กระทู้ล่าสุดของ: praiprai9989

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 4
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายส่งว่านชักมดลูก องุ่น เป็นพืชไม้เลื้อยในตระกูลเบอร์ปรี่ เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2018, 09:29:38 am
ขายส่งว่านชักมดลูก สมุนไพรว่านชักมดลูกช่วยทำให้มดลูกกระซับ
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายส้มเเขก มันเทศ อุดมไปด้วยแหล่งของกินสำคัญ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2018, 03:49:47 pm
ขายส้มเเขก สมุนไพรสำหรับลดน้ำหนัก
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายถั่งเช่า รูปแบบของมะฝ่อต้นมะฝ่อ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2018, 11:56:13 am
ขายถั่งเช่า ขายส่งถั่งเช่า สมุนไพรถั่งเช่า
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายกระชายดำ ขนุนดอกขนุน ออกเป็นช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2018, 08:30:21 am
ขายกระชายดำ
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ขายพลูคาว มะยมสามารถมักพบในทุกจังหวัดของเมืองไทย เมื่อ: ตุลาคม 24, 2018, 08:22:08 am
ขายพลูคาว คาวตองสมุนไพร บำรุงร่างกาย
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรพญายอมีรูปร่างอย่างไรเเละสรรพคุณ-ประโยชน์ดีอย่างไร..?... เมื่อ: สิงหาคม 27, 2018, 06:24:25 pm
[/b]
พญาย[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ
เป็นไม้พุ่งปนเลื้อย เถาและก็ใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้สวยในดินที่สมบูรณ์ แดดปานกลาง พบได้บ่อยตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกภายในแปลง รักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่บริบูรณ์ ไม่แก่หรือเปล่าอ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” สกุลสถิต ฉั่วกุล รวมทั้งคณะได้ศึกษาเล่าเรียนพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโอ้อวดนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านทานพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแม้กระนั้นไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย อาทิเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้รอบคอบ เพิ่มแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ หมั่นคนยาวันแล้ววันเล่า กรองน้ำยา ใช้น้ำ และก็กากทาบบริเวณที่ปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสลดพังพอน เหตุเพราะเสลดพังพอนมีทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แต่เพศผู้ไม่นิยมประยุกต์ใช้เพราะเหตุว่ามีฤทธิ์อ่อน และก็เพื่อไม่ให้งงงันก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนใหญ่นำมาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกรุ๊ปพืชถอนพิษ  พญายอ[/url]” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาข้างนอก มีสรรพคุณบรรเทาการอักเสบของผิวหนังก้าวหน้า  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
คุณสมบัติของผงพญายอในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและก็เม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับเหล้าใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ลมพิษ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนก้าวหน้า
- อีกตำราเรียนกล่าวว่านอกเหนือจากที่จะใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเพราะเหตุว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด แล้วก็แผลที่เกิดจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือและเหล้า ใช้พอกบริเวณที่เป็น เปลี่ยนยาทุกเช้าตรู่แล้วก็เย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ได้แก่ งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ
- พญาย[/color]ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง และก็ใช้เป็นยาถอนพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลแล้วก็เอากากพอกรอบๆแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บ ช่วยลดลักษณะของการปวด
- มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์
[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]
[/b]
กระบวนการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยสินค้าล้างหน้ารวมทั้งถูเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนขั้นตอนการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง นม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้อีกทั้งผิวหน้าแล้วก็ผิวกาย เป็นประจำ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง

     - สำหรับผิวหน้า พญายอถ้าเกิดเป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วใบหน้า แล้วก็เพื่อไม่ให้เป็นการก่อกวนผิวหน้ามากจนเกินไป พอกทิ้งเอาไว้ราว 15 นาที
     - ถ้าเกิดใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว และก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด โดยประมาณเพียงแค่คลำอุตสาหะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด แล้วก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งไว้กระทั่งแห้ง (อาจใช้ช่วงเวลาพอกทิ้งไว้ราว 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังแห้งแล้ว ให้ทำความสะอาดโดยการล้างด้วยน้ำธรรมดา (ไม่ควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆแล้วก็ปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้ค่อยที่สุด โดยใช้แนวทางล้างเดียวกับการขัดหน้าเป็นมานะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ซับหน้าให้แห้ง

Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำกินปกติในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเท่ากัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักนิดหน่อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว ทั้งช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและกระจ่างขาวใส ดูอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/[/b]
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรรากสามสิบรู้หรือไม่ว่ามีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2018, 11:27:10 am
[/b]
รากสามสิ[/size][/b]
รากสามสิบ ชื่อสามัญ Shatavari8
รากสามสิบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Asparagus racemosus Willd. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Protasparagus racemosus (Willd.) Oberm.) จัดอยู่ในสกุลหน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE) และอยู่ในสกุลย่อย ASPARAGOIDEAE4
สมุนไพร[url=http://www.disthai.com/16660416/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2]รากสามสิ[/b] มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า สามร้อยราก (จังหวัดกาญจนบุรี), ผักหนาม (จังหวัดโคราช), ผักชีช้าง (หนองคาย), จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ), เตอสีเบาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), พอควายเมะ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), ชีช้าง, ผักชีช้าง, จั่นดิน, ม้าสามต๋อน, สามสิบ, ว่านรากสามสิบ, ว่านสามสิบ, ว่านสามร้อยราก, สามร้อยสามี, สาวร้อยสามี, ศตาวรี เป็นต้น
ลักษณะของรากสามสิบ
ต้นรากสามสิบ จัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพันต้นไม้อื่นด้วยหนาม (หนามเปลี่ยนแปลงมาจากใบเกล็ดบริเวณข้อ) สามารถเลื้อยป่ายปีนต้นไม้อื่นขึ้นไปได้สูงประมาณ 1.5-4 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นเถาห่างๆลำต้นเป็นสีเขียวหรือสีขาวแกมเหลือง เถามีขนาดเล็กเรียว กลม เรียบ ลื่น รวมทั้งเป็นมัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 มม. เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม หนามมีลักษณะโค้งกลับ ยาวประมาณ 1-4 มม. บริเวณข้อมีกิ่งแตกกิ่งแบบรอบข้อ รวมทั้งกิ่งนี้จะกลายเป็นสีเขียวลักษณะแบนเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม กว้างราวๆ 0.5-1 มิลลิเมตร รวมทั้งยาวโดยประมาณ 0.5-2.5 มิลลิเมตร ปฏิบัติหน้าที่แทนใบ มีเหง้าแล้วก็รากอยู่ใต้ดิน ออกเป็นกลุ่มคล้ายกระสวย รูปแบบของรากออกเป็นพวงคล้ายรากกระชาย ลักษณะอวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว มีขนาดโตกว่าเถามากมาย มีเขตการกระจายชนิดในประเทศไทย อินเดีย ศรีลังกา ชวา จีน มาเลเซีย แล้วก็ประเทศออสเตรเลีย เจอขึ้นตามป่าในเขตร้อนชื้น ป่าเขตร้อนแห้งแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าโปร่งหรือตามเขาหินปูน
ต้นรากสามสิบ
สามร้อยราก
ใบรากสามสิบ ใบเป็นใบคนเดียว แข็ง ออกรอบข้อเป็นฝอยๆเล็กคล้ายหางกระรอก หรือออกเรียงสลับเป็นกลุ่ม 3-4 ใบ ใบเป็นสีเขียวดก ลักษณะของใบเป็นรูปเข็มขนาดเล็ก ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีขนาดกว้างโดยประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร แล้วก็ยาวโดยประมาณ 10-36 มม. แผ่นมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน มีหนามที่ซอกกระจุกใบ ก้านใบยาวประมาณ 13-20 ซม.
ใบรากสามสิบ
ดอกรากสามสิบ ออกดอกเป็นช่อกระจะ ยาวราวๆ 2-4 เซนติเมตร โดยจะออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบและก็ข้อเถา ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาวรวมทั้งมีกลิ่นหอมสดชื่น มีโดยประมาณ 12-17 ดอก ก้านดอกย่อยยาวราว 2 มม. มีกลีบรวม 6 กลีบ แยกเป็น 2 วง วงนอก 3 กลีบ รวมทั้งวงในอีก 3 กลีบ กลีบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมน ขอบเรียบ กลีบกว้างโดยประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร และยาวราว 2.5-3.5 มม. กลีบดอกไม้มีลักษณะบางแล้วก็ร่น โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปดอกเข็มยาวโดยประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ส่วนปลายแยกเป็นแฉก ดอกมีเกสรผู้เชื่อมและอยู่ตรงกันข้ามกับกลีบรวม เป็นเส้นเล็ก 6 อัน ก้านชูอับเรณูเป็นสีขาว อับเรณูเป็นสีน้ำตาลเข้ม รังไข่เป็นรูปไข่กลับ อยู่เหนือวงกลีบ ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร มี 2 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุล 2 เม็ด หรือมากกว่า ส่วนก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉกขนาดเล็ก โดยจะออกดอกในช่วงโดยประมาณเดือนเมษายนถึงมิ.ย.1,2,4,5
ดอกรากสามสิบ
รากสามสิบ
รูปแบบของผลเป็นทรงค่อนข้างกลม หรือเป็นพู 3 พู ผิวผลเรียบวาว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 4-6 มม. ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีม่วงแดง ด้านในผลมีเม็ดราว 2-6 เม็ด เม็ดเป็นสีดำ เปลือกมีลักษณะแข็งแต่เปราะ ผลิดอกออกผลในช่วงประมาณเมษายนถึงก.ค.1,8
ผลรากสามสิบ
เมล็ดรากสามสิบ
[/b]
คุณประโยชน์ของรากสามสิบ
รากสามสิบมีรสฝาดเย็น มีคุณประโยชน์เป็นยาบำรุงกำลัง ใช้เป็นยาชูกำลัง (ราก)
ตำรายาไทยจะใช้รากเป็นยาแก้กษัย (ราก)
ในประเทศประเทศอินเดียจะใช้รากเป็นยากระตุ้นประสาท (ราก)
รากใช้ผสมกับเหง้าขิงป่าและต้นจันทน์แดง ผสมกับสุราโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาลดความดันโลหิตแล้วก็ลดไขมันในเลือด (ราก)
รากสามสิบมีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยไปกระตุ้นรูปแบบการทำงานของตับอ่อนให้เพิ่มการหลั่งสาร insulin (ราก)
อีกทั้งต้นหรือรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคคอพอก (ราก, อีกทั้งต้น)
ผลมีรสเย็น ใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อเป็นยาดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง (ผล)
รากมีรสเฝื่อนฝาดเย็น ใช้รับประทานเป็นยาแก้พิษร้อนในอยากดื่มน้ำ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ไอ (ราก)
ช่วยขับเสมหะ4 แก้การติดเชื้อที่หลอดลม (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยขับลม แล้วก็ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร (ราก)
ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับไส้ แก้อาการของกินไม่ย่อย รักษาแผลในกระเพาะ โรคกระเพาะ (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำเป็นยาแก้อาการท้องเสีย แก้บิด (ราก)
ใบมีคุณประโยชน์เป็นยาระบาย (ใบ)
แบบเรียนยาสมุนไพรประจำถิ่นของจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ขัดเบา ขับเยี่ยว ช่วยหล่อลื่นและกระตุ้น (ราก)
ช่วยรักษาอาการระดูเปลี่ยนไปจากปกติของสตรี (ราก)
อีกทั้งต้นหรือรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ตกเลือด (ราก, อีกทั้งต้น)
ในอินเดียจะใช้รากสามสิบเป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศอีกทั้งชายและหญิง คนทางภาคเหนือบ้านพวกเราจะใช้รากสามสิบทำเป็นยาดอง ใช้รับประทานเป็นยาบำรุงสำหรับผู้ชาย กินแล้วครึกครื้นราวกับม้า 3 ตัว ก็เลยมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ม้าสามต๋อน” ส่วนแพทย์ยาโบราณจะใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อ “สาวร้อยสามี” หรือ “สามร้อยสามี” กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ยังสามารถมีลูกมีผัวได้ อายุเท่าไรก็ยังดูสาวเสมอ แม้กระนั้นไม่ใช่กินแล้วจะสามารถมีสามีได้เป็นร้อยคน ในตำราอายุรเวทจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับการบำรุงสตรี ทำให้กลับมาเป็นสาว ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆของสตรี ไม่ว่าจะเป็นภาวะรอบเดือนไม่ปกติ ภาวะหมดรอบเดือน ปวดระดู ตกขาว มีลูกยาก หมดอารมณ์ทางเพศ ช่วยบำรุงครรภ์ บำรุงนม คุ้มครองปกป้องการแท้ง ฯลฯ ส่วนวิธีการใช้ก็ให้นำรากมาต้มกิน หรือนำรากมาตากแห้งแล้วบดเป็นผุยผงปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง นอกนั้นยังคงใช้กระตุ้นนมในวัวนมได้อีกด้วย (ราก)
ใช้เป็นยาบำรุงตับรวมทั้งปอดให้กำเนิดกำลังเป็นปกติ แก้ตับและก็ปอดพิการ (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้พิษจากแมลงป่องกัดต่อย (ราก)
รากใช้ฝนทาแก้อาการปวดฝี ทำให้เย็น ช่วยถอนพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน (ราก)
ช่วยบรรเทาอาการเคือง (ราก)
รากใช้กินเป็นยาแก้ลักษณะของการปวดปวดเมื่อย ครั่นตัว (ราก)
ช่วยแก้อาการปวดข้อและก็คอ (ราก)
ใบมีคุณประโยชน์ช่วยขับนม ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)
รากใช้เป็นยาบำรุงเด็กแรกเกิดในครรภ์ บำรุงนม บำรุงร่างกายหลังการคลอดบุตรของสตรี (ราก)
ใน “พระหนังสือคุณประโยชน์ (แลมหาพิกัด)” ได้เอ๋ยถึงสรรพคุณของรากสามสิบไว้ว่า “ผักหวานตัวผู้มีรสหวาน แก้กำเดา แก้ดวงตาโรค รากสามสิบ 2 มีคุณยิ่งกว่าผักหวาน” กำเดาหรือไข้กำเดา มีอยู่ 2 ชนิด อย่างแรกเป็นตัวร้อน เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งหมายถึงมีลักษณะร้ายแรงมากยิ่งกว่า มีเม็ดผุดขึ้นตามร่างกาย มีลักษณะคัน ไอ มีเสลด และมีเลือดออกทางปากและจมูก (ราก)
ส่วนในหนังสือ “พระตำราเวชศาสตร์สงเคราะห์” ได้เอ่ยถึงตำรับยารักษาคนธาตุหย่อน อันมีตัวยารากสามสิบรวมอยู่ด้วยร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆอีกหลายแบบ โดยกล่าวว่ามีสรรพคุณ (ที่ค่อนข้างจะเข้าใจยาก) ว่าช่วยกันจำเริญชีวิตให้กำเนิดกำลัง ให้บำรุงธาตุไฟ ให้จำเริญอินทรีย์แต่ละอย่าง มีกำลังมากไม่เหมือนกัน รับประทานเข้าไปแล้วหาโทษไม่ได้ ใช้ได้อีกทั้งเด็ก คนวัยชรา คนมีกำลัง คนผอมบาง คนไม่มีกำลัง คนธาตุหย่อน ให้ประกอบยานี้กันเหอะ อนึ่ง กินแล้วให้บังเกิดลูก ให้อกตอแค่นดวงจันทร์งอีกทั้ง 4 มีกำลัง ถึงกระหักดีแล้ว แพทย์ก็นับถือรักษาด้วยยานี้เถิด (ราก)
อีกตำรับหนึ่งเป็นยาแก้โรคผอมโซ แก้โรคหอบหืด แก้ปิดตะ และก็แก้โรคลมต่างๆจะมีสมุนไพรอยู่ร่วมกัน 20 อย่างแล้วก็รากสามสิบ (ราก)
ใน “พระตำราวรโยคสาร” ตำรับยา “วะระทุ่งนาทิภาควิชา” เป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยรากไม้ 17 อย่าง รวมทั้งรากสามสิบ ซึ่งเป็นตำรับยาที่ใช้แก้อันตะวิทราโรค หรือโรคที่มีลักษณะเสียดแทงในลำไส้ใหญ่ ใช้เป็นยาแก้มันทาคินี แก้เสมหะ แก้ปะทุลุมโรคหายแล และก็ยังมีตำรับยาอีกอย่างก็คือ ตำรับยาแก้เสมหะ ที่มีสมุนไพรรวมอยู่ด้วย 16 อย่าง แล้วก็รากสามสิบ (ราก)
ตำรับยาบำรุงท้อง แก้ไข้ แก้ปวดหัว ประกอบไปด้วยสมุนไพร 13 ชนิด ดังเช่นว่า รากสามสิบ แก่นสน กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชย เปลือกสมุลแว้ง เทียน 5 บัวน้ำอีกทั้ง 5 โกฐ 5 จันทน์ทั้งยัง 4 แล้วก็เทพทาโร (ใช้อย่างละเท่ากัน) นำทั้งผองมาใส่ในหม้อฉาบหรือหม้อดิน เพิ่มน้ำลงไปให้ท่วมยาสูงราว 6-7 เซนติเมตร แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วนำขึ้นตั้งด้วยไฟอ่อนๆต้มเคี่ยวประมาณ 30 นาที น้ำยาเดือดแล้วก็มีกลิ่นหอมยวนใจจึงยกลงจากเตา ใช้ดื่มก่อนอาหารยามเช้าแล้วก็เย็น วันละ 2 เวลา เป็นยาบำรุงครรภ์อย่างยอดเยี่ยม (ราก)
นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ของรากสามสิบตามเว็บต่างๆนอกจากที่กล่าวมา สมุนไพรจำพวกนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยสร้างสมดุลให้แก่ระบบฮอร์โมนผู้หญิง แก้วัยทอง เพิ่มขนาดอกและก็สะโพก ช่วยไขปัญหาช่องคลอดอักเสบ ดับกลิ่นในช่องคลอด ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับรูปทรง ลดไขมันส่วนเกิน บำรุงเลือด บำรุงผิวพรรณ ลดสิว ลดฝ้า ทำให้ผิวขาวใส ช่วยชะลอความแก่เฒ่า ลดกลิ่นเต่า กลิ่นปาก ช่วยสร้างเสริมรวมทั้งปรับปรุงความจำและสติปัญญา (ไม่มีอ้างอิง)
ขนาดแล้วก็วิธีการใช้ : การใช้รากตาม ให้ใช้รากประมาณ 90-100 กรัม เอามาต้มกับน้ำดื่มวันละครั้งในตอนเวลาเช้า
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของรากสามสิบ
สารสำคัญที่พบ ดังเช่นว่า asparagamine, cetanoate, daucostirol, sarsasapogenin, shatavarin, racemosol, rutin
สมุนไพรรากสามสิบมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ลดการอักเสบ แก้อาการปวด คลายกล้ามของมดลูก บำรุงหัวใจ คุ้มครองป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นมาจากความดันเลือดสูง ขับน้ำนม มีฤทธิ์ราวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน ลดระดับไขมันในเลือด กระตุ้นภูมิต้านทาน ต้านทานอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นพิษต่อเซลล์ของโรคมะเร็ง ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะ ยับยั้งพิษต่อตับ
สารสำคัญที่เจอในรากคือสาร steroidal saponins ซึ่งเป็นสารที่ปฏิบัติภารกิจเอาอย่างฮอร์โมนเพศ จึงคงจะมีหน้าที่สำหรับเพื่อการรักษาอาการที่เกิดขึ้นในตอนวัยหมดระดูของสตรี รวมถึงการช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคหัวใจแล้วก็หลอดเลือดรวมทั้งโรคกระดูกพรุน
จากการเรียนรู้
ในหนูแรทโดยใช้สารสกัดจากรากด้วยเอทานอล แบ่งเป็น 2 ช่วงหมายถึงช่วงทันควันแล้วก็ช่วงยาวตลอด โดยการเล่าเรียนในช่วงฉับพลันป้อนสารสกัดเอทานอลจากรากสามสิบในขนาด 1.25 กรัมต่อกก. ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน หนูแรทที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และก็จำพวกที่ 2 พบว่าไม่มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ช่วยทำให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคส ในนาทีที่ 30 ดียิ่งขึ้น ส่วนการศึกษาเล่าเรียนตอนยาวต่อเนื่องวันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แล้วก็เพิ่มระดับของอินซูลิน 30%เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน และก็เพิ่มไกลวัวเจนที่ตับ เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปโรคเบาหวานควบคุม จึงสรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการหยุดยั้งการย่อยและก็การดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งน่าจะมีคุณประโยชน์สำหรับในการเอาไปใช้รักษาคนเจ็บเบาหวานได้9
จากการทดสอบทางคลินิกเป็นการใช้รักษาโรคกระเพาะในคนจริงๆโดยการกินผงแห้งของราก พบว่าได้ประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาแผลที่กระเพาะรวมทั้งลำไส้เล็ก จากการที่กรดเกิน
เมื่อปี ค.ศ.1997 ที่ประเทศอินได้กระทำตรวจสอบและลองใช้รากสามสิบกับคนป่วยความดันโลหิตสูงประเภท mild hypertension โดยทดสอบเปรียบเทียบกับยาลดระดับความดัน (Propranolol) ใช้ระยะเวลากระทำทดสอบนาน 3 เดือน ผลการทดสอบพบว่า คนเจ็บมีความดันโลหิตลดลง < 90 mm.Hg. รวมทั้งลดไขมันได้ประสิทธิภาพที่ดี

  • K. Mitra รวมทั้งภาควิชา (ค.ศ.1996) ที่ประเทศอินเดียได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากรากสามสิบกับตัวทดลองที่ถูกกระตุ้นด้วย Streptozotocin ผลของการทดสอบพบว่า สารสกัดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถกระตุ้นตับอ่อนของหนูให้เพิ่มการหลักhttp://www.disthai.com/[/b]
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / กระเทียมนั้นมีสรรพคุณ-เเละประโยชน์ดีนักหนาอย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 14, 2018, 02:31:35 pm
[/b]
กระเทีย[/size][/b]
ลักษณะทางด้านกายภาพและเคมีที่ดี:
           จำนวนน้ำไม่เกิน 68% w/w  ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 2.5% w/w  ปริมาณขี้เถ้าที่ไม่ละลายในกรดไม่เกิน 1% และจำนวนสารสกัดเฮกเซน แอลกอฮอล์ และน้ำ โดยประมาณ 0.52, 0.50 รวมทั้ง 15% w/w  ตามลำดับ เภสัชตำรับอังกฤษเจาะจงปริมาณสาร alliin ไม่น้อยกว่า 0.45 % w/w
คุณประโยชน์:
           ตำรายาไทยใช้หัว[url=http://www.disthai.com/16488280/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1]กระเทียม
เป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ  ของกินไม่ย่อย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ลดไขมัน รักษาปอด แก้ปอดทุพพลภาพ  แก้อุจจาระเป็นมูกเลือด  บำรุงธาตุ  กระจายโลหิต  ขับปัสสาวะ แก้บวมพุพอง  ขับพยาธิ  แก้ตาปลา  แก้ตาแดง ร้องไห้  ตาฟาง รักษาโรคลักปิดลักเปิด  รักษาโรคมะเร็งคุด   รักษาริดสีดวง แก้ไอ  คุมกำเนิด แก้สะอึก  บำบัดโรคในอก แก้พรรดึก รักษาฟันเป็นโรครำมะนาด  แก้หูอื้อ แก้อัมพาต  ลมเข้าข้อ  แก้อาการชักกระตุกของเด็ก พอกหัวเหน่าแก้ขัดค่อย รักษาวัณโรค  แก้โรคประสาท แก้หืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคุณ  ขับโลหิตรอบเดือน  บำรุงเส้นประสาท   แก้ไข้   แก้บวมช้ำ แก้ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก   แก้ไข้เพื่อเสลด ทำให้ผมเงางาม  บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ด้านนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษาขี้กลากโรคเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง  ทาภายนอกทุเลาลักษณะของการปวดบวมตามข้อเนื่องจากเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเหลืองปิดสมุทร (แก้ท้องเสีย), ยาประสะไพล (ขับน้ำคาวปลา ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  ท้องร่วง ใช้กระเทียม 3 กลีบ ทุบชงน้ำร้อน ใช้เป็นน้ำกระสายยา สำหรับยาผง)
         บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กำหนดการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาลักษณะของการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์รักษารอบเดือนมาไม่บ่อยนักหรือมาน้อชูว่าธรรมดา บรรเทาลักษณะของการปวดเมนส์  และก็ขับน้ำคร่ำในหญิงหลังคลอดบุตร
ต้นแบบและขนาดวิธีการใช้ยา:
กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน กระเทียมแห้ง 0.4-1.2 กรัมต่อวัน น้ำมันกระเทียม 2-5 มก.ต่อวัน สารสกัด 300-1,000 มก.ต่อวัน หรือต้นแบบยาอื่นๆที่มีสาร alliin 4-12 มก.หรือสาร allicin 2-5 มก.
ขนาดและก็วิธีใช้สำหรับอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด:
ใช้กระเทียม  5-10  กลีบ ซอยละเอียด  รับประทานหลังรับประทานอาหาร หรือพร้อมของกิน
ขนาดรวมทั้งวิธีใช้สำหรับรักษากลากเกลื้อน:
                   ฝากระเทียม[/url]เช็ดเป็นประจำบริเวณที่เป็น  หรือตำแล้วขยี้ทาบริเวณที่เป็น  วันละ 2 ครั้ง ก่อนจะทายาใช้ไม้บางๆเล็กๆที่ได้ฆ่าเชื้อโรคแล้ว (โดยการแช่ในแอลกอฮอล์ 70%  หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) ขูดบริเวณที่เป็น ให้ผิวหนังแดงๆก่อนทา เพื่อให้ตัวยาซึมลงไปได้ดีขึ้น เมื่อหายแล้วให้ทายาต่ออีก 7-10 วัน
ขนาดและการใช้สำหรับแก้ไอ:
                   แบบเรียนยาไทยให้ใช้กระเทียม และก็ขิงสดอย่างละเสมอกันตำละเอียด ละลายน้ำอ้อยสด คั้นเอาน้ำจิบแก้ไอ กัดเสลด ทำให้เสลดแห้ง หนังสือเรียนยาไทยบางตำรับให้คั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเติมเกลือใช้จิดหรือกวาดคอ
ส่วนประกอบทางเคมี:
           น้ำมันหอมระเหย ราว 0.1-0.4% มีส่วนประกอบหลักคือ allicin  ajoene  alliin  allyldisulfide diallyldisulfide ซึ่งเป็นสารประกอบกรุ๊ปกลุ่ม organosulfur  สารในกลุ่มนี้ที่พบในกระเทียมได้แก่  สารกลุ่ม S-(+)-alkyl-L-cysteine sulfoxides , alliin 1% , methiin 0.2% , isoalliin 0.06% และก็ cycloalliin 0.1% และก็สารที่ไม่ระเหยเป็น สารกลุ่ม gamma-L-glutamyl-S-alkyl-L-cysteines , gamma-glutamyl-S-trans-1-propenylcysteine 0.6% แล้วก็ gamma-glutamyl-S-allylcysteine รวมโดยประมาณ 82% ของสารกลุ่ม organosulpur ทั้งสิ้น ส่วนสารกรุ๊ป thiosulfinates (allicin) สารกรุ๊ป ajoenes (E-ajoene และ Z-ajoene) สารกลุ่ม vinyldithiins (2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)-1,2-dithiin) รวมทั้งสารกรุ๊ป sulfides (diallyl disulfide , diallyl trisulfide) ซึ่งเป็นสารที่ไม่ได้เจอในธรรมชาติแม้กระนั้นมีเหตุมาจากการย่อยสลายของสาร allin ซึ่งถูกเสื่อมสภาพด้วยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alliinase ต่อไปจึงเกิดการรวมตัวกันใหม่ได้สาร allicin ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียร ย่อยสลายได้สารกรุ๊ป sulfides อื่นๆด้วยเหตุผลดังกล่าวกระเทียมที่ผ่านกระบวนการสกัด การกลั่นน้ำมัน หรือความร้อน สารประกอบจำนวนมากที่เจอเป็นสารกรุ๊ป diallyl sulfide , diallyl disulfide , diallyl trisulfide รวมทั้ง diallyl tetrasulfide ส่วนกระเทียมที่ผ่านขั้นตอนการหมักในน้ำมัน สารประกอบที่พบจำนวนมากเป็น 2-vinyl-(4H)-1,3-dithiin , 3-vinyl-(4H)1,2-dithiin , E-ajoene แล้วก็ Z-ajoene ปริมาณของ alliin ที่พบในกระเทียมสด ราว 0.25-1.15% สารกลุ่มอื่นๆที่เจอ เช่น สารมูก และ albumin, scordinins, saponins 0.07% , beta-sitosterol 0.0015%, steroids, triterpenoids รวมทั้ง flavonoids
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา: 
ฤทธิ์ปกป้องตับจากสารพิษ
      การทดสอบป้อนสาร diallyl disulfide (DADS) จากกระเทียมให้แก่หนูขาว ขนาดวันละ 50 และก็ 100 มก./กก. น้ำหนักตัว ในหนูแต่ละกรุ๊ป นานต่อเนื่องกัน 5 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้ตับเกิดการเสียหายด้วยสาร carbon tetrachloride (CCl4) พบว่า DADS ทั้งคู่ขนาดสามารถปกป้องตับเป็นพิษได้ การตรวจดูลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์พบว่าสามารถยั้งความเสียหายของเซลล์ตับ โดยลดรูปแบบการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี aspartate transaminase (AST) และก็ alanine transaminase (ALT) ในตับลงได้ ลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวเนื่องในขั้นตอนอักเสบ และก็การเสียชีวิตของเซลล์ตับ ได้แก่ Bax, cytochrome C, caspase-3, nuclear factor-kappa B, I kappa B alpha นอกเหนือจากนี้ยังส่งผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน แล้วก็เอนไซม์ที่เกี่ยวเนื่องในวิธีการต้านทานอนุมูลอิสระ อย่างเช่น catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase, glutathione S-transferase ผลจากการเล่าเรียนแสดงให้เห็นว่า สาร DADS จากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งคุ้มครองป้องกันตับจากสารพิษ โดยกลไกกระตุ้นการทำงานของ nuclear factor E2-related factor 2 (Nrf2) ซึ่งเป็น transcription factor หรือโปรตีนที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องเซลล์ และก็เนื้อเยื่อจากอนุมูลออกสิเจนที่ว่องไวต่อปฏิกิริยา การกระตุ้น Nrf2 ส่งผลเหนี่ยวนำการผลิตโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีต้านทานอนุมูลอิสระ และสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในระบบการกำจัดพิษออกมาจากร่างกายในขั้นตอนที่ 2 (detoxifying Phase II  enzyme) และก็ยั้ง nuclear factor-kappa B ส่งผลให้ลดการสร้างสารที่เกี่ยวพันกับการอักเสบลง และคุ้มครองป้องกันตับจากพิษได้ (Lee, et al, 2014)
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ
      เรียนรู้ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของสารสกัดน้ำโดยไม่ผ่านความร้อน (raw garlic) และสารสกัดกระเทียมที่ผ่านการต้มแล้ว นำมาทดลองในหลอดทดลอง โดยใช้เนื้อเยื่อของกระต่าย พบว่า raw garlic สามารถยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase (ที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตสารอักเสบ) แบบ non-competitive แล้วก็ irreversible จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า raw garlic สามารถยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase ได้ โดยมีค่า IC50 ต่อเกล็ดเลือด,ปอด รวมทั้งหลอดเลือดแดงในกระต่ายเท่ากับ 0.35, 1.10 และก็ 0.90 mg เวลาที่กระเทียมที่ต้มแล้วมีฤทธิ์ยั้ง cyclooxygenase ได้น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกระเทียมที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะองค์ประกอบสำคัญในกระเทียมนั้นถูกทำลายขณะที่ให้ความร้อน จากผลการศึกษาเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่ากระเทียมคงจะเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองปกป้องโรคหลอดเลือดตันได้ (Ali, 1995)
      จากการรวบรวมงานศึกษาเรียนรู้วิจัย ที่ศึกษาฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของกระเทียม โดยสรุปพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบผ่านหลายกลไก ดังต่อไปนี้คือ ต้านทานการอักเสบผ่าน T-cell lymphocytes โดยไปยับยั้ง SDF1a-chemokine-induced chemotaxis มีผลให้การมารวมกรุ๊ปกันของสารที่นำมาซึ่งการอักเสบลดน้อยลง, ยับยั้ง transendothelial migration of neutrophils ส่งผลให้ลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ในขั้นตอนการอักเสบลง, ยับยั้งการหลั่งสาร TNFα ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในวิธีการอักเสบ, กดการผลิตอนุมูลไนโตรเจนที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาการอักเสบ รวมทั้งการทำงานผ่าน ERK1/2  2 กลไก ดังเช่น การขัดขวาง phosphatase-activity (directly related with ERK1/2 phosphorylation) และการเพิ่ม phosphorylation of ERK1/2 kinase (ผ่านทาง p21ras protein thioallylation) มีผลทำให้การอักเสบน้อยลง (Martins, et al, 2016)
[/b]
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
      การทดลองความรู้ความเข้าใจสำหรับการต้านเชื้อ Escherichia coli ซึ่งป็นเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  รวมทั้งการสกัดสดโดยวิธีบังคับแบบเย็น โดยใช้วิธี microdilution broth susceptibility test พบว่าการสกัดสดมีค่า MIC รวมทั้งค่า MBC ต่ำที่สุด (3.125กรัมต่อลิตร) และก็รองลงมาคือ สารสกัดจากตัวทำละลาย เอทานอล เมทานอล และอะซิโตน ให้ค่า MIC และ MBC เท่ากัน (6.25กรัมต่อลิตร) แสดงว่าสารสกัดสดมีโภคทรัพย์สำหรับเพื่อการยั้ง แล้วก็ฆ่าเชื้อแบคทีเรียดีเยี่ยมที่สุด เนื่องจากว่าในกระเทียมสดมี allin เป็นสารประกอบกำมะถันที่สำคัญ เมื่อกระเทียมสดถูกบด หรือผ่านขั้นตอนดัดแปลง allinase จะถูกปลดปล่อยออกมาจากข้างใน vacuole ของเซลล์ แล้วก็อาศัยน้ำเป็นกลไกสำหรับเพื่อการทำปฏิกิริยาได้เป็น allicin ซึ่งเป็นสารที่มีความสามารถในการยั้งเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งขั้นตอนการสกัดสดช่วยให้แนวทางการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร allin และก็ allinase ดีขึ้น เนื่องจากว่าต้องใช้เวลาสำหรับการบีบคาดคั้นน้ำกระเทียมซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้วข้างต้นช่วยทำให้แนวทางการทำปฏิกิริยาระหว่างสารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะส่งผลให้ได้ allicin เพิ่มขึ้น (ภรภัทร และก็รังสินี, 2554)
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
         เมื่อนำสารสกัดกระเทียมที่ได้จากการบ่มสกัด (aged garlic extract (AGE) ด้วย 20 % เอทานอล เป็นเวลา 20 เดือน ที่อุณหภูมิห้อง นำมาทดสอบการต้านทานการเกิดปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันของไลโปโปรตีนจำพวกความหนาแน่นต่ำ หรือต่อต้านการเกิด oxidized LDL (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ภาวะเส้นโลหิตแดงแข็ง) โดยนำ LDL ที่แยกได้จากคนมาทดสอบในภาวการณ์ที่มีหรือไม่มี AGE โดยใช้ CuSO4 แล้วก็ 5-lipoxygenase รั้งนำให้เกิด oxidized LDL และก็ทดลองสารสกัดของ AGE ผลของการทดลองพบว่า AGE มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระโดยลดการสร้าง superoxide ion (อนุมูลอิสระของออกสิเจน) แล้วก็ลดการเกิด lipid peroxide (ออกซิเดชันของไขมัน)  โดย AGE 10%v/v เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถยั้งการเกิด superoxide ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ของ AGE ได้ผล 34%  ฤทธิ์ลดการเกิด lipid peroxidation ของ LDL พบว่าสารสกัด 10% v/v จาก diethyl ether ลดการเกิด lipid peroxidation ที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำของ Cu2+ แล้วก็ 5-lipoxygenase ได้ 81% รวมทั้ง 37% เป็นลำดับ สรุปได้ว่า AGE มีผลยับยั้งการเกิด oxidation ของ LDL โดยลดการสร้าง superoxide และก็ยับยั้งการเกิด lipid peroxide  ด้วยเหตุนี้ AGE จึงอาจมีหน้าที่สำหรับในการคุ้มครองป้องกันการเกิดสภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerotic disease) ได้ (Dillon, et al, 2003)
      การเรียนฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหัวกระเทียมด้วย เอทานอล เมทานอล  อะซิโตน  รวมทั้งการสกัดสดโดยแนวทางบีบบังคับแบบเย็น ทดลองโดยกรรมวิธีการยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH, การต้านออกซิไดส์จากสาร hydrogen peroxide (hydrogen peroxide (H2O2) scavenging activity ผลการทดสอบฤทธิ์ยั้งอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าการสกัดกระเทียมด้วยตัวทำละลายอะซิโตน ให้ค่า IC50 ต่ำที่สุด เท่ากับ 3.58±0.02 mg/ml รองลงมา ได้แก่ สารสกัดเมทานอล เอทานอล และก็การสกัดสด เป็นลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 3.72±0.03, 4.47±0.20 แล้วก็ 55.36±3.96 mg/ml ตามลำดับ  ผลการต้านทานสารออกซิไดซ์ที่ร้ายแรง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) พบว่าสารสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล มีทรัพย์สมบัติการต้านออกซิไดส์ของสาร H http://www.disthai.com/[/b]
9  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่มีคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ เมื่อ: สิงหาคม 06, 2018, 07:31:21 am
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของพวกเรามีจุดเริ่มขึ้นจากความต้องการหาสมุนไพรประสิทธิภาพสูงจากในหลายประเทศ กระทั่งพวกเราเจอและมีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน แล้วก็ได้ นำเข้าสปอร์[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
คุณภาพสูงจากนั้นเป็นต้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่พวกเราเป็นผู้บุกเบิก และก็เป็นผู้นำในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงคุณภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของเรา สปอร์เห็ดหลินจือของพวกเรา จะถูกคัดสรรอย่างยอดเยี่ยมก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่พวกเรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยวิธีพิถีพิถัน ทำให้จับตัวได้ดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากกว่า
เราใส่ใจและสำรวจคุณภาพในทุกกระบวนการผลิตอย่างใกล้ชิด รวมทั้งด้วยกระบวนการผลิตที่ดูแลอย่างยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราได้รับการรับรองมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่เราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจประสิทธิภาพจากห้องแล็ปในโรงหมอ
เพื่อคุณประโยชน์สูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาสินค้าเห็ดหลินจือมากิน
งานศึกษาเรียนรู้ยืนยันว่าการกินสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ผลดีมากกว่าการทานดอก เพราะสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าและก็สปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกจะต้านทานมะเร็ง และก็เสริมภูมิคุ้มกันได้ดีมากว่า เทียบกับแบบไม่ได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดมิได้ที่สุดเป็น.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยปลอดภัยใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แต่สายพันธุ์ที่มีสรรพคุณทางยายอดเยี่ยมเป็นเห็ดหลินจือแดง เนื่องจากสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กรุ๊ป Polysaccharide อยู่อย่างยิ่งที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในตลาดแบบอย่างต่างๆเยอะแยะ ทั้งยังในแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเยอะแยะ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี ต้อง......
มองตั้งแต่กระบวนการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เพราะการควบคุมอณหภูมิ ความชุ่มชื้น สารอาหาร แล้วก็กระบวนการแปลรูปล้วนส่งผลต่อปริมาณสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเหตุว่าเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ด้วยเหตุดังกล่าวตัวบรรจุภัณฑ์ควรต้องเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อได้ดิบได้ดีอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับคุณประโยชน์ต่อร่างกาย
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูสิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีเข้มมีผิวแวววาว มีลักษณะเหมือนไม้ และมีรสขม มีประวัตศาสตร์นานสำหรับการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะจีนแล้วก็ประเทศญี่ปุ่น เพราะเชื่อว่าสารประกอบข้างในเหลืดหลินจือมีคุณค่าต่อร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจส่งผลดีต่อร่างกายจำนวนมาก ประเภทเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินรวมทั้งแร่ธาตุบางชนิด เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ไต่อยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลวัวโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) แล้วก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) แล้วก็ลิวซีน (Leucine)ฉะนั้น มีบางบุคคลหรือในบางวัฒนธรรมนเห็ดหลินจือ[/url]มาเตรียมอาหารรวมทั้งดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างหลากหลาย นักวิทยาศาสตร์จึงสนใจและก็นำเห็ดหลินจือมาทดสอบหาประสิทธิผลทางการรักษาแล้วก็การบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดจำพวกนี้มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของผู้คนใช่หรือไม่
[/b]
เห็ดหลินมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่บางทีอาจเป็นได้ใช่หรือ?
หากแม้มีการค้นคว้าทดสอบจำนวนมากเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณค่าที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อยืนยันทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่กระจ่างแจ้งถึงคุณลักษณะรวมทั้งคุณค่าที่บางทีอาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือแต่ ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้วก็การแพทย์ที่แจ่มชัดถึงคุณลักษณะรวมทั้งประสิทธิผลด้านอะไรก็ตามฉะนั้น ลูกค้าควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ จำนวนรวมทั้งขั้นตอนการบริโภคที่สมควร แล้วก็ข้อจำกัดต่างๆรวมทั้งเหตุทางสุขภาพของตนเองให้ดีก่อนที่จะมีการบริโภค
ตัวอย่างการค้นคว้าวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อสุขภาพ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานค้นคว้าหนึ่งได้ทดสอบหาประสิทธิผลแล้วก็ความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้เจ็บป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปริมาณ 32 ราย  คำตอบเป็น เห็ดหลินจืออาจมีสรรพคุณในด้านการหยุดยั้งลักษณะของการปวด ปลอดภัยต่อการกินเข้าสู่ร่างกายและไม่มีผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญในการต่อต้านปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลการปรับระบบภูมิคุ้มกันอะไร
เพิ่มความสามารถร่างกาย
มีการทดสอบที่ทดสอบคุณภาพของเห็ดหลินจื[/b]ในด้านการเพิ่มสรรถภาพของร่างกาย โดยได้ ทดลองในคนไข้โรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)ผู้หญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดสอบ 6 อาทิตย์ คนเจ็บบริโภคเห็ดหลินจือปริมาณ 6 กรัม/วัน ต่อจากนั้นจึงทดสอบสมรรถภาพร่างกายของคนเจ็บ ผลของการทดสอบรวมทั้งวางแผนรักษาคนไข้โรคนี้ต่อไป แต่ว่ายังคงขาดหลักฐานสนับสนุนที่แจ่มกระจ่าง จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาวิจัยในด้าน เพื่อหาหลักฐานและข้อยืนยันที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือถัดไป
ต่อต้านการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน และปกป้องการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดสอบหาความสามารถของสารตรีเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)และโพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ใน[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
ในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน และการป้องกันการทำลายเซลล์ตับในกลุ่มผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน ผลสรุปทีแสดงถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
แม้กระนั้น เห็ดหลินจืออาจช่วยต่อต้านปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แต่การทดสอบดังที่กล่าวถึงแล้วเป็นเพียงการค้นคว้าวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาต่อไปเพื่อหาหลักฐานและก็ข้อพสจน์ที่แน่ชัดที่แจ่มกระจ่างถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ
10  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ เมื่อ: สิงหาคม 02, 2018, 09:59:14 pm
[/b]
บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ พวกเรากำลังดูหนังการรบอยู่เหรอ ไม่ครับผม บุกในที่นี้มิได้ถึงข้าศึกบุก แม้กระนั้นหมายถึงหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก และก็ที่ต้องหนี ไม่ใช่ผู้ใดกันแน่ที่แหน่งใด แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตฮิตในขณะนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จำเป็นต้องหนีไป
บุก ส่วนที่มองเห็นคือ หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมราวกับปัจจุบันนี้เพราะว่าจริงๆทีแรกมันก็เป็นพืชประจำถิ่นอยู่ดี  คนในท้องถิ่นก็นำบุกมาทำอาหาร เสมือนเผือก เหมือนมันทั่วไปเพียงพอเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยเปลี่ยนเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการดัดแปลงเป็นแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงจะไม่ช้าเกินไปที่จะนำทุกคนมารู้จะ พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นผี  น่าสยองนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อสกุล    ARACEAE
ชื่อตามแคว้น  :  บุกระอุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
พวกเราเจบุก[/url]ถึงที่กะไว้ไหน[/size][/b]
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นกับตาม ป่าเขา แล้วก็บางโอกาสก็เจอตามพื้นที่ ทำนา อย่างเช่นที่ปทุมธานี รวมทั้งนนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกประเภท แม้กระนั้นจะเจริญวัยได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินที่ร่วนซุย น้ำไม่ขังรวมทั้งดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก บ่งบอกถึงส่วนประกอบคือใบบุก แล้วก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่พวกเราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  แบบเดียวกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่โดยประมาณ 25 เซนติเมตร (บางพันธ์บางทีอาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แม้กระนั้นบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษต่างกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเสมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางจำพวกมีก้านใย เป็นลวดลายบางประเภทมีหนามอ่อนๆ หรือบางโอกาสบุกบางจำพวกก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่หลากหลายมากมาย  แต่ที่เด่นๆดูง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แม้กระนั้นบาง ประเภทจะแปลกตรงที่กลับขึ้นข้างบนราวกับหงายร่ม ฉะนั้นลักษณะของใบบุก มีหลายรูปแบบสังกัดชนิดของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกคล้ายต้นหน้าวัว แต่ละชนิดมีขนาด สี รวมทั้งรูป ทรงแตกต่าง บางประเภทมีดอกใหญ่มาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเหมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกจำพวกอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เช่นเดียวกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายฤดูแล้ง แต่บุกสามารถมีดอกได้ในตอน เวลาต่างๆกัน ระยะเวลาสำหรับในการแก่เต็มกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็ต่างกัน
 ผลบุ[/b](อย่างงมากกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก ผสมพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายเหมือนผลกล้วย ผล ของบุกจำนวนมากจะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าเมล็ดภายในแตกต่าง พบว่าโดยมากมีเมล็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางชนิดก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]
[/b]
บุกกับการนำมาทำอาหาร
เป็นพืชอาหารพื้นบ้านซึ่งคนไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่นทางภาคอีสาน มีการทำของหวานที่เรียกว่าขนมบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคทิศตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วนำมานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยเฉพาะชาวเขา มักนำมา ปิ้งรับประทาน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งแล้วหลังจากนั้นก็ให้นำไปทำเป็นของหวาน
*บุกมีหลายอย่างหลายพันธุ์ อาจขมและก็เป็นพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งๆที่ก้านใบและหัว ซึ่งอาจทำให้คัน ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องต้มเสียก่อน ไม่เช่นนั้นกินเข้าไปทำให้คันปากรวมทั้งลิ้นพอง
อาหารที่แปรรูปมาจากบุก
ปัจจุบันมีการนำบุกมาดัดแปลง ทั้งยังในลักษณะของเส้นบุก ซึ่งคือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถเอามาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าใครกันแน่เคยไปกินเนื้อย่างคงเคยเจอบ้าง นอกเหนือจากเส้นบุกแล้วมีการเอามาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบฮิตๆสมัยเก่าเป็นเจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (ผู้ครอบครองบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยครับ)
สรรพคุณของบุก
จากการศึกษาพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ประเภทหมายถึงดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) แล้วก็ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายย่อยสลายได้ยาก ซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานรวมทั้งสารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินงานดี คนที่ต้องการลดน้ำหนักนิยมรับประทานอาหารจากแป้งบุก ยกตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เพราะเหตุว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
นอกจากนั้นเองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เนื่องจากความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส โดยเหตุนี้ กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดิบได้ดีมาก ปัจจุบันจึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนไข้เป็นโรคโรคเบาหวาน และสำหรับคนป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละขอรับเป็นประโยชน์จากบุก ลองหามาทานกันครับ มีสาระขนาดนี้ สมัยปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นนะครับ รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุรไพรบุก
11  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / น้ำมันนวดสามารถช่วยรักษาอาการปวดตามกล้ามเนื้อได้ดีอย่างไร เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2018, 12:11:33 pm
[/b]
น้ำมันนวดสมุนไพร
โรคนี้จะไม่สามารถที่จะหายไปได้เอง!
โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่อาจจะหายสนิทได้เอง ถึงแม้อาการที่แสดงออกมาจะร้ายแรงน้อยลงก็ตาม และก็ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นโรคเรื้อรังและก่อกำเนิดความลำบากตรากตรำสำหรับในการดำเนินชีวิตมากเพิ่มขึ้น
1.น้ำมันนวด จะเข้าไปช่วยกระตุ้นรูปแบบการทำงานของระบบประสาท ให้ทำงานก้าวหน้ามากขึ้น ลดอาการเคร่งเคลียดให้เราผ่อนคลายจากการความอ่อนเพลียรวมทั้งความอ่อนเพลียสะสม
2.การนวดน้ำมัน จะเข้าช่วยการกระตุ้นลักษณะการทำงานของโลหิต ให้ดำเนินงานเจริญมีคุณภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและก็สามารถหล่อเลี้ยงออกสิเจนรวมทั้งสารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างครบถ้วน คุ้มครองโรคต่างๆรวมทั้งลดระดับความดันเลือดได้ดิบได้ดีด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมบำรุงและฟื้นฟูระบบกล้าม ข้อต่อต่างๆภายในร่างกายให้ปฏิบัติงานก้าวหน้ารวมทั้งมีประสิทธิภาพเยอะขึ้นเรื่อยๆ
4.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดพิษ ในร่างกายแล้วก็ภาวะผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนเปียกชื้น ดูผุดผ่องและก็ชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ
5.น้ำมันนวดช่วยในประเด็นการนอนหลับให้ดีมากยิ่งกว่าเดิม ผ่อนคลายสมองแล้วก็ร่างกายต่างๆมีผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดีกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้อย่างดีเยี่ยม
นอกเหนือจากนี้การนวดน้ำมันยังมีคุณประโยชน์อีกหลายประเภทต่อสถาพทางร่างกาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นทางเลือกแก่แฟนสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม
ลดลักษณะของการปวดหัวไมเกรน
     สำหรับคนที่เคยทรมานจากอาการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยมาก แพทย์ก็ได้เสนอแนะให้ทดลองไปนวดบำบัดรักษาสุขภาพดูบ้าง เพราะจากผลการค้นคว้าของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า คนที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ จะสามารถบรรเทาอาการข้างเคียงของโรคไมเกรน แล้วก็นอนได้อย่างสนิทขึ้นด้วยจ้ะ
น้ำมันนวด สมารถเเก้อาการปวดหลัง เป็นอาการที่ทุกคนต้องเคยพบเจอ ซึ่งเพียงพอปวดหลังขึ้นมาทีไรพวกเราก็ต้องการจะเอนกายพัก หรือไม่ก็ไปนวดผ่อนคลายลักษณะของการปวดปวดเมื่อย ถึงแม้ว่าจริงแล้วอาการปวดข้างหลังอาจจะมิได้มีสาเหตุจากลักษณะของการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อเพียงเท่านั้น แต่ว่ายังอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆได้อีกเยอะแยะ ได้แก่ที่พวกเราจะพาทุกคนไปศึกษาสาเหตุของอาการปวดข้างหลังทางขวา ว่ามีสาเหตุจากอะไรแล้วก็อันตรายไหม เพื่อจะได้ทราบทันลักษณะของการเจ็บป่วยของร่างกาย
ปวดหลังขวาที่อยู่ข้างบน
          ลักษณะของการปวดข้างหลังข้างขวาด้านบน เป็นอาการปวดข้างหลังที่อยู่รอบๆตั้งแต่บริเวณข้างหลังไหล่ไปจนกระทั่งใต้สะบัก เกิดขึ้นได้จากหลายกรณีร่วมกัน โดยต้นสายปลายเหตุที่มักนำไปสู่ลักษณะของการปวดข้างหลังข้างบนขวา มีดังนี้
ปวดหลังข้างขวา


การนั่งดำเนินงานเป็นระยะเวลานานๆหรือชูของหนักไม่ถูกท่า


          น้ำมันนวดสามารถช่วยการชูของหนักหรือการนั่งดำเนินงานในท่าทางที่ไม่ถูกจำเป็นต้องติดต่อกันเป็นเวลานานๆก็เป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งอาการปวดกล้ามเนื้อรอบๆหลังส่วนบนทางด้านขวาได้  โดยบริเวณหลังส่วนบน เว้นแต่กล้ามเนื้อข้างหลังแล้ว ก็ยังเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อไหล่รวมทั้งกล้ามคอ ด้วยเหตุนั้นถ้ามีอาการปวดหลังด้านขวาบนจากการใช้งานหนักก็มักจะมีลักษณะอาการปวดคอแล้วก็ไหล่ในด้านเดียวกันร่วมด้วย รู้แบบนี้แล้วถ้าหากใครที่ยังนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆก็ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ้างนะคะ รวมทั้งควรจะนั่งให้ถูกท่าด้วย โดยท่านั่งดำเนินงานที่ถูกต้องก็คือควรให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาค่ะ


ความผิดแปลกของกระดูกรวมทั้งข้อ


          ม้ำมันนวดกระดูกบริเวณหลังส่วนบนนั้นประกอบไปด้วยกระดูกไหปลาร้า กระดูกไหล่ กระดูกสันหลัง และกระดูกต้นแขน ซึ่งถ้าเกิดเกิดความผิดปกติกับกระดูกกลุ่มนี้ก็อาจจะก่อให้รอบๆหลังขวาที่อยู่ข้างบนกำเนิดลักษณะของการปวดได้ โดยต้นสายปลายเหตุที่ทำให้กระดูกเปลี่ยนไปจากปกติก็ได้แก่ การเกิดอุบัติเหตุ หรือข้อต่อของกระดูกที่ข้างหลังส่วนบนขวาเกิดการอักเสบ นอกเหนือจากนี้ภาวการณ์กระดูกพรุนก็สามารถนำไปสู่อาการปวดที่กระดูกบริเวณด้านขวาที่อยู่ข้างบนได้ เวลาที่คนไข้โรคมะเร็งบางประเภทในระยะแพร่ขยาย อย่างโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งที่ต่อมไทรอยด์ และโรคมะเร็งไต ก็จะมีลักษณะปวดกระดูกบริเวณข้างหลังส่วนบนเช่นเดียวกัน


ความไม่ปกติของอวัยวะภายใน


          ลักษณะของการปวดข้างหลังส่วนบนขวาไม่ได้เป็นผลมาจากกล้ามเนื้อและกระดูกรอบๆหลังส่วนบนเท่านั้น แต่ยังอาจเกิดจากลักษณะการเจ็บเจ็บไข้ของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้ อาทิเช่น โรคตับ นิ่วในไตรวมทั้งในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น โรคในถุงน้ำดี หรือแม้แต่อาการติดเชื้อในไต หรืออาจจะเกิดจากอาการไส้ติ่งอักเสบที่ทำให้ปวดลุกลามขึ้นรอบๆหลังทางด้านขวาก็ได้ ส่วนคุณผู้หญิง หากมีลักษณะปวดที่ข้างหลังส่วนบนขวา นั่นอาจเป็นสัญญาณของซีสต์ในรังไข่ การต่อว่าดเชื้อของท่อรังไข่ หรือการมีท้องนอกมดลูกที่รอบๆท่อรังไข่ได้อีกด้วยค่ะ


โรคที่เกี่ยวกับปอด


          [url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3http://www.chiangdaoherb.com/product/19/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันนวด[/url] ปอดเป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนบนของร่างกายซึ่งตรงกับข้างหลังส่วนบนพอดิบพอดี โดยเหตุนี้เมื่อปอดมีความผิดปกติก็สามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังส่วนบนได้ โดยอาการที่จะก่อกำเนิดอาการปวดข้างหลังด้านบนขวาก็อาทิเช่น โรคปอดบวม โรคมะเร็ง อาการติดเชื้อโรคของเยื่อห่อปอดหรือช่องอก นอกเหนือจากนี้อาการน้ำหลากปอด หรือแม้แต่หัวใจล้มเหลว ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการเกิดอาการปวดหลังขวาที่อยู่ข้างบนได้ ฉะนั้นถ้าเกิดมีลักษณะอาการปวดที่ข้างหลังด้านบนขวาแบบเรื้อรังและก็ร้ายแรง ควรรีบไปพบหมอให้เร็วที่สุดจ้ะ

Tags : น้ำมันนวดสมุนไพร
12  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2018, 06:45:24 pm
[/b]
เพก[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (วัวราช,เลย,ภาคอีสาน) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุเอ็ง ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
ตระกูล             Bignoniaceae
บ้านเกิดเมืองนอน เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งเจอในอินเดียแล้วก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารเจอได้หลายประเทศ อาทิเช่น ประเทศอินเดีย เมียนมาร์ ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย รวมทั้ง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะเจอเพกาตามป่าเบญจพรรณ รวมทั้งป่าชื้นทั่วๆไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถเจอเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ดีสำหรับเพื่อการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนไทยแค่นั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่พบข้อมูลสำหรับการเอามาบริโภคเป็นของกินอะไร
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลางและก็เป็นไม้ กึ่งผลัดใบหรือเปล่าผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราว 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่ตรงกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกลุ่มตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระเกะระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม รวมทั้งแผลของใบยาวถึง 150 ซม. มีต้นเหตุจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้นแล้วก็กิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายอยู่ทั่วๆไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดร่วงของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่ปนวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆข้างล่าง ท้องใบนวล ก้านใบบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกึ่งกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบข้างล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดเป็นรูปสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานแล้วก็ที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกลุ่ม มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 ซม. กลีบดอกไม้สีนวลแกมเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงภายนอก หลอดกลีบยาว 2-4 เซนติเมตร รูปแตร กลีบดอกไม้ครึ้ม ขอบร่น ไม่มีพู หรือพูแตกต่างกัน มีต่อมกระจายอยู่ภายนอก ภายในมีขนหนาแน่น ดอกบานตอนค่ำ มีกลิ่นสาบฉุน และก็หล่นช่วงเช้า ชอบมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ชิดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างเด่นชัด เมื่อได้ผล กลีบเลี้ยงนี้จะรุ่งโรจน์เป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งบางส่วนที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ เหมือนรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 ซม. ยาว 30-120 ซม. สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปกระบี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ด้าน เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 เซนติเมตร มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยทำให้เม็ดลอยละล่องตามแรงลมให้ตกห่างต้นเพื่อเพาะพันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถเพาะพันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด  โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เพราะว่าภายหลังฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ตอนหนึ่ง หากนำเม็ดมาเพาะในช่วงหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ดังนั้น ก็เลยทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อให้ย้ายต้นลงปลูกเอาไว้ภายในแปลงได้สบาย โดยนำเมล็ดออกจากฝัก รวมทั้งตากแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อไปค่อยนำมาเพาะ  สำหรับวัสดุเพาะ ควรใช้ดินผสมกับวัสดุอินทรีย์ เป็นต้นว่า ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก แล้วก็แกลบดำ แม้กระนั้นแม้ไม่สบายให้ใช้เพียงแต่ปุ๋ยมูลสัตว์สิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนบรรจุลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเมล็ดลงกลบ และก็รดน้ำให้เปียกแฉะ พร้อมกับดูแลด้วยการรดน้ำบ่อยๆทุกวัน ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้ง จวบจนกระทั่งต้นจะผลิออก รวมทั้งแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกในแปลง  การปลูกเพกานิยมนำมาปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดโดยประมาณ 30 ซม. ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนจะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยหมักราว 3-5 กำ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 จับมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก
องค์ประกอบทางเคมี
ในฝักพบสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดเจอสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเม็ดเจอสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบพบสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นพบสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของด้วยเหตุว่านั้นมีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มก. วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมและวิตามินบี3 2.4 มิลลิกรัม  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มก. วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ผลดี/สรรพคุณ  ประโยชน์ของเพกานั้นส่วนมากนิยมเอามารับประทานเป็นของกิน ดังเช่น ฝักอ่อน อายุฝักราวๆ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักพื้นเมืองที่นิยมเอามากินด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก เมนูลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆทั้งนี้ การปิ้งไฟ นิยมปิ้งไฟจากเตาถ่าน แต่อาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และอ่อนตัวจนไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ จากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นกิน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ราษฎรนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ รวมทั้งเมนูลาบต่างๆรวมถึงนำมาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ดังนี้ ใบอ่อน และยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานมากสักเท่าไรนัก เนื่องจากว่าจำเป็นจะต้องให้ยอดเติบโต รวมทั้งติด ดอกบานนิยมนำมาลวกเท่านั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม รวมทั้งให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และก็ยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด แล้วก็ชอบใช้สำหรับกินคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้คุณประโยชน์อื่นๆนั้น เป็นต้นว่า แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ทั้งนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ในรูปไม้สด ด้วยเหตุว่าแก่นไม้สดค่อนข้างจะแห้งอยู่แล้ว แล้วก็เผาในรูปขอนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายดายกว่า แม้กระนั้นปัจจุบัน ไม่ค่อยนิยมแล้ว เนื่องจากว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น และก็หันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง แล้วก็ส่งออกต่างชาติเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ ยิ่งไปกว่านี้ชาวเขายังคงใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกนั้นเพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังต่อไปนี้  ตำรายาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำ แก้ไอและขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสลด เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน หิวน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในหิวน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำกินแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และก็ขมน้อย เป็นยารักษาแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงเลือด แก้เสลดจุกคอ ขับเสมหะ แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมน้อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยอาหาร เจริญอาหาร   แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาอีกทั้ง 5    คือการใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณสมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด
[url=http://www.disthai.com/16941195/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B2]
[/b]
แบบอย่าง/ขนาดการใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำ แล้วก็ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทารอบๆฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับสุรา     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กรูปแบบเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นเรียกตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟมิได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือสินเธาว์    รับประทานขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้คลื่นไส้ไม่หยุด    รับประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสมหะ) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
นอกจากนั้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบมัน รากหญ้าติดอยู่ รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำกินครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ยามเช้าและก็เย็น  ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ และก็ขับเสมหะโดยใช้เมล็ดแก่เพกาโดยประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ด้านในหม้อที่เติมน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆกระทั่งเดือดราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว เช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น จวบจนกระทั่งอาการจะ  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย ต้นหญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันอย่างละเอียด แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด ใช้ขนไก่ชุบพิง นำมาทาลูกอัณฑะ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้บวมด้วย dextran และก็จะมีผลลดบวมเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน รวมทั้งฮีสตามีน แต่ว่าไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
           จากการเรียนรู้ฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยับยั้งสารในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบ คือ PGE2 รวมทั้ง NF-kB แล้วก็ยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการขัดขวางกรรมวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น แล้วก็รากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase แล้วก็พบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกาก็มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เช่นเดียวกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับในการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ  นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียและแก้ท้องร่วงสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น รวมทั้งรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์เป็นต้นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa รวมทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราCandida albicans แล้วก็เจอสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis และ S. aureus ได้เท่ากันกับยา streptomycin  สารสกัดเพกาต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC เท่ากับ 125 มิลลิกรัม/มล.) แต่มีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC เท่ากับ 15.13 มก./มิลลิลิตร) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และก็ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ และก็ใช้บรรเทาอาการท้องเสียที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง แล้วก็มีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกเหนือจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอุจจาระร่วง 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบ คือ Bacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และ แบคทีเรียที่แยกได้จากอาหาร ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดียิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และก็สารสกัดของสมุนไพรคนเดียวแต่ละชนิดที่เป็นองค์ประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้าม  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อทำทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine และก็ histamine
ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับเพื่อการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH รวมทั้งยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มล. ของสารทั้ง 2 ตามลำดับ
ฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง การศึกษาเล่าเรียนทดลองสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับการต้านเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยั้งเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดสอบกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กิโลกรัม มีกล่าวว่าส่งผลให้เกิดพิษ Dhar รวมทั้งแผนก ทำการทดสอบฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) เข้าท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose)หมายถึง100 มก./กิโลกรัม และก็ 1 กรัม/กิโลกรัม เป็นลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำทดสอบความเป็นพิษทันควันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าท้องแล้วก็กรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษฉับพลันในหนู และก็เมื่อทดสอบความเป็นพิษกะทันหันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้นเป็น400 และก็ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ก่อให้เกิดพิษฉับพลันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่นำมาซึ่งพิษเฉียบพลันได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กก. สำหรับความเป็นพิษครึ่งกระทันหันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 และ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว แต่ละวันเป็นเวลา 30 วัน  พบว่าไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษรุนแรงในหนู
และก็เมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/โล ครั้งเดียวให้หนูแรท พิจารณาการกระทำด้านใน 14 วัน ไม่เจอพิษแบบฉับพลันรวมทั้งความเปลี่ยนไปจากปกติของอวัยวะภายใน และเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 รวมทั้ง 4 กรัม/กิโล/วัน แก่สัตว์ทดลองติดต่อกันตรงเวลา 90 วันไม่เจอพิษแบบครึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความผิดปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และก็ทางชีวเคมี รวมทั้งความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และก็ยาเขียว (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดสอบความเป็นพิษแบบกะทันหันในสัตว์ทดสอบ
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยแนวทาง Ames’ test จากผลการทดสอบพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำงานทดลอง (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 แล้วก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะในการทำให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี และก็คณะ พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดลองโดยวิธี Ames’ test
การคาดการณ์ความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยแนวทาง somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถนำมาซึ่ง somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีปริมาณจุดบนปีกลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และก็มีรายงานว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาวะโอบล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดสอบการกลายพันธุ์ พบว่าสินค้าที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกินฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจก่อให้แท้งลูกได้
  • ต้องระวังสำหรับการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต่อต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ได้แก่ แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจก่อให้เกิดผลข้างๆได้ อาทิเช่น เกิดการระคายกระเพาะอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/[/b]
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ประสานงาน การพัฒนาการแพทย์และเภส
13  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ลดปัจจัยการเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยการทานสมุนไพรเห็ดหลินจือ เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2018, 09:34:24 am
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือมีผล
อย่างไรต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเหนื่อยที่จะรักษา ติดตามผลการศึกษายืนยันคุณประโยชน์ได้ในบทความนี้จ้ะ
บทความกลุ่มนี้อ้างอิงคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาเรียนรู้ยืนยันจากที่ต่างๆเพื่อสหายได้ตรึกตรองด้วยตัวเองว่ารักษาโรคเจริญขนาดไหนรวมทั้งน่าไว้ใจเท่าใด ถ้าหากเพื่อนๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าไรหรือไม่รู้เรื่อง บทความในเว็บไซต์นี้ผู้เขียนได้คัดรวมทั้งเก็บรวบรวมจากหลายที่และเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อนพ้องๆถูกใจเนื้อหานี้ก็จะเป็นอย่างยิ่งหัวใจให้ผู้เขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนพ้องอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่สหายๆจำเป็นต้องชอบ
ระบบภูมิคุ้มกันคือกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์ของโรคมะเร็ง แล้วก็สิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสุขภาพร่างกายเรานั้นเอง ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าเกิดสหายๆมีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่เจ็บไข้ง่าย หรือถ้าเจ็บป่วยก็จะรู้สึกตัวเร็ว แม้กระนั้นถ้าเกิดระบบภูมิต้านทานไม่ดีก็จะเจ็บป่วยบ่อยครั้งและก็เป็นหนักกว่าคนที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวนี้แล้วเพื่อนๆคงจะมองเห็นจุดสำคัญของการมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงกันแล้ว
ชาวจีนโบราณใช้สมุนไพร เห็ดหลินจือมายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าทำไมคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงแก่ยืนรวมทั้งแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ในช่วงเวลานี้เราสมารถยนต์พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจื[/b]นั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเราได้จริง สารกรุ๊ปดังที่กล่าวมาแล้วสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin และก็ Immuoglodulin ซึ่งทำให้ระบบภูเขามคุ้มกันดีและก็แข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิต้านทานที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ใน[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
จะสามารถต้านทานวรัส เซลล์ของมะเร็ง รวมทั้งจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดิบได้ดีขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังช่วยทำให้ถูกผลกระทบที่โดนยาต้านทานโรคมะเร็งบางตัวรวมทั้งแนวทางการทำคีโมกดภูมิคุ้มกันให้มีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันอีก รวมทั้งเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นกรุ๊ป Bitter Triterpenoids
นักค้นคว้าได้ศึกษาค้นพบสารหลายชนิดในสมุนไพร เห็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid และก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 จำพวกที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตได้แล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันตันเส้นเลือดได้โดยตรงอีกด้วย นอกนั้นยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด และช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ญี่ปุ่นทดลองให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับคนที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย แล้วก็กระทำการเก็บผลของการทดสอบภายหลังผ่านไป 3 เดือน พบว่าวัวเรสเตอรอลของคนรับการทดสอบลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยจากทั้งโลก รวมทั้งยังพบว่าเห็ดหลินจือ นอกจากช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังส่งผลให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
ด้วยเหตุนั้น จึงอาจจะกล่าวว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณสมบัติแล้วก็ประโยช์จาเห็ดหลินจือ[/url]ยังคงมีจำกัด บาง งานค้นคว้าเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแค่การทดสอบในผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินการทดสอบต่อไป เพื่อได้ได้ผลลัพ์ที่แจ่มชัด และก็เป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลและรักษาคนป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต และก็การเจ็บป่วยในระบบทางเท้าฉี่
มีกรรมวิธีทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพร เห็ดหลินจือทดลองในคนเจ็บเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการปัสสาวะติดขัด ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลที่ได้เป็น ผู้ป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดีขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับเพื่อการวัดปัญหาในระบบฟุตบาทปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบปัญหา แต่กลับไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ การทดลองดังที่กล่าวมาข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่เด่นชัดพอเพียง จำเป็นที่จะต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่กระจ่างแจ้งสำหรับเพื่อการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพใดๆที่เกี่ยวข้อง
[/b]
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดลองทางด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนเจ็บเบาหวานจำพวก 2 ร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะช่วยเหลือผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับเพื่อการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานค้นคว้าเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้เจ็บป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเดิน หรือท้องผูก
สมุนไพร ด้วยเหตุดังกล่าวควรต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงคุณภาพของเห็ดหลินจือสำหรับการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อคุ้มครองและการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจถัดไป และก็ให้ได้เรื่องกระจ่างแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นคุณประโยชน์ต่อกระบวนการรักษาคุ้มครองโรคเส้นเลือดหัวใจรวมทั้งอาการต่างๆที่เกี่ยวถัดไปในอนาคต
14  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สัตววัตถุ ปลาพะยูน เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 07:20:28 pm

ปลาพะยู[/b]
ปลาพะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อาศัยอยู่ในน้ำไม่ใช่ปลาจริงๆแม้กระนั้นเหตุเพราะอยู่ในน้ำแล้วก็มีรูปร่างเหมือนปลาชาวไทยก็เลยเรียกรวมเป็น”ปลา”
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon(MuBer)
จัดอยู่ในวงศ์ Dugongidae
ชื่อสามัญว่า dugong sea
บางถิ่นเรียกว่า พะยูน โคสมุทรหรือหมูสมุทรก็เรียก มีลำตัวเปรียว ขนาดตัววัดจากหัวถึงโคนหาง ยาว ๒.๒๐ -๓.๕๐ เมตรหางยาว ๗๕.๘๕ เซนติเมตรตัวโตเต็มกำลังหนัก ๒๘๐ ถึง ๓๘๐ กิโลกรัมรูปกระสวยหางแยกเป็น๒แฉกขนานกับพื้นในแนวราบไม่มีครีบหลังจากอยู่ตอนล่างของส่วนแม่ริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อครึ้มลักษณะเป็นเหลี่ยมคล้ายจมูกหมูเมื่ออายุน้อยลำตัวมีสีออกขาวแม้กระนั้นกลายเป็นสีเทาอมน้ำตาลเมื่อโตเต็มวัย เหมือนเคยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงหลายๆฝูงหากินรวมกันเป็นฝูงใหญ่กินพืชประเภทต้นหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่งเป็นของกินโตเต็มกำลังพร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๑๒-๑๓ปีตั้งครรภ์นาน๑ปีออกลูก ทีละ ๑ ตัว เคยพบบ่อยตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทยแต่เดี๋ยวนี้เป็นสัตว์หายากและใกล้สิ้นพันธุ์ยังเจอในอ่าวไทยที่จังหวัดระยองจังหวัดชลบุรีตราดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชายฝั่งทะเลอันดามันแถบจังหวัดภูเก็ต พังงากระบี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจอซุกซุมที่สุดรอบๆอุทยานแห่งชาติหาดทรายเจ้าไหม-เกาะลิบงจังหวัดตรังในต่างแดนเจอได้ตั้งแต่รอบๆชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออกของทวีปแอฟริกาสมุทรแดงตลอดแนวริมฝั่งของมหาสมุทรอินเดียไปจนถึง ถึงประเทศฟิลิปปินส์เกาะไต้หวันถึงภาคเหนือของทวีปออสเตรเลีย

[url=http://www.disthai.com/]ประโยชน์ทางย[/size][/b]
หมอแผนไทยใช้เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งแม้กระนั้นเพื่ออนุรักษ์สัตว์ประเภทนี้ซึ่งหายากมากมายแล้วจึงไม่สมควรใช้ยานี้อีกต่อไป เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในพิกัดยาไทยที่เรียกว่า”นวขี้ยว” หรือ”เนาวเขี้ยว” ตัวอย่างเช่นเขี้ยวหมูเขี้ยวหมีเขี้ยวเสือ เขี้ยว[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89/]ไอ้เข[/color]เขี้ยวเลียงเขาหิน และงาช้าง (ดูคู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม ๑น้ำกระสายยา)
15  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรอำพัน หมายถึงอะไร เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 09:51:40 am

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรอำพั
อำพันเป็นซันแข็งที่ได้จากซากดึกดำบรรพ์ของสนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์
อันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า  Pinus  succinifera Conw.
ในวงศ์Pinaceae

มีชื่อสามัญว่า  amber
มีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า electron (เพราะเหตุว่าเมื่อเอาอำพันมาถูกับไหมจะได้ไฟฟ้าสถิต) อันเป็นสาเหตุของคำว่า  electricity  ในภาษาอังกฤษ ที่มีความหมายว่ากระแสไฟฟ้าแพทย์แผนไทยใช้อำพันปรุงเป็นยาแก้โรคนอนไม่หลับ  วุ่นวายใจ  ขี้หลงขี้ลืม ควรมายากลนี  ๑  พิกุล  ๑  สาระภี  ๑  มะลิ  ๑  สัตบุศย์  ๑  สัตตบขี้งก ๑  กรุงเขมา  ๑  อำพันทองคำ  ๑  ชะมดเช็ด  ๑  [url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/08/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99/]พิมเส[/b]  ๑  ยาดังนี้เอาส่วนเสมอกัน  บดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำดอกไม้ เมื่อจะรับประทานให้แชกน้ำตาลกรวดแก้พิษกลุ้มในอกในทรวงให้สวิงสวายให้หิวโหยหากำลังมิได้กินหายแล
หน้า: [1] 2 3 4
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย