็ทางตอนใต้ของจีนแล้วมีการกระจัดกระจายประเภทไปสู่ในประเทศเขตร้อนที่ใกล้เคียง (ในเอเซียอาคเนย์) เช่น เมียนมาร์ ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย อื่นๆอีกมากมาย ในประเทศไทย มีการนำหญ้าหนวดแมวมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคนิ่วรวมทั้งขับฉี่มานานแล้ว จนกระทั่งในปัจจุบันมีการทำการศึกษาเกี่ยวกับต้นหญ้าหนวดแมวว่าสามารถเยียวยารักษาโรคและก็ภาวการณ์ต่างๆได้มากมายหลายโรคก็เลยทำให้ความนิยมชมชอบสำหรับในการใช้หญ้าหนวดแมวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ลักษณะทั่วไป   ต้นหญ้าหนวดแมวมีลักษณะ ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุก ขนาดเล็ก เนื้ออ่อน สูง 30-60 ซม. มีอายุยาวนานหลายปี ลำต้นและก็กิ่งก้านค่อนข้างจะเป็นสี่เหลี่ยมเห็นได้ชัดเจน มีสีม่วงแดง รวมทั้งมีขนนิดหน่อย แตกกิ่งก้านสาขามากมาย โคนต้นอ่อนโค้ง ปลายตั้งชัน ตามยอดอ่อนมีขนกระจัดกระจาย ใบเป็นลำพัง ออกตรงกันข้าม สีเขียวเข้ม รูปไข่ หรือรูปสี่เหลี่ยมผ่านหลามตัด ตามเส้นใบมักมีขน กว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 5-10 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆเว้นเสียแต่ขอบที่โคนใบจะเรียบ มีขนตามเส้นใบอีกทั้งด้านบนและก็ด้านล่าง เนื้อใบบาง ก้านใบยาว 2-4.5 เซนติเมตร มีขน ดอก มีสีขาว หรือขาวอมม่วงอ่อน ออกเป็นช่อกระจะตั้งขึ้น ที่ปลายยอด เป็นรูปฉัตร ยาว 7-29 เซนติเมตร มีดอกย่อยประมาณ 6 ดอก ขนาดดอก 1.5 ซม. ดอกจะบานจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน ริ้วประดับประดารูปไข่ ยาว 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีก้าน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง งอนิดหน่อย ยาว 2.5-4.5 มิลลิเมตร เมื่อได้ผลสำเร็จยาว 6.5-10 มม. ด้านนอกมีต่อมน้ำมันหรือเป็นปุ่มๆกลีบโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดตรงเล็ก ยาว 10-20 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นปากสองปาก ปากบนใหญ่กว่า ปากบนมีหยักตื้นๆ4 หยัก โค้งไปทางด้านหลัง ปากข้างล่างตรง โค้งเป็นรูปช้อน เกสรเพศผู้มี 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ คู่ข้างล่างยาวกว่าคู่บนเล็กน้อย ก้านเกสรยาว เกลี้ยง ไม่ติดกัน ยื่นยาวออกมานอกกลีบเห็นได้ชัดเหมือนหนวดแมว อับเรณูเป็น 2 พู ข้างบนบรรจบกัน ก้านเกสรเพศเมียเรียวเล็ก ยาว 5-6 เซนติเมตร ปลายก้านเป็นรูปตะบอง ปลายสุดมี 2 พู ผลได้ผลแห้งไม่แตก รูปขอบขนานกว้าง แบน แข็ง สีน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็ก ยาวโดยประมาณ 1-2 มม. ผลจะรุ่งเรืองเป็น 4 ผลย่อยจากดอกหนึ่งดอก ตามผิวมีรอยย่น ออกดอกและติดผลราวกันยายนถึงตุลาคม ถูกใจขึ้นที่เปียกชื้น มีแดดรำไรในป่าขอบลำน้ำ หรือน้ำตก
การขยายพันธุ์ ต้นหญ้าหนวดแมว เป็นไม้ล้มลุกที่เติบโตได้ดิบได้ดีในดินเปียกชื้น คล้ายกับกระเพรารวมทั้งโหระพา ก็เลยทนต่อภาวะแห้งได้น้อย โดยเหตุนี้ การปลูกหญ้านวดแมวควรต้องเลือกสถานที่ปลูกที่ค่อนข้างจะเปียกชื้นเสมอหรือมีระบบระเบียบให้น้ำอย่างทั่วถึง แต่ในฤดูฝนสามารถเติบโตได้ทุกพื้นที่
                ทั้งยังต้นหญ้าหนวดแมวเป็นพืชถูกใจดินร่วนซุย รวมทั้งมีสารอินทรีย์สูง โดยเหตุนี้ ดินหรือแปลงปลูกควรเพิ่มเติมอินทรียวัตถุ อาทิเช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอก ก่อนพรวนผสมกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้ากันและก็กำจัดวัชพืชออกให้หมด
ส่วนการปลูกต้นหญ้าหนวดแมว ปลูกได้ด้วย 2 แนวทาง เป็น

  • การปักชำกิ่ง ตัดกิ่งที่ยังไม่ออกดอก ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ต่อจากนั้น เด็ดกิ่งแขนง รวมทั้งใบออกด้านโคนกิ่งออก ในความยาวประมาณ 5 เซ็นต์ พร้อมทั้งเด็ดยอดทิ้ง ก่อนเอามาปักชำ ซึ่งอาจปักชำในกระถางหรือปักชำลงแปลงปลูก
  • การโปรยเมล็ด นำเมล็ดหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้ โดยหว่านให้เม็ดมีระยะห่างกันประมาณ 3-5 ซม. ก่อนให้น้ำ ใส่ปุ๋ย รวมทั้งดูแลจนถึงต้นกล้าอายุประมาณ 20-30 วัน หรือสูงราวๆ 10-15 เซนติเมตร ก่อนแยกปลูกลงแปลงถัดไป

ต้นหญ้านวดแมว เป็นพืชที่อยากได้ความชื้นสูง ถ้าเกิดขาดน้ำนาน ลำต้นจะเหี่ยว รวมทั้งตายได้เร็วทันใจ ด้วยเหตุนี้ กล้าหญ้าหนวดแมวหรือต้นที่ปลูกเอาไว้ภายในแปลงแล้ว จะต้องมีการให้น้ำอย่างต่ำ 2 วัน/ครั้ง
การเก็บเกี่ยว หญ้าหนวดแมว มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120-140 วัน ข้างหลังปลูก บางทีอาจเก็บเกี่ยวด้วยการถอนทั้งยังต้นหรือทยอยเด็ดเก็บกิ่งมาใช้ประโยชน์ก็ได้
องค์ประกอบทางเคมี
ต้นหญ้าหนวดแมวมีองค์ประกอบทางด้านพฤกษเคมีที่เด่นเป็น สารกรุ๊ป phenolic compoundsตัวอย่างเช่น rosmarinic acid, 3’-hydroxy-5, 6,    7, 4’-tetramethoxyflavone, sinensetin และก็eupatorin รวมถึง pentacyclic triterpenoid ที่สำคัญเป็น betulinic acid2 ยิ่งกว่านั้นยังพบ glucoside orthosiphonin, myoinositol, essential oil, saponin, alkaloid, phytosterol, tannin พบสารกรุ๊ปฟลาโม้น ดังเช่น sinensetin, 3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxy flavones Potassium Salf ในใบ และHederagenin, Beta-Sitosterol, Ursolic acid ในต้นอีกด้วย
ซึ่งสารในหญ้าหนวดแมวกลุ่มนี้มีรายงานฤทธิ์ทางสรีรวิทยาและเภสัชวิทยามากมายก่ายกอง ตัวอย่างเช่น การขับเยี่ยว ลดระดับกรดยูริค (hypouricemic activity) ป้องกัน ตับ ไต และก็กระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต ต่อต้านสารอนุมูลอิสระหรือปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน ต้านการอักเสบ เบาหวาน และจุลชีวัน ลดไขมัน (antihyper-lipidemic activity) ลดความอยากรับประทานอาหาร (anorexic  activity)  และปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunomodulation)
 
 
 โครงสร้างทางเคมีของสารพฤกษเคมีในหญ้าหนวดแมว (a)    rosmarinic acid, (b)  3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxyflavone, (c) eupatorin, (d) sinensetin, (e) betulinic acid
                 
     Tannin ที่มา: Wikipedia                      Myo-inositol   ที่มา: Google
สรรพคุณ  หญ้าหนวดแมวเป็นสมุนไพรที่คนประเทศไทยได้ประยุกต์ใช้รักษาโรคมานานแล้ว โดยมีคุณประโยชน์ตามตำราไทยเป็นใบมีรสจืดชืด ใช้เป็นยาชงแทนใบชา กินขับฉี่ ขับนิ่ว แก้โรคไต แล้วก็กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แก้เมื่อย รวมทั้งไขข้ออักเสบ แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ ทุเลาอาการไอ แก้โรคหนองใน ราก ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ทั้งยังต้น แก้โรคไต ขับปัสสาวะ รักษาโรคกระษัย รักษาโรคปวดตามสันหลัง และบั้นท้าย รักษาโรคนิ่ว แก้หนองใน รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ล้างสารพิษในไต
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น มีผลการศึกษาเรียนรู้บอกว่า หญ้าหนวดแมวมีคุณประโยชน์

  • ความดันเลือดสูง หญ้าหนวดแมวทำให้ความดันเลือดลดลง แล้วก็ยังสามารถลดภาวะหลอดเลือดหดตัวได้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ไม่เป็นอันตรายในคนป่วยกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น
  • การตำหนิดเชื้อระบบฟุตบาทปัสสาวะ โรคนี้หมอมักแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากมายๆโดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกแม้กินน้ำมากๆก็จะสามารถช่วยทำให้หายได้โดยไม่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ การกินน้ำมากมายๆราวกับเป็นการช่วยให้เชื้อโรคถูกขับออกไทยจากระบบทางเดินปัสสาวะไปเรื่อยๆยิ่งขับออกเร็วมากเท่าใดลักษณะโรคก็จะหายเร็วขึ้นมากเท่านั้นหากเชื้อสะสมอยู่ในระบบทางเดินฉี่ก็จะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งสารกลุ่ม cytokines โดยยิ่งไปกว่านั้น interleukin 6  ที่ได้ผลทั้งเฉพาะที่ในระบบฟุตบาทฉี่และกระทบไปทั่วร่างกาย (systemic effect) คือนำไปสู่การปวด อักเสบ และมีไข้ได้ หญ้าหนวดแมวก็ยังสามารถช่วยลดการอักเสบ ปวด ไข้ แล้วก็คุ้มครองไม่ให้เชื้อเกาะติดเนื้อเยื่อระบบทางเท้าปัสสาวะ เชื้อก็จะหลุดออกไปกับน้ำปัสสาวะได้เร็วขึ้น
  • เบาหวาน หญ้าหนวดแมวทำให้น้ำตาลในกระแสโลหิตลดลงเพราะยั้งเอนไซม์ α-glucosidase รวมทั้ง  α-amylase  รวมถึงลดพิษจากการได้รับกลูโคสจำนวนสูง ก็เลยสามารถนำมาใช้ในคนไข้โรคเบาหวานได้โดยสวัสดิภาพและตำราเรียนยาโบราณยังบางทีอาจใช้รักษาโรคเบาหวานได้ด้วย
  • นิ่ว ต้นหญ้าหนวดแมวเป็น hypourecimic agent คือขับกรดยูริกออกจากกระแสโลหิต ลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริกได้ ทั้งยังยังลดการบิดเจ็บในไตที่เกิดจากนิ่ว calcium oxalate ได้ด้วย
  • โรคมะเร็ง ต้นหญ้านวดแมวเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็งหลากหลายประเภทรวมทั้งลดการผลิตหลอดเลือดใหม่ไม่ให้แตกออกไปเลี้ยงก้อนเนื้อโรคมะเร็ง จึงได้ผลดีสำหรับการร่วมรักษาโรคมะเร็งได้
  • ท่อเยี่ยวตีบแคบ ต้นหญ้าหนวดแมวถือว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์มากมายสำหรับการช่วยขับปัสสาวะในผู้เจ็บป่วยที่มีปัญหาในเรื่องท่อปัสสาวะตีบแคบซึ่งเจอได้ย่อยในคุณผู้หญิงสูงอายุ ด้วยเหตุว่าทำให้กล้ามเนื้อเรียบของท่อปัสสาวะคลายตัว
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ ตามตำรายาไทยเจาะจงได้ว่า

  • ใช้ขับปัสสาวะ
  • ใช้กิ่งกับใบหญ้าหนวดแมว ขนาดกึ่งกลาง ไม่แก่หรืออ่อนกระทั่งเหลือเกิน ล้างสะอาด เอามาผึ่งในที่ร่มให้แห้ง เอามา 4 กรัม หรือ 4 จับมือ ชงกับน้ำเดือด 1 ขวดน้ำปลา (750 ซีซี.) เช่นกันชงชา ดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวัน กินนาน 1-6 เดือน
  • ใช้ต้นกับใบวันละ 1 กอบมือ (สด 90- 120 กรัม แห้ง 40- 50 กรัม ) ต้มกับน้ำกิน ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 ซีซี.) วันละ 3 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร
  • ใช้แก้นิ่ว/ขับนิ่ว ให้นำใบอ่อน (ไม่ใช่ดอก) ขอบหญ้าหนวดแมว โดยประมาณ 2-3 ใบ (ควรจะเก็บช่วงที่หญ้าหนวดแมวกำลังมีดอก) มาหั่นเป็นท่อนโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร ตากแดดให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อน (ประมาณ 2 กรัมต่อน้ำร้อน 1 แก้ว) ปิดฝาทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที ใช้ดื่ม วันละ 3-4 ครั้ง
  • แก้อาการคลื่นเหียน อ้วก หนังสือเรียนยาให้ใช้ใช้ทั้งยังใบ แล้วก็กิ่งต้มน้ำรวมกับสารส้ม ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนกินอาหาร

การเรียนรู้ทางพิษวิทยา การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของหญ้าหนวดแมวส่วนใหญ่จะมีด้านฤทธิ์การขับเยี่ยวรวมทั้งฤทธิ์ในการรักษานิ่ว ยกตัวอย่างเช่น

  • มีสารฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทดสอบป้อนทิงเจอร์ของสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 50 รวมทั้งจำนวนร้อยละ 70 ให้หนูแรทพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีฤทธิ์ขับเยี่ยวและก็ขับโซเดียมได้ดีมากว่าสารสกัดด้วยเอทานอลความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 70 แม้กระนั้นขับโปแตสเซียมออกได้น้อยกว่า นอกจากนี้สารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 ยังมีฤทธิ์ขับกรดยูริคเจริญมาก รวมทั้งพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 50 มีปริมาณสารสำคัญ ดังเช่นว่า sinesetine, eupatorine, caffeic acid รวมทั้ง cichoric acid สูงกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 70 แต่ว่ามีสาร rosemarinic acid น้อยกว่า
  • ฤทธิ์สำหรับในการรักษานิ่ว มีการศึกษาฤทธิ์สำหรับเพื่อการรักษานิ่วในทางเดินฉี่ส่วนบนของต้นหญ้าหนวดแมวเปรียบเทียบกับการรักษามาตรฐานด้วยไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ แล้วก็โซเดียมไบคาร์บอเนต พบว่าคนเจ็บที่ได้รับหญ้าหนวดแมวมีการขับเคลื่อนของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บมากกว่า และก็ช่วยลดการใช้ยารับประทานแก้ปวดได้มากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยามาตรฐาน แม้กระนั้นไม่ได้ต่างอะไรกันอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ผู้ป่วยที่ได้รับต้นหญ้าหนวดแมวจะมีความดันโลหิตลดลงนิดหน่อย ตอนที่กลุ่มที่ได้ยามาตรฐานจะมีความดันเลือดลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คนไข้ที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีชีพจรในระยะเริ่มต้น (วันที่ 3 ของการทดสอบ) เร็วขึ้น แต่ว่าไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับโปแตสเซียมในเลือด กลุ่มที่ได้ยามาตรฐานจะมีเม็ดเลือดแดงในฉี่ในวันที่ 30 ของการทดสอบลดน้อยลง ความเคลื่อนไหวของความถ่วงจำเพาะของฉี่ทั้งคู่กรุ๊ปไม่ต่างอะไรกัน ตอนที่พบผลข้างเคียงในกรุ๊ปที่ใช้หญ้าหนวดแมวน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน แม้กระนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกเหนือจากนี้ มีรายงานผลของการรักษานิ่วในไตในคนเจ็บที่ให้รับประทานยาต้มที่เตรียมจากใบต้หญ้าหนวดแมว[/url]แห้ง ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ขนาด 300 มล. ครั้งเดียว ติดต่อกันนาน 1-10 เดือน พบว่า 9 ราย มีการตอบสนองทางสถานพยาบาลที่ดี พบว่าฉี่ของคนป่วยมีลัษณะทิศทางเป็นด่างเพิ่มขึ้น ซึ่งแนะนำว่าน่าจะช่วยลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริคได้


    ยิ่งกว่านั้นยังมีการทำการศึกษาในต่างถิ่นของฤทธิ์ในการบำบัดรักษาและรักษาลักษณะโรคต่างๆดังต่อไปนี้

  • การขับฉี่ (diuresis) ปัจจุบันนี้พบว่าเนื้อเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ (uroepithelial tissue) ที่มีตัวรับขอบ ที่มีตัวรับของ adenosinereceptor  A1 A2A A2B รวมทั้ง A3    สาระสำคัญในหญ้าหนวดแมวมีกลไกการทำงานที่สำคัญเป็น กระตุ้น adenosine receptor ประเภท A1    receptor แม้กระนั้นก็ให้ฤทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องถึง adenosine receptor อีก 3 จำพวกด้วย ทำให้กล้ามเรียบของกระเพาะปัสสาวะหดตัวแต่กล้ามเนื้อเรียบของท่อเยี่ยว (urethra) คลายตัวซึ่งเอื้อต่อการขับฉี่ ก็เลยน่าจะเป็นกลไกที่ประยุกต์ใช้ชี้แจงการขับปัสสาวะได้
  • นิ่วในไต (urolithiasis) เป็นโรคที่ยังถือว่าเป็นปัญหาอยู่มากและยังไม่เคยทราบกลไกที่กระจ่าง ยาแผนโบราณใช้หญ้าหนวดแมวในการรักษานิ่ว Gao และก็ภาควิชาบ่งบอกถึงศักยภาพของต้นหญ้าหนวดแมวสำหรับการแก้ไขนิ่วที่เกิดขึ้นมาจากผลึกของ calcium oxalateในเยื่อไตของตัวทดลอง โดยทำให้สาร biomarker กว่า 20 ชนิดที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อไตเจ็บจากผลึกของ calcium oxalate สามารถกลับสู่ภาวการณ์ปกติได้การปฏิบัติงานของสารในหญ้าหนวดแมวคาดว่าน่าจะผ่านหลายกลไกในลักษณะ multiple metabolicpathways โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมเกือบจะอลิซึมของพลังงานต่างๆกรดอะมิโน taurine hypotaurine purine รวมถึง citrate cycle นอกเหนือจากนั้นยังมีรายงานเพิ่มอีกว่าการขับฉี่บางทีอาจเป็นการช่วยละลายนิ่วรวมทั้งขับออกมากับปัสสาวะง่ายดายมากยิ่งขึ้น ทั้งช่วยขับกรดยูริครวมทั้งคุ้มครอง  uric acid stone formation
  • การติดเชื้อของระบบฟุตบาทเยี่ยว (urinary tract infection, UTI) เมื่อนำหญ้าหนวดแมวมาใช้ในระบบทางเดินปัสสาวะ ผลพลอยได้ที่น่าดึงดูดคือ นอกจากจะขับเยี่ยวที่ช่วยให้ลักษณะของการต่อว่าดเชื้อแล้ว ยังสามารถลดการยึดติดของเชื้อจำพวก uropathognicEscherichia coli กับเซลล์กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เชื้อถูกขับออกไปจากระบบฟุตบาทฉี่ได้ง่ายแล้วก็เร็วขึ้น นอกจากนั้นคุณลักษณะสำหรับในการต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ที่จะลดความเครียดจากสภาวะออกซิเดชัน (oxidative stress) ก็เลยลดการเจ็บที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาออกซิเดชันสำคัญเป็น lipid peroxidation ทำให้ลดการเกิดแผลเป็น (scar formation) ได้
  • การต้านอักเสบ (anti-inflammation) สารสกัดจากใบต้นหญ้าหนวดแมว  (chloroform extract) มีคุณสมบัติตามอักเสบเจริญ ก็เลยมีการนำมาใช้ใน rheumatoid arthritis gout และก็โรคอันเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการอักเสบต่างๆกลไกหนึ่งของสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวที่ลดการอักเสบคือยั้ง cytosolic phospholipaseA2a (cPLA2a) ทำให้การสลาย phospholipid ลดน้อยลงสาร eupatorin และ sinensetin ยับยั้งการแสดงออกของยีน iNOS และ COX-2 ทำให้การสังเคราะห์ nitric oxide และ PGE2 ลดลงเป็นลำดับ เว้นเสียแต่สารกรุ๊ป phenolic compounds  คือ eupatorin และก็sinensetin แล้วสารกรุ๊ป diterpines ในต้นหญ้าหนวดแมวก็สามารถยั้งการสังเคราะห์ nitric oxide ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านี้ยังลดการสังเคราะห์ tumornecrosis factor a อีกด้วย คาดคะเนว่ากลไกการต้านอักเสบผ่าน transcription factor ที่ชื่อ STAT1a
  • การลดไข้ (antipyretic activity)สารสกัดจากต้นหญ้าหนวดแมวมีคุณลักษณะลดการเกิดไข้ได้ขึ้นรถสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็น rosmarinic acid,sinensetin, eupatorin รวมทั้ง tetramethoxy-flavone ข้อดีที่นอกเหนือจากการต่อต้านอักเสบและลดไข้แล้วยังช่วยลดอาหารปวดได้อีกด้วย31 ซึ่งอาการอักเสบ ไข้และก็ปวดจะมักพบสำหรับในการติดเชื้อของระบบฟุตบาทฉี่
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycaemia) การใช้หญ้าหนวดแมวในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานน่าจะมีความปลอดภัยสูงเนื่องมาจากสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของตัวทดลองที่เป็นโรคเบาหวานได้ โดยยั้งเอนไซม์ a-glucosidase เพิ่มการแสดงออกของยีนอินซูลินและก็คุ้มครองปกป้องความเป็นพิษที่เกิดจากการรับกลูโคสขนาดสูงๆ(high glucosetoxicity) โดยผ่านการเติมหมู่ฟอสเฟตให้กับphosphatidylino-sitol 3-kinase (PI3K)

เมื่อกระทำสกัดแยกสาร sinensetin ออกมาทดลองฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์ a-glucosidase และก็a-amylase ก็พบว่าความสามารถของสารบริสุทธิ์sinensetin สำหรับในการยับยั้งเอนไซม์ a-glucosidase สูงขึ้นมากยิ่งกว่าสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว (ethanolic extract) ถึง 7 เท่า ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 0.66 และก็ 4.63 มก.ต่อมิลลิลิตร เป็นลำดับ ระหว่างที่คุณภาพของsinensetin สำหรับในการยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี a-amylase สูงกว่าสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวถึง 32.5 เท่า ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 1.13 แล้วก็ 36.7 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรตามลำดับ จึงคาดการณ์ว่าสาร sinensetin บางทีอาจเป็นสารสำคัญชนิดหนึ่งสำหรับในการออกฤทธิ์ของต้นหญ้าหนวดแมวสำหรับการต้านโรคเบาหวานชนิดที่ไม่ขึ้นกับอินซูลิน (non-insulin-dependent diabetes) ได้

  • ความดันเลือดสูง (Hypertension) สารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดภาวะหลอดเลือดหดรัด (vasoconstriction) ด้วยการขัดขวางตัวรับ alpha 1 adrenergic และก็ angiotensin 1 จึงคงจะไม่เป็นอันตรายในคนป่วยความดันโลหิตสูง นอกเหนือจากการที่จะไม่มีอันตรายในคนไข้ความดันโลหิตสูงแล้วยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาความดันโลหิตสูงได้ด้วย คาดว่าสารสำคัญที่ออกฤทธิ์มาจากกรุ๊ป diterpenes และ methylripario-chromene A
  • พิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxicity)หญ้าหนวดแมวที่สกัดด้วยแนวทาง supercritical carbon-dioxide ได้ผลที่น่าสนใจ สำหรับเพื่อการยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากด้วยความเข้มข้นที่ยับยั้งการเจริญของเซลล์ (inhibitory concemtration) ได้ 50 % เป็นค่า IC50 ต่ำเพียงแต่ 28 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เมื่อเรียนรู้ลงไปในระดับเซลล์ก็พบว่าทำให้เซลล์ตายในลักษณะ apoptosis ซึ่งสามารถมองเห็น nuclearcondensation และก็ความเปลี่ยนไปจากปกติของเยื่อไมโตคอนเดรียได้อย่างชัดเจน เมื่อกระทำการสกัดสาร eupatorin มาทดลองความเป็นพิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็งหลายๆประเภทก็ให้ค่า    IC50  ในระดับตำเป็นไมโครโมล่าร์ ด้วยการขัดขวางวงจรการแบ่งเซลล์ ระยะ G2/M phase จุดเด่นที่เหนือยาเคมีบำบัดในตอนนี้คือ eupatorin ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติ
  • การต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (anti-oxidation) สารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวสามารถลดสารอนุมูลอิสระ ดังเช่น การลดปฏิกิริยา lipid peroxidation ทำให้เยื่อเซลล์ทนทานรวมทั้งแข็งแรง ก็เลยลดการเกิดแผลของระบบทางเท้าปัสสาวะได้  นอกจากลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation แล้วยังสามารถลดการเกิด hydrogen peroxide ได้อีกด้วย ทำให้เซลล์รอดพ้นจากการถึงแก่กรรมแบบ apoptosis ด้วยการเพิ่มการแสดงออกของยีน  Bcl-2  กับลดการแสดงออกของยีน Bax42  Ho แล้วก็แผนกทดสอบการใช้วิธีultrasound-assisted extraction (UAE) มาช่วยสำหรับเพื่อการสกัดสารจากต้นหญ้าหนวดแมวทำได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชันดีขึ้น โดยพบสารrosmarinic  acid,  kaempferol-rutinoside  แล้วก็sinesetine อยู่ในสารสกัดดังที่กล่าวถึงแล้ว

การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบรวมทั้งลำต้นเข้าช่องท้องหนูแรทเพศผู้และก็เพศเมีย หนูเม้าส์เพศผู้รวมทั้งเพศภรรยา พบความเป็นพิษปานกลาง   เมื่อป้อนสารสกัดเดียวดันนี้ให้กับหนูแรททั้งคู่เพศทุกเมื่อเชื่อวันติดต่อกัน 30 วัน ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ค่าการตรวจทางชีวเคมีในเลือด รวมทั้งพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญเมื่อดูด้วยตาเปล่า  แล้วก็เมื่อศึกษาความเป็นพิษในระยะยาวนาน 6 เดือน โดยการป้อนหนูแรทด้วยยาชงด้วยน้ำร้อน ซึ่งมีความแรงเสมอกันกับ 11.25, 112.5 แล้วก็ 225 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนเจ็บโรคนิ่วในท่อไต ไม่พบไม่เหมือนกันของการเติบโต  การกินของกิน ลักษณะภายนอกหรือความประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีเหมือนปกติ และก็ค่าการตรวจทางวิชาชีวเคมีในเลือดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม เว้นเสียแต่จำนวนเกร็ดเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อใช้ยาในขนาด 18 กรัม/โล/วัน พบว่าระดับโซเดียมในเลือดในกลุ่มทดลองทุกกรุ๊ป โปแตสเซียมในหนูเพศภรรยา และคอเลสเตอรอลในหนูเพศผู้ จะหรูหราน้อยกว่ากลุ่มควบคุม   นอกนั้น เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดจากหญ้าหนวดแมว ติดต่อกันนาน 6 เดือน เปรียบกลุ่มควบคุม พบว่า หนูทุกกรุ๊ปมีการเติบโตแล้วก็รับประทานอาหารได้ใกล้เคียงกัน ไม่เจอความไม่ปกติในระบบเลือดวิทยาแล้วก็ความผิดแปลกของอวัยวะภายใน ส่วนการตรวจผลทางวิชาชีวเคมีพบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดทุกขนาดมีระดับโซเดียมต่ำลงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม แต่ว่าระดับโปแตสเซียมมีแนวโน้มสูงขึ้น ในหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 0.96 กรัม/กิโลกรัม/วัน จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยของตับและม้ามมากยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม อย่างไรก็แล้วแต่การตรวจทางจุลพยาธิภาวะไม่พบความผิดแปลกที่เซลล์ตับแล้วก็อวัยวะอื่นๆยกเว้นการโป่งพองของกรวยไตในหนูขาวที่ได้รับสารสกัด 4.8 กรัม/กิโลกรัม/วัน ที่มีจำนวนเพิ่มมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  กล่าวโดยย่อสารสกัดหญ้าหนวดแมวมีพิษน้อย  แต่จำต้องคอยติดตามวัดระดับโซเดียมรวมทั้งโปแตสเซียมถ้าหากใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรคำนึง

  • สำหรับคนที่เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ ไม่สมควรใช้สมุนไพรต้นหญ้าหนวดแมว เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารโพแทสเซียมสูงมาก ถ้าเกิดไตผิดปกติก็จะไม่อาจจะขับโพแทสเซียมออกมาได้ ส่งผลให้เกิดโทษต่อสุขภาพร่างกายอย่างร้ายแรง และก็ยังมีฤทธิ์สำหรับการขับปัสสาวะให้ออกมามากยิ่งกว่าปกติ และเกรงว่าขนาดของโพแทสเซียมที่สูงมากนั้น อาจจะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วผิดปกติ ก็เลยบางทีอาจมีผลเสียต่อโรคหัวใจได้
  • การใช้ใบชองต้นหญ้าหนวดแมวไม่สมควรใช้การต้ม ให้ใช้การชง และควรใช้ใบอ่อน เพราะเหตุว่าใบแก่จะมีความเข้มข้นอาจทำให้มีฤทธิ์กดหัวหัวใจ
  • การเลือกต้นนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ควรจะเลือกต้นที่ดูแข็งแรง แข็งรวมทั้งดก ไม่อ่อนแขวนลงมา ลำต้นมองอ้วนเป็นเหลี่ยม ต้นมีสีม่วงสีแดงเข้ม แล้วก็มองได้จากใบที่มีสีเขียวเข้มวาวและก็ใหญ่
  • การใช้สมุนไพรหญ้าหนวดแมวเพื่อรักษานิ่วจะได้ผลลัพธ์ที่ดีก็เมื่อใช้กับนิ่วก้อนเล็กๆแม้กระนั้นจะไม่ได้เรื่องกับก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่
  • สมุนไพรต้นหญ้าหนวดแมว ไม่ควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน เพราะว่าหญ้าหนวดแมวจะทำให้ยาแอสไพรินไปจับกล้ามเนื้อหัวใจเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • ผลข้างเคียงของต้นหญ้าหนวดแมว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนปกติที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน โดยอาการที่บางทีอาจพบได้เป็น ใจสั่น หา
95  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2018, 10:42:34 am

พิมเสน (Bomed Camphor)
พิมเสนเป็นอย่างไร พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ตัวอย่างเช่น ภิมเสน น่ากลัวเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนจังหวัดตรังกานู พรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” ชาวฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur”  โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหมายถึงพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorแล้วก็พิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงเรื่อๆ(หากเป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงจ้าและก็มีควันมาก ไม่มีเถ้าถ่าน ละลายได้ยากในน้ำ ละลายเจริญในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมสดชื่นเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ สมัยเก่าคนประเทศไทยนิยมใช้ใส่ไว้ในหมากพลูบด
สูตรทางเคมีและสูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดไบไซคิก  แล้วก็เป็นสารกลุ่มเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane  มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมหวนฉุนคล้ายการบูร ติดไฟให้แสงแรงแล้วก็มีควันมากมาย ไม่มีเถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25                gmd -1 และก็มีความถ่วงจำเพาะพอๆกับ 1.011 มีจุดหลอมละลาย 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายชนิดขั้วต่ำ อย่างเช่น น้ำมันปิโตรเลียมอีคุณ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
 
ที่มา : Wikiperdia
แหล่งที่มา พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (ผู้กระทำลั่นของเนื้อไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ประเภท (เข้าใจว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกบัญญัติชื่อไทยไว้ ซึ่งในตำราเรียนยาแผนโบราณส่วนใหญ่ก็จะเอ่ยถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เพราะว่าแม้เรียกว่าต้นพิมเสนบางทีอาจเกิดความสับสน เนื่องจากว่าต้นพิมเสน นั้นยังหมายถึงพืชอีกประเภท เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เชื้อสาย Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในสกุลยางท้องนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งมักพบในรัฐตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชชนิดนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังเช่น Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-สุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดรอบๆลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีแขนงใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบลำพัง ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงและก็แขวน ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมยวนใจ กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามทางยาว เกสรตัวผู้มีจำนวนไม่น้อย ก้านเกสรชิดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบ มี 3 ห้อง ผลได้ผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแบออกเป็นปีก มี 1 เมล็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมหมายถึงพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในตระกูลอบเชย (LAURACEAE), และก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในตระกูลทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา  ซึ่งพิมเสนที่ได้จากการกลั่นพืชชนิดนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” ก็เลยเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากในเกาะไหหลำ
ผลดี/สรรพคุณ แม้ว่าพิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แต่ ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นประเภทธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ แพทย์แผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสลด กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยายับยั้งความกระวายกระวน ทำให้ง่วงซึมแก้เคล็ดขัดยอกคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นส่วนประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมหวน ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกจากนี้ยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
                ในตำราพระโอสถพระนารายณ์: กำหนด “ตำรับยาทรงนัตถุ์”  เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้ปริมาณเท่าๆกัน แล้วก็ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผงละเอียด ใช้จมูกแก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในหัว ตา รวมทั้งจมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง แล้วก็พิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดศีรษะ เวียนหัว แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ แล้วก็ตา นอกจากนั้นพิมเสนยังใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาขี้ผึ้งบี้พระเส้น” ใช้เช็ดนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนยานได้ และก็ในตำรับ “ขี้ผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ชาวไทยพวกเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แต่เนื้อหาเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้าเท่าไรนัก เพราะเหตุว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นอยู่กับเฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และแหลมมลายู จึงทำให้การศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยในต้นไม้ประเภทนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน ตัวอย่างเช่น

  • สารที่พบในพิเสนแท้ ได้แก่ d-Borneol, Humulene, Caryophyllene, Asiatic acid, Dryobalanon Erythrodiol, Dipterocarpol, Hydroxydammarenone2
  • จากการค้นคว้าวิจัยทางเภสัชวิทยาฉบับหนึ่งกล่าวว่า พิมเสนมีฤทธิ์สำหรับการฆ่าเชื้อโรคได้หลายอย่าง ได้แก่ เชื้อในลำไส้ใหญ่, เชื้อราบนผิวหนัง, Staphelo coccus, Steptro coccus และก็ยังใช้ในการรักษาอาการปวดเส้นประสาทหรืออาการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม
  • กลไกสำหรับการออกฤทธิ์ของพิมเสนสำหรับในการลดการอักเสบคือ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้ผิวหนังรอบๆที่ทา ยั้งสารที่นำมาซึ่งการอักเสบจากกลไกของร่างกาย เช่น prostaglandin E2,interleukin เป็นต้น ซึ่งการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตนี้ จะช่วยทำให้ลดลักษณะของการปวดได้เร็วขึ้น

การเรียนทางพิษวิทยา เหมือนกันกับการศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการเล่าเรียนทางพิษวิทยานี้ก็ไม่มีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย ซึ่งบางทีก็อาจจะเนื่องมาจากการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ฯลฯไม้เฉพาะถิ่น แม้กระนั้นก็มีการกำหนดข้อกำหนดสำหรับการใช้พิมเสนไว้ว่า ถ้าหากดมติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากสารนี้นำมาซึ่งอาการเคืองรอบๆฟุตบาทหายใจ นอกนั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นและสงบระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งรวมถึงการใช้เกิดขนาดด้วย
ขนาด/จำนวนที่ควรใช้ ในหนังสือเรียนยาไทยเจาะจงไว้ว่า วิธีใช้พิมเสนสำหรับกิน ให้ใช้ครั้งละ 0.15-0.3 กรัมเอามาบดเป็นผุยผงกับแบบเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรปรุงยาด้วยแนวทางต้ม แม้ใช้ภายนอกให้เอามาบดเป็นผุยผงใช้โรยแผลตามที่อยากได้ ส่วนขนาด/ปริมาณของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป

ข้อแนะนำ/ข้อควรพิจารณา

  • ห้ามดมพิมเสนตอดต่อกันเป็นระยะเวลานานเนื่องจากว่าจะมีผลให้เกิดอาการเคืองบริเวณทางเดินหายใจ
  • พิมเสนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางก็เลยไม่สมควรใช้เกินขนาดที่ระบุ
  • สตรีตั้งท้องห้ามกินพิมเสน
  • การเก็พิมเสน[/url]จะต้องเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรที่จะเก็บรักษาเอาไว้ภายในที่แห้งและก็มีอุณหภูมิต่ำ

    อนึ่งในตอนนี้พิมเสนแท้แทบจะไม่มีแล้ว เพราะว่าราคาแพงแพง ส่วนมากก็เลยใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่มองเห็นกันโดยปกติ ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้ชอบมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าเป็นของแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแม้กระนั้นจะมีผลให้เย็นปากเย็นคอ จึงควรต้องระวังสำหรับในการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย
    เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และคณะ, ตำราพระโอสถพระนารายณ์, หน้า 499, พ.ศ. 2544, สำนักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ
  • ผศ.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์.พิมเสน.ภาควิชา เภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.หน้า1-3
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “พิมเสน”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 386.
  • ชัยนต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์ 2545 คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) http://www.disthai.com/[/b]
  • พิมเสน.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก.
  • เภสัชจุลศาสตร์ของยาหม่องน้ำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • นันทวัน กลิ่นจำปา 2545 เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชัน จำกัด (มหาชน)
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดม อันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์ Drug Tips.ฉบับที่5กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า6-7
96  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2018, 03:25:27 pm

พิมเสน (Bomed Camphor)
พิมเสนคืออะไร พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ตัวอย่างเช่น ภิมเสน น่ากลัวเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนจังหวัดตรังกานู พรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกประเทศอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” ชาวฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur”  โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทเป็นพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและพิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงเรื่อๆ(แม้เป็พิมเสน[/url]บริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงแรงและก็มีควันมากมาย ไม่มีเถ้าถ่าน ละลายได้ยากในน้ำ ละลายเจริญในตัวทำละลายจำพวกขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ แต่ก่อนคนไทยนิยมใช้ใส่ด้านในหมากพลูเคี้ยว
สูตรทางเคมีและก็สูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทไบไซคิก  และก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีคือ C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane  มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงสว่างแรงรวมทั้งมีควันมาก ไม่มีเถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25                gmd -1 แล้วก็มีความถ่วงจำเพาะพอๆกับ 1.011 มีจุดหลอมละลาย 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายชนิดขั้วต่ำ ได้แก่ ปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
 
ที่มา : Wikiperdia
มูลเหตุ พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (การกลั่นของเนื้อไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้จำพวก (รู้เรื่องว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกข้อบังคับชื่อไทยไว้ ซึ่งในแบบเรียนยาแผนโบราณส่วนใหญ่ก็จะเอ่ยถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เพราะว่าถ้าเกิดเรียกว่าต้นพิมเสนอาจเกิดความสับสน เพราะเหตุว่าต้นพิมเสน นั้นยังหมายถึงพืชอีกชนิด เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เครือญาติ Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในวงศ์ยางที่นา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบได้มากในเมืองจังหวัดตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชประเภทนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-เกะสุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ บางทีอาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดโดยรอบลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีกิ่งก้านใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ ค่อยๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงและแขวน ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมสดชื่น กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามทางยาว เกสรตัวผู้มีเยอะมาก ก้านเกสรชิดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอกไม้ มี 3 ห้อง ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแบออกเป็นปีก มี 1 เม็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในสกุลอบเชย (LAURACEAE), แล้วก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในตระกูลทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา  ซึ่งพิมเสนที่ได้จากผู้กระทำลั่นพืชชนิดนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” จึงเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากในเกาะไหหลำ
คุณประโยชน์/สรรพคุณ ถึงแม้พิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แต่ ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นชนิดธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ หมอแผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสลด กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระงับความกระวนกระวาย ทำให้ง่วงซึมแก้กลยุทธ์ปวดเมื่อยคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นองค์ประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมสดชื่น ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกจากนั้นยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
                ในตำราเรียนพระโอสถพระนารายณ์: เจาะจง “ตำรับยาทรงจมูก”  เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้ปริมาณเท่าๆกัน และ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผงละเอียด ใช้จมูกแก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในศีรษะ ตา รวมทั้งจมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง และก็พิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดศีรษะ วิงเวียน แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ แล้วก็ตา นอกจากนี้พิมเสนยังใช้เป็นส่วนประกอบใน “ตำรับยาสีผึ้งบี้พระเส้น” ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ แล้วก็ในตำรับ “ขี้ผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา หากแม้ชาวไทยเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แต่ว่าข้อมูลเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากนัก เนื่องจากว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นกับเฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และคาบสมุทรมลายู ก็เลยทำให้การวิจัยในต้นไม้ประเภทนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ว่าก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน เช่น

  • สารที่เจอในพิเสนแท้ อาทิเช่น d-Borneol, Humulene, Caryophyllene, Asiatic acid, Dryobalanon Erythrodiol, Dipterocarpol, Hydroxydammarenone2
  • จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเภสัชวิทยาฉบับหนึ่งกล่าวว่า พิมเสนมีฤทธิ์สำหรับการฆ่าเชื้อได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น เชื้อในลำไส้ใหญ่, เชื้อราบนผิวหนัง, Staphelo coccus, Steptro coccus รวมทั้งยังใช้สำหรับการรักษาลักษณะของการปวดเส้นประสาทหรืออาการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม
  • กลไกสำหรับการออกฤทธิ์ของพิมเสนสำหรับเพื่อการลดการอักเสบคือ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดรอบๆใต้ผิวหนังรอบๆที่ทา ยั้งสารที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบจากกลไกของร่างกาย ได้แก่ prostaglandin E2,interleukin ฯลฯ ซึ่งการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดนี้ จะช่วยทำให้ลดอาการปวดได้เร็วขึ้น

การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา เช่นเดียวกับการศึกษาทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการศึกษาทางพิษวิทยานี้ก็การศึกษาต่ำกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเนื่องมาจากการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ฯลฯไม้เฉพาะถิ่น แม้กระนั้นก็มีการระบุข้อจำกัดในการใช้พิมเสนไว้ว่า ถ้าเกิดดมกลิ่นต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายได้ เนื่องจากสารนี้กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการระคายรอบๆทางเท้าหายใจ นอกจากนั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นรวมทั้งสงบระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งรวมถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย
ขนาด/ปริมาณที่ควรที่จะใช้ ในตำรายาไทยกำหนดไว้ว่า วิธีใช้พิมเสนสำหรับรับประทาน ให้ใช้ทีละ 0.15-0.3 กรัมนำมาบดเป็นผุยผงเข้ากับตำรายาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรจะปรุงยาด้วยวิธีการต้ม ถ้าหากใช้ด้านนอกให้เอามาบดเป็นผุยผงใช้โรยแผลตามที่อยาก ส่วนขนาด/จำนวนของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะเจาะจงให้ใช้เป็นตำรับๆไป

ข้อแนะนำ/ข้อควรไตร่ตรอง

  • ห้ามดมพิมเสนตอดต่อกันเป็นเวลานานเนื่องจากว่าจะก่อให้กำเนิดอาการเคืองบริเวณทางเดินหายใจ
  • พิมเสนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทศูนย์กลางจึงไม่สมควรใช้เกินขนาดที่ระบุ
  • สตรีตั้งครรภ์ห้ามกินพิมเสน
  • การเก็บพิมเสนจะต้องเก็บเอาไว้ภายในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรที่จะนำไปเก็บเอาไว้ด้านในที่แห้งแล้วก็มีอุณหภูมิต่ำ

อนึ่งในขณะนี้พิมเสนแท้เกือบจะไม่มีแล้ว เพราะเหตุว่าราคาแพงแพง ส่วนมากก็เลยใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่มองเห็นกันโดยทั่วไป ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้ชอบมีรสเผ็ดกัดลิ้น หากเป็นของจากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแม้กระนั้นจะทำให้เย็นปากเย็นคอ จำเป็นจะต้องต้องระวังสำหรับการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และคณะ, ตำราพระโอสถพระนารายณ์, หน้า 499, พ.ศ. 2544, สำนักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ
  • ผศ.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์.พิมเสน.ภาควิชา เภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.หน้า1-3
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “พิมเสน”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 386.
  • ชัยนต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์ 2545 คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) http://www.disthai.com/[/b]
  • พิมเสน.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก.
  • เภสัชจุลศาสตร์ของยาหม่องน้ำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • นันทวัน กลิ่นจำปา 2545 เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชัน จำกัด (มหาชน)
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดม อันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์ Drug Tips.ฉบับที่5กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า6-7
97  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีสมุนไพรรักษาได้ พร้อมทั้งสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2018, 01:37:27 pm

โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction Diseases : ED)
โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ คืออะไร โรค อี.ดี. (E.D.) หรือ คำเต็ม คือ erectile dysfunction diseases ความหมายคือ ความบกพร่องของการแข็งตัวขององคชาต  นี่คือความหมายที่ตรงที่สุด ส่วนคำว่า "หย่อนสมรรถภาพทางเพศ" แพทย์จะใช้ศัพท์ว่า impotent เพราะมีความหมายกว้างกว่า เช่น ความสนใจทางเพศลดลง อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ร่วมเพศไม่ได้ มีความผิดปกติของการหลั่งอสุจิ เช่น หลั่งเร็วเกินไป เป็นต้น ก็จะเรียกอาการเหล่านี้รวมๆ กันว่า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ  แต่ในปัจจุบันมักจะเรียกอาการเหล่านี้รวมๆ กันว่า โรค ED.  โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาสุขภาพ เพศชายที่สำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ของผู้ป่วย และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของชีวิต ซึ่งผู้ป่วยโรคหย่อน สมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่มีโรคหัวใจและโรคความดัน โลหิตสูงเป็นโรคประจำตัว ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูลที่ชัดเจน จึงขาด ข้อมูลทางสถิติที่เป็นปัจจุบัน จากการสืบค้นข้อมูลความชุก โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่เก็บอย่างเป็นระบบใน ประเทศไทย พบข้อมูลล่าสุดเมื่อปีพ.ศ.2542 ซึ่งพบอัตรา ความชุกร้อยละ37.50โดยโรคนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุ และการมีโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคร่วม
            ส่วนกลไกการแข็งตัวขององคชาตนั้นโดยปกติแล้ว "แข็ง" หรือ "ไม่แข็ง" เป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนรู้สึกได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศของตนเอง แต่เชื่อว่ามีไม่กี่คนที่จะเข้าใจถึงกลไกตามธรรมชาติ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ศ.นพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร ได้อธิบายให้ฟังตามหลักวิชาการแพทย์ว่า
"อวัยวะเพศชายเปรียบเทียบเหมือนฟองน้ำ ถ้าหากเราตัดตามขวาง จะเห็นเป็นโพรงเต็มไปหมด ซึ่งโพรงเหล่านี้มีผนังที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อต่างๆ แล้วก็เป็นโพรงที่เลือดจะไหลเข้าไป คือเวลาปกติเลือดแดงจะไหลเข้าไปในโพรงนี้ เพื่อเอาอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ แล้วก็ไหลออกมาเป็นเลือดดำ ทีนี้เวลาจะแข็งตัวเลือดก็จะเข้าไปคั่งในโพรงนี้มากขึ้น โพรงนี้ก็ยืดออกทำให้อวัยวะเพศขยายตัวออกไป พอยืดออกไปมากๆ จะเหมือนปลิงดูดเลือด คือจะเป่งออกก็จะไปกดเลือดดำทำให้ไหลออกไม่ได้ เลือดก็จะขังอยู่ในโพรงนี้มาก นั่นคือการแข็งตัวเต็มที่
"การแข็งตัวขององคชาตต้องมีสิ่งเร้า ซึ่งก็มีหลายองค์ประกอบ เช่น ประการแรกจะเกิดจากการกระตุ้นที่อวัยวะเพศโดยตรง สองเกิดจากการกระตุ้นเร้าอารมณ์ ทางด้านรูป รส กลิ่น เสียง เป็นจินตนาการ และสามเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติสรีรวิทยาของผู้ชายตอนนอนหลับ ซึ่งจะมีการแข็งตัวเป็นระยะๆ ขณะที่หลับไปแล้วโดยที่เจ้าตัวไม่ทราบ บางคนสงสัยว่านอนหลับแล้ว ทำไมองคชาตจึงแข็งตัวได้ อันนี้เข้าใจว่าคงเป็นกลไกตามธรรมชาติ ที่จะนำเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อให้มากขึ้น เพราะถ้าไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนนั้น หรือว่าได้อาหารน้อย ก็จะเสื่อมเหมือนอวัยวะทั่วๆ ไป การแข็งตัวจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ชาย มีการหลั่งอสุจิ หรือหมดความสนใจทางเพศ ภาวะดังกล่าวเลือดที่จะไหลเข้าไปก็ลดลง ฉะนั้นเลือดดำก็จะไหลออกไป เมื่อมีเลือดคั่งอยู่ในฟองน้ำน้อยลง อวัยวะเพศก็อ่อนตัว"
สาเหตุของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศมีสาเหตุที่สำคัญ 2 ประการได้แก่ สาเหตุทางกาย และสาเหตุทางจิตใจ สามารถจัดหมวดหมู่ข้อมูล ของสาเหตุได้เป็น 7 สาเหตุกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

  • อายุที่เพิ่มขึ้น พบว่าอายุที่เพิ่มมากขึ้นพบอุบัติการณ์ การเกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งเกิดจากการเสื่อมของต่อมที่ผลิตฮอร์โมน testosterone ทำให้ระดับฮอร์โมนลดลง
  • โรคประจำตัวพบว่าโรคประจำตัวหลายโรค เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ตามมา ดังนี้

2.1โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีผลกระทบ ทำให้การไหลเวียนของเลือดแดงไปยัง      องคชาตลดลง นอกจากนี้ยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงยังมีผลทำให้องคชาตไม่แข็งตัวอีกด้วย
2.2 โรคเบาหวาน มักพบเมื่อมีอาการแสดง ของโรคเบาหวานตั้งแต่5 ปีขึ้นไป โดยผลกระทบของโรค มีผลต่อการทำลายหลอดเลือด ระบบประสาท และระบบ ฮอร์โมน ประกอบกับการมีโภชนาการต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม เช่น รับประทานอาหารพวกแป้งและไขมันมากเกินไป ทำให้ มีไขมันไปสะสมตามหลอดเลือด ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมของ หลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น
2.3โรคต่อมลูกหมากอักเสบ พบว่าเป็นสาเหตุ หนึ่งที่ทำให้การแข็งตัวขององคชาตไม่เต็มที่และไม่สามารถ ควบคุมการหลั่งอสุจิได้ความรุนแรงขึ้นอยู่กับการอักเสบ ที่เกิดขึ้น

  • การผ่าตัดและการบาดเจ็บในอุ้งเชิงกราน ทำให้ใยประสาทจากบริเวณไขสันหลังที่ไปควบคุมการ

แข็งตัว ขององคชาตถูกตัดหรือถูกทำลาย ส่งผลต่อการหย่อน สมรรถภาพทางเพศตามมา
4.ยาที่ใช้ในการรักษาโรคประจำตัวบางชนิด ซึ่งเป็น สาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ทั้งที่มีหลักฐานที่ชัดเจน
ว่าหลัง การใช้ยาจะส่งผลให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ เช่น ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือยาฮอร์โมนโกลนาโดโทรฟิน ที่ใช้ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ยาต้านโรคลมชัก ยาต้านความดันโลหิตสูงล้วนมีผลให้เกิดโรคหย่อนสมรรถภาพ ทางเพศที่รุนแรงมากขึ้น

  • ภาวะทางจิตใจเช่น ความเครียด ความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า รวมถึงผลจากความคิดด้านลบที่มีต่อ

ตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ความรู้สึกต้องการทางเพศลดลง ทำให้เกิด การหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้

  • สังคมและเศรษฐกิจ พบว่าอาชีพและรายได้ มีผลต่อการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ โดยผู้ที่มี

การศึกษา และรายได้สูง มีโอกาสเกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้น้อยกว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำ เนื่องจากมีการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ในการดูแลสุขภาพอนามัยทั่วไป รวมถึงเรื่องสุขภาพ ทางเพศ และเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ดีกว่า

  • พฤติกรรมสุขภาพและปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

            7.1  การสูบบุหรี่สารเคมีในบุหรี่จะทำลายหลอดเลือด และก่อให้เกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงมะเร็งต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตที่ทำให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศตามมา
             7.2  การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการนอน
พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง
             7.3 การออกกำลังกายผลจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอทำให้ร่างกายแข็งแรงฮอร์โมนในร่างกายสมดุล อารมณ์ร่าเริง แจ่มใส ซึ่งผู้ที่ออกกำลังกายมีโอกาสเกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลย
             7.4 พฤติกรรมทางเพศ เช่น รูปแบบการมีกิจกรรมทางเพศ ค่านิยม ความรู้ความต้องการทางเพศคุณค่า และความรู้สึกนึกคิดต่อการมีเพศสัมพันธ์เช่น การมีพฤติกรรมทางเพศที่รุนแรงแล้วทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บหรือมีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์จนต้องหยุดการมีเพศสัมพันธ์อย่างกะทันหัน ทำให้รู้สึกสูญเสียคุณค่าและ เกิดความรู้สึกผิดต่อการมีเพศสัมพันธ์บางคนจำฝังใจจนถึงขั้นที่พออีกฝ่ายบอกว่าเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ องคชาตจะอ่อนตัวลงอย่างกะทันหันและไม่กลับมาแข็งตัวอีก ส่งผลให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้
อาการของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศนั้นจะมี 3 ลักษณะ
             1. ไม่มีความรู้สึกหรือความต้องการทางเพศ
             2. อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งได้ไม่ดีพอ หรือไม่นานพอที่จะเกิดความพึงพอใจ ในเพศสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย

  • การหลั่งน้ำกามเร็วเกินไป

            นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งระดับความรุนแรงของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศออกเป็น 3 ระดับดังนี้
            ระดับที่ 1 การหย่อยสมรรถภาพทางเพศระดับเล็กน้อย คือ องคชาตสามารถแข็งตัวได้ดีพอสำหรับที่จะมีเพศสัมพันธ์เกือบทุกครั้ง
            ระดับที่ 2 การหย่อนสมรรถภาพทางเพศระดับปานกลาง คือ องคชาตสามารถภาพทางเพศโดยสิ้นเชิง คือ องคชาตไม่สามารถแข็งตัวได้ดีพอสำหรับที่จะมีเพศสัมพันธ์โดยเกิดอาการนี้ทุกครั้งที่มีความรู้สึกต้องการทางเพศ
แนวทางการรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ  การวินิจฉัยภาวะนี้ไม่ยาก คนเป็นเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว ซึ่งแพทย์เพียงแต่จะช่วยหาสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยการซักถามจากประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการง่ายๆ ดังนั้นหน้าที่ของคนไข้คือบอกความจริงแก่แพทย์ให้มากที่สุด
การรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปัจจุบัน การรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่รักษาตามสาเหตุที่เกิด โดยวิธีการรักษาเริ่มตั้งแต่การชี้แนะให้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง การกระตุ้นด้วยอุปกรณ์การใช้ยา และการผ่าตัด ดังรายละเอียดต่อไปนี้คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คือ ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม เพราะถ้าเข้านอนดึกกว่านั้นและยังนอนหลับไม่สนิท จะทำให้การสร้างฮอร์โมนเพศทำได้ไม่สมบูรณ์

การชี้แนะให้ปฏิบัติตัว

  • ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ ฝึกโยคะ เต้นรำ หรือหางานอดิเรกที่ไม่เกี่ยวกับงานที่ทำประจำ ซึ่งควรเป็นงานที่ทำแล้วเพลิดเพลิน สามารถดึงตัวเองออกมาจากความเครียดได้
  • ให้คนอื่นช่วย เช่น เข้าคอร์สการบำบัดความเครียดตามโรงพยาบาลหรือคลินิกสุขภาพ การทำสปา อบไอน้ำ นวดตัวซึ่งมีการนวดหลายแบบให้เลือก อบสมุนไพร อบเซาว์น่า การเข้าคอร์สเพื่อล้างพิษ หรือการฝังเข็มเป็นต้น
  • เมื่อความเครียดลดลงแล้ว เริ่มฟื้นฟูความสามารถทางเพศอย่างที่เคยมีมา ถ้าคุณแต่งงานแล้ว คนที่ควรพูดคุยและขอความร่วมมือก็คือภรรยา ไม่แนะนำให้ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการ เพราะอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การกระตุ้นด้วยอุปกรณ์ การใช้ปั๊มสุญญากาศ เป็นวิธีการรักษาง่ายๆที่ได้ผลดีเกือบร้อยละ 90 แต่อาจรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอีกทั้งการต้องใช้ยางรัดที่โคนองคชาต อาจทำให้ผู้ใช้รำคาญ รู้สึกชา หลั่งน้ำอสุจิไม่สะดวก จึงได้รับความนิยมไม่มากนักอย่างไรก็ตาม การใช้ปั๊มสุญญากาศเป็นวิธีทางเลือกที่เหมาะกับผู้ที่มีรายได้น้อย เพราะลงทุนเพียงแค่ครั้งเดียว
  • การรักษาด้วยยา

3.1 ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ phosphodiesterase-5 (PDE-5 inhibitor) เนื่องจากการกระตุ้นให้องคชาตแข็งตัวนั้น เส้นประสาทในองคชาติจะมีการปล่อยสาร “ไนตริกออกไซด์” ออกมากระตุ้นให้มีการสร้างสารไซคลิกจีเอ็มพี (cGMP) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ sinusoid ในองคชาตหลังจากนั้นองคชาตจึงแข็งตัว โดยสารไซคลิกจีเอ็มพีจะถูกทำลายโดยเอ็นไซม์ PDE-5 ดังนั้น การรับประทานยากลุ่ม PDE-5 inhibitor จึงช่วยชดเชยให้การแข็งตัวขององคชาตดีขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่ ยาซิลเดนาฟิล (sildenafil) และที่กำลังจะวางจำหน่ายอีกหลายชนิด เช่น ทาดาลาฟิล (tadalafil)  และวาเดนาฟิล (vardenafil) โดยให้รับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง ผลข้างเคียงของยาที่พบได้แก่ อาการปวดศีรษะ ร้อนวูบ จากการที่มีหลอดเลือดขยายตัว ซึ่งยามีค่าครึ่งชีวิตที่ยาวนาน คือ ประมาณ 17 ชั่วโมง
3.2 ยากลุ่มอะโปอมร์ฟีน  (apomorphine) ให้อมใต้ลิ้น ประมาณ 10 นาที ก่อนมีเพศสัมพันธ์ยากลุ่มนี้ไม่มีข้อห้ามในการรับประทานกับยากลุ่มไนเตรต ประสิทธิภาพประมาณร้อยละ 50 ได้ผลเร็วภายใน 30 นาที ผลข้างเคียงของยาที่พบได้คือ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่บริเวณศูนย์ควบคุมการแข็งตัวขององคชาตบริเวณ paraventricular nucleus (PVN) ซึ่งอยู่ในบริเวณก้านสมอง
3.3 ยากลุ่มที่ใช้สอดทางท่อปัสสาวะ หรือ medicatedurethral system forerection (MUSE)จะมีตัวยาprostaglandin E-1 ซึ่งออกฤทธิ์เป็นยาขยาย หลอดเลือด แต่การสอดทางท่อปัสสาวะต้องใช้ขนาดยาสูง และร้อยละ30 มีอาการแสบภายในท่อปัสสาวะขณะสอดยา อีกทั้งยามีราคาค่อนข้างสูงจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มนี้จัดว่าเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง
3.4 ยาฉีดเข้าโคนองคชาต (intracavernous injection therapy: ICI) กลุ่มนี้มียาขยายหลอดเลือด หลายๆ ชนิด แต่ที่นิยมมากที่สุดจะเป็นกลุ่ม prostaglandin E-1(caverject) เช่นเดียวกับยาสอด แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ กลัวการฉีดยาเข้าตัวเอง และมีอาการปวดหลังการฉีดได้บ่อย อีกทั้งยามีราคาแพง จึงหมดความนิยมลงไป ทั้งๆ ที่ได้ ผลดีถึงร้อยละ 90

  • การผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียม แกนองคชาต เทียมที่ได้รับความนิยมจะเป็นแบบ 3 ชิ้น คือ มีแกน 2แกน ปั๊มน้ำ และถุงเก็บน้ำ การผ่าตัดทำได้ง่ายมาก มีเพียงแผล ขนาดเล็กระหว่างโคนองคชาตกับถุงอัณฑะ ยาว 1 นิ้ว การผ่าตัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ได้ผลใกล้เคียง กับธรรมชาติแต่มีข้อเสียคือ มีราคาแพงมาก การรักษาแต่ละวิธีนั้น มีข้อดีข้อเสียและความเหมาะสม กับผู้ป่วยแต่ละรายที่แตกต่างกัน
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

  • โรคเรื้อรังทางระบบหลอดเลือดและประสาท เช่น โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบเป็นต้น
  • โรคระบบต่อมไร้ท่อ ที่สำคัญคือโรคเบาหวาน
  • โรคเกิดจากการผ่าตัด หรือภยันตรายต่าง ๆ เช่น การผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก หรือกระเพาะปัสสาวะ โรคของไขสันหลัง
  • โรคทางจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
  • บุหรี่และเหล้า
  • ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงบางตัว ยากล่อมประสาท ยาฮอร์โมน และยาโรคกระเพาะเป็นต้น
การติดต่อของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาทางด้านร่างกาย ซึ่งก็คือโรคภัยต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคระบบต่อมไร้ท่อ ฯลฯ ภาวะโรคทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า รวมถึงการขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และการใช้ยาบางชนิด ซึ่งโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศนี้ ไม่ได้เป็นโรคติดต่อเพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ[/url] [/size][/b]

  • ปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำ หรือกินยา หรือฮอร์โมนตามที่แนะนำ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกายแข็งแรง ซึ่งจะมีผลทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นด้วย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ เพราะจะช่วยในเรื่องการบำรุงสมรรถภาพทางเพศอีกทางหนึ่ง
  • หมั่นพูดคุยปรับความเข้าใจกับภรรยาและทำชีวิตครอบครัวให้เป็นสุข อันจะเป็นการลดความเครียดในครอบครัวที่ส่งผลถึงสมรรถภาพทางเพศ
  • หากเป็นโรคต่างๆที่มีผลกระทบทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศให้รีบทำการรักษาอย่างรวดเร็ว และควรปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำในโรคนั้นๆ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มสุราเพราะมีผลการศึกษาวิจัยพบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
การป้องกันตนเองจากโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

  • หลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะเหล้า บุหรี่ และอาหารไขมันสูง
  • ควบคุมโรคที่เป็นอยู่แต่เนิ่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • บำรุงร่างกาย และจิตใจให้ผ่องใส แข็งแรง
  • รักษาชีวิตครอบครัวให้เป็นสุข
  • ออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะทำให้กล้ามเนื้อต่างแข็งแรง
  • การนวดกระตุ้นองคชาตจะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดที่เข้าไปในองคชาติ เมื่อทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวเนื้อเยื่อแข็งแรง
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คือ ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม เพราะถ้าเข้านอนดึกกว่านั้นและยังนอนหลับไม่สนิท จะทำให้การสร้างฮอร์โมนเพศทำได้ไม่สมบูรณ์

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
กระชายดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Kaempferia parviflora Wall. ex Baker ชื่อภาษาอังกฤษ คือ black ginger อยู่ในวงค์ (Zingiberaceae) ในเหง้ากระชายดำ ประกอบด้วยสารสำคัญต่างๆ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย สารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) กลุ่มฟลาโวน (flavones) เช่น 5,7-dimethoxyflavone, 5,7,4'-trimethoxyflavone, 5,7,3', 4'-tetramethoxyflavone และ 3,5,7,3',4'-pentamethoxyflavone กลุ่มสารแอนโทไซยานิน (antho-cyanins) และสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) อื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วพันธุ์ที่มีเนื้อในเหง้าสีเข้ม จะมีปริมาณสารฟีนอลิกรวมและสารฟลาโวนอยด์สูงกว่าพันธุ์ที่มีเนื้อในเหง้าสีจาง ส่วนพันธุ์ที่มีเนื้อในเหง้าสีจาง จะมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยสูงกว่าพันธุ์ที่มีสีเข้ม  สรรพคุณในตำรายาไทยของกระชายดำ ระบุว่าเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกาม เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ในการใช้แบบพื้นบ้าน จะนำมาทำเป็นยาลูกกลอน โดยเอาผงแห้งมาผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน หรือทำเป็นยาดองเหล้าและดองน้ำผึ้ง
สำหรับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับฤทธิ์ทางชีวภาพ และเภสัชวิทยาของกระชายดำที่สนับสนุนสรรพคุณที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศของกระชายดำ พบว่าสารสกัดเอทานอลจากเหง้ามีผลทำให้พฤติกรรมทางเพศของสัตว์ทดลองดีขึ้น และมีผลต่ออวัยวะสืบพันธุ์โดยเพิ่มน้ำหนักของท่อพักเชื้ออสุจิ ถุงน้ำอสุจิ ต่อมลูกหมาก และกล้ามเนื้อก้นของหนู
สารสกัดจากเหง้ายังมีผลเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศของสัตว์ทดลอง มีฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบองคชาต (carvernosum) ของหนูแรท และกล้ามเนื้อเรียบอวัยวะเพศผู้ของคนที่ได้จากการผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว เลือดจึงไหลเวียนเข้าสู่อวัยวะเพศได้ดี ทำให้อวัยวะเพศเกิดการแข็งตัว นอกจากนี้สารสกัดเอทานอลและสารกลุ่มฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ phosphodiesterase ทำให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดคลายตัวและขยาย เลือดจึงไหลเวียนเข้าสู่อวัยวะเพศได้ดี
การศึกษาในอาสาสมัครเพศชายที่มีสุขภาพดี อายุเฉลี่ย 65.05±3.5 ปี ที่รับประทานแคปซูลสารสกัดเอทานอลจากกระชายดำ ขนาด 25 และ 90 มก./วัน เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าสารสกัด ขนาด 90 มก./วัน มีผลเพิ่มการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางเพศ (erotic stimuli) ของอาสาสมัครได้ โดยเพิ่มขนาดและความยาวขององคชาติ ลดระยะเวลาในการหลั่งน้ำกาม และเพิ่มความพึงพอใจต่อการแข็งตัว (erection satisfaction) และผลยังคงอยู่จนถึง 2 เดือนที่ได้รับสารสกัดอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อหยุดให้สารสกัดก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่แคปซูลกระชายดำไม่มีผลต่อระดับของฮอร์โมน testosterone, FSH, LH, cortisol และ prolactin
จากข้อมูลรายงานการวิจัยจะเห็นว่า กระชายดำมีผลเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ โดยมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศ เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะเพศคลายตัว ส่งผลให้เกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มาสนับสนุนสรรพคุณพื้นบ้านของกระชายดำในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ กระชายดําไม่ได้เป็นยาปลุกอารมณ์ทางเพศ แต่ช่วยทำให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวได้ง่าย และบ่อยขึ้น มีระยะเวลาในการแข็งตัวที่นานขึ้น
กวาวเครือแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Butea superba Roxsb. วงศ์ Fabaceae สรรพคุณ หัวใต้ดิน ทำให้นอนหลับและเสพติดเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง บำรุงความกำหนัด เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ สาระสำคัญ Butenin สารในกลุ่ม Isoflavonvids flavonoids flavonoid glycosides
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นกำหนัด หลอดทดลองและสัตว์ทดลอง

กวาเครือแดงและสารสกัดแอลกกอฮอล์

  • ทำให้จำนวนและการเคลื่อนที่ของอสุจิเพิ่มขึ้น
  • ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลและ testosterone เพิ่มขึ้น
  • ประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาดที่ให้
  • ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ phosphodiesterase (PDE) ทำให้ cavernosal smooth muscle เกิดการคลายตัว ทำให้ปริมาณเลือดที่เข้าไปในองคชาตของเพิ่มขึ้น ความยายขององคชาตเพิ่มขึ้น และเหนี่ยวนให้เกิดการแข็งตัวขององคชาต
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นกำหนด
การทดลองทางคลินิก การศึกษาในเพศชาย อายุระหว่าง 30-70 ปี 17 คน และมีประวัติว่ามีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ให้รับประทานกวาวเครือแดงแคปซูลขนาด 250 มก. วันละ 2 แคปซูล ใน 4 วัน แรก หลังจากนั้นให้รับประทานวันละ 4 แคปซูล จนครบ 3 เดือนแล้ว ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดสมรรถภาพทางเพศ (IIEF-5) ในทุกๆสองสัปดาห์ พบว่า กวาวเครือแดงไม่มีผลต่อค่าเลือดและระดับ testosterone ซึ่งไม่ต่างกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก แต่ผลคะแนนจากแบบสอบถาม  (IIEF-5) พบว่ากวาวเครือแดงทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น 82.4%
ถั่งเช่า (ตังถั่งเช่า ตังถั่งแห่เช่า หญ้าหนอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Ophiocordy ceps sinensis  วงศ์ Ophiocordycipitacceae สรรพคุณ กระตุ้นกำหนัด บำรุงร่างกาย บำรุงปอด ตับ ไต สาระสำคัญ galactomannan, adenosine, cordycepin , cordycepic acid, ergosterol, β-sitosterol, Vitamins, monerals
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นกำหนัด หลอดทดลองและสัตว์ทดลอง การศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัขวิทยาในหลอดทอลองและสัตว์ทดลองพบว่าถั่งเข่ามีฤทธิ์ปรับสมดุลของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านการอักเสบ และกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ
การทดลองทางคลินิก การวิจัยในผู้ชาย 22 คน  ใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม พบว่าช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิและลดปริมาณของอสุจิที่ผิดปกติลง กรณีศึกษาในผู้ป่วยทั้งชายและหญิง 189 คน ที่มีความต้องการทางเพศลดลง พบว่าถั่งเช่าสามารถให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการรับประทานถั่งเช่าจะช่วยปกป้องและช่วยให้การทำงานของต่อมหมวกไตดีขึ้น ฮอร์โมนจากต่อมไทมัสและจำนวนของอสุจิที่สามารถปฏิสนธิได้เพิ่มขึ้น และช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศของผู้หญิงได้
ข้อควรระวังในการใช้ถั่งเช่า

  • ระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
  • ระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
  • ระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
  • ไม่ควรใช้กับหญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร และเด็ก เนื่องจากยังขาดมีข้อมูลด้านความปลอดภัย
  • ห้ามใช้ในคนที่แพ้เห็ด Cordyceps ผู้ป่วยที่มีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยที่มีการเต้นของหัวใจผิดปกติ

นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าอาหารรสเผ็ดร้อนต่างๆ จะช่วยกระตุ้นกำหนัดได้ เช่น เครื่องเทศต่างๆ หัวหอม กระเทียม พริกไทย โสมต่างๆ ในแปะก๊วย (จิงโกะ) เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์.(2547).คู่มือ “เซ็กซ์”กรุงเทพฯ ก.พล.
  • Hatzimouratidis, K., et al. (2554). เพศสัมพันธ์ในผู้สูงอายุ.วารสาร มฉก.วิชาการ,15(29),97-112.
  • จันทร์วิภา ดิลกสัมพันธ์.คุณผู้ชายกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ.คอลัมน์ บทความวิชาการ.วารสารก้าวทันโลกวิทยาศาส
98  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคสะเก็ดเงินมีวิธีรักษาอย่างไร เเละมีสมุนไพรอะไรที่สามารถช่วยรักษาได้บ้าง เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2018, 08:51:19 am

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
รคสะเก็ดเงิ คืออะไร โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคเกล็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ รอยโรคมีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นแดง หนา เจ็บ คัน และตกสะเก็ดเป็นเกล็ดสีเงินปกคลุม จึงได้ชื่อว่าโรคสะเก็ดเงิน โดยเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ผิวหนังอย่างรวดเร็วกว่าปกติโดยการกระตุ้นของสารเคมีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ชนิดเซลล์ที (T-cell) ทำให้เกิดการอักเสบจนเกิดเป็นผื่นหรือปื้นหนาขนาดใหญ่ และโรคสะเก็ดเงินนี้สามารถเกิดกับผิวหนังได้ทุกส่วน แต่ที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังส่วนข้อศอก (ด้านนอก) เข่า (ด้านนอก) ผิวหนังส่วนด้านหลัง หลังมือ หลังเท้า หนังศีรษะ และใบหน้า โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยมาก(ประมาณ 3% ของคนทั่วไปเกิดได้ในทุกอายุตั้ง แต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบได้บ่อยกว่าเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคในเด็กยังมีไม่มาก เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ส่วนโอกาสที่พบในผู้หญิงและในผู้ชายมีใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี ผู้ป่วยประมาณ 30% พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว
ในปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะทางผิวหนัง แต่อาจพบมีสัมพันธ์กับโรคอื่นๆได้แก่  โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และกลุ่ม metabolic syndrome ได้แก่   โรคอ้วน   
                     ที่มา : Wikipedia                       ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน เป็นต้น
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน แต่จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันเช่น อาจเกิดมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันเกิดความผิดปกติ จึงได้ทำลายเซลล์ผิวหนังแทนสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย หรืออาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม คือ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน โดยพบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 65-83% ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือ 28-50% หรือถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่ได้เป็นโรค บุตรคนถัดไปที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 24% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียง 4%  และยังพบว่ายังเกี่ยวข้องกับความผิดปกติอื่นๆ เช่น ความผิดปกติใน metabolism ของ Arachidonic acid และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง บริเวณรอยโรคของ Psoriasis เซลล์ผิวหนังในชั้น epidermis มีการแบ่งตัวเร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนตัวมาที่ผิวนอกภายในเวลา 4วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังหนาเป็นปื้น แต่เซลล์ผิวหนังขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ ทำให้ keratin หลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย มักพบมีอาการกำเริบเวลามีภาวะเครียดทางกาย และจิตใจที่มากเกินไป การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ การขูดข่วนผิวหนัง การแพ้แดด การแพ้ยา (เช่น Chloroquin, Beta-Blocker, Contraceptive, NSAIDs)
อาการของโรคสะเก็ดเงิน  อาการของโรคสะเก็ดเงินนี้มีหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยอาจเป็นชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้ โดยโรคสะเก็ดเงินจำแนกเป็นชนิดต่างๆตามลักษณะทางคลินิกดังต่อไปนี้

  • ชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80%) รอยโรคเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัด ขุยหนาสีขาวหรือสีเงินจึงได้ชื่อว่า”โรคสะเก็ดเงิน” พบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว แขนขา โดยเฉพาะบริเวณ ข้อศอก และหัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเสียดสี
  • ชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) พบได้ประมาณ 10% มีรอยโรคเป็นตุ่มแดงเล็กคล้ายหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขุย ผู้ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และอาจมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
  • ชนิดที่มีตุ่มหนอง (Pustular Psoriasis) เป็นชนิดที่เกิดได้มากในวัยผู้ใหญ่ บริเวณผิวหนังมีตุ่มหนองสีขาวกระจายเป็นวงกว้างและเกิดการอักเสบจนแดง มักพบมากตามแขนขา อาจเกิดการแพร่กระจายไปทั่วลำตัวได้ บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ขึ้น รู้สึกคันตามผิวหนัง ไม่อยากอาหาร
  • ชนิดผื่นแดงลอกทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรงพบได้น้อย (ประมาณ 3%) โดนผิวหนังมีลักษณะแดงและมีขุยลอกเกือบทั่วพื้นที่ผิวทั้งหมดของร่างกาย อาจเกิดจากการขาดยาหรือมีปัจจัยกระตุ้น
  • สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคในบริเวณซอกพับของร่างกาย ได้แก่ รักแร้ ขาหนีบ และใต้ราวนม รอบอวัยวะเพศ เป็นต้น ลักษณะเป็นผื่นแดงเรื้อรังและมักไม่ค่อยมีขุย
  • สะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน ขุยลอก ผื่นอาจพบลามมาบริเวณหลังมือ หลังเท้าได้
  • เล็บสะเก็ดเงิน (Psoriatic nails) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมักพบมีความผิดปกติของเล็บร่วมด้วย ที่พบบ่อยได้แก่ เล็บเป็นหลุม, เล็บร่อน, เล็บหนาตัวขึ้นและเล็บผิดรูป
  • ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจพบมีความผิดปกติการอักเสบของข้อร่วมด้วย ซึ่งพบได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก อาจเป็นข้อเดียว หรือ หลายข้อ ส่วนใหญ่การอักเสบของมือจะเกิดที่ข้อนิ้วมือซึ่งหากเป็นเรื้อรังและทำให้เกิดการผิดรูปได้

    แนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน การวินิจฉัย อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก คือ

    ลักษณะทางคลินิก

    ซักประวัติอาการ

  • เป็นผื่นเรื้อรัง
  • มีหรือไม่มีอาการคัน
  • มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่
  • ผื่นกำเริบภายหลังภาวะติดเชื้อ ความเครียด หรือหลังได้รับยาบางชนิด เช่น lithium, antimalarial , beta-blocker, NSAID และ alcohol


การตรวจร่างกาย

  • ผิวหนัง มีผื่นหนาสีแดง ขอบชัดเจนคลุมด้วยขุยหนาขาวคล้ายสีเงิน ซึ่งสามารถขูดออกได้ง่าย และเมื่อขูดขุยหมาดจะมีจุดเลือดออกบนรอยผื่น (Auspitz’s sign) บนรอยแผลถลอกหรือรอยแผลผ่าตัด (Koebner phenomenon)





โดยผื่นผิวหนังพบได้หลายลักษณะ เช่น ผื่นหนาเฉพาะที่  (Chronic plaque type) ผื่นขนาดหยดน้ำ (Guttate psoriasis)  ผิวหนังแดงลอกทั่วตัว (Erythroderma) ตุ่มหนอง (Pustular psoriasis)

  • เล็บ พบมีหลุม (pitting) เล็บร่อน (onycholysis) ปลายเล็บหนามีขุยใต้เล็บ (subungual hyperkeratosis) หรือจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ (oil spot)
  • ข้อ มีการอักเสบของข้อซึ่งอาจเป็นได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก เป็นข้อเดียว หรือหลายข้อ และอาจจะมีข้อพิการตามหลังการอักเสบเรื้อรัง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจทางพยาธิ พยาธิสภาพของผื่นสะเก็ดเงินจะมีลักษณะเฉพาะ แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกราย อาจทำเพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและช่วยวินิจฉัยโรคในกรณีที่มีปัญหา เช่น การตรวจ KOH เพื่อแยกโรคเชื้อรา และการทำ Patch Test เพื่อแยกโรค Contact dermatitis เป็นต้น



โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้หายขาด แต่การรักษาทำได้เพียงบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดการอักเสบและผิวหนังที่ตกสะเก็ด ชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง และขจัดผิวหนังที่เป็นแผ่นแข็ง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี
โดยแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ขึ้นกับความรุนแรงของโรคดังนี้
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงน้อย หมายถึง ผื่นน้อยกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย (ผื่นขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือเท่ากับพื้นที่ประมาณ1%) ให้การรักษาโดยใช้ยาทาเป็นอันดับแรก
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงมากหมายถึง ผื่นมากกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย พิจารณาให้การรักษาโดยใช้ยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียม หรืออาจใช้ร่วมกันระหว่างยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียมและยาทารวมถึงอาจต้องพิจารณาใช้ยาฉีด
การรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันมีการรักษาอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
ยาทาภายนอก ยาทารักษาโรคสะเก็ดเงิน มีหลายชนิด ได้แก่
     1.ยาทาคอติโคสเตียรอยด์ (topical corticosteroids) ส่วนใหญ่นิยมใช้เนื่องจากเป็นครีมขาวใช้ง่าย และตอบสนองต่อการรักษาดีแต่หากใช้ยาที่แรงเกินไปร่วมกับทาเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผิวหนังบางและเกิดรอยแตกของผิวหนังได้ รวมถึงอาจเกิดการดื้อยาและอาจกดการทำงานของต่อมหมวกไตได้

  • น้ำมันดิน (tar)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ ประสิทธิภาพดี แต่น้ำมันดินมีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็น เวลาทาอาจทำให้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าอาจพบผลข้างเคียงคือเกิดรูขุมขนอักเสบ หรือระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ทายาได้
  • แอนทราลิน (anthralin, dithranol)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ แต่อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังรวมถึงผิวหนังบริเวณที่ทายามีสีคล้ำขึ้นได้
  • อนุพันธ์วิตามิน ดี (calipotriol)มีฤทธิ์ทำให้การแบ่งตัวของเซลผิวหนังกลับสู่ปกติข้อเสียของยานี้คือหากทาบริเวณผิวหนังที่บาง อาจมีการระคายเคืองได้ และยามีราคาแพงปัจจุบันมียาทาที่ผสมระหว่างอนุพันธ์วิตามิน ดี และยาทาคอติโคสเตียรอยด์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง
  • ยาทากลุ่ม calcineurin inhibitor (tacrolimus,pimecrolimus) เป็นยากลุ่มใหม่แพทย์บางรายนำมาใช้ในการรักษาผื่นโรคสะเก็ดเงินบริเวณหน้าหรือตามซอกพับเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาทาคอติโคสเตียรอยด์แต่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากยามีราคาแพง
ยารับประทานรักษาโรคสะเก็ดเงิน พิจารณาให้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ที่ใช้บ่อยในประเทศไทยมี 3 ชนิด

  • เมทโทเทรกเสท (methotrexate) เป็นยาที่ได้ผลดีกับสะเก็ดเงินเกือบทุกชนิด ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ รวมถึงมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลข้างเคียงของเมทโทเทรกเสทที่อาจพบ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หากรับประทานยาติดต่อกันนานหลายปีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งได้ แพทย์จึงต้องทำการตรวจเลือดผู้ป่วยเพื่อดูการทำงานของเม็ดเลือด ตับละไตเป็นระยะ
  • อาซิเทรติน (acitretin) เป็นยารับประทานในกลุ่ม vitamin A ได้ผลดีมากสำหรับสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ ปากแห้งลอก ผิวแห้ง มือเท้าตึงลอก รอบเล็บอักเสบ ระดับไขมันในเลือดสูง และอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้ ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยานี้คือ ห้ามตั้งครรภ์เนื่องจากทารกในครรภ์อาจพิการได้ โดยต้องคุมกำเนิดขณะรับประทานและต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปีหลังหยุดยา
  • ไซโคลสปอริน (cyclosporin) มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งภูมิคุ้มกันของร่างกาย ประสิทธิภาพในการรักษาดีใช้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ผลข้างเคียง ได้แก่ ขนยาว เหงือกบวม เป็นพิษต่อไต และความดันโลหิตสูง ดังนั้นจึงต้องเจาะเลือดติดตามการทำงานของไตและวัดความดันโลหิตเป็นระยะ
การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy)
     เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยจะใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต A (320-400nm) และรังสีอัลตราไวโอเลต B (290-320nm) ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลดีประมาณ 70 - 80% ขึ้นไป พบผลข้างเคียงน้อย  ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันและแดงบริเวณผิวหนังที่ฉายแสงหลังทำการรักษา ข้อดีคือส่วนใหญ่การกลับเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่าการรักษาโดยใช้ยาทาหรือยารับประทาน
ยาฉีดกลุ่มชีวภาพ (Biological agents)
     เป็นยาใหม่ที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อยู่ในรูปยาฉีดเข้าเส้นหรือเข้าใต้ชั้นไขมัน ซึ่งยาบางชนิดฉีดสัปดาห์ละ  2 ครั้ง บางชนิดอาจฉีดห่างกันทุก 3 เดือน ซึ่งยาฉีดประเภทที่กล่าวมานี้ เช่น อะเลฟเซ็บ (Alefacept) อีทาเนอร์เซ็บ (Etanercept) อีฟาลิซูแม็บ (Efalizumab) อินฟลิกซิแมบ (Infliximab)  ข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากยาในกลุ่มนี้เป็นยาใหม่ จึงต้องติดตามผลข้างเคียงระยะยาว นอกจากการรักษาข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น การให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน การเข้าใจความจริงที่ว่าสะเก็ดเงินเป็นโรคไม่ติดต่อ ผู้ป่วยจะไม่ถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ญาติและคนใกล้ชิดควรเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน

  • พันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
  • อาจติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิดบ่อยๆเช่น โรคต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อ สเตร็ปโตคอกคัส
  • ภาวะมีความเครียด เพราะความเครียดส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือ ผิดปกติได้
  • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติหรือบกพร่อง เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนกลุ่มนี้เช่น ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือโรคเอดส์
  • กินยาบางชนิดเช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด หรือยาทางด้านจิตเวชบางชนิด หรือ ยาที่มีผลกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • ในคนสูบบุหรี่ ซึ่งอาจจากสารพิษต่างๆในควันบุหรี่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันต้านทานโรค หรือ เพราะมีความเครียดจึงสูบบุหรี่
  • ในคนอ้วนหรือโรคอ้วน
การติดต่อของโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอนแต่เชื่อกันว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม ภูมิต้านทาน/ภูมิคุ้มกัน ที่ผิดปกติ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินขึ้นมาและโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นคนที่สัมผัสคนเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือผิวหนังส่วนเกิดโรคหรือแม้แต่สะเก็ดของผิวหนังส่วนเกิดโรคจึงไม่เกิดเป็นโรคสะเก็ดเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีรายงานว่โรคสะเก็ดเงิน
มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน

  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • ทายา กินยาตามแพทย์แนะนำอย่างถูกต้อง อย่าขาดยา
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยต่อความรุนแรงของโรคดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • อาบน้ำโดยใช้สบู่เด็กอ่อน อาจใช้สบู่สำหรับผิวแห้งมาก (สบู่ผสมน้ำมัน) ในบริเวณผิว หนังส่วนเกิดโรค
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็ง แรงลดโอกาสติดเชื้อ
  • ตากแดดอ่อนๆทุกวันตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • หลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้เครียดเพราะความเครียดเป็นตัวเร็งให้อาการของโรคกำเริบ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อกังวลกับอาการ
การป้องกันตนเองจากโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัดดังนั้น การป้องกันโรคจึงยังไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค คือ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นของการเกิดโรค เช่น พยายามหลีกเลี่ยงความเครียดในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด การรับประทานยาบางชนิดควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เช่น ยาลิเทียม ยาต่อต้านมาลาเรีย (Chlroquine)  ยาลดความดันโลหิต (Bota-Blocker) ยาในกลุ่มลดการอักเสบ (NSAIDs) พยายามดูแลผิวหนังไม่ให้บาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หากเกิดอาการผิดปกติบริเวณผิวหนังควรมีการพบแพทย์โดยด่วน
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคสะเก็ดเงิน
มีรายงานการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินในคนยังมีการศึกษาไม่มาก สมุนไพรที่มีการวิจัยในคนของโรคสะเก็ดเงิน ได้แก่ ว่านหางจระเข้ โดยทดสอบในผู้ที่เป็นโรคเรื้อนกวาง 60 คน ใช้สารสกัดว่านหางจระเข้ (0.5%) ในรูปครีมทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง นาน 16 สัปดาห์ และติดตามผลทุกเดือนอีก 12 เดือน พบว่าสารสกัดว่านหางจระเข้สามารถรักษาโรคเรื้อนกวางได้ 83.3% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกที่รักษาได้เพียง 6.6% นอกจากนี้มีตำรับยาทาที่มีส่วนประกอบคือ dimethicone 6 ออนซ์ cyclomethicone 2 ออนซ์ mineral oil 7.5 ซีซี. เจลว่านหางจระเข้ 7.5 ซีซี. วิตามินอี 7.5 ซีซี. วิตามินเอ 3.75 ซีซี. สังกะสี 3.75 ซีซี. และน้ำ 0.625 ซีซี. ว่าสามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินได้  และสารสกัดน้ำจากบัวบก สามารถต้านการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชั้น keratin ที่ทดสอบในหลอดทดลองซึ่งในโรคเรื้อนกวางเป็นโรคที่มีการแบ่งตัวของผิวหนังชั้น keratin ที่เร็วกว่าปกติ ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าบัวบกมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเป็นยาทาภายนอก
ว่านหางจระเข้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Aloe vera (L.) Burm.f. จัดอยู่ในวงศ์ XANTHORRHOEACEAE และอยู่ในวงศ์ย่อย ASPHODELOIDEAE

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

  • วุ้นว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ
  • ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า “ยาดำ” ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ
  • ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้ผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้
  • ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบาง ๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย
  • ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น
บัวบก ชื่อสามัญ Gotu kola ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (L.) Urb. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
สรรพคุณของใบบัวบก

  • ช่วยรักษาอาการมีหนองออกจากปัสสาวะ
  • ช่วยแก้อาการน้ำดีในร่างกายมากเกินไป
  • ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ด้วยการใช้ใบบัวบกมาทุบให้แหลกแล้วนำมาโปะบริเวณที่ฟกช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงประมาณ 250 ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
  • ใช้บัวบกตำนำมาพอกรักษาความร้อนบวมของโรคไฟลามทุ่ง หรือใช้รักษาอาการด้วยการใช้น้ำคั้นบัวบกนำมาผสมกับแป้งข้าวเหนียวทำเป็นแป้งเหลว พอกบริเวณที่เป็น
  • ช่วยรักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน หิด หัด เป็นต้น
  • บัวบกมีการนำมาผลิตเป็นแคปซูลวางจำหน่าย มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic)
  • น้ำใบบัวบกเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับหน้าร้อนเป็นอย่างมาก เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นดับร้อนในร่างกายได้สารพัด
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.พญ.ชนิษฏา วงษ์ประภารัตน์.โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) .ภาควิชาอาจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. สิงหาคม 2544 . Psoriasis. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป. ครั้งที่ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 664-666
  • แนวทางเวชปฏิบัติโรคสะเก็ดเงิน Psoriasis . สถาบันโรคผิวหนัง.กรมการแพทย์.กระทรวงสาธารณสุข.หน้า14-26
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โซริอาซิส/โรคเกล็ดเงิน (Psoriasis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1019-1024.
  • โรคสะเก็ดเงิน-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Roger C. Cornell, M.D.,Richard B. Stoughton, M.D. Topical Corticosteroid. 1985 Hoechst Aktiengesellscsast. West Germany. Page 17,28-31
  • Luba, K., and Stulberg, D. (2006). Chronic plaque psoriasis. Am Fam Physician, 73, 636-644.
  • อภิชาติ ศิวยาธร. กรกฎาคม Psoriasis. คลินิกโรคผิวหนังต้องรู้. ครั้งที่ 4. สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 102-108
  • สมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน.หัวข้อถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัย.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก


Tags : โรคสะเก็ดเงิน
99  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคต่อททอนซิล มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพรอย่างไร เเละสมุนไพรมีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2018, 06:26:59 pm

โรคต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)
โรคต่อมทอนซิลอักเสบคืออะไร  ต่อมทอนซิล เป็นอวัยวะที่อยู่ด้านในคอ ซึ่งคือต่อมคู่ซ้ายขวาใกล้กับโคนลิ้น โดยเป็นต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอมจากอาหาร , น้ำกินและการหายใจ ตัวอย่างเช่น แบคทีเรียที่ไปสู่ร่างกายคล้ายกองทหารด่านหน้า รวมทั้งบ่อยมากที่ต่อมทอนซิลมักเกิดการอักเสบขึ้น
ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)หมายถึงโรคที่เกิดขึ้นจากการอักเสบติดโรคของต่อมทอนซิลซึ่งเป็นโรคมักพบโรคหนึ่ง เจอได้ในทุกอายุ แต่พบได้ทั่วไปกว่าในเด็ก และไม่ค่อยพบในคนแก่และคนชรา โอกาสกำเนิดโรคเท่ากันอีกทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย  ต่อมทอนซิลอักเสบพบได้ทั้งยังการอักเสบติดเชื้อโรคทันควันซึ่งเมื่อกำเนิดมักมีอาการร้ายแรงกว่า แต่ว่ารักษาหายได้ข้างใน 1 - 2 อาทิตย์ และก็อักเสบเรื้อรังที่มักจะเป็นๆหายๆอาการแต่ละครั้งร้ายแรงน้อยกว่าประเภทกะทันหัน แต่ว่ามีลักษณะอาการอักเสบฉับพลันซ้อนได้เป็นช่วงๆซึ่งนิยามของต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังดังเช่น มีต่อมต่อมทอนซิลอักเสบเกิดขึ้นขั้นต่ำ 7 ครั้งใน 1 ปีให้หลัง หรืออย่างต่ำ 5 ครั้งทุกปีต่อเนื่องกันใน 2 ปีที่ล่วงเลยไป หรือขั้นต่ำ 3 ครั้งทุกปีต่อเนื่องกันใน 3 ปีที่ล่วงเลยไป
ทั้งโรคนี้เกิดได้จากหลายกรณี ดังเช่นมีต้นเหตุมาจากกรุ๊ปโรคติดเชื้อแล้วก็กลุ่มโรคไม่ติดเชื้อโรค ซึ่งในบทความนี้จะขอกล่าวถึงการอักเสบจากโรคติดเชื้อเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “เบต้า-ฮีโมไลตำหนิกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ” (Group A beta-hemolytic streptococcus) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สเตรปโตค็อกคัส ไพโอจีเนส” (Streptococcus pyogenes) ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้เจ็บป่วยมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้
ต้นเหตุของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ การต่อว่าดเชื้อที่ต่อมทอนซิลจำนวนมากมีสาเหตุจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่ผ่านเข้าทางปาก โดยต่อมทอนซิลจะช่วยคุ้มครองการติดเชื้อด้วยการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมาต่อสู้กับเชื้อโรค และก็เพราะเป็นภูมิคุ้มกันด่านแรก ต่อมทอนซิลก็เลยเป็นอวัยวะที่เสี่ยงต่อการอักเสบรวมทั้งติดเชื้อโรคมาก
โดยต่อมทอนซิลอักเสบโดยมาก เป็นการติดเชื้อเชื้อไวรัส ซึ่งพบได้สูงขึ้นยิ่งกว่าการตำหนิดเชื้ออื่นๆประมาณ 70 - 80% ของต่อมทอนซิลอักเสบทั้งปวง ซึ่งเชื้อไวรัสที่ก่โรคต่อมทอนซิลอักเสบ[/url]มีหลายชนิดตัวอย่างเช่น

  • ไรโนเชื้อไวรัส (Rhinoviruses) ไวรัสที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคไข้หวัดทั่วๆไป
  • ไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่
  • ไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) นำมาซึ่งโรคกล่องเสียงอักเสบและกลุ่มอาการครู้ป
  • ไวรัสเอนเทอร์โร (Enteroviruses) สาเหตุของโรคมือเท้าปาก
  • ไวรัสรูบิโอลา (Rubeola) กระตุ้นให้เกิดโรคฝึก
  • ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) เชื้อไวรัสที่มักเป็นต้นเหตุ ที่มา : wikipedia           ของอาการท้องเดิน
  • เชื้อไวรัสเอ็บสไตน์บาร์ (Epstein-Barr) ซึ่งสามารถก่อกำเนิดโรคโมโนนิวคลีโอซิส แต่ว่าทอนซิลอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียประเภทนี้จะพบได้นานๆครั้ง
  • รวมทั้งอีกต้นเหตุหนึ่งเป็นการติดเชื้อโรคแบคทีเรียประมาณ 15 - 20 %

ที่มาของต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่พบได้มากที่สุดเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการเชื้อสเต็ปโตคอคคัสกลุ่ม  ที่ทำให้เกิดต่อมทอนซิลอักเสบแบบเป็นหนอง (exudative tonsil litis)
ลักษณะของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ โดยธรรมดาโรคต่อมทอนซิลอักเสบมักกำเนิดร่วมกับการอักเสบติดโรคของลำคอเสมอ
ลักษณะโรคต่อมทอนซิลอักเสบแยกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆเป็น

  • กลุ่มที่มีต้นเหตุจากไวรัส มีลักษณะอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆตอนกลืน อาจมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกใส ไอ เสียงแหบ จับไข้ ปวดหัวน้อย ตาแดง บางบุคคลอาจมีอาการท้องร่วงหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย  การตรวจดูคอจะเจอฝาผนังคอหอยแดงเพียงนิดหน่อย ต่อมทอนซิลอาจโตเล็กน้อยมีลักษณะแดงเพียงเล็กน้อย
  • กรุ๊ปที่มีต้นเหตุที่เกิดจากแบคทีเรีย จะมีลักษณะอาการไข้สูงเกิดขึ้นฉับพลัน หนาวสั่น  ปวดหัว  เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามตัว  อ่อนล้า  เบื่ออาหาร  เจ็บคอมากจนกระทั่งกลืนน้ำลายหรืออาหารลำบาก  อาจมีลักษณะของการปวดร้าวขึ้นไปที่หู  บางคนอาจมีลักษณะของการปวดท้อง  หรือคลื่นไส้และก็มีกลิ่นปากร่วมด้วย  ชอบไม่มีอาการน้ำมูกไหล ไอ  หรือตาแดง  แบบการต่อว่าดเชื้อจากไวรัส

                นอกจากนี้จะเจอผนังคอหอยแล้วก็เพดานอ่อน  มีลักษณะแดงจัดแล้วก็บวม  ต่อมทอนซิลบวมโตสีแดงจัด  และก็มีแผ่นหรือจุดหนองสีขาวๆเหลืองๆติดอยู่บนทอนซิล  นอกจากนั้น       ยังบางทีอาจตรวจเจอต่อมน้ำเหลืองที่ใต้ขากรรไกรบวมโตแล้วก็เจ็บ
กรรมวิธีการรักษาโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
การวินิจฉัยโรคทอนซิลอักเสบ แพทย์จะวิเคราะห์เบื้องต้นด้วยอาการแสดงรวมทั้งการตรวจลำคอโดยอาจใช้วิธีการตั้งแต่นี้ต่อไป

  • ใช้ไฟฉายส่องมองรอบๆลำคอ และอาจมองรอบๆหูและก็จมูกร่วมด้วย เนื่องด้วยเป็นรอบๆที่แสดงอาการติดโรคได้ด้วยเหมือนกัน
  • ตรวจสอบผื่นแดงที่เป็นอาการของโรคไข้อีดำอีแดงซึ่งมีต้นเหตุจากเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกับกับโรคคออักเสบ
  • ตรวจด้วยการคลำสัมผัสเบาๆที่ลำคอเพื่อมองว่าต่อมน้ำเหลืองบวมหรือไม่
  • ใช้เครื่องสเต็ทโทสวัวปฟังเสียงจังหวะการหายใจของผู้ป่วย

ถ้าเจอฝาผนังคอหอยรวมทั้งทอนซิลมีลักษณะแดงเพียงนิดหน่อยหรือไม่กระจ่าง ก็มักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัส   ถ้าหากต่อมทอนซิลบวมโต แดงจัด และมีแผ่นหรือจุดหนองติดอยู่บนทอนซิล  ก็ชอบเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้ออนุภาคบีตาฮีโมโลว่ากล่าวกสเตรปโตค็อกคัส กรุ๊ปเอ  ในรายที่ไม่มั่นใจแพทย์อาจจำต้องทำตรวจหาเชื้อจากบริเวณคอหอยและก็ต่อมทอนซิล  โดยใช้วิธีที่เรียกว่า "rapid strep test" ที่สามารถรู้ผลได้ในไม่กี่นาที ถ้าหากผลของการตรวจไม่ชัดเจน  ก็อาจจำเป็นต้องทำการเพาะเชื้อซึ่งจะทราบผลใน 1-2 วัน

การดูแลรักษาโรคต่อมทอนซิลอักเสบ หมอจะให้การรักษาตามต้นสายปลายเหตุที่พบ เป็น

  • เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเชื้อไวรัส ก็จะให้การรักษาแบบช่วยเหลือตามอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ แก้ไอ แก้หวัด ไม่มีการให้ยายาปฏิชีวนะ เนื่องจากไม่สามารถทำลายเชื้อเชื้อไวรัสได้ ซึ่งอาการของโรคมักจะหายได้ด้านใน 1 อาทิตย์
  • มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย นอกจากให้ยาบรรเทาตามอาการแล้ว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะรักษาด้วยการใช้ ยกตัวอย่างเช่น เพนิสิลลินวี (Penicillin V) อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) อีริโทรไมซิน (Erythromyin)  อาการมักทุเลาข้างหลังรับประทานยาปฏิชีวนะ 48-72 ชั่วโมง  โดยแพทย์จะให้กินยาสม่ำเสมอจนถึงครบ 10 วัน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมา

ดังนี้การกินยาปฏิชีวนะจำเป็นที่จะต้องกินให้ครบตามคำแนะนำของหมอ เพื่อให้มั่นใจว่าแบคทีเรียถูกกำจัดจนหมด เพราะเหตุว่าเชื้อแบคทีเรียที่กำจัดไม่หมดอาจทำให้การติดเชื้อห่วยลงหรือแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย นอกนั้นในเด็กยังเสี่ยงเกิดภาวะสอดแทรก ดังเช่นว่า การติดเชื้ออย่างรุนแรงที่ไต และก็ไข้รูมาติกซึ่งเป็นการติดเชื้อโรคบริเวณลิ้นหัวใจร่วมกับมีไข้ตามมาได้
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีวิธีการผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก (tonsillectomy) ซึ่งเป็นแนวทางรักษาทอนซิลอักเสบที่เป็นซ้ำบ่อย หรือต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง หรือต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแค่นั้น โดยดูได้จากลักษณะที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้

  • ต่อมทอนซิลอักเสบมากกว่า 7 ครั้งในรอบหนึ่งปี
  • ทอนซิลอักเสบมากยิ่งกว่า 4-5 ครั้งในรอบหนึ่งปีเป็นระยะเวลา 2 ปีให้หลัง
  • ทอนซิลอักเสบมากกว่า 3 ครั้งในรอบหนึ่งปีเป็นระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

นอกเหนือจากนี้ แพทย์ยังอาจใช้การผ่าตัดทอนซิลในเรื่องที่ต่อมทอนซิลอักเสบทำให้มีการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากจะรักษาตามมา ดังเช่น

  • ภาวะหยุดหายใจขณะที่กำลังนอนหลับ (ก่อให้เกิดอาการนอนกรมเนื่องจากว่าต่อมทอนซิลโต)
  • หายใจไม่สะดวก (ด้วยเหตุว่าต่อมทอนซิลโตมากมายจนถึงอุดกั้นฟุตบาทหายใจ)
  • กลืนตรากตรำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลืนเนื้อหรือของกินชิ้นดกๆ
  • เป็นฝีที่ใช้ยาปฏิชีวนะแล้วยังไม่ดีขึ้น
  • มีต่อมต่อมทอนซิลโตด้านเดียว ซึ่งบางทีอาจเป็นอาการโรคโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ต่อมทอนซิล)

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ  การบวมอักเสบของต่อมทอนซิลบ่อยมากหรือเรื้อรังบางทีอาจตามมาด้วยภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตัวอย่างเช่น เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หายใจติดขัด การตำหนิดเชื้อที่แพร่ลึกลงไปสู่เยื่อโดยรอบ
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่จะทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา ดังเช่นว่า  ในกลุ่มที่มีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัส ส่วนมากจะไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนผู้ที่ลักษณะของโรคร่วมกับป่วยหวัด  ไข้หวัดใหญ่  ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ  ปอดอักเสบ เป็นต้น รวมทั้งในกรุ๊ปที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้

  • เชื้ออาจแผ่ขยายไปยังรอบๆใกล้เคียง ทำให้เป็นหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ จมูกอักเสบ ภูมิแพ้ ปอดอักเสบ ฝีที่ต่อมทอนซิล
  • เชื้ออาจเข้ากระแสโลหิตแพร่ขยายไปยังที่ต่างๆ ทำให้เป็นข้ออักเสบประเภทกะทันหัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง  เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง (autoimmun reaction) กล่าวคือภายหลังติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ร่างกายจะสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อขึ้นมา แล้วไปก่อปฏิกิริยาต้านเนื้อเยื่อของตน กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคแทรกร้ายแรง เช่น ไข้รูมาติก (มีการอักเสบของข้อและก็หัวใจ แม้ปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคลิ้นหัวใจพิการ หัวใจวายได้) รวมทั้ง หน่วยไตอักเสบกระทันหัน (เป็นไข้ บวม ฉี่สีแดง อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะไตวายได้) โรคแทรกซ้อนเหล่านี้มักกำเนิดข้างหลังทอนซิลอักเสบ 1-4 อาทิตย์

สำหรับไข้รูมาติก มีโอกาสเกิดขึ้นโดยประมาณปริมาณร้อยละ 0.3-3 ของคนที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง แต่ทั้งนี้การคุ้มครองป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถทำเป็นกล้วยๆด้วยการกินยาปฏิชีวนะให้ครบ 10 วัน (แม้ว่าอาการจะดีขึ้นกว่าเดิมหลังกินยาได้ 2-3 วันไปแล้วหลังจากนั้นก็ตาม)
การติดต่อของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบติดต่อได้เหมือนกันกับในหวัดทั่วไปแล้วก็ในโรคไข้หวัดใหญ่เป็น เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของดรคอยู่ในน้ำลายแล้วก็เสลด (รวมถึงสารคัดเลือกหลั่งอื่นๆ) ของผู้ป่วย แล้วก็จะติดต่อจากการสัมผัสเชื้อโรคดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจากผู้ป่วย จากการไอ จาม หายใจ หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งจากจมูกและโพรงปากเช่น น้ำมูก น้ำลายผู้เจ็บป่วย และจากใช้ของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสสารคัดเลือกหลั่งดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

  • มีต่อมต่อมทอนซิลโตฝ่ายเดียว ซึ่งอาจเป็นลักษณะโรคโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ต่อมทอนซิล)

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ  การบวมอักเสบของต่อมทอนซิลบ่อยครั้งหรือเรื้อรังบางทีอาจตามมาด้วยภาวะแทรกซ้อนอื่นๆยกตัวอย่างเช่น เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หายใจลำบาก การตำหนิดเชื้อที่แพร่ลึกลงไปสู่เนื้อเยื่อรอบๆ
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมา อาทิเช่น  ในกลุ่มที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนคนที่อาการของโรคร่วมกับเป็นไข้หวัด  ไข้หวัดใหญ่  ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า ภูมิแพ้ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ  ปอดอักเสบ เป็นต้น แล้วก็ในกลุ่มที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเชื้อแบคทีเรีย อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้

  • เชื้ออาจขยายไปยังรอบๆใกล้เคียง ทำให้เป็นหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีที่ต่อมทอนซิล
  • เชื้ออาจเข้ากระแสโลหิตแพร่ไปไปยังที่ต่างๆ ทำให้เป็นข้ออักเสบประเภทฉับพลัน กระดูกอักเสบเป็นหนอง  เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูเขาไม่ต้านทานตนเอง (autoimmun reaction) กล่าวอีกนัยหนึ่งหลังจากติดเชื้อแบคทีเรียจำพวกนี้ ร่างกายจะสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อขึ้นมา แล้วไปก่อปฏิกิริยาต่อต้านเยื่อของตน กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคแทรกร้ายแรง เป็นต้นว่า ไข้รูมาติก (มีการอักเสบของข้อแล้วก็หัวใจ ถ้าเกิดปลดปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจจะส่งผลให้เกิดโรคลิ้นหัวใจทุพพลภาพ หัวใจวายได้) รวมทั้ง หน่วยไตอักเสบทันควัน (จับไข้ บวม เยี่ยวสีแดง อาจจะก่อให้เกิดภาวะไตวายได้) โรคแทรกซ้อนเหล่านี้มักกำเนิดหลังทอนซิลอักเสบ 1-4 สัปดาห์

สำหรับไข้รูมาติก ได้โอกาสเกิดขึ้นราวๆปริมาณร้อยละ 0.3-3 ของคนที่ไม่ได้รับการดูแลและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างแม่นยำ แต่ว่าทั้งนี้การปกป้องคุ้มครองภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังที่กล่าวมาแล้วสามารถทำได้กล้วยๆด้วยการกินยาปฏิชีวนะให้ครบ 10 วัน (ถึงแม้ว่าอาการจะดีขึ้นข้างหลังรับประทานยาได้ 2-3 วันไปและจากนั้นก็ตาม)
การติดต่อของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบติดต่อได้เช่นเดียวกับในโรคไข้หวัดทั่วไปและในไข้หวัดใหญ่คือ เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของดรคอยู่ในน้ำลายและเสลด (รวมถึงสารคัดหลั่งอื่นๆ) ของคนไข้ และจะติดต่อจากการสัมผัสเชื้อโรคดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจากผู้เจ็บป่วย จากการไอ จาม หายใจ หรือการสัมผัสสารคัดเลือกหลั่งจากจมูกรวมทั้งโพรงปากได้แก่ น้ำมูก น้ำลายคนไข้ และก็จากใช้ของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสสารคัดเลือกหลั่งดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
ฟ้าทะลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์ Andropraphis paniculata (Burm.f.) Wall. EX Nees ชื่อพ้อง Justicia paniculata Burm.f. ชื่อสกุล Acanthaceae คุณประโยชน์: ตำรายาไทย: มีการใช้ส่วนเหนือดินเก็บก่อนจะมีดอก เพื่อรักษาไข้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ดับพิษร้อน หยุดอักเสบในอาการไอ เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิล หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ขับเสมหะ ลดบวม แก้ติดเชื้อ รูปแบบแล้วก็ขนาดวิธีการใช้ยา:.ทุเลาลักษณะของการเจ็บคอ                   รับประทานทีละ 3-6 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังรับประทานอาหารแล้วก็ก่อนนอน ทุเลาอาการหวัด รับประทานครั้งละ 1.5-3 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังรับประทานอาหารและก่อนนอน  องค์ประกอบทางเคมี: สารประเภทแลคโตน andrographolide,neoandrographolide,deoxyandrographolide, deoxy-didehydroandrographolide สารกรุ๊ปฟลาโอ้อวดน ยกตัวอย่างเช่น aroxylin, wagonin, andrographidine A 
จากการเรียนรู้คุณภาพของสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรในคนป่วยระบบฟุตบาทหายใจส่วนบนไม่ร้ายแรง  223 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปที่กินสารสกัดจากฟ้าทะลายขโมย 200 มก.ต่อวัน และก็อีกกรุ๊ปกินยาหลอกเป็นระยะเวลา 5 วัน ซึ่งจะประเมินผลด้วยการประมาณอาการจากตัวผู้ป่วยไข้เองในด้านต่างๆอาทิเช่น อาการไอ เสมหะ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ มีไข้ เจ็บคอ อาการเมื่อยล้าง่าย และก็ปัญหาในการนอน ผลพบว่า ทั้ง 2 กลุ่มมีอาการดีตั้งแต่เริ่มจนถึงจบการทดลอง แต่ว่ากรุ๊ปที่กินสารสกัดจากฟ้าทะลายมิจฉาชีพได้ผลได้อย่างแจ่มแจ้งในช่วงวันที่ 3-5 มากกว่ากลุ่มที่กินยาหลอก แต่ ยังพบผลกระทบบางส่วนในทั้งยัง 2 กลุ่ม จากการทดลองก็เลยเชื่อว่าฟ้าทะลายมิจฉาชีพอาจช่วยรักษาหรือทุเลาอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจตอนต้น
โตงเตง ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Physalis angulata  L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ : Physalis minima ชื่อสามัญ :   Hogweed, Ground Cherry ชื่อสกุล :   SOLANACEAE คุณประโยชน์โทงเทง : หนังสือเรียนยาไทย ผลรสเปรี้ยวเย็น แก้ต่อมน้ำลายอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ฝีในคอ แก้อักเสบในคอ แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ ตำพอกแก้ปวดบวม
ส่วนประโยชน์ที่สำคัญของโตงเตงที่ ใช้รักษาอาการทอนซิลอักเสบ โดยหมอท้องถิ่นนั้นจะใช้ทั้งต้นตำให้แหลกละลายกับเหล้า เอาสำลีชุบเอาน้ำยาใช้อมไว้ข้างแก้ม กลืนน้ำผ่านคอครั้งละนิด แก้ทอนซิลอักเสบ หรือที่เรียกว่าต่อมน้ำลายอักเสบ แก้ฝีในคอ ใช้แก้อาการอักเสบในคอก้าวหน้า หรือแพ้แอลกอฮอล์ก็ใช้ละลายกับน้ำส้มสายชูแทน ใช้ด้านในแก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ข้างนอกแก้ฟกบวมอักเสบทำให้เย็น แล้วก็อีกหนังสือเรียนยาหนึ่งระบุว่าแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ให้ใช้ต้นนี้ใหม่ๆ(หรืออย่างแห้งก็ใช้ได้) 3 หัว แผ่น ฝักชุบน้ำตาล 2 แผ่น ใส่น้ำ 1 ถ้วย ต้มให้เหลือครึ่งถ้วย รับประทานครั้งเดียวหมด เด็กก็กินลดลงตามส่วน จากการดูแลและรักษาคนเจ็บร้อยกว่าราย บางคนกิน 4-10 ครั้งก็หาย บางบุคคลรับประทานติดต่อกันถึง 2 เดือนก็เลยหาย
ปลาไหลเผือก ชื่อวิทยาศาสตร์ :  EURYCOMA LONGIFOLIA Jack. สกุล : SIMAROUBACEAE สรรพคุณทางยา : ราก ต้านทานโรคมะเร็ง รักษาโรคอัมพาต ช่วยขับถ่ายน้ำเหลือง ขับพยาธิ แก้ท้องผูก แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้อาการเจ็บคอ วิธีการใช้ตามตำราไทย : ต้านโรคมะเร็ง ช่วยขับถ่ายน้ำเหลือง ขับพยาธิ แก้ท้องผูก แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้อาการเจ็บคอ นำรากแห้งโดยประมาณ 8-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำดื่มก่อนกินอาหารทุกตอนเช้าและก็เย็น (2 เวลา)
เอกสารอ้างอิง

  • พรพิมล พฤกษ์ประเสริฐ.(2550). การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน. ใน ประยงค์ เวชวนิชสนอง และวนพร อนันตเสรี. กุมารเวชศาสตร์ทั่วไป (หน้า214-216).หน่วยผลิตตำราคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ทอนซิลอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่324.คอลัมน์สารานุภาพทันโรค.เมษายน.2549
  • ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฎสุนทร.คออักเสบและตอ่มทอนซิลอกัเสบปัญหาของหนูน้อย.ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • ทอนซิลอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 410-413.
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”โทงเทง” หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า284.
  • ฟ้าทะลายโจร.ฐานข้อมูลเครื่องยา.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • โทงเทง สมุนไพรหยุดการอักเสบในลำคอ.ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร.สถาบันวิจัยสมุนไพร.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.


Tags : โรคต่อมทอนซิลอักเสบ
100  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเริ่ม พร้อมสมุนไพรรักษาโรคที่สามารถช่วยรักษาได้ เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2018, 10:24:09 am

โรคเริม (Herpes simplex/Cold sore)
โรคเริ คืออะไที่มา : Wikipedia
กำเริบได้บ่อยและรุนแรงกว่าปกติ ส่วนในเด็กทารกและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ อาจมีอาการรุนแรง โดยเชื้อสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือดกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่การติดเชื้อเริมมักไม่แสดงอาการ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นได้
สาเหตุของโรคเริม ดังที่กล่ามาแล้วว่าโรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชื่อ เฮอร์ปี ซิมเพล็กไวรัส หรือ เรียกย่อว่า เอชเอสวี (Herpes simplex virus, HSV) ซึ่งไวรัสของโรคเริมนี้เป็นไวรัสต่างชนิดกับโรคงูสวัดและโรคอีสุกอี ใส ถึงแม้จะก่อให้เกิดตุ่มน้ำกับผิวหนังได้คล้ายๆกัน
ในทางการแพทย์สามารถแยกเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเริมนี้เป็น 2 ชนิด คือ

  • เฮอร์ปีส์ ชนิดที่ 1 (herpes simplex virus type I ชื่อย่อ HSV-I)
  • เฮอร์ปีส์ ชนิดที่ 2 (herpes simplex virus type II ชื่อย่อ HSV-II)

ซึ่งแต่เดิมเคยเชื่อว่า เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ 1 เกิดโรคเฉพาะที่ช่องปากและริมฝีปาก ส่วนเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ 2 เกิดโรคเฉพาะที่อวัยวะเพศภายนอกและช่องคลอด แต่ปัจจุบันพบว่าไวรัสทั้ง 2 ชนิด สามารถก่อโรคได้กับผิวหนังทั้ง 2 แห่งได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 มักจะทำให้เกิดอาการกำเริบที่ปากมากกว่าที่อวัยวะเพศ ส่วนเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 มักจะทำให้เกิดอาการกำเริบที่อวัยวะเพศมากกว่าที่ปาก  อนึ่ง HSV เป็นเชื้อไวรัสที่จัดอยู่ใน Fsmily Herpesviridae Subfamily Alphaherpesvirinae ไวรัสตระกูลนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อแบบแอบแฝง (latent infection) ที่ปมประสาท
อาการของโรคเริม หลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ จะเริ่มต้นแสดงอาการ คันๆ เจ็บๆ หรือปวดแสบร้อนบริเวณผิวหนัง แล้วต่อมาจะเริ่มมีอาการอักเสบของผิวหนัง เกิดอาการบวม แดง ร้อน และเริ่มพองเป็นตุ่ม น้ำใส เรียงตัวเกาะกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 2-10 เม็ด ลักษณะคล้ายไข่ปลาหรือพวงองุ่น ต่อมาตุ่มน้ำใสเหล่านี้ ก็จะพองโตและแตกออกกลายเป็นแผลเปิดชนิดแผลตื้นๆ หลายแผลติดๆ กัน คล้ายแผลร้อนในภายในช่องปาก และมักจะหายได้เอง ภายใน 1-3 สัปดาห์ ในกรณีที่มีอาการของโรคเริมครั้งแรก ในบางคนอาจมีอาการอ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว ไข้ต่ำๆ คล้ายกับอาการของไข้หวัดร่วมด้วย
โดยก่อนหน้าจะเกิดตุ่มพอง อาจอ่อนเพลียแต่ไม่มีอาการอื่น จึงมักไม่รู้ตัวว่า ติดโรค หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดนำก่อน 1 - 3 วันเช่น ไข้สูง หรือ ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว และเมื่อเกิดในปากอาจกินอาหารแล้วเจ็บทำให้กินได้น้อย ผอมลง
ทั้งนี้ในทางการแพทย์สามารถแบ่งชนิดการติดเชื้อของโรคเริมได้ดังนี้

  • การติดเชื้อในช่องปากและเหงือกอักเสบ คออักเสบ ส่วนใหญ่การติดเชื้อครั้งแรกมักไม่ปรากฏอาการ ประมาณ 1-2 วันจะพบเม็ดตุ่มพองขึ้นที่เยื่อเมือกของช่องปาก โดยปกติจะพบรอยโรคเฉพาะที่เยื่อเมือกในช่องปากและพบได้หลายตำแหน่งอาจเป็นข้างเดียว หรือทั้ง 2 ข้าง แผลจะค่อยหายภายใน 2 สัปดาห์ ในผู้ใหญ่มักพบ คออักเสบหรือทอนซิลอักเสบ มีอาการเจ็บคอ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต อาจพบแผลในลำคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
  • การติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก ภายหลังกาติดเชื้อ HSV-1 ครั้งแรก ตำแหน่งที่พบคือ ริมฝีปากบริเวณรอยต่อของผิวหนังและเยื่อเมือก อาการจะเริ่มจะเกิดเม็ดแดงแสบคันประมาณ 1-2 วัน ต่อมากลายเป็นตุ่มหนองใสขึ้นเป็นกลุ่มเรียก cold sore หรือ fever blister
  • การติดเชื้อเริมที่กระจกตาและเยื่อบุตา การติดเชื้อทำให้เกิดอาการตาแดงข้างเดียวก่อน และจะลามไปที่กระจกตา เริ่มแรกจะเป็นแผลตื้น ต่อไปแผลจะลามมีลักษณะแตกกิ่งก้านหรือเป็นแผลรูปกลม ทำให้ตาบอดได้
  • การติดเชื้อเริมที่สมอง จะทำให้เกิดสมองอักเสบ พบได้ทั้งการติดเชื้อครั้งแรกและซ้ำอาการที่พบคือมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการทางประสาท มีอาการเด่นชัดคือ อาการอักเสบของสมองเฉพาะส่วน ผู้ป่วยจะมีอาการชัก อัมพาตครึ่งซีก พูดไม่ได้
  • การติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์ genital herpes) HSV-2 จะระบาดติดเชื้อทางผิวหนังและระบาดไปยังบริเวณอื่น ทำให้เกิดอาการบวมพุพอง บริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก มีอาการคัน ปวดแสบร้อนและเจ็บบริเวณที่เกิดรอยโรคในผู้หญิงทำให้เกิดการอักเสบที่ปากมดลูกช่องคลอดอักเสบ มักเกิดตุ่มแดง บางครั้งเกิดที่ขาอ่อนหรือสะโพกก้น หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อยจะมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวม หลังจากเชื้อแฝงตัวที่ปมประสาท ถ้ามีการกระตุ้น เช่นอ่อนเพลีย มีประจำเดือน จะมีอาการคัน ปวดที่อวัยวะเพศ อาการจะคงอยู่ 1-2 วัน ก่อนที่จะมีแผลพุพอง เมื่อเกิดแผลพุพองจะแสดงอาการเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะหายไป โดยพบว่าการติดเชื้อในสตรีมักรุนแรงกว่าบุรุษ

นอกจากนี้โรคเริมเป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยเมื่ออาการขอโรคเริม
หายดีแล้ว เชื้อไวรัสจะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท ซึ่งยาไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปทำลายได้ เป็นระยะพักหรือ หลบซ่อนตัวของเชื้อไวรัสโดยที่ไม่แสดงอาการออกมา รอเวลาจนกว่าสภาวะความแข็งแรงของร่างกายลดต่ำลง เช่น ตอนอ่อนเพลีย ภูมิต้านทานของร่างกาย ลดต่ำลง สตรีที่กำลังมีประจำเดือน ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในภาวะที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อยเกินไป อารมณ์เครียด คิดมาก กำลังเจ็บป่วย อากาศร้อนและแสงแดดจัด เมื่อใดก็ตามที่สภาวะของร่างกายอ่อนแอ โรคนี้ก็จะกลับมาเป็นซ้ำได้ใหม่ ณ ตำแหน่งที่เดิมหรือใกล้เคียง
แนวทางการรักษาโรคเริม แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเริมได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และจากลักษณะตุ่มน้ำ โดยมักตรวจพบตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มิลลิเมตร หลายตุ่มอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ หรือพบตุ่มตกสะเก็ดหรือแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยถลอกในบริเวณผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่ง ริมฝีปาก หรือที่อวัยวะเพศ และอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโตและเจ็บ ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย อาจตรวจพบแผลขึ้นพร้อมกันหลายแห่งในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กที่เป็นเริมในช่องปาก แต่ถ้าหากแพทย์ไม่แน่ใจว่าใช่อาการของเริมหรือไม่แพทย์ก็อาจจะมีการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่ม เช่น การตรวจเลือด การเพาะเชื้อตรวจหาสารก่อภูมต้านทาน การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับภูมิต้านทาน เนื่องจากอาการของเริมนั้นค่อนข้างคล้ายกับโรคอื่น ๆ อาทิ โรคงูสวัด แผลร้อนใน และการติดเชื้อแบคทีเรีย
ปัจจุบันโรคเริมยังคงเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วการรักษาโรคเริมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

  • การบรรเทาอาการเจ็บปวด
  • การควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส

ซึ่งโรคเริมที่พบมากคือ บริเวณริมฝีปาก ช่องปาก และอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้นจึงกล่าวถึงเฉพาะบริเวณดังกล่าวดังนี้ เนื่องจากโรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัสและสามารถหายได้เอง จึงแนะนำให้รักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอล เมื่อมีอาการปวด หรือมีไข้ และอาจจะประคบเย็นให้กับแผล เช่น การทำ wet dressing (การนำผ้าก๊อซมาชุบน้ำเกลือหมาดๆ วางลงด้านบนของแผล) เพื่อให้ความเย็น รู้สึกสบายแก่แผล และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และในกรณีที่แผลแตกเป็นแผลอาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียเป็นหนอง อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย การใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ  อะไซโคลเวียร์ (acyclovir), แฟมไซโคลเวียร์ (famciclovir), และวาลาไซโคลเวียร์ (valaciclovir) ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ในการใช้ยากลุ่มนี้ ควรใช้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ไวรัสจะหยุดการเพิ่มจำนวน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ในทางปฏิบัติเมื่อตุ่มน้ำใสแตกออกเป็นแผลแล้วจะไม่แนะนำให้ใช้ยาต้านเชื้อไวรัส เพราะเป็นระยะที่ไวรัสหยุดการเพิ่มจำนวนแล้ว ในรายที่เป็นครั้งแรก ควรใช้ยาเม็ด เช่น อะไซโคลเวียร์ ขนาด 200 มก./เม็ด วันละ 5 ครั้ง (ทุก 4 ชั่วโมง) เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 5 วัน ในรายที่กลับมาเป็นใหม่ (recurrent attack) อาจรักษาตามอาการ หรือใช้ยาทาอะไซโคลเวียร์ ซึ่งควรใช้ทันทีที่เริ่มมีอาการ อาจช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และควรใช้ยาทาชนิดนี้ วันละ 5 ครั้ง ทุก 3-4 ชั่วโมง ในรายที่มีการกลับมาเป็นโรคเริมได้บ่อยๆ เช่น เป็นโรคเริมทุกเดือน ในกรณีนี้อาจใช้ยาในขนาดป้องกัน การเกิดโรคเริม ด้วยการกินยาเม็ดอะไซโคลเวียร์ ขนาด 200 มก./เม็ด วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันทุกวัน จะช่วยลดการกลับมาเป็นใหม่ได้ดี
กลุ่มบุคคลที่มีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคเริม
โรคเริมสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุดังนั้นทุกคนมีโอกาสติดโรคเริมได้ (ทั้งบริเวณปากและอวัยวะสืบพันธุ์) แต่มีรายงานว่าการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ ๘๕ ของประชากรโลก โดยติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ที่เป็นสาเหตุของโรคเริมที่ปาก (HSV1)
ซึ่งการติดเชื้อครั้งแรกเกิดขึ้นในวัยเด็กเป็นส่วนใหญ่ อุบัติการณ์สูงสุดเกิดในเด็กระหว่างอายุ ๖ เดือน ถึง ๓ ขวบ เด็กในชุมชนแออัดและสุขอนามัยไม่ดีมีโอกาสติดเชื้อมากกว่าแต่ในปัจจุบันพบในวัยหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น
การติดต่อของโรคเริม จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีสภาพการณ์ดังนี้
มีเชื้อไวรัสในน้ำเหลืองจากแผล น้ำลาย น้ำเหลืองหรือน้ำอสุจิ (semen) แล้วเชื้อไวรัสต้องเข้าสู่ผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือรอยแผล และอาจจะเข้าสู่เยื่อเมือก เช่น บริเวณปากและอวัยวะเพศ
เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะมีกระบวนการติดเชื้อ ดังนี้
เฮอร์ปีส์ไวรัสจะแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ผิวหนังที่อยู่ชั้นล่างๆของผิวหนังโดยที่บางครั้งก็ไม่มีอาการ
แต่บางรายไวรัสจะแบ่งตัวและทำลายเซลล์ผิวหนัง จึงมีการอักเสบทำให้มีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม อยู่บนปื้นแดง เมื่อตุ่มน้ำแห้งหรือแตกไปจะเกิดเป็นสะเก็ด แล้วหายโดยไม่มีแผลเป็น
ภายหลังการแบ่งตัวครั้งแรกแล้ว ไวรัสจะเข้าไปตามเส้นประสาทที่เลี้ยงผิวหนังบริเวณที่เกิดโรคแล้วเข้าไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทโดยไม่มีการแบ่งตัว ทำให้ทั้งไวรัสและเซลล์ประสาทอยู่ด้วยกันได้เป็นปกติ ซึ่งเชท้อนี้มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 2-12 วัน แต่โดยเฉลี่ย 6-7 วัน
เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามีช่วงใดบ้างที่ไวรัสจะมีการแบ่งตัวและแพร่กระจายออกมาจากเซลล์ที่แฝงตัวอยู่ ในช่วงนี้เองที่จะพบไวรัสในของเหลวของร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อแก่ผู้สัมผัสได้ และบ่อยครั้งที่การแบ่งตัวของไวรัสเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการ
ซึ่งการติดต่ออาจเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มแผลที่เป็นโรค จากน้ำ จากตุ่มพอง จากน้ำลาย จากสารคัดหลั่ง หรือจากเมื่อใช้ของใช้ร่วมกัน การจูบ การกิน จากมือติดโรคป้ายตาจึงเกิดโรคที่ตา และเมื่อเกิดกับอวัยวะเพศ จะก่อให้เกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ขณะคลอด ถ้าขณะคลอดมารดาติดเชื้อนี้ที่อวัยวะเพศ เมื่อติดเชื้อเริมมักไม่มีอาการอะไร แต่เชื้อจะอยู่ในตัวตลอดชีวิต ในปมประสาท รอจนเมื่อร่างกายอ่อนแอลงจึงแสดงอาการแล้วเป็นอีกได้เรื่อยๆ บางครั้งอาจเกิดถึงปีละ 3 ครั้ง แต่จะค่อยๆห่างไปเมื่อสูงอายุขึ้น มักเกิดอาการตามหลังช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่ำ เช่น อาการเครียด พักผ่อนน้อย อ่อนเพลีย ถูกแสงแดดจัด หลังผ่าตัด หรือช่วงมีประจำเดือน

การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคเริม

  • ควรรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นใหม่
  • แยกของใช้ เครื่องใช้ ส่วนตัว รวมทั้งแก้วน้ำและช้อน
  • รักษาความสะอาดบริเวณตุ่มพอง และเครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ตัดเล็บให้สั้น ป้องกันการเกา และตุ่มน้ำติดเชื้อจากการเกา
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆอย่างน้อย 6 - 8 แก้วต่อวันเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม เช่น โรคหัวใจล้มเหลว
  • งดการสัมผัส หรือมีเพศสัมพันธ์กับรอยแผลของโรคเริม จนกระทั่งแผลหายดีแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณที่เป็นแผล เพราะอาจจะแพร่ไปสู่คนใกล้ชิด หรือบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ ถ้าจำเป็นควรใช้เครื่องป้องกัน เช่น สวมถุงยางอนามัย เป็นต้น
  • ควรเลือกใช้เครื่องแต่งกายที่ขนาดพอดีตัว ไม่คับเกินไป อาจเลือกชุดที่ทำด้วยฝ้าย
  • สตรีที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจภายในเดือนละ 1-2 ครั้ง
  • รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
  • ตุ่มพองลุกลามมาก
  • ไข้สูง ไข้ไม่ลงภายใน 1 - 3 วัน
  • เริ่มมีอาการทางดวงตา เช่น เริ่มเจ็บตา เคืองตา น้ำตาไหล
  • ตุ่มน้ำเป็นหนอง เพราะอาจเกิดอาการติดเชื้อแบคทีเรีย
การป้องกันตนเองจากโรคเริม เนื่องจากผู้ติดเชื้อเริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อซ้ำ ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อยู่ โดยเชื้ออาจมีอยู่ในน้ำตา น้ำลาย คอหอย อวัยวะเพศ ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ การป้องกันการติดเชื้อเริมจึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะไม่มีทางแยกออกได้ว่าใครบ้างที่เป็นผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันเริมที่ดีที่สุด ก็คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อทุกชนิด เช่น

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย หรือสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีตุ่มตามผิวหนังหรือเยื่อเมือก หรือผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อยในช่องปาก
  • หลีกเลี่ยงการเที่ยวหญิงบริการ และมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่ครอง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น จานชาม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว
  • รักษาสุขอนามัย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้งห้าหมู่ในทุก ๆ วัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียง และทำให้จิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส/หลีกเลี่ยงความเครียด

สำหรับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HSV ทั้งชนิด live หรือ attenuated  หรือ subunit vaccine  กำลังอยู่ระหว่างการทดลองในสัตว์
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคเริม
พญายอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau วงศ์ Acanthaceae ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์    C. burmanni Nees สารสำคัญที่ออกฤทธิ์    สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides เช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และสารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเริม ฤทธิ์ต้านเริม สารสกัดน้ำจากใบ มีฤทธิ์ต้านไวรัส Herpes simplex type 1 และ type 2 โดยตรงก่อนที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์ และสารสกัดจากใบความเข้มข้นตั้งแต่ 1:1,200 นาน 30 นาที สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อ HSV 2 โดยตรงก่อนเพาะเลี้ยงลงเซลล์ สารสกัดเมทานอลและสารสกัดน้ำจากใบไม่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัส HSV-2 และ HSV-1, HSV-2 ในเซลล์ ตามลำดับ
ผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิงจำนวน 27 คน ได้รับการรักษาด้วยครีมจากสารสกัดเอทานอลจากใบพญายอ 5% (dilution 1:4,800) เปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยา acyclovir cream จำนวน 26 คน และยาหลอก 24 คน  โดยทาแผลวันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 6 วัน พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยครีมพญายอ และ acyclovir cream แผลตกสะเก็ดในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 ต่างจากแผลของผู้ป่วยที่ใช้ยาหลอก จะตกสะเก็ดในวันที่ 4–7 และหายในวันที่ 7-14 หรือนานกว่านั้น ครีมพญายอไม่ทำให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง ในขณะที่ acyclovir cream ทำให้แสบ
ผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำ จำนวน 56 ราย ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอ เปรียบเทียบการรักษากับยา acyclovir cream จำนวน 54 คน และยาหลอก 53 คน ทาตุ่มหรือแผลวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่ากลุ่มที่รักษาด้วยยาจากสารสกัดพญายอแผลจะตกสะเก็ดภายใน 3 วัน และหายภายใน 7 วัน ไม่มีอาการแสบแผล  และไม่มีความแตกต่างจากการรักษาด้วย acyclovir cream แต่ยา acyclovir cream จะทำให้แสบแผล
จักรนารายณ์ ชื่อสามัญ Purple passion vine, Purple velvel plant ชื่อวิทยาศาสตร์ Gynura divaricata (L.) DC. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Gynura ovalis DC., Gynura auriculata Cass.) จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) พบว่าสารสกัดเอทานอลมีคุณสมบัติในการต้านไวรัสเฮอร์ปีส์ (Herpes) ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม โดยสารที่แสดงฤทธิ์ต้านไวรัสชนิดนี้คือสารผสมของกรดคาฟีออยควินิก (3, 5- และ 4, 5-di -O-caffeoyl quinic acids) และจากการศึกษาร่วมกับการศึกษาในสัตว์ทดลองก็ไม่พบว่าสมุนไพรจักรนารายณ์มีพิษแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีศักยภาพเป็นยาทาภายนอกที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบหรือระคายเคืองที่ผิวหนังซึ่งเกิดจากการแพ้ แมลงสัตว์กัดต่อย และโรคเริม
นอกจากนี้สมุนไพรจักรนารายณ์ยังมีฤทธิ์ต้านไวรัสเริมในหลอดทดลอง ซึ่งสารกลุ่มที่แสดงฤทธิ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่ม 1, 2-bis-dodecanoyl-3-alpha-D-glucopyranosyl-sn-glycerol, dicaffeoyl quinic acids, sitosteryl- และ stigmasteryl glucosides จึงได้มีการทดลองใช้เจลต้านอักเสบที่มีสารสกัดจากจักรนารายณ์เป็นตัวยาในผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปาก โดยพบว่าปริมาณไวรัสมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับยาหลอก
แต่ทั้งนี้สมุนไพรที่มีรายงานในการรักษาโรคเริมได้ผลดีที่สุดและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย คือพญายอ เนื่องจากมีการศึกษาทางคลินิกอย่างแพร่หลายและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เช่นในการศึกษาในผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ ชนิด HSV-2 ทั้งชนิดที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ จำนวน 163 ราย และ 77 ราย ให้ผู้ป่วยทายาบริเวณแผล วันละ 4 ครั้ง หรือ ทุก 5 ชั่วโมง พบว่าทำให้อาการดีขึ้น และการศึกษาผลของการใช้ยาจากใบพญายอที่ทำให้อยู่ในรูปของทิงเจอร์และ กลีเซอรีน เพื่อใช้ในผู้ป่วยโรคเริม งูสวัด และแผลอักเสบในปาก จำนวน 16 ราย พบว่าสามารถรักษาแผลและลดการอักเสบได้ผลดี โดยระยะเวลาที่อาการปวดและแผลหายไป จะอยู่ระหว่าง 1-3 วัน นอกจากนี้พบว่า ยาครีมที่ได้จากสารสกัดใบพญายอ ไม่พบอาการข้างเคียงในการใช้
เอกสารอ้างอิง

  • ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด.การใช้บาในโรคเริม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่318.คอลัมน์ล้านคำถามเรื่องยาปรึกษาเภสัชกร.ตุลาคม.2548
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • ประเสริฐ ทองเจริญ.(2528).เริม.กรุงเทพฯ,สำนักพิมพ์เมดาร์ท จำกัด.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “เริม (Herpes simplex)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 969-974.
  • Molly,E.(2003).Acyclovir,A commonly used medication for HIV and AIDS patient.(Online).Available: March 1
  • ศ.นพ.สมยศ จารุวิจิตรรัตนา.โรคเริม.นิจสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่320.คอลัมน์โรคน่ารู้.ธันวาคม.2548
  • อภิชาต ศิวยาธร.(2538). โรคเริมที่อวัยวะเพศ.ในพิไลพันธ์ พุธวัฒนะ และชโลบล อยู่สุข. Human Herpesviuses. กรุงเทพฯ,สาขาจุลชีววิทยา ปรสิตวิทยาและอิมมิวโนวิทยามหาวิทยาลัยมหิดล.โรงพิมพ์อักษรสมัย,หน้า12.7-12.9
  • เริม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.
  • จันทพงษ์ วะสีและคณะ.(2530).ไวรัสวิทยาการแพทย์.กรุงเทพฯ สาขาไวรัสวิทยาภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลซโรงพิมพ์อักษรสมัย
  • Yoosook C, Bunyapraphatsara N, Boonyakiat Y, Kantasuk C.  Anti-Herpes simplex virus activities of crude water extracts of Thai medicinal plants.  Phytomedicine 1999;6(6): 411-9.
  • พญายอ.ฉบับประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “จักรนารายณ์”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 178.
  • ชื่นฤดี ไชยวสุ ทวีผล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ชวลิตธำรง สุทธิโชค จงตระกูลศิริ.  การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบเสลดพังพอนและใบพญายอต่อเชื้อ Herpes simplex virus type-2 ในหลอดทดลอง.  วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2535;34(4):153-8.
  • สมุนไพรรักษาโรคเริม.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Yoosook C, Panpisutchai Y, Chaichana S, Santisuk T, Reutrakul V.  Evaluation of anti-HSV-2 activities of Barleria lupulina and Clinacanltus nutans.  J Ethnopharmacol 1999;67:179-87.
  • สมชาย แสงกิจพร เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ธวัชสุภา ปราณี จันทเพ็ชร.  การรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาสารสกัดของใบพญายอ.  วารสารกรมการแพทย์ 2536;18(5):226-31
  • ดร.เรณู อยู่เจริญ.เริม....ภัยเงียบจากไวรัส.วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ปีที่4ฉบับที่4 ตุลาคม 2554-กันยายน2555.หน้า23-29
  • ชื่นฤดี ไชยวสุ เครือวัลย์ พลจันทร สมชาย แสงกิจพร มาลี บรรจบ ปราณี ชวลิตธำรง.  การศึกษาทดลองในคน : การรักษาผู้ป่วยโรคเริม Herpes simplex virus type 2 ที่อวัยวะสืบพันธุ์ด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอ.  วารสารโรคติดต่อ 2535;18(3):152-61.


Tags : โรคเริม
101  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคพิษสุนักบ้า มีวิธีป้องกันเเละรักษาได้อย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 03:41:33 pm

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies , Hidrophobia)
โรคพิษสุนั [/b]คืออะไร  “โรคพิษสุนัขบ้า” “โรคกลัวน้ำ” หรือ “โรคหมาว้อ” (ในภาษาอีสาน) เป็นโรคติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลางที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน (ZOONSIS) ที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ผู้ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าจะเสียชีวิตเกือบทุกราย เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษา โดยผู้ป่วยทุกรายที่มีอาการแสดงมักจะเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน และในอดีต จะมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้อยู่พอสมควร  ซึ่งผู้ป่วยมักมีประวัติถูกสุนัขกัดแล้วไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์แต่ทั้งนี้โรคพิษสุนัขบ้าก็ยังเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนหลังจากถูกกัดหรือข่วน   
ในแต่ละปีองค์การอนามัยโลกรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้ามากกว่า 60,000 รายทั่วโลก โดยพบมากในประเทศแถบเอเชียและแอฟริกา ซึ่งผู้ป่วยเกือบทั้งหมดได้รับเชื่อจากการถูกสุนัขกัด และแม้ว่าทุกคนจะมีความเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้าแต่ร้อยละ 40 ของผู้ที่ถูกสุนัขบ้ากัดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยผู้ป่วยโรคนี้พบมากที่สุดในประเทศอินเดียประมาณ 20000 รายต่อปี สำหรับในประเทศไทยมีรายงานคนถูกสัตว์กัดหรือข่วนมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี และสถิติของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในช่วงปี พ.ศ. 2554-2558 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า 5-7 รายต่อปี และในปี (2559) นี้นับจากต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคมมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว 7 ราย โรคนี้จึงนับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่มีความสำคัญยิ่งของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง
สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส rabies virus ซึ่งเป็น  lyssavirus type 1 ในตระกูล Rhabdoviridae ที่อยู่ในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเชื้อไวรัสนี้จะทำให้เกิดภาวะสมองอักเสบทั้งในคนและสัตว์ แต่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสแล้ว ถ้าได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้าและสารภูมิคุ้มกันต้านทาน (Immunoglobulin) อย่างรวดเร็วเหมาะสมก็จะไม่เป็นโรค แต่ถ้าไม่ได้การรักษาดังกล่าวก็จะป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งไม่มียารักษาและเสียชีวิตในที่สุด
            โรคพิษสุนัขบ้าพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น สุนัข แมว ค้างคาว วัว ลิง ชะนี  กระรอก กระต่าย รวมถึงหนู เป็นต้น แต่พบว่าสุนัขและแมวเป็นสัตว์ที่นำโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่คนได้บ่อยที่สุดในประเทศแถบเอเชียและแอฟริกา ใน 
            ที่มา  : Wikipedia 
ประเทศที่พัฒนาแล้วแทบไม่พบว่าสุนัขและสัตว์เลี้ยงในบ้านชนิดอื่นๆเป็นสาเหตุของโรค เนื่องจากมีการควบคุมการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์เลี้ยงอย่างเข้มงวด ไม่มีสัตว์จรจัด สัตว์ที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ (มากกว่า 90%) จึงเป็นสัตว์ป่า เช่น แรคคูน สกั๊ง สุนัขจิ้งจอก และที่สำคัญคือค้างคาว  แม้ว่ารายงานจากสำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2556 พบว่าสัตว์ที่ตรวจยืนยันพบเชื้อพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ไม่เคยได้ฉีดหรือไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า แต่ร้อยละ 9.2 ของสัตว์ที่ยืนยันเป็นโรคพิษสุนัขบ้า พบว่ามีประวัติการได้รับเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน
อาการของโรคพิษสุนัขบ้า อาการของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

  • ระยะอาการนำของโรค (Prodrome) ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ (38-38.5 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน อาจมีอาการกระสับกระส่าย ลุกลี้ลุกลน วิตกกังวล มีความรู้สึกกลัว นอนไม่หลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ที่สำคัญซึ่งถือเป็นอาการที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคนี้คือ บริเวณบาดแผลที่ถูกกัด อาจมีอาการปวดเสียว คัน ชา หรือปวดแสบปวดร้อน โดยเริ่มที่บริเวณบาดแผล แล้วลามไปทั่วทั้งแขนหรือขา
ระยะปรากฏอาการทางระบบประสาท (Acute neurol มักเกิดภายหลังอาการนำดังกล่าว 2-10 วัน ซึ่งแบ่งเป็น 3 แบบ ได้แก่

  • แบบคลุ้มคลั่ง (Forious rabies) ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด (ประมาณร้อยละ 60-70 ของผู้ป่วย) ในระยะแรกๆ อาจมีเพียงอาการไข้ กระวนกระวาย สับสน ซึ่งจะเกิดบ่อยเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า เช่น แสง เสียง เป็นต้น ต่อมาจะมีการแกว่งของระดับความรู้สึกตัว (เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดีสลับกัน) ขณะรู้สึกตัวดี ผู้ป่วยจะพูดคุยตอบโต้ได้เป็นปกติ แต่ขณะความรู้สึกตัวไม่ดี ผู้ป่วยจะมีอาการกระวนกระวาย ผุดลุกผุดนั่ง เดินเพ่นพ่าน เอะอะอาละวาด ต่อมาจะมีอาการกลัวลม (เพียงแต่เป่าลมเข้าที่หน้าหรือคอจะมีอาการผวา) กลัวน้ำ (เวลาดื่มน้ำจะปวดเกร็งกล้ามเนื้อคอหอยทำให้กลืนไม่ได้ ไม่กล้าดื่มน้ำทั้งๆ ที่กระหาย หรือแม้แต่จะกล่าวถึงน้ำก็กลัว) ซึ่งพบได้เกือบทุกราย แต่ไม่จำเป็นต้องพบร่วมกันทั้ง 2 อาการ และอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อผู้ป่วยเริ่มเข้าสู่ระยะไม่รู้สึกตัว



    นอกจากนี้ ยังพบอาการถอนหายใจเป็นพักๆ (มักพบในระยะหลังของโรค) และอาการผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น น้ำตาไหล น้ำลายไหล เหงื่อออกมาก ขนลุก ในผู้ชายอาจมีการแข็งตัวขององคชาตและหลั่งน้ำอสุจิบ่อย ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจในที่สุดผู้ป่วยจะซึม หมดสติ หยุดหายใจ และเสียชีวิตภายใน 7 วัน (เฉลี่ย 5 วัน) หลังจากเริ่มแสดงอาการ

  • แบบอัมพาต (นิ่งเงียบ) (Paralytic rabies) ซึ่งพบได้บ่อยรองลงมา (ประมาณร้อยละ 30) มักมีอาการไข้ ร่วมกับกล้ามเนื้อแขนขาและทั่วร่างกายอ่อนแรง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ พบอาการกลัวลมและกลัวน้ำประมาณร้อยละ 50 ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักเสียชีวิตช้ากว่าแบบที่ 1 คือเฉลี่ย 13 วัน  บางครั้งอาจแยกจากกลุ่มอาการกิลเลนบาร์เร (Guillain Barre syndrome) ได้ยาก
  • แบบแสดงอาการไม่ตรงต้นแบบ (non-classic) ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ถูกค้างคาวกัด ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการปวดประสาทหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต่อมาจะมีอาการแขนขาซีกหนึ่งเป็นอัมพาตหรือชา มีอาการชักและการเคลื่อนไหวผิดปกติ มักไม่พบอาการกลัวลม กลัวน้ำและอาการผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติดังแบบที่ 1


  • ระยะไม่รู้สึกตัว (coma) ผู้ป่วยทุกรายเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายจะมีอาการหมดสติและเสียชีวิต (จากระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว รวมทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะ) ภายใน 1-3 วันหลังมีอาการของระยะไม่รู้สึกตัว
แนวทางการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า การวินิจฉัยแพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดง (เช่น กลัวลม กลัวน้ำ ซึม ชัก แขนขาอ่อนแรง) ร่วมกับประวัติการถูกสัตว์กัดมาก่อน  ส่วนในรายที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้แน่ชัด  เช่น ผู้ป่วยมีอาการของโรคพิษสุนัขบ้าในช่วงระยะอาการนำของโรคจะเป็นอาการที่ไม่จำเพาะ หรืออาการแสดงในระยะปรากฏอาการทางระบบประสาทในช่วงแรกที่คล้ายกับโรคสมองอักเสบจากเชื้ออื่น ๆ แพทย์ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเพาะเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยว่าอาการที่ปรากฏนั้นจาโรคพิษสุนัขบ้า
ไม่ใช่จากโรคอื่น ๆ โดยวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการดังกล่าวนั้น ได้แก่

  • Direct fluorescent antibody test เป็นการตัดชิ้นเนื้อผิวหนังบริเวณคอ แล้วนำมาตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยวิธีการใช้สารเรืองแสง ซึ่งจะพบเชื้ออยู่บริเวณเส้นประสาทใต้ต่อมขน ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง
  • RT-PCR เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสจากน้ำลาย น้ำไขสันหลัง หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ จากผู้ป่วย โดยเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงเช่นกัน แต่มีราคาแพง
  • ในกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว เมื่อนำศพไปผ่าพิสูจน์จะพบลักษณะของเซลล์ประสาทที่มีความจำเพาะกับโรคนี้มาก ที่เรียกว่า “เนกริบอดีส์” (Negri bodies) อยู่ภายในเซลล์

    สำหรับการรักษาโรคพิษสุนัขบ้านั้นหากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่เส้นประสาทแล้วก็จะไม่มียาชนิดไหนที่สามารถรักษาให้หายได้เลย ดังนั้น
    หลักของการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าคือ การล้างแผล การให้สารภูมิต้านทาน เพื่อไปทำลายเชื้อ และการให้วัคซีนพิษสุนัขบ้าหลังจากถูกกัดให้เร็วที่สุด

  • การล้างแผล เมื่อผู้ป่วยถูกสัตว์กัดมาจะต้องรีบล้างแผลโดยเร็ว การล้างแผลด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวก็สามารถลดจำนวนเชื้อไวรัสที่บริเวณบาดแผลได้บ้าง การใช้สบู่และยาฆ่าเชื้อเช่น น้ำ ยาเบตาดีน หรือน้ำยาแอลกอฮอล์ 70% จะสามารถทำลายเชื้อได้มากขึ้น

    การล้างแผลควรล้างให้ลึกถึงก้นแผล ทั้งนี้เชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าเป็นเชื้อที่ไม่ทนถูกทำลายง่ายด้วยยาฆ่าเชื้อต่างๆ รวมทั้งแสงยูวี (UV, ultraviolet light) หรือแสงแดด และอากาศที่แห้ง  ขนาดของบาดแผล จำนวนของบาดแผล และตำแหน่งของบาดแผล สัมพันธ์กับการเกิดโรค ถ้าแผลยิ่งอยู่ใกล้สมองเท่าไหร่ ระยะฟักตัวก็จะยิ่งสั้น แผลจำนวนยิ่งมากหรือขนาดแผลยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับเชื้อมากเท่านั้น

  • การให้สารภูมิคุ้มกันต้านทาน เชื้อไวรัสเมื่อเข้าสู่บาดแผลจะเดินทางเข้าสู่กล้ามเนื้อ แบ่งตัวเพิ่มจำนวนและพร้อมจะเข้าสู่เส้นประสาท ในช่วงนี้เองที่การรักษาด้วยการให้สารภูมิคุ้มกันต้าน ทานจะไปทำลายเชื้อไม่ให้เข้าสู่เส้นประสาทได้ ผู้ป่วยจึงไม่เกิดเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แต่ถ้าให้สารภูมิคุ้มกันต้านทานช้าเกินไป รวมทั้งไม่ได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้าด้วย เชื้อจะเข้าสู่เส้นประสาทได้ในที่สุด ซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่เส้นประสาทได้แล้วจะไม่มียาตัวใดรักษาให้หายได้เลย ซึ่งการให้สารภูมิ คุ้มกันต้านทานสามารถให้พร้อมกับวัคซีนได้เลย โดยจะฉีดเข้าสู่รอบๆแผลที่ถูกกัด แต่ถ้าไม่มีบาดแผล เช่น โดนสัตว์เลียปากมาก็ให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
  • การให้วัคซีนพิษสุนัขบ้า เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านทาน (Antibody) ขึ้นมาทำลายเชื้อโรคเอง เนื่องจากสารภูมิคุ้มกันต้านทานที่ผู้ป่วยได้รับจะมีฤทธิ์อยู่เพียงชั่วคราว ซึ่งหลังจากฉีดวัคซีนร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 10 - 14 วันจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาพอที่จะทำลายเชื้อโรคได้

    สำหรับแนวทางในการพิจารณาว่าผู้ป่วยรายใดที่ถูกสัตว์สัมผัสถูกกัดหรือถูกข่วน จำเป็นต้องให้สารภูมิคุ้มกันต้านทานและวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าหรือไม่นั้น ในแต่ละประเทศจะมีแนวทางการรักษาที่ไม่เหมือนกัน สำหรับในประเทศไทยมีแนวทางดังนี้

  • ถ้าสัมผัสกับสัตว์ (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดทั้งสัตว์บ้านและสัตว์ป่า) หรือถูกเลียโดยที่ผิว หนังไม่มีบาดแผลใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร
  • ถ้าถูกงับเป็นรอยช้ำเล็กๆบนผิวหนัง หรือถูกข่วนเป็นรอยถลอกมีเลือดออกเพียงซิบๆ หรือถูกเลียบนผิวหนังที่มีบาดแผล ให้รีบฉีดวัคซีนทันที
  • ถ้าถูกกัดหรือข่วนที่มีเลือดออกชัดเจน หรือถูกเลียโดนเยื่อบุต่างๆ เช่น เลียตา เลียปาก ให้รีบให้สารภูมิคุ้มกันต้านทานและวัคซีนทันที

ในประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้ใช้สูตรการฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าในผู้ป่วยภายหลังสัมผัสสัตว์ที่เป็นโรคหรือสงสัยเป็นโรค (เรียกว่า Post exposure prophylaxis) เพียง 2 สูตร คือ

  • การฉีดเข้ากล้ามเนื้อแบบวิธีมาตรฐาน (แบบ ESSEN) คือให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขนในผู้ใหญ่ หรือที่ต้นขาในเด็กเล็ก โดยกำหนดให้ฉีดในวันที่ 0 (วันแรกที่มาฉีดวัคซีน) 3, 7, 14 และ 28 หรือ 30
  • การฉีดเข้าผิวหนังตามสภากาชาดไทย (Thai Red Cross-ID) คือให้ฉีดเข้าในผิว หนัง 2 จุดที่บริเวณต้นแขนทั้ง 2 ข้าง ในวันที่ 0, 3, 7 และฉีด 1 จุดในวันที่ 28 และ 90 หรือฉีด 2 จุดในวันที่ 28 ซึ่งปริมาณวัคซีนที่ใช้ฉีดจะน้อยกว่าแบบที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จึงประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า
สามารถสังเกตอาการของสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้อย่างไร
            อาการของโรคพิษสุนัขบ้าไม่แตกต่างกันมากนักในแต่ละชนิดของสัตว์ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาการในสุนัขและแมวเท่านั้น เนื่องจากเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดและพบว่าเป็นพาหนะนำโรคที่สำคัญในประเทศไทย โดยอาการป่วยที่สังเกตได้แบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ดังนี้

  • ระยะอาการนำ (Prodromal phase)

    สุนัข : ในระยะนี้สุนัขจะมีพฤติกรรมและนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปโดยจะเปลี่ยนไปในลักษณะตรงข้ามกับที่เป็นอยู่ สุนัขที่เคยเชื่องกับคนจะดุร้ายขึ้น ส่วนสุนัขที่ชอบหนีคนจะเข้าหาคนและแสดงความเป็นมิตรมากขึ้น หากสังเกตให้ดีจะพบว่าสุนัขบางตัวมีม่านตาขยายกว้างกว่าปกติ และมีการตอบสนองต่อแสงลดลง นอกจากนี้สุนัขบางตัวจะคันและเลียบริเวณที่ถูกกัดจนกระทั่งเกิดเป็นแผลถลอก สุนัขจะแสดงอาการในระยะนี้ประมาณ 2-3 วัน
    แมว : อาการในระยะนี้ของแมวจะคล้ายคลึงกับอาการในสุนัข แต่ต่างกันเล็กน้อยตรงที่ในแมวจะมีไข้สูงเป็นช่วงๆ และจะแสดงพฤติกรรมผิดไปจากปกติมาก โดยแมวจะแสดงอาการในระยะนี้ 1-2 วัน

  • ระยะตื่นเต้น (Excitative phase)

    สุนัข : อาการของสุนัขในระยะนี้จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดและเป็นที่มาของชื่อ “โรคพิษสุนัขบ้า” โดยสุนัขจะมีอาการกระวนกระวายมากขึ้น พยายามที่จะหนีออกจากที่อยู่เดิม เมื่อหนีออกมาได้จะวิ่งเตลิดอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย มักจะแสดงอาการแปลกๆ เช่น งับลมหรือกัดสิ่งของต่างๆ เช่นก้อนหิน ดิน และมักจะไล่กัดทุกสิ่งที่ขวางหน้าเป็นอาการบ้าคลั่งอย่างเด่นชัด หากจับขังกรงจะงับและกัดกรงอย่างรุนแรงจนเกิดบาดแผลที่ปากที่เลือดไหล หรือฟันหักโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด ต่อมาเสียงเห่าหอนจะเริ่มผิดปกติไปเนื่องจากเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมากล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยว และควบคุมการทำงานของลิ้นอาจเกิดอัมพาตขึ้นทำให้ลิ้นห้อยออกมานอกปาก มีน้ำลายไหลมาก ต่อมาลำตัวจะเริ่มแข็ง ขาหลังเริ่มอ่อนเปลี้ย ซึ่งเป็นอาการที่เริ่มเข้าสู่ระยะอัมพาต โดยทั้งสิ้นสุนัขจะแสดงอาการในระยะนี้อยู่ประมาณ 1-7 วัน
    แมว : อาการของแมวในระยะนี้จะแปลกไปกว่าปกติโดยจะแสดงอาการกระวนกระวาย จ้องมองสิ่งของหรือมองโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย เมื่อจับขังกรงแมวจะแสดงอาการกระวนกระวาย ตื่นกลัวอย่างมาก และจะกัดหรือข่วนวัตถุต่างๆ ที่อยู่ใกล้ แมวบางตัวยังแสดงอาการกล้ามเนื้อสั่น อ่อนแรงและทำงานไม่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้แมวบางตัวจะวิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมายจนเหนื่อยและตายในที่สุด

  • ระยะอัมพาต (Paralytic phase)

    สุนัข : ระยะนี้เป็นระยะสุดท้ายของโรคพิษสุนัขบ้า โดยพบว่าอาการในระยะนี้จะขึ้นกับอาการในระยะตื่นเต้นสุนัขที่แสดงอาการตื่นเต้นหรือดุร้ายอย่างชัดเจน อาการในระยะนี้จะสั้นมาก เมื่อสุนัขเริ่มแสดงอาการขาหลังอ่อนเปลี้ยแล้วในที่สุดจะล้มลงแล้วลุกไม่ได้ อาการอัมพาตที่เกิดขึ้นจะแผ่ขยายจากส่วนท้ายของลำตัวไปยังส่วนหัวอย่างรวดเร็ว และจะตายเนื่องจากการเกิดอัมพาตของระบบหายใจ  (respiratory paralysis) ส่วนในรายที่แสดงอาการตื่นเต้นไม่ชัดเจน หรือพบในระยะสั้นๆ อาจแสดงอาการระยะอัมพาตนานขึ้น จะสังเกตเห็นสุนัขมีอาการขึ้น จะสังเกตเห็นสุนัขมีอาการซึม อ้าปาก คางห้อยตก ลิ้นห้อยยาว ออกมานอกปาก น้ำลายไหลมาก ในระยะนี้สุนัขมักจะไม่กัดคนและจะแสดงอาการอยู่ 2-4 วัน หลังจากนั้นอาการอัมพาตจะแผ่ขยายทั่วตัวทำให้ตายด้วยการเกิดอัมพาตของระบบหายใจเช่นเดียวกัน
    แมว : ในระยะนี้แมวจะแสดงอาการคล้ายกับในสุนัขแต่อาการในระยะอัมพาตนี้มักจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 5 หลังเริ่มแสดงอาการ
    การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อที่มีการติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonosis) ซึ่งเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลบนผิวหนัง โดยการถูกสัตว์ที่เป็นโรค กัด ข่วน หรือเลีย (สำหรับการเลีย จะต้องเลียถูกเยื่อเมือกหรือรอยแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ เชื้อจึงจะเข้าได้ แต่ถ้าผิวหนังเป็นปกติดี เชื้อจะผ่านเข้าไปไม่ได้) เชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน แล้วเดินทางขึ้นไปตามเส้นประสาทส่วนปลายเข้าสู่ไขสันหลังและสมอง หลังจากนั้นจะแพร่กระจายลงมาตามระบบประสาทส่วนปลายไปยังอวัยวะต่างๆ รวมทั้งต่อมน้ำลาย บางครั้งเชื้ออาจเดินทางเข้าสมองโดยไม่ต้องรอให้มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน (ทำให้มีระยะฟักตัวของโรคสั้นกว่า 7 วัน) บางครั้งเชื้ออาจเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์อื่น เช่น มาโครฟาจ (macrophage) เป็นเวลานานก่อนจะออกมาสู่เซลล์ประสาท (ทำให้มีระยะฟักตัวของโรคยาว)

    นอกจากนี้ เชื้อยังอาจเข้าสู่ร่างกายได้จากการที่คนหายใจเอาละอองไอน้ำที่มีเชื้อโรคอยู่ (แต่พบได้น้อยมาก เช่น การเข้าไปในถ้ำที่มีค้างคาวอยู่กันเป็นล้าน ๆ ตัว หรือเป็นเจ้าหน้าที่ในห้องแล็บที่ต้องทำงานเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดนี้)
    ระยะฟักตัว (ระยะที่ถูกกัดจนกระทั่งมีอาการ) 7 วัน ถึง 6 ปี ส่วนใหญ่เกิดในช่วง 20-60 วัน หลังสัมผัสโรค มีส่วนน้อยที่พบอาการหลังสัมผัสโรคมากกว่า 1 ปี
    แต่ได้เฉลี่ยแล้วหลังได้รับเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าผู้ป่วยจะแสดงอาการป่วยประมาณ 3 สัปดาห์ - 3 เดือน ในบางรายอาจใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมีอาการก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับตำแหน่งที่ถูกกัด ขนาด จำนวนและความลึกของบาดแผล รวมถึงภูมิต้านทานของคนที่ถูกสัตว์กัดด้วย
    การปฏิบัติตนเมื่อถูกสัตว์กัน/ข่วน

  • รีบล้างแผลให้เร็วที่สุดด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างแผล (Normal saline) หลายๆครั้ง (ประมาณ 15 นาที) ล้างทุกแผล และล้างให้ลึกถึงก้นแผล แล้วเช็ดแผลให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน เป็นต้น
  • ไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการป้องกันรักษาที่ถูกต้อง ถ้ามีความเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้า อาทิเช่น ถูกกัดหรือข่วนจนมีเลือดซิบหรือลึกกว่านั้น แพทย์จะพิจารณาฉีดวัควัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงวัคซีนป้องกันบาดทะยัก และยาฆ่าเชื้อ นอกจากนี้ในกรณีที่มีโอกาสติดโรคพิษสุนัขบ้าสูง แพทย์อาจพิจารณาให้อิมมูโนโกลบุลินซึ่งมีภูมิต้านทานโรคพิษสุนัขบ้าร่วมด้วย โดยวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจะฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง เป็นวัคซีนมีความปลอดภัยสูง  สามารถฉีดได้ทุกวัย รวมทั้งในเด็กและสตรีมีครรภ์ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามีประสิทธิภาพสูงหากไปรับการฉีดตรงตามแพทย์นัดทุกครั้ง
  • จดจำลักษณะและสังเกตุอาการสัตว์ที่กัด รวมทั้งสืบหาเจ้าของ เพื่อสอบถามประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า และสังเกตุอาการสัตว์ที่กัดเป็นเวลา 10 วัน ถ้าสบายดีไม่น่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แต่ถ้าสุนัขตายให้นําซากมาตรวจ
  • ซึ่งในการส่งซากตรวจควรส่งให้เร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง (ในขณะเก็บซากสัตว์ควรสวมถุงมือยางและล้างมือหลังจากเก็บซากให้สะอาด) และควรส่งตรวจเฉพาะส่วนหัวของสัตว์ (เชื้อและลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อที่ชัดเจนที่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำจะอยู่ที่สมอง) แต่หากเป็นสัตว์ตัวเล็กก็สามารถส่งตรวจได้ทั้งตัว โดยสัตว์ที่ส่งตรวจจะต้องใส่ถุงพลาสติกให้มิดชิด ห่อด้วยกระดาษหลาย ๆ ชั้น แล้วใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งและปิดปากถุงให้สนิทเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย
การป้องกันตนเองจากโรคพิษสุนัขบ้า

  • ควบคุมไม่ให้สัตว์เป็นโรคพิษสุนัขบ้า

                        - พาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าตามกำหนด และฉีดซ้ำทุกปี
                        - ไม่ปล่อยสัตว์เลี้ยงไปในที่สาธารณะ ทุกครั้งที่จะนำสุนัขออกนอกบ้านควรอยู่ในสายจูง
                        - ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยง

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกสัตว์กัด โดยไม่แหย่ หรือรังแกให้สัตว์โมโห รวมทั้งไม่ยุ่งหรือเข้าใกล้สัตว์ที่ไม่รู้จักหรือไม่มีเจ้าของ
  • คนที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคสูงได้แก่ สัตว์แพทย์และผู้ช่วย คนเพาะสัตว์เลี้ยงขาย ร้านขายสัตว์เลี้ยง เจ้าหน้าที่กำจัดสุนัขและแมวจรจัด เจ้าหน้าที่บ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ เร่ร่อนต่างๆ บุรุษไปรษณีย์ คนที่ทำงานในห้องแลปที่ต้องเกี่ยวข้องกับเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ควรได้ รับวัคซีนแบบป้องกันล่วงหน้า (Preexposure prophylaxis) คือให้ฉีดวัคซีนในวันที 0, 3 และ 21 หรือ 28 และให้ฉีดกระตุ้นซ้ำ 1 เข็มทุกๆ 5 ปี
  • แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าโรคนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีรายงานพบผู้ป่วยที่ติดโรคนี้จากการปลูกถ่ายกระจกตาหรืออวัยวะ ดังนั้น เมื่อมีการสัมผัสกับผู้ป่วย เช่น ถูกผู้ป่วยกัด เยื่อบุหรือบาดแผลไปสัมผัสถูกสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วย ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาฉีดยาป้องกันแบบเดียวกับการสัมผัสโรคจากสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษาโรคพิษสุนัขบ้า  เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่รุนแรงโดยหากเชื้อเข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลายแล้วจะไม่สามารถรักษาได้ เพราะไม่มียาตัวไหนหรือวิธีไหนที่จะฆ่าเชื้อไวรัสหรือรักษาให้หายได้ แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างดีในห้องไอซียู (ICU, inten sive care unit) แต่อัตราการเสียชีวิตก็็็๋่าสคือ 100%         ดังนั้นจึงไม่มีสมุนไพรชนิดไหนที่สามารถรักษา / ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นกัน
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร 
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้จากการนำเชื้อ Rabies virus ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงโดยวิธีการเฉพาะ ซึ่งเชื้อจะถูกทำให้ตายก่อนที่จะนำมาฉีดเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสามารถทำได้ 2 แบบ คือ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular; IM)และฉีดเข้าในผิวหนัง (Intradermal; ID)
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่

  • Lyssavac N® (Purified Duck Embryo Cell Rabies Vaccine; PDEV) เป็นวัคซีนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงไวรัสในตัวอ่อนไข่เป็ดที่ฟักแล้ว (embryonated duck eggs)แนะนำให้ฉีดแบบ IM เท่านั้นมีลักษณะเป็นวัคซีนผงแห้งพร้อมน้ำสำหรับทำละลาย (sterile water for injection) เมื่อละลายแล้วมีลักษณะเป็นสารแขวนตะกอนสีขาว ขุ่นเล็กน้อย เนื่องจากมี thimerosal เป็นสารกันเสีย ปริมาตรรวม 1 ml
  • SII Rabivax® (Human Diploid Cell Rabies Vaccine; HDCV) เป็นวัคซีนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงไวรัสในhuman diploid cellแนะนำให้ฉีดแบบ IM เท่านั้นมีลักษณะเป็นวัคซีนผงแห้งพร้อมน้ำสำหรับทำละลาย (sterile water for injection) เมื่อละลายแล้วมีลักษณะใส สีชมพู ปริมาตรรวม 1 ml
  • Rabipur® (Purified Chick Embryo Cell Rabies Vaccine; PCECV)เป็นวัคซีนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงไวรัสใน primary chick embryo fibroblast cell สามารถฉีดได้ทั้งแบบ IM และ ID มีลักษณะเป็นวัคซีนผงแห้งพร้อมน้ำสำหรับทำละลาย (sterile water for injection) เมื่อละลายแล้วมีลักษณะใส ไม่มีสี ปริมาตรรวม 1 ml
  • Verorab® (Purified Vero Cell Rabies Vaccine; PVRV)เป็นวัคซีนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงไวรัสใน vero cells สามารถฉีดได้ทั้งแบบ IM และ ID มีลักษณะเป็นวัคซีนผงแห้งพร้อมน้ำเกลือสำหรับทำละลาย (solution of sodium chloride 4%) เมื่อละลายแล้วมีลักษณะใส ไม่มีสี ปริมาตรรวม 0.5 ml

วัคซีนทั้ง 4 ชนิดมีชื่อเรียกรวมๆ ว่า วัคซีนเซลล์เพาะเลี้ยง ซึ่งจะมีความปลอดภัยและมีความบริสุทธิ์มากกว่าวัคซีนแบบเก่าที่ผลิตจากการนำเชื้อ
102  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคธาลัสซีเมีย มีสรรพคุณที่สามารถช่วยรักษาได้อย่าน่าอัศจรรย์ เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2018, 02:01:59 pm

โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
โรคธาลัสซีเมี[/b]เป็นอย่างไร โรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยา (thalassemia) เป็นโรคโลหิตจาง จากกรรมพันธุ์อันเนื่องมาจากความไม่ปกติของการผลิตฮีโมโกลบิน ทําให้สร้างลดลง (thalassemia) รวมทั้งหรือสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ (hemoglobinopathy) ได้ผลให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติและมีอายุสั้น (hemolytic anemia) และก็แตกง่าย โรคธาลัสซีเมียมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal กล่าวอีกนัยหนึ่ง พ่อรวมทั้งมารดาของผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีธาลัสซีภรรยาแอบแฝง หรือเรียกว่าเป็นพาหะของธาลัสซีภรรยา (thalassemia trait, carrier, heterozygote) หรือเป็นโรคธาลัสซีภรรยา ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยเกิดอาการซีดเซียวเหลืองเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมา  ดังนี้โรคธาลัสซีภรรยาจัดเป็นโรคโลหิตจางทางด้านกรรมพันธุ์ที่มักพบที่สุดในโลก สามารถเจอได้ทั่วโลก แต่พบได้สูงในแถบเอเซียอาคเนย์ รวมทั้งคนในถิ่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในประเทศไทย ในประเทศไทย พบคนเจ็บโรคนี้ปริมาณร้อยละ 1 และพบผู้เป็นพาหะของโรค หรือผู้ที่มียีนแอบแฝงราวปริมาณร้อยละ 30-40 สุดแต่ภูมิภาค ในจังหวัดพิษณุโลกพบผู้เป็นพาหะร้อยละ 30.5
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคธาลัสซีภรรยา เป็นผลมาจากความผิดแปลกทางด้านกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดต่อๆกันมาจากบรรพบุรุษในลักษณะยีนด้อย (autosomal recessive) กล่าวอีกนัยหนึ่งผู้เจ็บป่วย (ผู้ที่มีลักษณะอาการแสดงของโรคนี้) ต้องรับคู่ยีนที่ผิดปกติมาจากฝ่ายพ่อแล้วก็แม่ทั้งคู่ยีน ส่วนคนที่รับยีนไม่ดีเหมือนปกติมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการป่วยเป็นโรคนี้และมีสุขภาพปกติดี แต่จะมียีนไม่ดีเหมือนปกติแฝงอยู่ในตัวรวมทั้งสามารถถ่ายทอดไปยังบุตรหลานต่อไป เรียกว่า พาหะธาลัสซีเมีย  เนื่องจากความแตกต่างจากปกติด้านกรรมพันธุ์มีได้หลากหลายลักษณะ โรคนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังเช่นว่า แอลฟาทาลัสซีเมีย (alpha-thalassemia) แล้วก็บีตาทาลัสซีเมีย (beta-thalassemia) ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความแปลกของยีนสำหรับการควบคุมการผลิตโปรตีนโกลบินจำพวกแอลฟาและก็อนุภาคเบตาตามลำดับ 2 กลุ่มนี้ ยังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยๆได้อีกหลายชนิด ซึ่งมีความรุนแรงมากมายน้อยต่างๆนาๆ ซึ่งได้ผลจากการจับคู่ระหว่างยีนเปลี่ยนไปจากปกติประเภทต่างๆดังเช่นว่า ถ้าเกิดใครกันแน่รับการถ่ายทอดสารพันธุบาปจำพวก อัลฟา - ธาลัสซีเมีย หรือ เบต้า - ธาลัสซีเมีย มาจากบิดาหรือมารดาเพียงแต่ฝ่ายเดียว ก็นับว่าผู้นั้นเป็นพาหะอัลฟาธาลัสซีเมีย พาหะฮีโมโกลบินคอนแสตนสปริงค์ พาหะเบต้าธาลัสซีภรรยา หรือพาหะฮีโมโกลบินอี แม้กระนั้นถ้าคนไหนได้รับการถ่ายทอดสารพัดธุบาปชนิด อัลฟา - ธาลัสซีเมีย หรือจำพวก เบต้า - ธาลัสซีภรรยา มากมายจากทั้งพ่อรวมทั้งแม่ ก็ถือว่าผู้นั้นเป็น
โรคธาลัสซีภรรยา เช่น โรคฮีโมโกลบินเฮช โรคฮีโมโกลบินบาร์ท โรคเบต้าธาลัสซีภรรยา หรือ โรคเบต้าธาลัสซีเมียฮีโมโกลบิน ฯลฯ
                สรุปได้ว่าเนื่องจากธาลัสซีภรรยาเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ก็เลยแปลว่า บิดาหรือแม่ของผู้ป่วยอาจเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือเป็นพาหะและส่งต่อพันธุกรรมเหล่านี้มายังลูก คนที่ได้รับกรรมพันธุ์หรือยีนจากบิดาหรือแม่เพียงแต่ฝ่ายเดียวเรียกว่าธาลัสซีเมียแอบแฝง ไม่ถือว่าเป็นโรค โดยผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียแฝงจะไม่กำเนิดอาการอะไรก็ตามแต่สามารถเป็นพาหะแล้วก็ส่งต่อยีนนี้ไปสู่รุ่นต่อไปได้
โอกาสเสี่ยงที่บุตรจะเป็นโรคธาลัสซีภรรยาจากกรรมพันธุ์

  • ถ้าหากบิดาหรือแม่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งเป็นพาหะของโรค ส่วนอีกฝ่ายปกติบริบูรณ์ดี จังหวะที่บุตรจะเป็นพาหะเท่ากับ 50% และก็โอกาสที่บุตรจะเป็นปกติสมบูรณ์เท่ากับ 50%
  • หากอีกทั้งพ่อรวมทั้งแม่ต่างข้างต่างเป็นพาหะของโรค จังหวะที่บุตรจะเป็นพาหะเท่ากับ 50%, จังหวะที่บุตรจะเป็นโรคธาลัสซีภรรยาพอๆกับ 25% และก็โอกาสที่บุตรจะเป็นปกติสมบูรณ์พอๆกับ 25%
  • ถ้าเกิดบิดาหรือแม่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งเป็นพาหะของโรค ส่วนอีกฝ่ายเป็นโรคธาลัสซีภรรยา จังหวะที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับ 50% และจังหวะที่บุตรจะเป็นโรคธาลัสซีภรรยาพอๆกับ 50%
  • ถ้าทั้งพ่อและแม่ต่างข้างต่างเป็นโรคธาลัสซีเมีย โอกาสที่บุตรจะมีอาการป่วยเป็นโรคธาลัสซีภรรยาเท่ากับ 100%

ยิ่งกว่านั้นธาลัสซีภรรยาแต่ละประเภทยังปรากฏลักษณะเฉพาะอีกหลายประการ ซึ่งนำมาซึ่งความร้ายแรงของอาการในระดับที่แตกต่างกันอีกด้วย
ลักษณะของโรคธาลัสซีภรรยา
โรคทาลัสซีเมียจำพวกที่รุนแรงที่สุด อย่างเช่น โรคเฮโมโกลบินบาร์ตไฮดรอปส์ฟีทัลลิส (haemoglobin Bart’s hydrops fetalis) มีต้นเหตุที่เกิดจากยีนที่สร้างโกลบินชนิดแอลฟาขาดหายไปทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างโกลบินประเภทแอลฟา ซึ่งเป็นโกลบินที่สำคัญที่สุดได้เลย แต่จะสร้างฮีโมโกลบินบาร์ตแทนทั้งสิ้น ซึ่งจะจับออกซิเจนไว้เอง ไม่ปลดปล่อยให้แก่เนื้อเยื่อ ทำให้คนที่เป็นโรคนี้มีความผิดปกติตั้งแต่เป็นลูกในท้องแม่ โดยเด็กแรกคลอดมีลักษณะบวมน้ำจากภาวการณ์ซีดเผือดร้ายแรง ส่วนมากจะเสียชีวิตตั้งแต่ในท้อง ส่วนน้อยเสียชีวิตขณะคลอดหรือข้างหลังคลอด
เพียงแค่เล็กๆน้อยๆ เด็กอ่อนจะมีลักษณะซีดเซียว บวม ท้องป่อง ตับและก็ม้ามโต แม่ที่ตั้งครรภ์ทารกที่เป็นโรคนี้ ชอบมีภาวการณ์ครรภ์เป็นพิษแทรก ชอบมีการคลอดไม่ปกติ และก็ตกเลือดก่อนหลังคลอด
โรคทาลัสซีเมียที่มีอาการร้ายแรงปานกลางถึงร้ายแรงมาก  ส่วนมากเป็นอนุภาคเบตาทาลัสซีเมียจำพวกโฮโมไซกัส (homozygous beta-thalassemia) รวมทั้งนิดหน่อยของบีตาทาลัสซีเมียประเภทเฮโมโกลบินอี (beta-thalassemia/heamoglobim E) มีเหตุที่เกิดจากความแปลกของยีนที่สร้างโกลบินประเภทเบตา คนป่วยกลุ่มนี้เมื่อทารกมีลักษณะปกติ ไม่ซีด จะซีดตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน (ในกรุ๊ปอาการรุนแรงมาก) หรือเมื่ออายุเป็นปีไปแล้ว (ในกรุ๊ปร้ายแรงปานกลาง) อาการสำคัญคือ ซีด เหลือง ตับโต ม้ามโต ตัวเล็กแกร็น น้ำหนักน้อยไม่สมอายุ เป็นหนุ่มเป็นสาวช้า ใบหน้าแปลก (ดังที่เรียกว่า หน้าทาลัสซีเมีย) กลุ่มที่มีอาการรุนแรงมากมาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีอายุสั้น (50%  เสียชีวิตภายในช่วงเวลา 10 ปี และ 70% เสียชีวิตภายใน 25 ปี)  ส่วนกลุ่มที่อาการรุนแรงปานกลางอาจมีอายุยืนยาวจนเป็นผู้ใหญ่สามารถสมรสมีลูกหลานได้
โรคทาลัสซีเมียที่มีอาการน้อย จำนวนมากเป็น โรคเฮโมโกลบินเอช (haemoglobin H disease ซึ่งอยู่ในกรุ๊ปแอลฟาทาลัสซีเมีย) และก็เล็กน้อยของอนุภาคบีตาทาลัสซีเมียจำพวกมีฮีโมโกลบินอี คนไข้มีภาวะซีดเผือดนิดหน่อยเหลืองเล็กน้อย ม้ามไม่โตหรือโตเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ การเจริญเติบโตค่อนข้างธรรมดา ลักษณะบริเวณใบหน้าธรรมดา (ไม่เป็นทาลัสซีเมีย) สุขภาพออกจะแข็งแรงและก็อายุยืนยาวอย่างเช่นคนธรรมดา
โดยทั่วไปมักไม่ต้องมาเจอแพทย์และไม่ต้องได้รับเลือดรักษา คนเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียวไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้ และบางทีอาจได้รับการวิเคราะห์เมื่อมาพบแพทย์ด้วยต้นเหตุอื่น หรือเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน คนไข้เฮโมโกลบินเอชบางครั้งอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกรุนแรง (acute hemolysis) ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเป็นไข้จากการต่อว่าดเชื้อ ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะซีดเซียวลงอย่างรวดเร็วและก็ร้ายแรงจนถึงจำต้องได้รับเลือด
กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงที่จะเป็นโรคธาลัสซีภรรยา พสกนิกรไทยเป็นพาหะสูงถึงร้อยละ 35 หากมีพี่น้องเป็นธาลัสซีเมีย อัตราเสี่ยงที่จะเป็นพาหะจะยิ่งมากขึ้น สามีภรรยาที่เป็นพาหะทั้งสองอาจมีลูกเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ โดยเหตุนี้ผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคธาลัสซีภรรยา หรือพาหะธาลัสซีเมียจะมีประวัติแล้วก็อากาต่างๆดังนี้
ผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคหรือพาหะเป็น

  • ตัวซีดเผือด แล้วก็บางทีอาจตรวจเจอตับม้ามโตร่วมด้วย
  • ตัวซีดเซียวลงอย่างเร็วเมื่อมีการป่วยไข้อย่างรุนแรง
  • มีประวัติคนในครอบครัวตัวซีด ตับม้ามโต
  • เคยมีลูกเป็นพาหะ หรือโรคธาลัสซีเมีย
  • เคยมีบุตรเสียชีวิตในท้องเหตุเพราะภาวการณ์เด็กแรกเกิดบวมน้ำ
  • ตรวจพบขนาดเม็ดเลือดแดงเล็กมากยิ่งกว่าธรรมดา (MCV < 80 fL.)
  • ตรวจเลือด Osmotic fragility test (OF) ได้ผลบวกแล้วก็ Dichlorophenolindolphenol precipitation test (DCIP) ให้ ผลบวก

           ถ้าเกิดท่านมีข้อบ่งชี้อาการข้อใดข้อหนึ่งตามที่กล่าวมา ก็ควรตรวจวินิจฉัยยืนยันว่าเป็นโรคหรือพาหะโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ รวมถึงคู่ที่กำลังจะแต่งงาน แล้วก็คิดแผนเพื่อมีลูกหรือกำลังท้องอ่อนๆก็ควรได้รับการตรวจด้วยเหมือนกัน เพื่อประเมินตัวเองรวมทั้งช่องทางเสี่ยงต่อโรคหรือพาหะของบุตรในครรภ์
วิธีการรักษาโรคธาลัสซีภรรยา การวิเคราะห์แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากเรื่องราวผู้เจ็บป่วยมีลักษณะอาการซีดเซียวเหลืองมาตั้งแต่เล็ก และก็อาจพบว่ามีพี่น้องประชาชนผู้ใดผู้หนึ่งเป็นโรคนี้ด้วย
นอกเหนือจากนี้ ยังจำต้องตรวจร่างกายของคนป่วยว่าคนเจ็บมีตับโต ม้ามโต พุงป่อง รูปร่างผอมบางแล้วก็เล็กไม่สมอายุ กล้ามลีบและแขนเล็ก ผิวหนังคล้ำออกเป็นสีเทาอมเขียว หน้าตาแปลก อาทิเช่น กะโหลกศีรษะนูนเป็นพู หน้าผากโหนก ตาห่าง สันจมูกแบน โหนกแก้มสูง คางรวมทั้งขากรรไกรกว้าง ฟันบนยื่น ฟันไม่สบกัน ฟันเรียงหน้าผิดปกติ ตามที่เรียกว่า “หน้าทาลัสซีเมีย” หรือไม่ อาการและก็ลักษณะทางคลินิกของคนเจ็บเป็นข้อมูลที่สําคัญสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรคแต่ว่ามีผู้เจ็บป่วยโรคธาลัสซีภรรยาบางจำพวก อาการบางทีอาจไม่รุนแรงการตรวจทางห้องปฏิบัติการก็เลยมีความจําเป็นและสามารถช่วยแยกชนิดต่างๆของโรคได้ ซึ่งการตรวจทางห้องทดลอง ยกตัวอย่างเช่น การตรวจเลือด (complete blood count, CBC) เพื่อมองสภาวะซีดค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indices) และก็ลักษณะ เม็ดเลือดแดง (morphology) เป็นสิ่งที่ช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรคได้เม็ดเลือดแดงบนสเมียร์เลือดของผู้เจ็บป่วย homozygous β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E รวมทั้ง Hb H disease มีลักษณะติดสีจาง (hypochromia) ขนาดเล็ก(microcytic) รวมทั้งรูปร่างผิดปกติ(poikilocytosis) เป็นต้น ค่าดรรชนีเม็ดเลือดแดง MCV แล้วก็ MCH มีขนาดเล็กกว่า ปกติแล้วก็การตรวจเจอ inclusion body ในเม็ดเลือดแดง สามารถให้การวินิจฉัยโรคธาลัสซีภรรยาได้

การวินิจฉัยธาลัสซีภรรยา (definite diagnosis) ต้องทําโดยการตรวจพินิจพิจารณาประเภทของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin analysis) โดยเครื่องตรวจอัตโนมัติชนิด high performance liquid chromatography (HPLC), low -pressure liquid chromatography (LPLC), หรือ hemoglobin electrophoresis เพื่อจําแนกชนิดของโรคธาลัสซีเมียแล้วก็ฮีโมโกลบินเปลี่ยนไปจากปกติให้แน่ๆ
การดูแลรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียขึ้นกับความร้ายแรงของโรค สามารถจัดตามความรุนแรงได้ดังนี้

  • โรคธาลัสซีเมียประเภทร้ายแรง (severe beta-thalassemia) เป็นมีระดับ baseline Hb ต่ำลงมากยิ่งกว่า 7.0 g/dl

(Hct<20%) ได่แก่ β-thal/ β-thal แล้วก็ของ β-thal/Hb E disease ส่วนน้อย มีทางเลือกสำหรับเพื่อการรักษาดังนี้

  • การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก(stem cell transplantation)
  • การให้เลือดมากพอที่จะหยุดการสร้างเลือด (high transfusion) และก็ให้ยาขับธาตุเหล็ก (iron chelation) เมื่อมีการให้เลือดบ่อยครั้งจนเกิดภาวะเหล็กเกิน
  • ให้เลือดแบบช่วยเหลือ (low transfusion) ให้ยาขับธาตุเหล็กแล้วก็ตัดม้ามเมื่อม้ามโตกระทั่งแทรกอวัยวะอื่นในท้องหรือมีภาวะม้ามทำงานมากเกินไป
  • โรคธาลัสซีภรรยาประเภทร้ายแรงปานกลาง (moderately severe thalassemia) คือหรูหรา baseline Hb ระหว่าง 7-9 g/dl (Hct 20- 27 %) ยกตัวอย่างเช่นผู้เจ็บป่วย β-thal/ Hb E จำนวนมาก, คนป่วย β-thal/ β-thal บางราย และก็ Hb H diseaseบางราย มีทางเลือกสำหรับการรักษา ดังต่อไปนี้
  • ให้เลือดมากพอที่จะระงับการผลิตเลือดและให้ยาขับธาตุเหล็ก (high transfusion + iron chelation)
  • ใหเลือดแบบช่วยเหลือ (low transfusion) หรือเมื่อมี acute hemolysis และการตัดม้ามเมื่อมีอาการตามข้อ 1
  • โรคธาลัสซีภรรยาจำพวกร้ายแรงน้อย (mild thalassemia) หรูหรา baseline Hb > 9 g/dl (Hct > 27 %) ยกตัวอย่างเช่น Hb H disease จำนวนมาก Hb A-E-Bart’s disease, Homozygous Hb CS,  β-thal/ Hb E ควรให้การรักษาโดยให้เลือดต่อเมื่อมีacute hemolysis ดังเช่น ซีดมากมายเนื่องตกมีเม็ดเลือดแดงแตกฉับพลัน ซึ่งพบได้ทั่วไปเมื่อมีการติดโรค
  • โรคธาลัสซีเมียชนิดไม่มีอาการหรือธาลัสซีเมียแฝง (Asymptomatic) ตัวอย่างเช่น Homozygous α-thal 2, Homozygous Hb E, แล้วก็ธาลัสซีเมียแอบแฝง ไม่จําเป็นจำต้องตรวจรักษาเป็นพิเศษ ไม่จําเป็นต้องได้ทานยา ควรจะได้รับคําแนะนําหารือด้านพันธุศาสตร์ ควรจะได้รับการตรวจสุขภาพตามระบบธรรมดา

การติดต่อของโรคธาลัสซีเมีย เนื่องจากว่าโรคธาลัสซีภรรยาเป็นโรคโบหิตจางที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุ์บาปหรือพันธุกรรมซึ่งไม่มีการติดต่อของโรคนี้ จากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย คนที่ตรวจพบว่าเป็นพาหะโรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยา สามารถใช้ชีวิตราวกับคนปกติ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกินยาใดๆก็ตามแม้กระนั้นคนที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยาจะมีลักษณะอาการของโรคแตกต่าง บางคนตัวซีดเผือดมากมาย ตับม้ามโตมากมาย อาจจะจำเป็นต้องได้รับการให้เลือดและก็ยาขับธาตุเหล็กส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นช่วงๆหรือผ่าตัดม้ามออกเพื่อลดการทำลายเม็ดเลือดแดง ส่วนบางคนจะมีอาการซีดไม่มากมาย จะรักษาตามอาการ สามารถให้กินกรดโฟลิก แต่ไม่มีความจำเป็นต้องให้ยาบำรุงเลือด (ธาตุเหล็ก) เนื่องจากว่ามีธาตุเหล็กใน ร่างกายเกินธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนการกระทำตนของคนป่วยและก็การดูแลคนไข้โรคธาลัสซีเมียควรปฏิบัติอย่างถูกต้อง รวมทั้งเหมาะสมกับสภาพอาการของโรคดังนี้

  • รักษาความสะอาดของร่างกาย ปาก ฟัน เหตุเพราะผู้ป่วยจะมีร่างกายอ่อนแอติดเชื้อได้ง่าย แล้วก็ควรไปตรวจฟันกับหมอฟัน ทุก 6 เดือน เนื่องจากฟันจะผุง่ายดายกว่าคนปกติ
  • ไปพบหมอตามนัดทุกหน ปฏิบัติตามที่หมอชี้แนะ แม้มีคำถามควรจะขอคำแนะนำแพทย์
  • ไม่ควรเปลี่ยนแปลงสถานที่รักษาเป็นประจำเพราะจะก่อให้การรักษาไม่สม่ำเสมอ
  • เมื่อเป็นไข้ ควรเช็ดตัวลดไข้ แล้วก็ให้ดื่มน้ำมากๆหากไข้สูงมากควรจะรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอลรวมทั้งรีบไปพบแพทย์แม้จะไม่ใช่วันนัดหมาย ด้วยเหตุว่าไข้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการตำหนิดเชื้อ ซึ่งจะมีผลให้ซีดลงมากหรือก่อปัญหารุนแรงได้
  • ปกป้องอุบัติเหตุที่จะทำให้เสียเลือด หรือกระดูกหัก ด้วยเหตุว่าผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียมีสภาวะซีดเผือดและกระดูกจะเปราะหักง่าย ควรออกกำลังกายตามสมควรกับสภาพร่างกาย และควรระวังการเช็ดกกระแทกที่บริเวณท้องเพราะเหตุว่าจะทำให้เป็นอันตรายต่อตับและม้ามที่โตได้
  • ควรพักอย่างเพียงพอ ในสภาวะเจ็บป่วยควรดูแลให้ได้พักมากยิ่งกว่าเดิม
  • ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดมากินเอง เพราะเหตุว่าอาจเป็นยาที่มีธาตุเหล็กซึ่งเหมาะกับคนที่เป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แต่ว่าเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยทาลัสซีเมียที่มีภาวะเหล็กเกินอยู่แล้ว
  • ไม่ควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง อย่างเช่น เลือดหมูเลือดไก่ เครื่องในสัตว์ตับ
  • กินยาเสริมโฟเลท วันละ 1 เม็ด เนื่องจากว่าโฟเลทเป็นสารที่จําเป็นสำหรับเพื่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติเพื่อมาชดเชยเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นลง
  • หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก หรือการเล่นกีฬาที่รุนแรง

o             ให้ความรักเอาใจใส่ ให้กำลังใจ เหตุเพราะโรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ควรจะช่วยเหลือให้คนไข้ได้ดำรงชีวิตตามธรรมดา ไม่หดหู่ต่อการเจ็บป่วย
o             รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ มีโปรตีนสูง (ตัวอย่างเช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ) และก็มีสารโฟเลตสูง (ผักต่างๆ) เพื่อใช้เพื่อการสร้างเม็ดเลือดแดงโดย
ของกินที่สมควรสำหรับคนเจ็บโรคธาลัสซีเมียมีลักษณะดังต่อไปนี้ คนไข้โรคธาลัสซีเมียโดยธรรมดามักจะมีการเติบโตของร่างกายน้อยกว่าปกติ มีภูมิต้านทานต่ำและก็ความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อย ด้วยเหตุนี้ของกินที่เหมาะสมกับผู้ป่วยธาลัสซีภรรยา คืออาหารที่มีโปรตีนสูง เป็นต้นว่า เนื้อปลาสมุทร เนื้อไก่ ธัญพืชต่างๆอย่างเช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาเลย์ เป็นต้น ของกินทีมีกรดโฟลิก (Folic acid) สูง เพื่อช่วยสำหรับในการสร้างเม็ดเลือดแดง เป็นต้นว่า ตำลึง กะหล่ำ มะเขือเทศ คะน้า ถั่วงอก ฯลฯ อาหารที่มีแคลเซียม แมกนีเซียม และก็วิตามินดีสูงเพื่อปกป้องสภาวะกระดูกพรุน เช่น ผลิตภัณฑ์นม ใบย่านาง ใบชะพลู ใบแค ใบยอ ผักโขม ใบสะระแหน่ ผักหวาน ฟักอ่อน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ผลไม้ เป็นต้นว่า ส้มเขียวหวาน มะขามหวาน มะม่วงแก้วสุก นอกนั้นควรกินอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินอีและวิตามินซีสูง เพื่อช่วยลดภาวะการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกง่าย เป็นต้นว่า มะละกอ ฟักทอง เสาวรส ฝรั่ง มะยม ผักหวาน ฯลฯ
การปกป้องตัวเองจากโรคธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยาเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แนวทางคุ้มครองที่เหมาะสมที่สุดคือ

  • ขอความเห็นหมอเพื่อตรวจเลือดก่อนสมรส หรืออย่างช้าก่อนมีบุตร ว่าตนเป็นพาหะหรือไม่
  • สำหรับคนที่เป็นพาหะที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการมีลูกเป็นโรคทาลัสซีเมียรุนแรง ควรชี้แนะโอกาสสำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันไม่ให้มีลูกเป็นโรคนี้ ดังต่อไปนี้ คนที่ยังมิได้แต่งงาน หนทางเป็น เลือกคู่แต่งงานที่ไม่เป็นพาหะมีความเสี่ยงต่อการมีลูกเป็นโรคนี้ ถ้าสามีภรรยาเป็นพาหะด้วยกันแล้วก็มีความเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคนี้ ลู่ทางคือ การคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก การรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยง ใช้การผสมเทียม หรือเทคโนโลยีการเจริญวัยอื่นๆ
  • ฝากครรภ์เมื่อรู้ดีว่าตั้งท้อง เพื่อหมอจะได้ตรวจวินิจฉัยลูกในท้องว่าปกติหรือไม่
  • ควรจะชี้แนะให้เครือญาติ ญาติพี่น้อง ไปตรวจเลือด โดยวิธีพิเศษว่าเป็นพาหะหรือเปล่า แล้วก็ปรึกษาแพทย์ก่อนแต่งงาน เพื่อวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะควรต่อไป
  • รณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องทาลัสซีเมียแก่พลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายหญิงวัยเจริญพันธุ์

สมุนไพรที่สามารถรักษา/ทุเลาลักษณะของโรคธาลัสซีภรรยา โรคธาลัสซีภรรยาเป็นโรคที่มีภาวะเลือดจากเรื้อรังจากความไม่ดีเหมือนปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่ง ณ.ในขณะนี้ไม่มีแถลงการณ์ว่ามีสมุนไพรประเภทใดที่ใช้รักษาโรคธาลัสซีภรรยาที่เห็นผลอย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้กระนั้นมีรายงานการศึกษาเรียนรู้รวมทั้งทดสอบที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ขมิ้นชัน กับโรคธาลัสซีเมีย ดังนี้
สำหรับในการทดสอบทางคลินิกของขมิ้นชัน ในคนไข้ธาลัสซีเมีย เริ่มจาก จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้ทดสอบให้ผู้ป่วยเบต้าธาลัสซีเมีย/ ฮีโมโกลบินอีกินแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน วันละ 2 แคปซูล ต่อเนื่องกัน นาน 3 เดือน พบว่าช่วยลดสภาวะที่มีอนุมูลอิสระสูง(oxidative stress) ลงได้และมีอีกการทดลองที่ทำการทดสอบจากแผนกแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าเมื่อให้แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันวันละ 2 แคปซูลแก่ผู้เจ็บป่วยธาลัสซีเมียเด็กชนิดเบต้าธาลัสซีภรรยา/ฮีโมโกลบินอี พบว่าผู้ป่วย 5 คนภายใน 8 คน มีอายุของเม็ดเลือดแดงนานขึ้น ซึ่งสำหรับในการทดลองทั้งสองครั้งไม่พบอาการข้างเคียงใดๆที่เกิดขึ้นจากแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน นอกจากนั้นผลวิจัยในหลอดทดลองของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าเคอร์คูมินอยด์สามารถลดระดับของเหล็กรูปที่มิได้จับกับทรานสิเฟอร์ริน (non-transferrin bound iron, NTBI) ในพลาสม่าของผู้เจ็บป่วยโรคธาลัสซีภรรยาชนิดเบต้าธาลัสซีภรรยา รวมทั้งยังเสริมฤทธิ์ของยาขับเหล็กในการลดเหล็กรูป NTBI ได้อีกด้วยแล้วก็เวลานี้ยังมีการทำการศึกษาเรียนรู้ทางสถานพยาบาลประเด็นการใช้แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันในผู้ป่วยธาลัสซีภรรยา อีกหลายโรงพยาบาล  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมุนไพรนี้ จะได้รับการศึกษาวิจัยต่อยอดให้เป็นสมุนไพรที่ใช้ปกป้อง/รักษาโรคธาลัสซีเมียได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
เอกสารอ้างอิง


ดร.ชฎก พิศาลพงศ์.แคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน.มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย.
103  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไทรอยด์ มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2018, 08:14:02 am

โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Thyrotoxicosis)
โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษเป็นอย่างไร ก่อนจะทำความเข้าใจกับโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษนั้น ควรจะทำความรู้จักกับต่อมไทรอยด์กันก่อนต่อมไทรอยด์ คือต่อมที่อยู่ด้านหน้าของรอบๆคอใต้ลูกกระเดือก รวมทั้งใกล้กับหลอดลม มีลักษณะเหมือนผีเสื้อ ลักษณะด้านกายภาพของต่อมแบ่งเป็นทั้งสิ้น 2 ซีกหมายถึงส่วนซ้ายและก็ส่วนขวา ซึ่งต่อมอีกทั้ง 2 ส่วนจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) โดยต่อมไทรอยด์จะปฏิบัติภารกิจสำหรับในการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ 3 ประเภท คือไทโรซีน (Thyroxine - T4) รวมทั้งฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมการเผาไหม้ของร่างกายที่เรียกว่า เมตาบอลิซึม (Metabolism)  รวมทั้งฮอร์โมนแคลสิโทนิน (Calcitonin) ที่ปฏิบัติภารกิจสำหรับการควบคุมระดับแคลเซียมและก็ฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด  นอกเหนือจากนั้นต่อมไทรอยด์ยังเป็นต่อมสถานที่สำหรับทำงานโดยอยู่ภายใต้การดูแลดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) แล้วก็ของสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งทั้งต่อมใต้สมองและสมองไฮโปทาลามัสยังควบคุมรูปแบบการทำงานของอวัยวะอื่นๆด้วย อย่างเช่น ต่อมหมวกไต อัณฑะ และก็รังไข่ และยังมีความเชื่อมโยงกับอารมณ์และจิตใจ ฉะนั้น ถ้าหลักการทำงานของต่อมไทรอยด์ มีภาวะไม่ปกติ จึงอาจส่งผลให้กำเนิดโรคต่างๆของอวัยวะพวกนั้น รวมถึงชมรมกับอารมณ์และจิตใจด้วย  ส่วนโรคไทรอยด์เป็นพิษ เป็นสภาวะต่อมไทรอยด์ดำเนินการเกิน(Overactive Thyroid) เป็นภาวการณ์ที่ต่อมไทรอยด์* มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินความจำเป็น กระตุ้นให้อวัยวะทั่วร่างกายมีการเผาผลาญสูงขึ้นมากยิ่งกว่าธรรมดาและก็ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายไม่ปกติตามไปด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุส่งผลให้เกิดลักษณะการเจ็บป่วยไข้ๆต่างขึ้นตามมา เป็นต้นว่า อ่อนล้าง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วไม่ดีเหมือนปกติ ขี้ร้อนง่าย เหงื่อออกมาก หงุดหงิด นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวต่ำลงอย่างเร็วแบบผิดปกติ ฯลฯ โดยโรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าเพศชายถึง 5-10 เท่า
ต้นเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษมีหลายสาเหตุ  แต่ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายที่เปลี่ยนไปจากปกติกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเหลือเกิน กระทั่งทำให้ร่างกายมีจำนวนของฮอร์โมนไทรอยด์มากยิ่งกว่าความอยากได้ของร่างกาย และมีสถานการณ์เป็นพิษ จนส่งผลต่อร่างกายในด้านต่างๆซึ่งเราเรียกภาวการณ์ที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินว่า ภาวการณ์ต่อมไทรอยด์                      ที่มา :  wikipedia                   ดำเนินการเกิน  (hyperthyroidism)  รวมทั้งเรียกลักษณะการเจ็บป่วยไข้ที่เกิดขึ้นจากภาวการณ์มีฮอร์โมนต่อมไทรอยด์    มากเกินนี้ว่า ภาวะพิษจากไทรอยด์ (thyrotoxicosis) โดยสาเหตุการเกิโรคไทรอยด์เป็นพิษ[/url]นั้นมีได้มากมายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

  • โรคเกรฟส์ หรือ โรคคอพอกตาโปน (Graves’ disease) เป็นต้นเหตุที่มักพบที่สุดประมาณ 60-80% ของคนป่วยไทรอยด์เป็นพิษทั้งสิ้น ซึ่งโรคนี้จะมีผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากมายไม่ดีเหมือนปกติกระทั่งทำให้เปลี่ยนเป็นพิษ รวมทั้งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยรุ่นแล้วก็กลางคน เจอในเพศหญิงมากยิ่งกว่าผู้ชายโดยประมาณ 5-10 เท่า ต้นเหตุของการเกิดโรคยังไม่เคยทราบแจ่มกระจ่างว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แม้กระนั้นพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเพศ (เจอในผู้หญิงมากกว่าเพศชาย) แล้วก็กรรมพันธุ์ (พบว่าคนไข้บางรายมีประวัติพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) การสูบยาสูบจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากยิ่งขึ้น นอกนั้นยังพบเหตุว่า ความตึงเครียดก็มีส่วนกระตุ้นให้โรคกำเริบได้
  • เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ เป็นในกรณีที่พบได้น้อย เหมือนกัน เนื้องอกที่เกิดรอบๆต่อมไทรอยด์ และเนื้องอกที่เกิดรอบๆต่อมใต้สมอง อาจก่อให้มีการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นพิษได้
  • การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis) การอักเสบที่ไม่รู้สิ่งที่ทำให้เกิดต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอร์โมนไทรอยด์ถูกสร้างออกมามากเพิ่มขึ้น แล้วก็ทำให้ฮอร์โมนรั่วไหลออกไปที่กระแสเลือด ทั้งนี้การอักเสบของต่อมไทรอยด์โดยมากไม่มีลักษณะการเจ็บ นอกจากอาการต่อมไทรอยด์อักเสบแบบกึ่งกะทันหันที่เกิดขึ้นได้น้อย สามารถทำให้เกิดลักษณะการเจ็บได้
  • การทานอาหาร การทานอาหารที่มีไอโอดีนมากจนเกินไปก็สามารถส่งผลให้เกิดโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ด้วยเหตุว่าไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับเพื่อการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์แต่ว่าเจอได้น้อยมาก
  • การได้รับการเสริมฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไป ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางจำพวก เป็นต้นว่า ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้สำหรับในการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์เยอะขึ้นจนกลายเป็นพิษได้
อาการของโรคไทรอยด์เป็นพิษ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุผลใด มักมีอาการคล้ายกัน พูดอีกนัยหนึ่ง ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียง่าย อ่อนล้า ใจสั่นหวิว ใจสั่น บางบุคคลอาจมีลักษณะการเจ็บหน้าอก ร่วมด้วย ชอบมีความรู้สึกขี้ร้อน เหงื่อออกมาก ฝ่ามือมีเหงื่อชุ่ม  ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวน้อยลงรวดเร็ว ทั้งๆที่กินได้ปกติ หรือบางทีอาจรับประทานจุขึ้นกว่าธรรมดาด้วยซ้ำ ดังนี้เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญมากมักมีลักษณะอาการมือสั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงาน ละเอียด ดังเช่น แต่งหนังสือ งานหัตถกรรม ฯลฯ อาจมีลักษณะอยู่ไม่สุข มักจะทำโน่นทำนี่ บางครั้งมองเป็นคนขี้กลัว หรือลีลาลุกลน อาจมีอาการหงุดหงิด ขี้โมโห นอนไม่หลับ หรืออารมณ์ไม่มีชีวิตชีวา บางบุคคลอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยมากคล้ายท้องเสีย หรือมีลักษณะอาการอาเจียนอ้วก ส่วนอาการที่พบบ่อยที่สุดในผู้ที่มีลักษณะอาการไทรอยด์เป็นพิษเป็น อาการคอพอก ซึ่งเป็นอาการที่ต่อมไทรอยด์โตขึ้น คนไข้จะรู้สึกหรือเห็นก้อนขนาดใหญ่ที่รอบๆคอ  ผู้หญิงอาจมีระดูออกน้อย หรือมาไม่บ่อยนัก หรือขาดเมนส์ มักตรวจเจอว่ามีต่อมต่อมไทรอยด์โต (คอพอก) ชีพจรเต้นเร็ว (มากกว่า 120 -140 ครั้งต่อนาที) แล้วก็อาจมีอาการตาโปน (ดวงตาปูดโปนออกมามากยิ่งกว่าธรรมดา) และก็มองเห็นส่วนที่เป็นตาขาวด้านบนชัด (เพราะเหตุว่าหนังตาบนหดรั้ง) คล้ายทำตาจ้องอะไรหรือตาดุ ผิวหนังลูบคลำมองมีลักษณะเรียบนุ่มรวมทั้งมีเหงื่อเปียกแฉะ
ดังนี้ถ้าผู้ป่วยมีสภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่รุนแรงมากสักเท่าไรนัก ก็อาจไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่แสดงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่ที่อาการมักไม่ค่อยแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดมากนัก
กระบวนการรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ การวิเคราะห์โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเอง แนวทางวินิจฉัยโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเองแบบง่ายๆก็คือการสังเกตความเปลี่ยนไปจากปกติของร่างกาย ถ้าเกิดมีลักษณะอาการอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักลดเปลี่ยนไปจากปกติ มือสั่น อิดโรยง่าย หายใจสั้น หรือมีลักษณะอาการบวมที่รอบๆคอ ควรจะรีบไปพบแพทย์ ส่วนการวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษโดยแพทย์นั้น จะวิเคราะห์เบื้องต้นจากอาการแสดงของโรค ตัวอย่างเช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด มือสั่น ชีพจรเต้นเร็ว ต่อมไทรอยด์โต และตาโปน  และถ้าพบว่ามีอาการเหล่านี้ หมอจะทำตรวจเสริมเติมดังนี้

  • การวิเคราะห์เลือด เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจการดำเนินการของต่อมไทรอยด์และการเผา ตัวอย่างเช่น
  • การตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ จำนวนของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ T3 รวมทั้ง T4 ในเลือด
  • การตรวจคราวเอสเอช (Thyroid-stimulating hormone : TSH) เป็นการตรวจวัดระดับฮอร์โมนต่อมใต้สมองที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งในคนป่วยไทรอยด์เป็นพิษมักจะมีค่า TSH ที่ต่ำกว่าธรรมดา
  • การตรวจวัดระดับปริมาณแอนติบอดีของต่อมไทรอยด์ (Thyroidglobulin) เป็นการตรวจที่ช่วยวินิจฉัยโรคเกรฟส์ซึ่งเป็นต้นเหตุที่พบมากที่สุดของภาวการณ์ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • การตรวจเอกซเรย์ เป็นการตรวจที่สามารถช่วยให้หมอเห็นการทำงานแล้วก็ความไม่ดีเหมือนปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ได้ชัดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจที่ช่วยวัดขนาดของต่อมไทรอยด์รวมทั้งความผิดแปลกของต่อมไทรอยด์
  • การตรวจสแกนต่อมไทรอยด์ (Thyroid scan) เป็นการตรวจโดยใช้รังสีเพื่อมองเห็นรูปแบบการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าต่อมไทรอยด์มีการงานที่มากไม่ดีเหมือนปกติไหม
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบซีทีสแกน (CT scan) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า/เอ็มอาร์ไอ (MRI) หมอมักใช้ในเรื่องที่สงสัยว่าความไม่ปกติของต่อมไทรอยด์อาจมีเนื้องอกหรือมะเร็ง และก็การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจะใช้ในเรื่องที่หมอสงสัยว่าที่มาของต่อมไทรอยด์เป็นพิษอาจเป็นเพราะเนื่องจากต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไม่ดีเหมือนปกติ

การรักษาหลักของไทรอยด์เป็นพิษเป็นการกินยา เมื่ออาการดียิ่งขึ้น แพทย์จะค่อยๆลดยาลง แล้วก็ หยุดยาได้ท้ายที่สุด ถ้าเกิดกินยาแล้วไม่ดีขึ้น บางทีอาจจะต้องรักษาโดยใช้การผ่าตัด หรือ การกินไอโอดีนกัมมันตรังสี ช่วงเวลาเฉลี่ยในการรักษามักจะราวๆ 2 ปี ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

  • การดูแลและรักษาด้วยยา ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยมีอาการไม่ร้ายแรงมากมายและต่อมไทรอยด์ไม่โตมาก แพทย์มักแนะ นำให้รักษาด้วยการใช้ยาก่อน ยาที่ใช้รักษานี้จะเป็นยาลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์แล้วก็ยาลดอาการใจสั่น คนไข้หวานใจษาด้วยยานี้จะต้องสามารถกินยาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตามหมอแนะนำ โดยธรรมดาหมอจะเสนอแนะให้กินยาประมาณ 1 ถึง 2 ปีโดยในขณะที่รักษาด้วยการใช้ยาอยู่นี้หมอจะนัดตรวจติดตามดูอาการแล้วก็เจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์เสมอๆดังเช่น ทุก 1 - 2 เดือนเพื่อให้มั่นใจว่าคนเจ็บรับประทานยาในขนาดที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป ข้อเสียของการรักษา ด้วยยาคือ คนเจ็บมักจะจำเป็นต้องกินยานานเป็นปี ได้โอกาสเกิดการแพ้ยาได้

ซึ่งยาที่ใช้ในขณะนี้เป็นกลุ่ม ยาต่อต้านไทรอยด์ อาทิเช่น ยาเม็ดพีทียู (PTU) หรือเมทิมาโซล (methimazole) ยานี้ส่งผลใกล้กันที่สำคัญเป็น อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะ เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งทำให้ติดโรคร้ายแรงได้ ซึ่งเจอได้ราวๆ 1 ใน 200 คน รวมทั้งมักจะเกิดขึ้นในระยะ 2 เดือนแรกของการใช้ยา

  • การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมต่อมไทรอยด์ สำหรับผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์โตมากมายหรือมีลักษณะหายใจไม่สะดวกหรือกลืนลำบาก เนื่องจากต่อมไทรอยด์ที่โตขึ้นกดแทรกทับหลอดลม หรือหลอดของกิน ซึ่งทั้งสองอวัยวะนี้อยู่ชิดกับต่อมไทรอยด์ หมอจะเสนอแนะให้รักษาด้วยการผ่าตัดต่อมต่อมไทรอยด์ออกนิดหน่อยเพื่อต่อมไทรอยด์มีขนาดเล็กลง จะได้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้น้อยลง และอาการหายใจไม่สะดวกหรือกลืนทุกข์ยากลำบากจะ แม้ว่าเป็นวิธีที่ทำให้หายจากภาวการณ์ต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็บางทีอาจเป็นผลใกล้กันจากการผ่าตัดได้ได้แก่ เสียงแหบจากผ่าตัดโดนเส้นประสาทกล่องเสียงที่อยู่ชิดกับต่อมไทรอยด์ หรือถ้าเกิดแพทย์ตัดต่อมไทรอยด์ออกไม่พอ ข้างหลังผ่าตัดคนป่วยก็บางทีอาจจะยังมีลักษณะอาการจากสภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษอยู่ดังเช่นเดิม แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากตัดต่อมต่อมไทรอยด์ออกมากเหลือเกิน ข้างหลังผ่าตัดคนไข้จะเกิดอาการจากการขาดฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้เช่นกัน
  • การรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีน น้ำแร่รังสีไอโอดีนเป็นสารไอโอดีนประเภทหนึ่ง (Iodine-131) ที่ให้รังสีแกมมา (Gamma ray) รวมทั้งรังสีเบตา (Beta ray ) แล้วก็สามารถปล่อยรังสีนั้นๆออกมาทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ได้ เมื่อคนเจ็บดื่มน้ำแร่รังสีไอโอดีนเข้าไป ก็จะถูกซับโดยต่อมไทรอยด์ทำให้ต่อมไท รอยด์ มีขนาดเล็กลงและก็การผลิตฮอร์โมนก็จะลดน้อยลงไปด้วย อาการจากภาวการณ์ต่อมไทรอยด์เป็นพิษจึงดีขึ้น น้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้ไม่อาจจะหาซื้อได้ทั่วไป ต้องรับการดูแลและรักษาเฉพาะโรงพยาบาลบางโรง พยาบาลที่ให้การรักษาด้านนี้เพียงแค่นั้น โดยจะใช้ระยะเวลาการดูแลรักษาด้วยแนวทางลักษณะนี้โดยประมาณ 3-6 เดือน

การดูแลและรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนมีข้อดีก็คือ สามารถรักษาภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษให้หายขาดได้สูง สบาย ง่าย ปลอดภัย เหมาะสมกับคนไข้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไปและต่อมไทรอยด์ไม่โตมาก หรือคนเจ็บที่รักษาด้วยยาเป็นระยะเวลานาน 1 - 2 ปีแล้วยังไม่หาย หรือหายแล้วกลับมาเป็นใหม่อีก หรือผู้เจ็บป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดแล้วยังมีลักษณะจากภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษอยู่ จุดด้วยของการดูแลรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนคือ หลังการดูแลรักษาคนไข้จะเกิดภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ได้หลายครั้ง ทำให้จะต้องกินยาฮอร์โมนไทรอยด์ไปตลอดชีวิต
นอกจากนั้น การดูแลและรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้ไม่สามารถที่จะใช้ได้กับผู้ป่วยที่กำลังตั้ง ครรภ์เนื่องจากว่ารังสีมีผลต่อทารกในท้อง บางทีอาจก่อความพิกลพิการหรือการแท้ง หรือในผู้เจ็บป่วยให้นมลูกอยู่เนื่องจากว่าน้ำแร่รังสีไอโอดีนจะคละเคล้าออกมากับน้ำนมส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ของทารกได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ คนไข้ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่ได้รับการดูแลและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆอาจมีผลกระทบหรือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่างๆเช่น

  • ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤต แม้มีการควบคุมระดับต่อมไทรอยด์ที่ไม่ดี อาจก่อให้อาการรุนแรงขึ้น หรือเป็นโทษต่อชีวิต ซึ่งสัญญาณบอกว่าไทรอยด์เป็นพิษเข้าขั้นวิกฤตเป็น หัวใจเต้นเร็วไม่ดีเหมือนปกติ เป็นไข้สูงเกินไปกว่า 38 องศาเซลเซียส ท้องร่วง คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง มีลักษณะอาการสับสนมึนอย่างรุนแรง แล้วก็บางทีอาจถึงขนาดหมดสติได้ โดยมูลเหตุที่อาจจะก่อให้อาการเข้าสู่ภาวะวิกฤต ได้แก่ การต่อว่าดเชื้อ การกินยาไม่บ่อยนัก การตั้งครรภ์ แล้วก็ความเสียหายของต่อมไทรอยด์ โดยภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะว่าบางทีอาจมีอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยได้
  • ปัญหาด้านระบบหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนที่มักเป็นอันตรายต่อคนป่วยโรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ ความไม่ดีเหมือนปกติเกี่ยวกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น หัวใจเต้นเร็ว หรือโรคหัวใจเต้นแตกต่างจากปกติที่เกิดจากการกระตุกที่ศีรษะจิตใจห้องบน (Atrial Fibrillation) หรือแม้กระทั้งสภาวะหัวใจวาย ซึ่งมีสาเหตุจากการที่หัวจิตใจไม่อาจจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้พอเพียง
  • ปัญหาสายตา โดยปัญหาสายตาที่เป็นภาวะแทรกซ้อน อย่างเช่น ตาแห้ง ตาไวต่อแสง ตาเฉอะแฉะ เห็นภาพซ้อน ตาแดง หรือบวม ตาโปนออกมามากมายว่าธรรมดา แล้วก็รอบๆเปลือกตาแดง บวม กลีบตาปลิ้นออกมาไม่ดีเหมือนปกติ แล้วก็มีนิดหน่อยที่จำเป็นต้องสูญเสียการมองมองเห็น ดังนั้นสำหรับการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ผู้เจ็บป่วยอาจจำต้องพบหมอรักษาตาเพื่อรักษาควบคู่กันไปด้วย แม้กระนั้นปัญหาด้านสายตานี้เจอได้ในคนไข้โรคเกรฟวส์เท่านั้น ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • ภาวะต่อมไทรอยด์ต่ำ บ่อยมากการรักษาต่อมไทรอยด์เป็นพิษก็อาจจะก่อให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์น้อยกว่าธรรมดาจนเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ แล้วก็ทำให้เกิดอาการต่างๆเป็นต้นว่า รู้สึกหนาวแล้วก็เหนื่อยง่าย น้ำหนักขึ้นไม่ดีเหมือนปกติ มีลักษณะท้องผูก และมีลักษณะเซื่องซึม แต่อาการจะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว รวมทั้งมีผู้ป่วยเพียงแต่บางรายเพียงแค่นั้นที่เกิดอาการโดยถาวรแล้วก็จะต้องใช้ยาสำหรับในการควบคุมระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไปตลอดชีวิต
  • กระดูกเปราะบาง โรคไทรอยด์เป็นพิษ ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาสามารถส่งผลเสียต่อมวลกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนแอ หรือแปลงเป็นโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากการที่ร่างกายมีฮอร์โมนต่อมไทรอยด์มากมายไป ซึ่งส่งผลต่อความสามารถสำหรับเพื่อการซึมซับแคลเซียมของกระดูกได้

การติดต่อของโรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคไทรอยด์เป็นพิษมีต้นเหตุที่เกิดจากความไม่ปกติของภูมิคุ้นกันต้านทานโรคของร่างกายแตกต่างจากปกติ ที่ไปกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตฮอร์โมนมากเกินความจำเป็น ซึ่งโรคไทรอยด์เป็นพิษนี้มิได้เป็นโรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ  ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ ก็ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คอพอกเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 341.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน 2550
  • ไทรอยด์เป็นพิษ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • หาหมอดอทคอม.  “ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis)”.  (รศ.นพ.จรูญศักดิ์ สมบูรณ์พร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [16 ก.ค. 2017].
  • รศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์.ไทรอยด์เป็นพิษ ไม่ใช่มะเร็งไทรอยด์.ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • กระเทียม.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Bahn RS, Burch HB, Cooper DS, Garber JR, Greenlee MC, Klein I, et al. Hyperthyroidism and other causes of thyrotoxicosis: management guidelines of the American Thyroid Association and American Association of Clinical Endocrinologists. Thyroid 2011; 21: 593 – 646.
  • ไทรอยด์เป็นพิษ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา,พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Kang NS, Moon EY, Cho CG, Pyo S.  Immunomodulating effect of garlic component, allicin, on murine peritoneal macrophages.  Nutr Res (N.Y., NY, U.S.) 2001;21(4):617-26.
  • ว่านหางจระเข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Lamm DL, Riggs DR.  The potential application of Allium sativum (garlic) for the treatment of bladder cancer.  The Urologic Clinics of North America 2000;27(1): 157-62.
  • Ghazanfari T, Hassan ZM, Ebrahimi M.  Immunomodulatory activity of a protein isolated from garlic extract on delayed type hypersensitivity.  Int Immunopharmacol 2002;2(11):1541-9.
  • Kuttan G.  Immunomodulatory effect of some naturally occuring sulphur-containing compounds.  J Ethnopharmacol 2000;72(1-2):93-9.
  • Abuharfeil NM, Maraqa A, Von Kleist S.  Augmentation of natural killer cell activity in vitro against tumor cells by wild plants from Jordan.  J Ethnopharmacol 2000;71 (1-2):55-63.
  • Farkas A.  Methylation of polysaccharides from aloe plants for use in treatment of wounds and burns.  Patent: U S 3,360,510, 1967:3pp.
  • Cheon J, Kim J, Lee J, Kim H, Moon D.  Use of garlic extract as both preventive and therapeutic agents for human prostate and bladder cancers.  Patent: U S US 6,465,020 ,2002:7pp.
  • Farkas A.  Topical medicament containing aloe polyuronide for treatment of burns and wounds.  Patent: U S 3,103,466, 1963:4pp.
  • Strickland FM, Pelley RP, Kripke ML.  Cytoprotective oligosaccharide from aloe preventing damage to the skin immune system by UV radiation.  Patent: PCT Int Appl WO 98 09,635, 1998:65pp.
  • ลูกซัด.ฐานข้อมูลเครื่องยา.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • ณรงค์ชัย ประสิทธิ์ภูริปรีชา นิศา อินทรโกเศส โอภา วัชรคุปต์ พิสมัย ทิพย์ธนทรัพย์.  การทดลองใช้สารสกัดว่านหางจระเข้กับแผลที่เกิดจากรังสีบำบัด.  รายงานโครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล, 2529.
104  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรฟันปลา เป็นยังไง เเละ มีประโยชน์ทั้งสรรพคุณดีอย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2018, 07:07:32 pm

สมุนไพรฟันปล[/size][/b]
ฟันปลา Litsea umbellate Merr.
บางถิ่นเรียกว่า ฟันปลา เศร้าใจ (ปราจีนบุรี) เมนตรือ (เขมร-เมืองจันท์) สะเตื้อ (ตราด)
       ไม้ต้น ขนาดเล็ก หรือไม้พุ่ม สูง 3-10 มัธยม ตามกิ่งก้านมีขนสีน้ำตาล ใบ คนเดียวออกเรียงสลับ หรือเรียงเวียนห่างๆรูปรี หรือ มีขนาดค่อนข้างจะเล็ก กว้าง 4-10 เซนติเมตร ยาว 7.5-23 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือมน โคนใบแหลมขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นนิดหน่อย ด้านบนสีเขียวเข้มวาว มีขนเฉพาะตามเส้นกึ่งกลางใบรวมทั้งเส้นแขนงใบ ด้านล่างเป็นคราบขาว มีขน เส้นใบมี 6-10 คู่ ด้านล่างเห็นชัดกว่าด้านบน ก้านใบยาว 6-12 มิลลิเมตร มี ดอก ออกเป็นช่อ เป็นกระจุกตามง่ามใบ ก้านช่อยาว 2-5 มม. ช่อดอกมีขนปกคลุมหนาแน่น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
กลีบรวมเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 4-6 กลีบ ถ้วยและก็กลีบติดทนจนถึงเป็นผล ผล รูปไข่หรือออกจะกลม ปลายมีติ่งแหลม โคนมีชั้นของกลีบรวมรองรับอยู่ ขอบกลีบรวมมีขน
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/22977.jpeg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบ พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งทางภาคใต้ของไทย
คุณประโยชน์ : ต้น เปลือกต้นเจอ alkaloid ใบ ตำเป็นยาพอกฝี

Tags : สมุนไพร
105  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไซนัสอักเสบ มีสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์สมารถรักษาให้โรคหายขาดได้เป็นอย่ เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2018, 09:27:58 am

โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
โรคไซนัสอักเสบเป็นยังไง  ไซนัสหมายถึงโพรงอากาศที่อยู่ข้างในกระดูกบริเวณรอบๆหรือใกล้เคียงกับจมูก ซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆในแต่ละข้าง  ไซนัสที่ใหญ่ที่สุดอยู่ด้านในกระดูกโหนกแก้ม (maxillary sinus)  อีกกรุ๊ปหนึ่งมีอยู่หลายโพรง มีขนาดเล็ก และก็อยู่ระหว่างรอบๆโคนจมูก และหัวตาแต่ละข้าง (ethmoidal sinuses)  ในกระดูกหน้าผากก็มีไซนัสด้านใน (frontal sinus) นอกจากนี้ยังมีไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (sphenoidal sinus) ด้วย  หน้าที่ของไซนัสนั้นไม่เคยทราบชัดแจ้ง  แต่ว่าเชื่อว่าอาจช่วยให้เสียงที่พวกเราเปล่งออกมา กังวานขึ้น, ช่วยให้กะโหลกศีรษะค่อยขึ้น และก็ช่วยรักษาสมดุลของศีรษะ, ช่วยสำหรับในการปรับความดันของอากาศข้างในโพรงจมูก  ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของความดัน แล้วก็สร้างสารคัดเลือกหลั่งที่คุ้มครองป้องกันการตำหนิดเชื้อของโพรงจมูกรวมทั้งไซนัส
ซึ่งในคนธรรมดาทั่วไป เมือกที่ทำขึ้นในโพรงไซนัสจะระบายลงตามทางเชื่อมมาออกที่รูเปิดในโพรงจมูก เปลี่ยนเป็นน้ำมูก หรือเสมหะใส เพื่อความชุ่มชื้นและชำระล้างโพรงจมูก แม้กระนั้นถ้ารูเปิดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นถูกอุดกั้น (ได้แก่ ป่วยหวัด หรือโรคไข้หวัดภูมิแพ้) ทำให้มูกในโพรงไซนัสไม่สามารถ ระบายออกมาได้ เมือกก็จะหมักหมมเปลี่ยนเป็นอาหารในการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่แผ่ขยายมาจากโพรงจมูกเข้าไปในไซนัส ทำให้เยื่อบุภูมิแพ้บวม ขนอ่อนในไซนัสสูญเสียหน้าที่สำหรับการขับมูก ทำให้มีการสะสมของเมือกมากขึ้นกลายเป็นหนองขังอยู่ในไซนัส กำเนิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นมา
โรคไซนัสอักเสบ ยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด เป็นชนิดกระทันหัน (มีลักษณะอาการน้อยกว่า 30 วัน) จำพวกครึ่งหนึ่งกะทันหัน (มีลักษณะอยู่ระหว่าง 30-90 วัน) แล้วก็จำพวกเรื้อรัง (มีลักษณะมากกว่า 90 วัน) โดยการอักเสบบางทีอาจเกิดกับไซนัสได้ทุกตำแหน่ง เช่น ไซนัสข้างตา (Ethmoid sinus), ไซนัสหน้าผาก (Frontal sinus), ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) และไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (Sphenoidal sinus) แม้กระนั้นที่พบบ่อยที่สุดหมายถึงไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) ซึ่งจะมีผลให้มีลักษณะปวดที่บริเวณโหนกแก้ม  แต่ว่าโรคนี้ส่วนมากชอบไม่มีความรุนแรง เว้นเสียแต่สร้างความรำคาญหรือปวดทรมาน ส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะสอดแทรกรุนแรง ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น ก็ชอบหายได้ หรือลดภาวะแทรกซ้อนลงได้
  โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งที่ทำให้คนไข้มาเจอหมอ  ราวๆกันว่าราษฎรทั่วๆไป 1 ใน 8 คน  จะเป็นโรคไซนัสอักเสบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต  อุบัติการของการเกิดภูมิแพ้   มีลักษณะท่าทางที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงฤดูกาลที่มีคนเป็นไข้หวัดหรือมีการอักเสบติดโรคในทางเดินหายใจมาก โดยธรรมดา
มากกว่า 0.5% ของคนเจ็บที่เป็นโรคหวัด มีโอกาสเกิดเป็นไซนัสอักเสบตาม มา ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือโรคหืดจะมีไซนัสอักเสบร่วมด้วยประมาณ 40-50% อุบัติการของภูมิแพ้ประเภททันควันที่เกิดขึ้นมาจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียในผู้ใหญ่ที่เกิดตามหลังไข้หวัดพบได้ราวๆร้อยละ 0.5-2 แล้วก็ในเด็กเจอได้โดยประมาณร้อยละ 5-10 สำหรัโรคแพ้อากาศ[/url]เรื้อรังนั้น  ในกรุ๊ปราษฎรทั่วๆไปเจอโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังโดยประมาณปริมาณร้อยละ 1.2-6 
สาเหตุของโรคไซนัสอักเสบ

  • การตำหนิดเชื้อของระบบทางเดินหายใจตอนบน (Upper respiratory tract infec tion) ระยะต้นเกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสโรคไข้หวัด ซึ่งจะไปทำให้เยื่อบุจมูกอักเสบ ซึ่งบางทีอาจอักเสบต่อ เนื่องเข้าไปถึงในไซนัส ถัดมามีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียร่วมด้วย โดยปกติก็จะหายได้ปกติ แต่ถ้าการติดเชื้อนั้นรุนแรง บางทีอาจมีการทำลายของเยื่อบุจมูกแล้วก็เยื่อบุไซนัส ทำให้มีการบวมและก็มีพังผืด นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอุดตันของรูเปิดระหว่างไซนัสกับโพรงจมูก ร่วมกับการที่เซลล์ขน (Cilia) ที่มีบทบาทส่งเสริมสารคัดหลั่งในไซนัส ไม่ทำงาน ก็จะมีผลให้การอักเสบแปลงเป็นการอักเสบเรื้อรังได้
  • การติดเชื้อของฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟันกรามน้อยและก็ฟันกรามแถวบน โดยทั่วไปพบว่า ราวๆ 10% ของการอักเสบของไซนัสแมกซิลลาจะเป็นผลมาจากฟันผุ (เนื่องจากผนังด้านล่างของไซนัสแมกซิลลาจะใกล้กับรากฟันดังที่กล่าวถึงแล้ว) บางรายจะออกอาการเด่นชัดภายหลังที่ไปถอนฟันแล้วเกิดรูทะลุระหว่างไซนัสแมกสิลลาและเหงือก (Oroantral fistula) ขึ้น
  • โรคติดเชื้ออื่นๆอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคฝึกฝน โรคไอกรน
  • การว่ายน้ำ ดำน้ำ ซึ่งบางทีอาจมีการสำลักน้ำเข้าไปในจมูกและเข้าไปในไซนัสได้ โดยอาจมีเชื้อโรคเข้าไปด้วย ส่งผลให้เกิดการอักเสบได้ นอกนั้น สารคลอรีน (Chlorine) ในสระว่ายน้ำ ยังเป็นสารเคมีที่นำไปสู่การอักเสบของเยื่อบุไซนัสได้
  • การกระทบกระแทกอย่างแรงใบหน้า อาจจะเป็นผลให้ไซนัสโพรงอันใดโพรงหนึ่งแตกหัก ช้ำบวม หรือมีเลือดออกข้างในโพรง ก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้
  • มีสิ่งเจือปนในจมูก เป็นต้นว่า เมล็ด ก็เลยก่อการตันโพรงจมูก จึงเป็นสาเหตุให้มีการติดเชื้อโรคทั้งยังในโพรงจมูก รวมทั้งในไซนัส
  • จากความเคลื่อนไหวความดันอากาศบริเวณตัวในทันที (Barotrauma หรือ Aero sinusitis) ได้แก่ ขณะเครื่องบินขึ้นหรือลงหยุด รวมทั้งการมุดน้ำลึก เป็นต้น ถ้าเกิดรูเปิดของไซนัสขณะ นั้นบวมอยู่ เช่น กำลังเป็นหวัด หรือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) กำเริบเสิบสาน จะส่งผลให้เยื่อบุ บวมเยอะขึ้น และก็อาจมีการหลั่งของเหลว/สารคัดหลั่งออกมา หรือมีเลือดออกได้ ก็เลยก่อการอักเสบขึ้น ซึ่งพบได้มากที่ไซนัสฟรอนตัล ที่มา  :    wikipedia                 

ส่วนไซนัสอักเสบเรื้อรังมักได้ผลเข้าแทรกจากภูมิแพ้กระทันหันที่  มิได้รับการดูแลและรักษาที่ถูก นอกเหนือจากนั้น ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆได้แก่ โรคหวัดภูมิแพ้เรื้อรัง ริดสีดวงจมูก เนื้องอกในโพรงจมูกหรือไซนัส ผนังกั้นจมูกคด การต่อว่าดเชื้อของฟุตบาทหายใจส่วนต้นซ้ำซากจำเจ การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ โรคกรดไหลย้อน (หูรูดปลายหลอดของกินเสื่อม ทำให้มีน้ำย่อยซึ่งเป็น กรดไหลย้อนขึ้นมาที่ไซนัส เวลาเข้านอนเวลากลางคืน) โรคฟันและก็ช่องปากเรื้อรัง สภาวะภูมิต้านทานต่ำ (เช่น เบาหวาน เอดส์) เป็นต้น
อนึ่งสำหรับในการอักเสบทันควันของไซนัส มักมีสาเหตุจากการต่อว่าดเชื้อไวรัส เป็นต้นว่า ไวรัสโรคหวัด แต่เมื่อเป็นการอักเสบเรื้อรัง มักมีเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Streptococci, Staphylococcus, Haemophilus influenzae, Klebsiella pneumoniae, Bacteroides melaninogenicus, แม้กระนั้นบางทีอาจพบจากการต่อว่าดเชื้อราได้ เช่น Aspergillus แล้วก็ Dematiaceous fungi
ลักษณะโรคไซนัสอักเสบ
ไซนัสอักเสบกะทันหัน  ในคนแก่มักมีลักษณะปวดใบหน้าบริเวณไซนัสที่อักเสบ ตัวอย่างเช่น ปวดที่บริเวณหัวตา หน้าผาก โหนกแก้ม  รอบๆกระบอกตา หรือข้างหลังกระบอกตา บางรายบางทีอาจรู้สึก คล้ายปวดฟัน         ที่มา  :    wikipedia               
ตรงฟันซี่บน บางทีอาจปวดเพียงแต่ข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ลักษณะของการปวดมักเป็นมากช่วงเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า คนป่วยมักมีลักษณะอาการคัดแน่นจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกเป็นหนองออกข้นเหลืองหรือเขียว                 
หรือมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอ จำต้องรอสูดหรือขากออก  อาจมีลักษณะของการปวดศีรษะ เป็นไข้ หมดแรง เจ็บคอ ปวดหู ไอ หายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึก สำหรับในการรับรู้กลิ่นหรือรสชาติต่ำลง
ในเด็ก อาการมักไม่ชัดเจนเท่าผู้ใหญ่ อาจมีอาการเป็นหวัดนานกว่าปกติ กล่าวคือมีน้ำมูก (ใสหรือข้นเป็นหนองก็ได้) และก็ไอเป็นเวลานานกว่า 10 วัน ชอบไออีกทั้งกลางวันรวมทั้งยามค่ำคืน อาจมีไข้ต่ำๆและหายใจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย  เด็กบางรายอาจออกอาการเป็นหวัดรุนแรงกว่าธรรมดา ดังเช่น จับไข้สูงขึ้นมากยิ่งกว่า 39 องศาเซลเซียส น้ำมูกข้นเป็นหนอง ปวดที่ใบหน้า หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมองเห็นอาการบวมรอบๆตา ซึ่งลักษณะของไซนัสอักเสบตอนนี้มีระยะเวลาฟื้นจนถึงหายดีราว 2 – 4 อาทิตย์
ไซนัสอักเสบเรื้อรัง มักมีอาการสม่ำเสมอวันแล้ววันเล่านานเกิน 90 วัน โดยในผู้ใหญ่มักมีลักษณะอาการคัดจมูก มีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอหายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึกสำหรับการรับทราบกลิ่นลดลง ส่วนมากมักไม่มีไข้และอาการปวดไซนัสแบบที่พบในภูมิแพ้ฉับพลัน  ในเด็กมักมีลักษณะไอ น้ำมูกไหล จาม หายใจมีกลิ่นเหม็น มีโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น หรือหูชั้นกลางอักเสบ โดยในลักษณะของไซนัสอักเสบช่วงนี้มักกำเนิดตลอดเกิด 12 สัปดาห์ และพบได้บ่อยร่วมกับโรคภูมิแพ้
ทั้งนี้ภูมิแพ้มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของคนป่วย หากว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่ร้ายแรงขึ้น อาการจะดีขึ้นกว่าเดิมและหายดีเองภายในระยะเวลาประมาณ 10 วัน ในตอนที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียกระทั่งทำให้ภูมิแพ้จะพบได้ไม่บ่อยนัก โดยประมาณ 5-10% เท่านั้น แล้วก็จำต้องได้รับการรักษาด้วยยาต่อต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีลักษณะนานกว่า 10 วัน หรืออาการเกิดขึ้นอีกหลังจากเป็นมานาน 5 วัน
กระบวนการรักษาโรคภูมิแพ้ ในพื้นฐานหมอจะซักถามอาการแล้วก็เรื่องราวป่วยไข้ ร่วมกับการตรวจร่างกายเป็นหลักและก็อาจมีการตรวจพิเศษเพิ่ม ดังนี้
เรื่องราวรักษา/ประวัติอาการ

  • ประวัติความเป็นมาที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบกะทันหัน เช่น เป็นหวัดมานานมากกว่า 7-10 วัน,  เป็นหวัดที่มีลักษณะร้ายแรงมากมาย,  ไข้สูง,  คัดจมูก, มีน้ำมูกเหลืองข้น,  ได้กลิ่นลดน้อยลง, ปวดหรือ
  • ตื้อทึบบริเวณโหนกแก้มคล้ายปวดฟันบน, ปวดรอบๆจมูก หัวคิ้ว หรือหน้าผาก, เจ็บคอ, เสมหะไหลลงคอ, ไอ, ปวดศีรษะ, อาการทางจมูกที่ไม่ดีขึ้นหลังให้ยาหดหลอดเลือด  โดยมีอาการดังกล่าวภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน   ผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังมักมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงเช่น คัดจมูก, การรับกลิ่นลดลงหรือไม่ได้กลิ่น, มีน้ำมูกสีเขียวเหลืองในจมูกหรือไหลลงคอ, ปวดศีรษะ, มีกลิ่นปาก, ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น, ลิ้นเป็นฝ้า, คอแห้ง, มีเสมหะในคอ, เจ็บคอ ระคายคอเรื้อรัง, ไอ, ปวดหูหรือ หูอื้อ
  • การตรวจร่างกาย ได้แก่
  • การตรวจในโพรงจมูก มักพบว่าเยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบมีหนองหรือมูก บางรายอาจพบหนองตามตำแหน่งที่มีรูเปิดของไซนัส
  • มีอาการเจ็บ โดยเมื่อกดลงบนใบหน้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสแม็กซิลล่าอยู่ที่ผนังด้านหน้าชิดกับจมูก จุดกดเจ็บของไซนัสฟรอนตัลอยู่ที่ใต้หัวคิ้วใกล้กับดั้งจมูก หรืออาจจะเคาะเบาๆที่บริเวณหน้าผากซึ่งถ้ามีการอักเสบจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสเอธมอยด์อยู่ที่บริเวณหัวตา ส่วนไซนัสสฟีนอยด์ไม่สามารถตรวจได้เนื่องจากอยู่ลึกมาก แต่ทั้งนี้ ในไซ นัสอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการกดเจ็บอย่างชัดเจน ยกเว้นแต่มีการอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อน
  • การตรวจในช่องปาก อาจพบมีหนองไหลจากโพรงหลังจมูกลงมาบนผนังลำคอ เรียกว่า Postnasal drip ซึ่งเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ค่อนข้างจะแน่นอนอย่างหนึ่ง อาจพบผนังลำคอเป็นตุ่ม ขรุขระ เนื่องจากมีเนื้อเยื่อน้ำเหลืองในช่องคอโตขึ้น จากต้องทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่ติดมากับหนองจากไซนัส ซึ่งไหลลงมาในลำคอเป็นประจำ แต่ลักษณะขรุขระนี้ อาจจะพบได้ในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ คอหอยอักเสบ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดต่อมทอนซิล และอาจพบมีฟันผุโดยเฉพาะ ฟันกรามบน
  • การตรวจพิเศษ เช่น
  • การตรวจเพื่อดูการผ่านทะลุของแสง (Transillumination test) ใช้ช่วยการวินิจฉัยการอัก เสบของไซนัสแม็กซิลล่า และ ของไซนัสฟรอนตัล ถ้าไซนัสไม่มีแสงสว่างผ่านลอดไปได้เลยจะช่วยบอกว่ามีโรคได้อย่างแม่นยำ แต่ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี วิธีนี้มักไม่ได้ประโยชน์เพราะเยื่อบุและผนังกระดูกเด็กที่ล้อมไซนัส มักจะหนากว่าผู้ใหญ่ แสงจึงมักผ่านไม่ได้
  • การตรวจภาพไซนัสด้วยอัลตราซาวด์ สามารถตรวจหาหนองในโพรงไซนัสได้ดี
  • การเจาะไซนัส (Antral proof puncture) ใช้ตรวจไซนัสแมกซิลลา
  • Sinuscopy เป็นการส่องกล้องตรวจในไซนัส ปัจจุบันเกือบจะเข้ามาแทนที่วิธีเจาะไซนัส Antral proof puncture โดยทำต่อจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ธรรมดา ไซนัสสำหรับผู้ป่วยโพรงอากาศข้างจมูกแม็กซิลล่าอักเสบเรื้อรัง ถ้าพบหนองก็สามารถเก็บตัวอย่างส่งเพาะเชื้อ และล้างหนองได้ในคราวเดียวกัน ถ้าพบเป็นถุงน้ำ หรือ ริดสีดวงขนาดเล็กก็จะตัดออกผ่านทางกล้องส่องได้ นอกจากนี้ การเห็นพยาธิสภาพและการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุและของรูเปิดไซนัสด้วยตาโดยตรง ทำให้สามารถวินิจฉัยและวางแผนให้การรักษาไซนัสอักเสบที่เหมาะสมต่อไปได้อย่างเหมาะสม
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอมอาร์ไอ ใช้แยกก้อนเนื้อ หรือถุงน้ำออกจากของเหลว
  • การตรวจด้วยการส่องกล้องโพรงจมูก (Nasal endoscopy)
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นวิธีดีที่สุดในการตรวจหาพยาธิสภาพของไซนัสในปัจจุบัน แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจค่อนข้างแพง
  • หลักในการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ประกอบด้วย
  • กำจัดเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ  โดยการให้ยาต้านจุลชีพ  เพื่อทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว   การเลือกชนิดของยาต้านจุลชีพขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ, การดำเนินโรค,  ความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อนั้นๆ และ อุบัติการของการดื้อยา     ระยะเวลาของการให้ยาต้านจุลชีพนั้น  ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันควรให้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 10-14 วัน หรือให้จนผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแล้วให้ต่ออีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น     ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังควรให้ยาต้านจุลชีพเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์ เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2-3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin เป็นต้น
  • ทำให้การไหลเวียนของสารคัดหลั่งและอากาศภายในไซนัสดีขึ้น
  • 1 ยาหดหลอดเลือด ทำให้การบวมของเยื่อบุจมูกลดลง,  บรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้รูเปิดของไซนัสโล่งขึ้น  อาจให้ในรูปยาพ่นหรือยาหยอดจมูก หรือ ยารับประทาน หรือให้ร่วมกันทั้งสองชนิดก็ได้    สำหรับยาหดหลอดเลือดที่พ่นหรือหยอดจมูก ไม่ควรใช้นานกว่า 7 วัน เพราะจะทำให้เยื่อบุจมูกเสียได้   ส่วนยาหดหลอดเลือดชนิดรับประทาน  ควรระวังผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง  หัวใจเต้นเร็ว  นอนไม่หลับ  กระสับกระส่ายด้วย เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine โดยแพทย์จะจ่ายยาในปริมาณรับประทาน 10 - 14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3-5 วัน
  • 2 ยาสตีรอยด์พ่นจมูก (Nasal Cortixosteroids) อาจมีประโยชน์ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือ ไซนัสอักเสบเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะถ้ามีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือชนิดที่ไม่แพ้ร่วมด้วย ยาพ่นจมูกดังกล่าวจะช่วยลดการอักเสบในจมูก  ทำให้รูเปิดของไซนัส ที่มาเปิดในโพรงจมูกโล่งขึ้น  ช่วยให้การไหลเวียนของอากาศ  การระบายของสารคัดหลั่งหรือ หนองที่อยู่ภายในไซนัสดีขึ้น
  • 3 ยาต้านฮิสตะมีน ไม่แนะนำให้ใช้ ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นเก่าในผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ที่ไม่ได้มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย   เนื่องจากอาจทำให้น้ำมูกและสารคัดหลั่งแห้งและเหนียวได้ ในรายที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย  ควรเลือกใช้ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นใหม่  เนื่องจากมีผลข้างเคียงดังกล่าวค่อนข้างน้อย 
  • 4  ยาละลายมูกหรือเสมหะ ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิภาพของยาละลายมูกในการรักษาโรค ไซนัสอักเสบชัดเจน
  • 5 การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ  เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง  สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัสออก  เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง   ทำให้การพัดโบกของขนกวัดที่เยื่อบุจมูกดีขึ้น อาการต่างๆ ของผู้ป่วยจะดีขึ้นเร็ว
  • 6 การสูดดมไอน้ำเดือด จะช่วยทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม  โล่ง  อาการคัดจมูกน้อยลง  อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะดีขึ้น   นอกจากนั้นยังทำให้การพ่นยาเข้าไปในจมูก มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 7 การผ่าตัด   ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ มักจะหายได้โดยการใช้ยาอย่างเต็มที่  ส่วนน้อยที่ต้องรับการผ่าตัด  ดังนั้นในการรักษาจึงพยายามใช้ยาอย่างเต็มที่ก่อน   การผ่าตัดเป็นการแก้ไขพยาธิสภาพที่ทำให้รูเปิดระหว่างโพรงจมูกและไซนัสอุดตัน โดยแพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคแพ้อากาศ

  • เป็นโรคหวัดเรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษาให้หายสนิท
  • การเกิดการติดเชื้อที่ฟัน อาทิเช่น ฟันผุ การถอนฟันแล้วเกิดการติดเชื้อตอนหลัง
  • การถูกกระทบอย่างแรงที่ใบหน้าบริเวณโพรงไซนัส
  • คนที่มีภาวการณ์ของโรคภูมิแพ้
  • อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่นเขตโรงงาน หรือ ชุมชนแออัด
  • ผนังด้านข้างของโพรงจมูกโค้งงอผิดรูปผิดรอย (Paradoxical turbinate)
  • ต่อมอะดีนอยด์โต หรือ มีสิ่งแปลกปลอมในจมูกเด็กเป็นเวลานานๆดังเช่นว่า เมล็ดผลไม้ต่างๆ
  • คนเจ็บที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือใส่สายให้อาหารทางจมูก อยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • สภาวะที่ทำให้เซลล์ขน (Cilia) ซึ่งเป็นเซลล์สนับสนุนสารคัดเลือกหลั่งออกจากไซนัส เสียไป จึงมีการคั่งของสารคัดเลือกหลั่งในไซนัส และมีการอักเสบติดเชื้อโรคได้ ดังเช่น ในสภาวะหลังเป็นโรคหวัด

การติดต่อของโรคแพ้อากาศ โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการอักเสบบวมของเยื่อบุไซนัสทำให้เกิดการแคบของรูเปิดจากไซนัสที่ไปสู่โพรงจมูก และมีการคั่งค้างของสารคัดเลือกหลั่ง (เมือก) ในโพรงไซนัสไม่อาจจะกระบายออกและก็เมื่อมีการสะสมของเมือกมากจึงกลายเป็นหนองขังในไซนัสเกิดอาการต่างๆตามมา โดยโรคไซนัสอักเสบนี้ไม่จัดอยู่ในโรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่เจอการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคแพ้อากาศ

  • ควรจะกินยาดังที่หมอสั่งให้การรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง รวมทั้งติดตามผลของการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • กินน้ำมากมายๆ
  • สูดดมละอองน้ำอุ่น และล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (ในกรณีที่แพทย์ชี้แนะและสอนให้ทำ)
  • หลบหลีกสารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ และก็มลภาวะทางอากาศ
  • งดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
  • เลี่ยงการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำนานๆเนื่อง จากคลอรีนในสระอาจจะเป็นผลให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุจมูกและก็ไซนัสได้
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบินในขณะป่วยหวัด หวัดภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบกำเริบเสิบสาน ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรจะรับประทานยาแก้คัดจมูก ดังเช่น สูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ทีละ 1-2 เม็ดก่อนเดินทาง รวมทั้งซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงระหว่างเดินทางระยะไกล
การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคแพ้อากาศ

  • หมั่นดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง (ดังเช่น กินอาหาร สุขภาพ บริหารร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลาย)
  • ปกป้องตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการป่วยภูมิแพ้ หรือแม้เจ็บป่วยหวัดแล้วจำเป็นต้องรีบรักษาให้หายขาดอย่างเร็ว
  • อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีฝุ่นผง หรือสิ่งที่จะนำไปสู่ลักษณะโรคภูมิแพ้
  • อย่าให้ร่างกายต้องเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างเร็วเกินความจำเป็น
  • ไม่ว่ายน้ำ ดำน้ำ ในเวลาที่มีการติดเชื้อโรคในช่องจมูก
  • ลด หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • รักษาสุขภาพฟันคุ้มครองปกป้องไม่ให้ฟันผุเพื่อหลบหลีกการตำหนิดเชื้อในช่องปากที่เป็นต้นเหตุของโรภูมิแพ้
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคภูมิแพ้
ฟ้าทะลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์Andrographis paniculata (Burm. f.) Nees วงศ์    Acanthaceae สารออกฤทธิ์ andrographolide, deoxyandographolide, didehydro-deoxyandrographolide และก็ neoandrographolide ฟ้าทะลายมิจฉาชีพให้ผลสำหรับในการป้องกันหวัดและบรรเทาอาการหวัด การเรียนในเด็กนักเรียนโตตอนหน้าหนาว ให้กินยาเม็ดฟ้าทะลายขโมยแห้ง ขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน ในเดือนแรกของการทดลองยังไม่พบไม่เหมือนกันระหว่างกรุ๊ปที่รับประทานยารวมทั้งกรุ๊ปควบคุม หลังจาก 3 เดือนของการทดลอง อุบัติการณ์การเป็นหวัดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม อัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรเท่ากับ 20% เวลาที่กรุ๊ปควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับ 62%    การเรียนรู้ทางคลินิก ในผู้ที่มีอาการติดเชื้อโรคของระบบฟุตบาทหายใจส่วนบนอย่างกระทันหัน รวมทั้งกลุ่มอาการภูมิแพ้ด้วย กลุ่มทดลอง 95 คน รับประทานยา Kan Jang (ประกอบด้วยสารสกัดมาตรฐานของฟ้าทะลายมิจฉาชีพ 85 มก. (มี andrographolide 5 มก.) แล้วก็สารสกัด Eleutherococcus senticosus 120 มิลลิกรัม) กรุ๊ปควบคุม 90 คน รับประทานยาหลอก ทั้งสองกรุ๊ปรับประทานยานาน 5 วัน วัดผลโดยให้คะแนนจากการคาดการณ์อุณหภูมิ ลักษณะของการปวดหัว ปวดกล้าม อาการแสดงทางคอ ไอ อาการแสดงทางจมูก ความรู้สึกป่วยตัว และก็อาการทางตา ผลวิจัยพบว่า คะแนนรวมยอดของกลุ่มทดลองสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม โดยจะมีอาการปวดศีรษะ อาการทางจมูก อาการทางคอ และก็ความรู้สึกเจ็บป่วยตัวต่ำลง
ปีบ ชื่ออื่นๆ กาซะลอง กาดสะทดลอง (เหนือ)  ชื่อวิทยาศาสตร์  Millingtonia hortensis L.f. ชื่อวงศ์Bignoniaceae  คุณประโยชน์         ตำรายาไทย ดอก รสหวานขมหอม ขยายหลอดลม มวนเป็นยาสูบดูดรักษาโรคหืด สูบแก้ริดสีดวงจมูก ภูมิแพ้ บำรุงน้ำดี เพิ่มการหลั่งน้ำดี บำรุงเลือด  ส่วนประกอบทางเคมี  ดอกมีสารฟลาโวนอยด์ hispidulin ช่วยขยายหลอดลม และพบฟลาโวนอยด์อื่นๆดังเช่นว่า scutellarein, scutellarein-5-galactoside, hortensin, cornoside, recimic, rengyolone, rengyoside B, rengyol, rengyoside A,  iso rengyol, millingtonine ใบเจอฟลาโวนอยด์ hispidulin, dinatin และก็สารอื่นๆเช่น ß carotene, rutinoside เปลือกต้น เจอสารที่ให้ความขม รวมทั้งสารแทนนิน รากพบ Lapachol, β-sitosterol, poulownin
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.นพ.สุรเกียรติ อาศนะเสน.ไซนัสอักเสบ..รักษาได้.สาขาวิทยาโรคจมูกและภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไซนัสอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่332.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2549
  • ไซ
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย