กระทู้ล่าสุดของ: ณเดช2499

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 6
16  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรใบบัวบกมีสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อ: สิงหาคม 20, 2018, 03:52:44 pm
[/b]
บัวบ[/size][/b]
ใบ[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]บัวบก
เป็นพืชสมุนไพรที่เราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักท้องถิ่น นิยมนำมากินกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบสดๆแล้วก็ยังนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับหิว แก้บอบช้ำใน แล้วก็เพื่อช่วยทำนุบำรุงร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบเอเชียพวกเรานี้เอง ด้วยคุณค่าที่หลากหลาย จึงทำให้มันเป็นอีกทั้งยารักษาโรครวมทั้งตัวดูแลสุขภาพ ในปัจจุบันเริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบบัวบกนำมาใช้สำหรับในการรักษาในรูปของยาแคปซูล รวมทั้งบัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในวงศ์ Umbelliferae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อเขตแดนถูกเรียกในชื่อที่นานัปการ เช่น ผักแว่น ผักหนอก รวมทั้งกะโต่ เป็นต้น  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีกอติดอยู่กับพื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่กิ่งก้านไปตามพื้นดินในแนวยาว มีอายุยืนยาวได้นานนับเป็นเวลาหลายปี การแตกรากและใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบลำพัง มีรูปร่างราวกับไต จะออกเป็นกลุ่มตามข้อ ขอบใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงคละเคล้าแดง ผลแบน ออกเป็นดอกคนเดียวหรือช่อขนาดเล็กโดยประมาณ 3-4 ดอก มีเอกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่น รวมทั้งรสชาติที่ขมผสมหวาน
ประโยชน์ของใบบัวบักที่นิยมเอามารับประทาน
เราอาจเคยชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้ช้ำในเป็นหลัก แต่จริงๆแล้วสมุนไพรชนิดนี้มีสาระในการรักษาอีกนานัปการ ไม่ว่าจะเป็น การดูแลรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องร่วง รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยบำรุงรักษาสมอง และก็ช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การรับประทานใบบัวบกแบบสดๆจะก่อให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายประเภท ที่มักพบเป็น "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปกีดกั้นการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมโทรมสภาพของเซลล์รวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย มีส่วนช่วยรีบการผลิตคอลลาเจนที่ผิว กระดูก และเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าพบกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
คุณประโยชน์ของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานเป็นต้นดิบๆหรือเอามาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีคุณประโยชน์ทางยาที่ไม่แตกต่างกัน
เหตุเพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดระดู จำต้องใช้สมองสำหรับในการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำได้ดิบได้ดี ช่วยลดความตึงเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการฟกช้ำดำเขียวและร่องรอยไม่ดีเหมือนปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกเหนือจากนี้คนที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น รวมทั้งลดการติดเชื้อได้
คุณประโยชน์ของบัวบกกับผลที่เกิดจากการวิจัย
การค้นคว้าได้พูดถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์เด่นในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองสำหรับเพื่อการจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น และช่วยวิวัฒนาการศึกษาทางสมอง รวมทั้งด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ทำให้มันกลายเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดสอบในลูกหนู พบว่ามีความจำรวมทั้งการเล่าเรียนที่ดียิ่งขึ้น ส่วนในคน มีการทดสอบในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มก. ติดต่อกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ามีความรู้ความเข้าใจสำหรับการทำความเข้าใจที่ดียิ่งกว่า ส่วนในคนสูงอายุให้ทดสอบรับประทานสารสกัดบัวบก 750 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกัน 2 เดือน พบว่า ทั้งยังความจำและการเรียนรู้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังยังช่วยลดอารมณ์ปรวนแปร ทำให้ผู้สูงอายุมียิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้กระทำการทดสอบกับเพศหญิงอายุราวๆ 33 ปี รับประทานสารสกัดบัวบก 500 มก. วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความเคร่งเครียด ความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และก็สภาวะซึมเศร้าลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ พบแนวทางการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยทำให้การหายใจระดับเซลล์ข้างในสมองทำงานก้าวหน้าขึ้น มีสารต้านทานอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท แล้วก็ต่อต้านการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบ[/b]สามารถประยุกต์ใช้เป็นยาได้นานาประการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เม็ด หรือใบ ซึ่งได้รับความนิยมนำมาใช้สูงที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรที่จะทำการเลือกใบที่โตเต็มที่รวมทั้งบริบูรณ์ ประยุกต์ใช้ตากแห้งป่นเป็นผงใส่ลงในแคปซูลประมาณ 500 มิลลิกรัม รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำอย่างรอบคอบแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจะกว่าจะเข้ากันต่อจากนั้นกรองให้เหลือแค่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มทีละ 1 แก้ว ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อ ประมาณ 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในแล้วก็แก้ช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นผู้เจ็บป่วยโรคความดันเลือดสูง ให้สามารถกินน้ำใบบัวบกทุกเมื่อเชื่อวัน ติดต่อกันประมาณ 7 วัน จะช่วยลดระดับความดันให้อยู่ในระดับปกติ
เมล็ดของบัวบกที่มีรสขมแล้วก็เย็น นิยมนำมาใช้แก้ไข้ ลดลักษณะของการปวดหัว แล้วก็แก้บิด
[url=http://www.disthai.com/16913509/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81]
[/b]
ข้อควรพิจารณาในการใช้ใบบัวบก
ก่อนกินใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องตรวจดูสุขภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนก่อนว่าพื้นฐานแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีความเสี่ยงหรือเปล่า เพราะสารบางจำพวกในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้ลักษณะของโรคกำเริบเสิบสานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้
เพราะว่บัวบก[/url]เป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การรับประทานมากเกินไปจะทำให้สะสมภายในร่างกายกระทั่งรู้สึกหนาวเยอะขึ้นได้
เลี่ยงการกินใบบัวบกติดต่อกันทุกวี่ทุกวัน หรือรับประทานทีละมากมายๆเมื่อรับประทานต่อเนื่องกันโดยประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรจะหยุดพัก 1 อาทิตย์ แล้วค่อยกลับมารับประทานใหม่
สำหรับคนที่รับประทานใบบัวบกใหม่ๆต่อเนื่องกันวันแล้ววันเล่า ควรกินในสัดส่วนราวๆวันละ 3-6 ใบ ไม่ควรเกินความจำเป็นกว่านี้
หากร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย เวียนหัว ใจสั่น หรือหัวใจเต้นผิดปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องเดิน ภายหลังจากการกิน ควรหยุดกินทันทีและรีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
ในกลุ่มของผู้คนที่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่ควรรับประทานใบบัวบก เนื่องจากจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ใบบัวบกเป็นพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วๆไปตามตลาด มีราคาถูก แต่ว่ามากด้วยคุณประโยชน์ทางยา ที่จะเป็นช่องทางในการรักษาโรคต่างๆรวมทั้งใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรบัวบก
17  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณ-เเละประโยชน์ที่น่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 20, 2018, 08:37:04 am
[/b]
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ[/size][/b]
ชื่อสกุล : ACANTHACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acanthus ebracteatus Vahl
ชื่อพ้อง : Acanthus ilicfolius L. ; Acanthus ilicfolius L. var intergrifolia T.Anderson
ชื่อสามัญ : Sea holly
ชื่อพื้นเมืองอื่น : แก้มแพทย์, แก้มหมอเล (กระบี่) ; จะเกร็ง, นางเกร็ง, เหงือกปลาหมอ, เหงือกปลาหมอน้ำเงิน (ทั่วๆไป) ; อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก (US) สูงราวๆ 30-100 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นเป็นข้อ แข็ง และมีหนามอ่อนๆตามข้อๆละ 4 หนาม
ใบ เป็นใบลำพัง ออกตรงกันข้ามกันเป็นคู่ๆสีเขียวเข้ม ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขอบของใบเว้าหรือเรียบ แล้วก็มีหนามแหลม ปลายใบแหลม มีก้านใบสั่นๆ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกเป็นช่อตั้งชันที่ยอด ช่อดอกยาว กลีบรองกลีบดอกไม้ มี 4 กลีบ แยกจากกันสีเขียวอ่อน กลีบดอกสีขาว สีขาวขริบฟ้า หรือสีฟ้าอมม่วง แยกเป็น 2 ทาง กลีบบนยาวเท่ากับกลีบรองกลีบดอกไม้ แต่กลีบข้างล่างแผ่กว้างและโค้งลง ปลายกลีบหยักเว้าเป็น 3 หยักตื้นๆ
ผล เป็นฝักสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน มีเม็ดด้านใน 4 เมล็ด
นิเวศวิทยา
เป็นไม้ที่โล่งแจ้ง มีอยู่ทั่วไปในป่าชายเลน ดังที่ลุ่มริมน้ำคลอง ส่วนมากชอบขึ้นในที่น้ำกร่อย บางทีก็เจอในน้ำจืดบ้างแบบเดียวกัน
การปลูกแล้วก็แพร่พันธุ์
เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ความชุ่มชื้นปานกลาง แพร่พันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ประโยชน์ทางยา
รสรวมทั้งคุณประโยชน์ในตำราเรียนยา
ต้น รสเค็มกร่อย แก้อาการผื่นผื่นคัน
ใบ รสเค็มกร่อย รักษาโรคปวดบวมและแผลอักเสบ แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ท้องอืดท้องเฟ้อ แพทย์แผนไทยตามชนบทใช้ทั้งยัง 5 เป็นยาแก้ไข้หัว พิษฝี พิษกาฬได้ดิบได้ดี แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ปรุงกับฟ้าทลายโจรรมหัวริดสีดวงทวาร ตำใบผสมกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาแก้อาการตาเจ็บหรือตาแดง
ผล รสเค็มกร่อย ใช้เป็นยาขับเลือดอย่างแรง และแก้ฝีซาง ฝีตาน
ในประเทศอินเดีย ใช้ยอดและใบอ่อนตำผสมน้ำน้อยปิดแผลที่ถูกงูกัด อีกทั้งต้นใช้รักษาแก้โรคที่เกี่ยวกับหลอดลมแล้วก็แก้ไอ รวมทั้งนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยารักษาธาตุพิการ
ในประเทศสิงคโปร์ ใช้เม็ดเป็นยาแก้ไอ โดยต้มเมล็ดกับดอกมะเฟืองหรือดอกตะลิงปลิง แล้วเติมเปลือกอบเชย และก็น้ำตาลกรวด จิบแก้ไอ เม็ดบดเป็นผงใช้พอกแก้ฝี หรือนำไปคั่วแล้วป่นละลายน้ำดื่มแก้ฝี ฝักต้มกินเป็นยาขับเลือด และก็แก้ฝี รากต้มเป็นยาดื่มแก้โรคงูสวัด
แนวทางและจำนวนที่ใช้
รักษาโรคผิวหนัง แผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย โดยใช้ต้นรวมทั้งใบสด 3-4 กำมือ ล้างให้สะอาด สับเป็นชิ้นนำไปต้มน้ำ แล้วก็ใช้น้ำอาบ เช้า-เย็น ตรงเวลา 1 อาทิตย์
ข้อควรทราบ
เหงือกปลาหมอมีอยู่ร่วมกัน 2 จำพวก คือ
เหงือกปลาหมอ Acanthus ilifolius L. หรือ Acanthus ilifolius L. var intergrifolia T.Anderson ลักษณะจะมีดอกสีฟ้าอมม่วง มีประสีเหลืองตรงกลางกลีบ มีใบเสริมแต่งสีเขียวอีก 2 กลีบ รองรับดอกอยู่เป็นประจำไป
เหงือกปลาหมอ Acanthus ebracteatus Vahl ลักษณะจะมีดอกสีขาวค่อนข้างเล็ก มีใบแต่งแต้มรองรับช่อดอก แต่หล่นหลุดไปก่อน
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าถ้ากินติดต่อกัน 1 เดือน จะก่อให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 จำพวก หูดี / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่เคยรู้เมื่อยล้า / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงไพเราะ / 9 เดือน หนังเหนียว (อีกทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงรักษาประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุแตกต่างจากปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยทำให้เลือดลมปกติ (ต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยให้เจริญอาหาร (ทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผ่ายผอมเหลืองตลอดตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผงกินวันแล้ววันเล่า (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนตลอดตัว เจ็บระบบหมดทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนหัว หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอและก็เปลือกมะรุมอย่างละเสมอกัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำเดือดกระทั่งงวดแล้วชูลง เมื่อเสร็จให้กลั้นหายใจรับประทานขณะอุ่นๆจนถึงหมด อาการก็จะดีขึ้น (ทั้งยังต้น)
ช่วยยับยั้งมะเร็ง ต่อต้านโรคมะเร็ง (ต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งยังต้นแล้วก็ข้าวเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ในสัดส่วนที่เสมอกัน นำมาต้มกับน้ำกระทั่งเดือดแล้วเอามาดื่มในขณะอุ่นๆทีละ 1 แก้ว ยามเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น อาการจะดียิ่งขึ้น (ทั้งยังต้น)
รักษาปอดบวม ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยแก้ลักษณะของการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้แล้วก็ทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เม็ดเอามาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน (ราก, เม็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้อาการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอต้นนำมาตำผสมกับขิง คั้นมัวแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ต้นและรากนำมาต้มอาบแก้อาการ (ต้น)
แก้อาการไอ เม็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เม็ด)
ช่วยขับเสมหะ (ราก)
หากเป็นลมเป็นแล้ง ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำอย่างถี่ถ้วนเป็นผุยผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นและพริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (อีกทั้งต้น)
ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับเยี่ยว ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดระดูขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบรวมทั้งต้นนำมาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้เมนส์มาไม่ปกติของสตรี ด้วยการใช้ทั้งยังต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ทั้งยังต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการกางใบเอามาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)

ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เม็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนรวมทั้งพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เมล็ด, ผล, อีกทั้งต้น)
ช่วยฟอกเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้ทั้งต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (อีกทั้งต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
สำหรับผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าใช้ต้นมาต้มอาบและทำเป็นยากินต่อเนื่องกันราวๆ 3 เดือนจะช่วยทำให้อาการของแผลพุพองทุเลาลงอย่างแจ่มแจ้ง (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประป่าดง รักษากลากเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคเรื้อน โรคกุฏฐัง ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเอามาตำเอาแต่น้ำกิน (ต้น)
ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดแล้วก็ใบสดล้างสะอาดโดยประมาณ 3-4 กำมือ นำมาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)
รากสดนำมาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง โรคฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภทอีกทั้งข้างในข้างนอก ด้วยการใช้ต้นและก็ใบทั้งยังสดและแห้งราว 1 กำมือ นำมาบดอย่างละเอียด แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือวิธีลำดับที่สองจะเอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งเอาไว้ 10 นาที แล้วนำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราวๆ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เม็ดนำมาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วป่นอย่างระมัดระวัง ชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เม็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เมล็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน คุณประโยชน์ช่วยทำลายพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดนำมาตำอย่างระมัดระวัง สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกทั้งตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ต้น ถ้าหากประยุกต์ใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะการเจ็บข้างหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทาน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงแก้ไขข้ออักเสบแล้วก็แก้อาการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยทำนุบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วศีรษะ จะช่วยทำนุบำรุงรากผมได้ (ใบ) http://www.disthai.com/[/b]
18  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรรากสามสิบมีประโยชน์เเละสรรพคุณที่น่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 16, 2018, 08:50:05 am
[/b]
รากสามสิ[/size][/b]
[url=http://www.disthai.com/16660416/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2]รากสามสิบ
คุณประโยชน์สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพที่คนอยากมีลูกห้ามพลาด[/size][/b]
          รากสามสิบ สรรพคุณเด่นๆของสมุนไพรตัวนี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ซึ่งหลายๆคนบางทีอาจเคยเห็นสมุนไพรรากสามสิบแบบแคปซูลกันมาบ้าง แล้วรู้ไหมขาว่า ประโยชน์ของรากสามสิบ สมุนไพรตัวเด็ดนี้มิได้มีดีแค่ช่วยคนต้องการมีลูกเท่านั้น
รากสามสิบ สมุนไพรนี้มีที่มา
          รากสามสิบตามที่เป็นจริงแล้วถูกเรียกหลายชื่อมากๆดังเช่นว่า สาวร้อยสามี จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ) ผักชีช้าง ผักหนาม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สามร้อยราก สามสิบ ชีช้าง จั่นดิน หรือม้าสามต๋อน มีชื่อสามัญว่า Shatavari
          ส่วนลักษณะต้นรากสามสิบเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง มีหนามแหลม มีเหง้าแล้วก็รากใต้ดินเหมือนรากของต้นกระชาย ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว แยกเป็นช่อ มีกลิ่นหอมหวน ฯลฯที่มีผลสดลักษณะกลม ผิวเรียบมัน และก็มีเมล็ดสีดำ
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี
สรรพคุณรากสามสิบ
          รากสามสิบถูกเปรียบเทียบให้เป็นพลังแห่งการปฏิสังขรณ์ความสาว (Female Rejuvenation) เป็นยาโบราณที่หมอแผนโบราณและแพทย์สมุนไพรใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรีมาตั้งแต่อดีตกาล ซึ่งก็นับเป็นสาเหตุของชื่อสาวร้อยสามี ชื่อเล่นอีกชื่อของรากสามสิบนั่นเอง โดยคนรุ่นเก่าชอบนำรากมาต้มกินหรือปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง ซึ่งบอกต่อๆกันว่า จะช่วยบำรุงสตรีให้ไมว่าจะอายุเยอะแค่ไหนก็มีลูกได้ง่าย
          นอกเหนือจากนี้สมุนไพรรากสามสิบยังผ่านการวิจัยสรรพคุณมาจำนวนมาก โดยพบว่า รากสามสิบมีคุณประโยชน์ทางเภสัชวิทยาตามนี้ประจำตัวอยู่ด้วย
          - ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
          - คลายกล้ามมดลูก
          - บำรุงหัวใจ
          - ลดการอักเสบ
          - แก้ปวด
          - ยับยั้งโรคเบาหวาน
          - ปราบเซลล์ของโรคมะเร็ง
          - กระตุ้นภูมิต้านทาน
รากสามสิบ
          - ต้านทานภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
          - ลดระดับไขมันเลือด
          - ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
          - ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นจากความดันโลหิตสูง
          - มีฤทธิ์ใกล้เคียงฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนผู้หญิง)
          - ช่วยสร้างสมดุลฮอร์โมนผู้หญิง
          - ขับน้ำนม
          - ช่วยให้การตกไข่สมบูรณ์
          - ช่วยทำนุบำรุงกำลังท่านชาย
          - เสริมความแข็งแรงของน้ำอสุจิอสุจิ
          - ยั้งการเกิดแผลในกระเพาะ
          - ลดอาการกรดเกินในกระเพาะ
          - ยั้งพิษต่อตับ
          - แก้ริดสีดวงทวาร
          - ขับลม
          - ขับฉี่
          - ขับเสมหะ
          - บำรุงทารกในท้อง
          - แก้ตกเลือด
          - รักษาโรคคอพอก
          - แก้เมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว
          - ฝนรากทาเป็นยาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้
          - กระตุ้นประสาท ชูกำลัง
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี
          และด้วยคุณประโยชน์ของรากสามสิบที่มีฤทธิ์ใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยาจีงได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลของสารสกัดรากสามสิบต่อการปกป้องคุ้มครองการสลายเนื้อกระดูกรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ ในหนูแรทที่ถูกตัดรังไข่ เนื่องมาจากมองเห็นว่า โรคกระดูกพรุนซึ่งมักจะกำเนิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชายนั้น มีปัจจัยหลักจากการต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนตอนหลังหมดประจำเดือน โดยเห็นผลการทดลองมาว่า หนูที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรรากสามสิบภายหลังถูกตัดรังไข่ มีน้ำหนักมวลกระดูกที่มากกว่ากลุ่มหนูถูกตัดรังไข่แม้กระนั้นไม่ได้รับสารสกัดสมุนไพรรากสามสิ[/b]
          นอกเหนือจากนี้สารสกัดรากสามสิบยังไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเยื่อบุโพรงมดลูก ด้วยเหตุดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า สารสกัดรากสามสิบอาจมีสมรรถนะในการคุ้มครองปกป้องการสลายของเนื้อกระดูกในหนูทดลองได้ โดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียอะไรก็แล้วแต่ต่ออวัยวะสืบพันธุ์ แต่ยังคงต้องทดลองเพิ่มเติมเพื่อศึกษาเรียนรู้ว่า สารสกัดรากสามสิบจะมีผลกระทบใดๆก็ตามกับอวัยวะอื่นไหม
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี       
[url=http://www.disthai.com/16660416/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2]
[/b]
หารากสามสิบได้จากที่ไหน
          ถึงแม้ต้นรากสามสิบจะยังมีให้เห็นอยู่ในประเทศไทย แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปขุดหารากสามสิบมาต้มกินให้อิดโรย ด้วยเหตุว่าปัจจุบันมีสารสกัดรากสามสิบในรูปแคปซูลมาให้เลือกซื้อมากมาย แต่ทั้งนี้ควรตรวจตราให้แน่ว่าแคปซูลรากสามสิบมีสัญลักษณ์และก็ได้รับการยืนยันจากองค์การอาหารและก็ยาไหม
          แต่หากคนใดกันแน่สามารถหาต้นรากสามสิบใหม่ๆได้ จะนำมาต้มยากินเองเราก็มีสูตรยาสมุนไพรรากสามสิบมาให้ด้วยจ้ะ
น้ำรากสามสิบ (สูตรดั้งเดิม)
     ส่วนประกอบ

  • สมุนไพรรากสามสิบ ใช้ส่วนราก 2.5 โล
  • น้ำ 10 ลิตร

     วิธีการทำ

  • นำรากสามสิบมาล้างให้สะอาด
  • ปอกแล้วก็ดึงไส้ออก
  • หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • ล้างให้สะอาดอีกครั้ง
  • ต้มน้ำให้เดือด
  • ใส่รากสามสิบ ลงในหม้อต้ม
  • เคี่ยวโดยประมาณ 3 ชั่วโมง
  • ชิมรส และสามารถเพิ่มเติมน้ำตาลกรวดหรือใบเตยเพิ่มความหอมลงไปได้
รากสามสิบแช่อิ่ม
     ส่วนประกอบ

  • สมุนไพรรากสามสิบ ใช้ส่วนราก 2.5 โล
  • น้ำตาล 1.5 โล
  • น้ำ 5 ลิตร
    กระบวนการทำ

รากสามสิบ
ข้อควรพิจารณาสำหรับเพื่อการใช้สมุนไพรรากสามสิบ
          เพราะเหตุว่าสมุนไพรรากสามสิบออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะฉะนั้นก็เลยจัดเป็นยาสมุนไพรที่ไม่ปลอดภัยนักต่อเพศหญิงที่มีการเสี่ยงโรคมะเร็งอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น คนที่ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก (Uterine Fribrosis) หรือมีก้อนเนื้อในเต้านม (Fibrocystic Breast) เป็นต้น ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าจะใช้สมุนไพรอะไรก็ควรขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะดีที่สุดนะคะ       
          มองเห็นสรรพคุณรากสามสิบกันไปแล้วคนไม่ใช่น้อยเริ่มพอใจต้องการหา[url=http://www.disthai.com/16660416/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2]รากสามสิบ
มาบำรุงสุขภาพกันบ้าง แต่ว่าก็อย่าลืมที่เตือนไว้นะคะ ก่อนซื้อแคปซูลรากสามสิบมากิน ควรจะวิเคราะห์แหล่งที่มารวมทั้งเครื่องหมายการค้า และการรับรองจากหน่วยงานที่น่าไว้ใจด้วย http://www.disthai.com/[/b]
19  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ตะไคร้สามารถนำมาทำอะไรได้บ้างเเละมีสรรพคุณประโยชน์อย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 09:12:55 am
[/b]
ตะไคร้บ้า[/size][/b]
ตะไคร้ คุณประโยชน์
"[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้
" (Lemongrass) เป็นสมุนไพรก้นครัวที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันมานาน เพราะว่าในอาหารไทยหลายอย่างมักใส่ตะไคร้ลงไปเป็นเยี่ยมในเครื่องปรุงด้วยเสมอ เป็นต้นว่า ต้มยำ ต้มข่าไก่ ยำ น้ำพริกต่างๆช่วยเพิ่มรสชาติและก็คุณประโยชน์ให้กับของกิน ส่งกลิ่นหอมชวนกิน จนกระทั่งแปลงเป็นสิ่งที่จะห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเลยในอาหารเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลิ่นหอมยวนใจเฉพาะบุคคลจากน้ำมันหอมระเหย ทำใหตะไคร้[/url]ถูกเอาไปใช้เป็นกลิ่นในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมาก อีกทั้งน้ำมันหอยระเหย น้ำมันทาตัว ยาจุดกันยุง สบู่ต่างๆ
ตะไคร้ จัดเป็นไม้ล้มลุกที่จัดอยู่ในสกุลต้นหญ้า มีหลากหลายชนิด นอกจากนำไปทำอาหารแล้วแล้วก็ทำเป็นยาสมุนไพรแล้ว ตะไคร้บางจำพวกยังช่วยไล่ยุงมดแมลงได้อีกด้วย จึงจัดเป็นผักสวนครัวที่อยู่คู่กับชาวไทยมานาน หลายบ้านจึงนิยมนำมาปลูกเอาไว้ภายในบ้าน จะใช้เมื่อไหร่ก็ตัดมาใช้ได้ทันที
ตะไคร้จัดเป็นสมุนไพรที่หลบซ่อนคุณประโยชน์ไว้มากไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นอาหารและยารักษาโรค มีวิตามินและธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกาย วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี ทองแดง แมงกานีส แล้วก็โฟเลต ประสิทธิภาพคับแก้วขนาดนี้คนที่เกลียดชังตะไคร้ลองเปลี่ยนความคิดกันใหม่ หันมาชอบตะไคร้ให้มากยิ่งขึ้น จะได้ประโยชน์ล้นหลามแน่นอน
ตะไคร้หอมไล่ยุงได้จริงหรือ?
ในตะไคร้หอม มีน้ำมันหอยละเหยอยู่ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับในการปกป้องแมลงได้ โดยครีมที่มีส่วนผสมจากน้ำมันหอมละเหยในตะไคร้สามารถคุ้มครองปกป้องยุงลาย ยุงก้นปล่อง และก็ยุงรำคาญกัดได้ นอกเหนือจากนี้ยังฤทธิ์สำหรับในการกำจัดลูกน้ำยุงได้อีกด้วย
เว้นเสียแต่ยุงแล้ว สารสกัดจากตะไคร้หอมยังช่วยคุ้มครองป้องกันแมลงชนิดอื่น ดังเช่นว่า ถ้าหากผสมสารสกัดตะไคร้กับสะเดาจะมีผลช่วยลดเพลี้ยอ่อนแล้วก็หนอนเจาะฝักซึ่งเป็นศัตรูของถั่วค้าง ส่วนแชมพูที่มีส่วนผสมจากตะไคร้หอม สามารถฆ่าตัวเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงได้
ลักษณะ
ลำต้นรูปทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง ตามข้อมักมีไขปกลุกลม เหง้า มีข้อรวมทั้งข้อสั้นมากมาย กาบใบสีขาวนวล หรือสีขาวผสมม่วง รสปร่า  มีกลิ่นหอมเฉพาะ
สรรพคุณ
– ต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหือหอบ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาต์ นอกเหนือจากนี้ยังใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น รักษาโรคได้ เป็นต้นว่า บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แล้วก็ขับเหงื่อ
– ใบ : ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูง แก้ไข้
– ราก : ใช้เป็นยาปรับแก้ เจ็บท้อง ท้องเสีย
– ต้น : ใช้เป็นยาขับลม ยาแก้ไม่อยากกินอาหาร แก้โรคทางเท้าปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญก้าวหน้า นอกเหนือจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวได้ด้วย
– น้ำมัน : มีฤทธิ์ต้นเชื้อรา และมีกลิ่นไล่หมาและแมว
ตำรายาไทย : ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันโลหิต เหง้า แก้ไม่อยากอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะขัด แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับประจำเดือน ขับตกขาว ใช้ด้านนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ
ตะไคร้หอม
ตะไคร้ สรรพคุณ
ลักษณะ
ลำต้นเป็นข้อๆใบรูปขอบขนานปลายแหลม ใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน ลักษณะของใบกว้าง 5-20 มิลลิเมตร ยาวโดยประมาณ 50-100 ซม. แผ่นใบแคบ ยาว และนิ่มกว่าตะไคร้บ้าน มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง รวมทั้งมีกลิ่นหอมสดชื่นเบื่อ ก้านใบเป็นกาบทับกันแน่นสีเขียวปนม่วงแดง รากฝอยแตกออกจากโคน ต้นและใบมีกลิ่นแรงจนถึงกินเป็นของกินไม่ได้ ทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม
[/b]
สรรพคุณ
– ต้น : ใช้เป็นยาแก้ปากแตกระแหง แก้ริดสีดวงในปาก ขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับโลหิตประจำเดือน มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเรียบบีบตัว ไม่เหมาะสมกับสตรีตั้งท้อง เพราะว่าแม้ทานเข้าไป อาจส่งผลให้แท้งได้
– ใบ : ใช้เป็นยาคุมกำเนิด ชำระล้างลำไส้ ไม่ให้กำเนิดซาง
– ราก : แก้ลมจิตรวาด หัวใจ กระวนกระวาย เพ้อเจ้อ
– ต้น : แก้ลมพานไส้ แก้ธาตุ แก้เลือดลมแตกต่างจากปกติ
– น้ำมัน : ใช้ทาป้องกันยุง มีฤทธิ์ไล่แมลง และก็ใช้รักษาโรคเห็บหมา
ตำราเรียนยาไทย : ใช้ เหง้า เป็นยาบีบมดลูก ทำให้แท้งลูกได้ คนท้องห้ามกิน นอกเหนือจากนั้นยังใช้ขับระดู ขับเยี่ยว ขับระดูขาว ขับลมในไส้ แก้แน่น แก้แผลในปาก แก้ตานซางในลิ้นและก็ปาก บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ แก้อ้วก แก้ริดสีดวงตา แก้ธาตุ แก้เลือดลมแตกต่างจากปกติ
เหง้า ใบ แล้วก็กาบ เอามากลั่นได้น้ำมันหอมระเหย ใช้เป็นเครื่องหอม อย่างเช่น สบู่ หรือพ่นทาผิวหนังกันยุง แมลง ทั้งยังต้น มีรสปร่า ร้อนขม แก้ริดสีดวงในปาก
ประโยชน์ซึ่งมาจากน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้
– น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ทำให้คล่องแคล่ว คลายความเครียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาอาการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
-น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากใบตะไคร้ ช่วยทุเลาอาการปวดข้อ ช่วยต้านเชื้อราบนผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็ช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
ข้อควรไตร่ตรอง
ตะไคร้มีฤทธิ์ที่จะช่วยขับโลหิต ทำให้มดลูกบีบตัว ห้ามใช้กับหญิงมีท้องเพราะว่าอาจจะทำให้แท้งได้
20  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ทับทิม รู้หรือไม่ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ-ประโยชน์มากอย่างน่าทึ่ง เมื่อ: สิงหาคม 06, 2018, 03:16:31 pm
[/b]
ทับทิ[/size][/b]
ทับทิม ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิ[/b] เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ของทับทิม
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือก[url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม
สามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอทับทิม[/url]ใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ ทับทิม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/[/b]

Tags : สมุนไพรทับทิม
21  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / น้ำมันนวดใช้สำหรับใครได้บ้าง? เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2018, 03:23:45 pm

น้ำมันนวดสมุนไพ[/size][/b]
อาการปวดหายได้อย่างไร เมื่อใช้น้ำมันนวด
ซึ่ง การใช้น้ำมันตัวนี้นะคะ พวกเราเพียงแค่ทาลงไปในส่วนที่เราปวดนะคะ หรือมีการอักเสบของกล้าม เท่านี้จ้ะตัวยาจะซึมเข้าไปทำให้อาการปวดเมื่อยล้าต่ำลง อีกอย่างที่สำคัญนะคะ
นํ้ามันนวด ตัวนี้เหมาะสำหรับคนใดกันแน่บ้าง?

  • คนได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก
  • คนที่ปวดมือรวมทั้งคอจากการเล่นมือถือ
  • คนที่ปวดหลังจาก Office syndrome
  • ผู้ที่ปวดข้อจากโรคเกาท์
  • คนที่ปวดหัวเข่าจากโรคข้อต่ออักเสบ
  • ปวดขาจากการเดิน Shopping
  • บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ตีดอท จนถึงปวดมือ
  • ปวดคอจากการเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่
[url=https://www.chiangdaonaturefood.com/product/45/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันนวด
ที่เหมาะสมที่สุดของคุณผ่อนคลายร่างกายและก็ผลักดันการนอนที่ดีมากยิ่งกว่าสำหรับวัน.
ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยทรมาณแสนสาหัสจากความแปลกของการนอนหลับต่างๆได้สังเกตเห็นการปรับปรุงแก้ไขในนิสัยการนอนของพวกเขาข้างหลังการดูแลรักษาด้วยการนวดบรรเทา. น้ำมันนวดกระตุ้นจิตใจและจิตวิญญาณ การบำบัด, ด้วยเหตุนั้นคนไม่ใช่น้อยมีประสบการณ์การนอนลึกรวมทั้งพักเยอะขึ้นเรื่อยๆ.
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
นวดน้ำมันมากขึ้นรวมทั้งรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อของคุณ. นวดตัวที่มีคุณภาพหลักการทำงานของกล้ามทั้งหมด, เยื่อและก็ข้อต่อจึงปรับปรุงการแสดงกีฬาและการอำนวยความสะดวกในการขยับเขยื้อนร่างกายของคุณง่ายมากยิ่งขึ้น. นอกจากสิ่งเหล่านี้กำเนิดคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ, นวดยังช่วยคุ้มครองป้องกันการบาดเจ็บแล้วก็เพิ่มความเร็วสำหรับในการหาย. นวดแผนโบราณยังเป็นแนวทางที่ยอดเยี่ยมในการทุเลาความเครียดของกล้ามเนื้อและทะนุบำรุงร่างกายของคุณ พอดี รวมทั้งมีความยืดหยุ่นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน.
กำจัดพิษ
ข้อเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการนวดน้ำมันคือมันช่วยให้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพกำจัดสารพิษจากสิ่งมีชีวิตฉะนั้นการผลักดันสุขภาพที่ดีขึ้น.
ช่วยเพิ่มระบบภูมิต้านทาน
บริการนวดน้ำมัและจำนวนมากสร้างความแข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันแล้วก็ช่วยย่อยของกิน.
ศิลป์ที่งามของการนวดได้ทวีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้นด้วยการนวดน้ำมันบางมากมาย. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณลักษณะรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อให้บริการด้านต่างๆในการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ดีเยี่ยมที่สุดสำหรับสิ่งที่ต้องการส่วนบุคคลของคุณและก็บรรเทาร่างกายของคุณด้วยการนวดบรรเทาแล้วก็ฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อที่จะรักษาความสมดุลทางด้านจิตวิญญาณของคุณและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายของคุณ.
โรคนี้จะไม่สามารถหายไปได้เอง!
โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่สามารถที่จะหายขาดได้เอง แม้ว่าอาการที่แสดงออกมาจะรุนแรงน้อยลงก็ตาม และก็สุดท้ายก็จะเปลี่ยนเป็นโรคเรื้อรังรวมทั้งก่อให้เกิดความยากแค้นสำหรับในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
1.[url=http://www.chiangdaoherb.com/product/19/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันนวด
จะเข้าไปช่วยกระตุ้นแนวทางการทำงานของระบบประสาท ให้ทำงานได้ดิบได้ดีมากเพิ่มขึ้น ลดอาการตึงเครียดให้พวกเราบรรเทาจากการความอ่อนแรงและก็ความอ่อนเพลียสะสม
2.การนวดน้ำมัน จะเข้าช่วยการกระตุ้นแนวทางการทำงานของโลหิต ให้ดำเนินการเจริญมีประสิทธิภาพเยอะขึ้นรวมถึงสามารถหล่อเลี้ยงออกสิเจนรวมทั้งสารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างครบถ้วน คุ้มครองปกป้องโรคต่างๆรวมถึงลดระดับความดันโลหิตเจริญด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆภายในร่างกายให้ปฏิบัติงานก้าวหน้าและก็มีประสิทธิภาพเยอะขึ้น
4.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดสารพิษ ภายในร่างกายแล้วก็สภาพผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนชุ่มชื้น มองผุดผ่องและก็ชีวิตชีวาเยอะขึ้น
5.ช่วยในเรื่องการนอนให้ดีกว่าเดิม บรรเทาสมองแล้วก็ร่างกายต่างๆส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดีมากยิ่งกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านี้การนวดน้ำมันยังมีคุณประโยชน์อีกหลายอย่างต่อร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสแก่แฟนสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม
ลดลักษณะของการปวดหัวไมเกรน
     สำหรับเคยทรมาทรกรรมจากอาการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยมาก หมอก็ได้เสนอแนะให้ลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง เนื่องจากจากผลการศึกษาเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า คนที่มีลักษณะปวดศีรษะไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ จะสามารถบรรเทาอาการข้างๆของโรคไมเกรน แล้วก็นอนหลับได้อย่างสนิทขึ้นด้วยจ้ะ
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือก[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3http://www.chiangdaoherb.com/product/19/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันนวด[/url]ขึ้นอยู่กับการใช้งาน รวมทั้งสรรพคุณต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละประเภท โดยส่วนใหญ่น้ำมันฐานรากที่นิยมนำมาผสมทำน้ำมันนวด ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นยิ่งกว่าน้ำมันที่สกัดจากถั่วเหลือง และน้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ และก็ทำลายของเสียที่รังควานเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต ป้องกันการเกิดมะเร็ง ยิ่งไปกว่านี้น้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต้องต่อสุขภาพร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มกระชุ่มกระชวย
โดยดังนี้น้ำมันแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะ รวมทั้งคุณค่าที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามการใช้แรงงาน
22  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ประโยชน์ที่ได้จากการนวดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยม เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2018, 04:52:42 pm
[/b]
น้ำมันนวดสมุนไพร
ประโยชน์จากการนวดน้ำมัน
น้ำมันวด นับว่าเป็นหนึ่งในวิธีบำบัดรักษาความเครียด บรรเทาจิตใจ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด บรรเทาความเมื่อนล้า นอกนั้นคุณคุณลักษณะของน้ำมันหอมระเหยแต่ละประเภทที่ผสมอยู่ในน้ำมันนวดตัวของเรานั้นนังสามารถบรรเทาอาการต่างๆของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ที่ช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการหวัดคัดจมูกเมื่อเวลาสูดกลิ่น หรือเมื่อผสมเข้ากับน้ำมันก็สามารถที่จะช่วยให้รู้สึกเย็นสบายผิว ที่ช่วยคุ้มครองแมลงรบกวน เป็นต้น
การนวดน้ำมันเป็นวิธีสำหรับในการดูแลภาวะผิวและสุขภาพที่ขอชี้แนะเลย เป็นส่วนใหญ่จะการนวด ที่สกัดมาจากสมุนไพรรวมทั้งพืชต่างๆโทนร้อนพอประมาณ ที่อุดมไปด้วยผลดีที่ดีต่อสุขภาพ โดยการนำสารสกัดกลิ่นแล้วก็เนื้อน้ำมัน พวกนั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกาย ด้วยกลิ่นหอมหวนและรวมทั้งสัมผัสของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างของร่างกาย ลดความตึงเครียด ทำให้เราผ่อนคลาย รวมถึงช่วยเพิ่มความชื้นแล้วก็ผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้จ้ะพวกเราจะพาไปดูคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากการนวดน้ำมันกันว่า มีประโยชน์ด้านใดบ้าง
1.การนวดน้ำมันจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ให้ดำเนินงานได้ดีมากเพิ่มขึ้น ลดอาการเคร่งเคลียดให้พวกเราบรรเทาจากการความอ่อนล้าแล้วก็ความเหนื่อยอ่อนสะสม
2.น้ำมั่นนวด กระตุ้นรูปแบบการทำงานของเลือด ให้ปฏิบัติงานได้ดิบได้ดีมีประสิทธิภาพเยอะขึ้นแล้วก็สามารถหล่อเลี้ยงออกซิเจนแล้วก็สารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างครบถ้วน ปกป้องโรคต่างๆและลดระดับความดันเลือดได้ดีด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมและฟื้นฟูระบบกล้าม ข้อต่อต่างๆในร่างกายให้ทำงานได้ดิบได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดสารพิษ ทั้งภายในร่างกายและก็สภาพผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนเปียกชื้น ดูผุดผ่องแล้วก็ชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
5.ช่วยในเรื่องการนอนให้ดีมากยิ่งกว่าเดิม ผ่อนคลายสมองรวมทั้งร่างกายต่างๆส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดีมากยิ่งกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้อย่างดีเยี่ยม
นอกนั้นการนวดน้ำมันยังมีสาระอีกหลายสิ่งหลายอย่างต่อสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสแก่คนรักสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยมลดอาการปวดหัวไมเกรนสำหรับผู้ที่เคยทรมาทรกรรมจากลักษณะของการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อย แพทย์ก็ได้แนะนำให้ลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง เพราะว่าจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า ผู้ที่มีลักษณะปวดศรีษะไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ จะสามารถทุเลาอาการใกล้กันของโรคไมเกรน และนอนได้อย่างสนิทขึ้นด้วยจ้ะ


ทุเลาอาการกล้ามอักเสบจากการออกกำลังกาย


          ในตอนที่ออกกำลังกายอย่างมาก ร่างกายจะได้รับผลพวงเป็นลักษณะของการปวดเมื่อยล้า หรือกล้ามอักเสบเป็นของแถม ซึ่งการเล่าเรียนของ Buck Institute for Research on Aging and McMaster University in Ontario, Canada ก็ได้เผยวิธีทุเลาอาการว่า ให้ทดลองไปเอนกายรับบริการนวดตัวดูบ้าง เนื่องจากการนวดจะช่วยคลายกล้ามที่ตึงเครียดจากการออกกำลังกายได้ดิบได้ดีพอๆกับการกินยาคลายกล้ามยังไงแบบนั้นเลยล่ะ
การนวด


มองเด็กขึ้น


          ต่อไปนี้ไม่ต้องลำบากแอ๊บแบ๊วลากวัยอีกต่อไป ด้วยเหตุว่าแค่เพียงไปสปาให้เขานวดๆบีบๆร่างกายอยู่เป็นประจำก็สามารถทำให้พวกเรามองเด็กขึ้นได้แล้ว โดยผู้ชำนาญด้านผิวหนังก็ได้อธิบายเพิ่มว่า การขัดหน้าหรือนวดหน้า รวมถึงนวดตัว เป็นการกระตุ้นให้เลือดภายในร่างกายไหลเวียน ซึ่งก็ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้นด้วย ทั้งการนวดยังช่วยกระตุ้นรูปแบบการทำงานของต่อมท่อน้ำเหลือง ให้กำจัดพิษที่อยู่ใต้ผิวหนังให้หมดไป ทำให้สารอาหารและก็วิตามินต่างๆซึมไปสู่เซลล์ผิวได้ดิบได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวมองมีชีวิตชีวาเต่งตึงได้อีกที รวมไปถึงกำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบๆผิวหน้าได้อีกด้วยนะ


คุ้มครองป้องกันอาการ PMS


          ผู้หญิงทุกคนอาจจะรู้ว่าอาการ PMS ก่อนมีประจำเดือนนั้นสร้างความทรมาทรกรรมให้กับเราได้มากมายขนาดไหน แต่วันนี้เราไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจกับอาการเหล่านี้อีกต่อไป เพราะเหตุว่าผลการศึกษาเรียนรู้ของ Touch Research Institute and University of Miami Medical School พบว่า การนวดตัวสามารถคุ้มครองปกป้องอาการข้างเคียงทุกประเภทตอนที่สตรีมีเมนส์ได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดข้างหลัง เจ็บท้อง ตัวบวม น้ำหนักขึ้น หรืออาการอารมณ์เสียโกรธ แม้กระนั้นแนวทางนวดบางทีอาจจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกับสาวๆที่มีอายุตั้งแต่ 19-45 ปี เพียงแค่นั้นนะคะ
นวดแผนไทย

  • ลดอาการข้างเคียงของโรคมะเร็ง ผลการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันเปิดเผยว่า คนเจ็บโรคมะเร็งระยะแพร่ที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนได้ดีขึ้น ทุเลาอาการเจ็บปวด รวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เผยว่า คนเจ็บโรคมะเร็งระยะแพร่ขยาย จะทรมาทรกรรมจากลักษณะของการเจ็บปวดน้อยลง อ้วกน้อยครั้ง ไหมอ้วกเลย รู้สึกแจ่มใสขึ้น ความดันดียิ่งกว่าเดิม และเครียดจากลักษณะของการป่วยลดลง หลังจากได้รับการบำบัดด้วยแนวทางนวด
  • ทุเลาอาการปวดเรื้อรัง

          ผู้ที่มีความชำนาญทางด้านกายภาพบรรเทาได้บอกกล่าวถึงประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังว่า ผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง ได้แก่ ปวดตามข้อ โรคข้ออักเสบ และก็อาการปวดเมื่อยเรื้อรังอื่นๆจะคลายลักษณะการเจ็บปวดกลุ่มนี้ลงไปได้มาก ภายหลังได้รับบริการนวดอย่างถูกต้องต่อเนื่องกันเพียง 2-3 ครั้งเพียงเท่านั้น เพราะการนวดได้อย่างตรงจุด จะช่วยบรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในส่วนนั้นๆได้อย่างเร็ว จึงสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามรอบๆนั้นได้อย่างทันใจนั่นเองจ้ะ
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือกน้ำมันนวดขึ้นกับการใช้งาน รวมทั้งสรรพคุณต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละชนิด โดยส่วนมากน้ำมันรากฐานที่นิยมนำมาผสมทน้ำมันนวด[/url] ได้แก่ น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำมันที่สกัดจากถั่วเหลือง และน้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ แล้วก็ทำลายของเสียที่ทำร้ายเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต ป้องกันการเกิดมะเร็ง นอกนั้นน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ต้องต่อสถาพทางร่างกาย ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณนุ่มสดชื่น โดยทั้งนี้น้ำมันแต่ละจำพวกจะมีคุณลักษณะ และคุณประโยชน์ที่นาๆประการ ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามการใช้งาน
23  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เข้าใจรู้เรื่องมะเร็งเเละเราจะมีวิธีการป้องกันอย่างไรในการทานเห็ดหลินจือ เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2018, 10:06:10 am
[/b]
เห็ดหลินจื[/size][/b]
เข้าใจโรคมะเร็งโรคมะเร็งคืออะไรมีเหตุต้นเหตุ กลไกลการกำเนิดลักษณะของการเกิดอาการมะเร็ง โรคมะเร็งที่เจอย่อยไม่ว่าจะเป็น ปากมดลูกโรคมะเร็งตับ ปอด แล้วจะป้องกันได้ไหม รักษาเช่นไร
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ-[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจื โรคมะเร็ง ( Cancer1 ) พบได้ในทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ต้นกำเนิดไปจนถึงคนวัยแก่ จำนวนมากจะเจอในอายุตั้งแต่ 50 ขึ้นไปส่วนในเด็กเจอน้อยกว่าคนแก่ประมาณ 10 เท่า เดี๋ยวนี้ว่าผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยจะเริ่มหันมาใสใจในสุขภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกาย[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
ของตัวเองกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่เหล่าเชื้อโรคต่างๆก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งที่เรียกว่าเป็นโรคยอดฮิตที่ผู้คนเป็นกันเยอะๆยิ่งกว่าโรคติดต่อ
โรคมะเร็งคือ โรคของเซลล์ ที่มีการเจริญเติบโตอย่างไม่ปกติแปลงเป็นก้อนมะเร็งซึ่งสามารถบุกรุง ทำลายเยื่อใกล้เคียงและกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้โรคซึ่ง (เห็ดหลินจือ)โรคซึ่งกำเนิดมีเซลล์เกิดมีเซลล์ไม่ปกติภายในร่างกาย รวมทั้งเซลล์กลุ่มนี้มีการเจริญวัยเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ ฉะนั้นเซลล์พวกนี้ก็เลยเจริญรุ่งเรืองแพร่กระจายแล้วก็แพร่ระบาดได้ทั่วร้างกายทำให้เซลล์ธรรมดาของสมอง ไต กระดูก และไขกระดูก
ต้นเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง
เห็ดหลินจือ-สำหรับมูลเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยเป็นโรคมะเร็งกันเพิ่มมากขึ้นเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากทั้งยังปัจจัยภายใน เป็น
1.ปัจจัยภายนอก
-คนที่ติดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  มักเกิดในไม่นิยมที่ไม่นิยมรับประทานร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางทะเลลายสำหรับเพื่อการทานอาหารด้วยกัน
-การต่อว่าดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในเรื่องที่ชอบทานอาหารแบบดิบๆหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
-ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดือแอลกอฮอล์เป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งคนที่สูบบุรีเป็นประจำ
-ผู้ที่เคยผ่านการฉายรักสีเอกซเรย์
สารอะฟลาทอกซินที่แปดเปื้อนอยู่ในอาหารและก็เครื่องดื่มที่พวกเรากินกันทุกวี่วัน โดยเฉพาะในพวกพริกแห้ง ถั่ว
-สารก่อมะเร็งในอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง ทอด โดยยิ่งไปกว่านั้นเนื้อที่ย่างหรือปิ้งจนถึงไหม้เกรียม หรือเนื้อที่ทอดโดยใช้น้ำมันซ้ำๆทุกเมื่อเชื่อวัน
-สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่ประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการถนอมอาหารอย่างไนโตซาไม่น ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่เอามาผสมอาร
2.ปัจจัยภายใน
-เห็ดหลินจื[/b]มีต้นเหตุที่เกิดจากความนึกคิดแตกต่างจากปกติภายในร่างกาย ดังเช่นว่า เด็กพิการโดยกำเนิด ซึ้งเป็นความไม่ดีเหมือนปกติทางพันธุกรรม
-ร่างกายมีภูมิต้านทานบกพร่องหรือขาดสารอาหารอะไรบางอย่าง อาทิเช่น พวกวิตามินเอ หรือ ซี
ซึ่งจะมองเห็นได้ว่าโรคมะเร็งจำนวนมากนั้นมีต้นเหตุมาจากปัจจัยภายใน นั้นแปลว่าเราสามารถคุ้มครองการก่อมะเร็งได้มากพอควร ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับความประพฤติและระเบียบวินัยการเลือกปฎิบัติของพวกเราเป็นหลัก และความรู้ในเรื่องของสารก่อมะเร็งด้วย
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ
-ไม่มีอาการเฉพาะโรคมะเร็ง แม้กระนั้นเป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบเยื่อ/อวัยวะที่เป็นโรคมะเร็ง โดยที่แตกต่างกันคือมักเป็นอาการที่แย่ลงเรื่อยๆและเรื้อรัก ฉะนั้นเมื่อมีลักษณะต่างๆนานเกิน 1 – 2 อาทิตย์ จะต้องรีบพบหมอ เช่นไร ก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเนมะเร็ง ได้
-มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรังไม่หายภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากการดูแลตัวเองในเบื้องต้น
-มีต่อมน้ำเหลืองโต ลูบคลำเ มักจะแข็งไม่เจ็บ แล้วก็โตขึ้นเรื่อย
-ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วกว่าปกติ หรือเป็นแผลแตก
-หายใจ กรือ มีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงแค่ฝ่ายเดียว (อาจออกทั้งสองข้างได้)
-ไอเรื้อรัง เรือ ไอเป็นเลือด
-มีเสมหะ น้ำลาย หรือเสลดผสมเลือดบ่อยมาก
-อ้วกเป็นเลือด
-เยี่ยวเป็นเลือด
-ปัสสาวะบ่อยมาก ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-อุจจาระเป็นเลือด  มูก หรือเป็นมูกเลือด
-ท้องผูก สลับท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
สมุนไพ[/b]-มีเลือดออกทางช่องคลอดไม่ดีเหมือนปกติ หรือ มีประจำเดือนแตกต่างจากปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเลือดหรือข้างหลังมีเซ็กส์ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-ท้องเฟ้อ ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่ อึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-มีไข้ต่ำๆหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้
-จับไข้สูงหลายครั้ง หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้
-เป็นไข้สูงบ่อยครั้ง หาปัจจัยไม่ได้
-ผอมลงมากใน 6 เดือน น้ำหนักลดจากเดิมเป็น 10%
-มีจ้ำห้อเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงเหมือนไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อยครั้ง
-ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/โคนขาแรง หรือ ชัก โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากเพิ่มขึ้นอาร่วมกับ แขน/ขาอ่อนแรง
[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]
[/b]
สัญญาณอันตราย 7 ประการ ที่ควรจะรีบมาเจอหมอ
เห็ดหลินจือ-มีเลือดหรือสิ่งผิดปกติออกจากร่างกาย ได้แก่ มีตกขาวมากเกินไป
-มีก้อนเลือดหรือตุ่ม เกิดขึ้นที่ไหนอันดับที่หนึ่งของร่างกายรวมทั้งก้อนนั้นโตเร็วไม่ดีเหมือนปกติ
-มีแผลเรื้อรัง
-มีการถ่ายอุจจาระ เยี่ยว เปลี่ยนไปจากปกติหรือแปรไปจากเดิม
-เสียงแหบ ไอเรื้อรัง
-กลืนของกินลำบาก เบื่อข้าว น้ำหนักลด
สมุนไพร-มีการเปลี่ยนของหูด ไฝ ปาน อาทิเช่น โตไม่ปกติ ควรรีบมาพบแพทย์
รายนามโรคมะเร็งที่พบบ่อย
1.มะเร็งตับ
2.มะเร็งปอด
3.มะเล็งเม็ดเลือดขาว
4.โรคมะเร็งสมอง
5.โรคมะเร็งปากมดลูก
6.มะเร็งไส้
7.โรคมะเร็งกล่องเสียง
8.มะเร็งผิวหนัง
9.โรคมะเร็งรังไข่
10.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
11.โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
12.โรคมะเร็งเต้านม
13.มะเร็งกระเพาะอาหาร
14.มะเร็งกระดูก
15.มะเร็งหลอดอาหาร
16.มะเล็งลิ้น
17.โรคมะเร็งโพรงปากรวมทั้งคอ
18.มะเร็งท่อน้ำดีรวมทั้งถุงน้ำดี
19.โรคมะเร็งหลอดลม
20.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
21.มะเร็งตับอ่อน
22.มะเร็งไต
23.มะเร็งไทรอย์
24.มะเร็งโรงจมูก
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ-[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจื จะมองเห็นได้ว่าโรคมะเร็งนั้นเป็นโรคอันตรายซึ่งสามารถคุ้มครองให้ไกลห่างจากโรคมะเร็งได้ ทั้งนี้ข้นอยู่กับความประพฤติระเบียบวินัยของทุกคนเป็นหลักว่าจะสามารถข่มใจในเรื่อของกินกินได้มากมายน้อยแค่ไหน เนื่องจากว่าสิ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งส่วนมากนั้นเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการกินอาหาร เราจำเป็นต้องเลือกทานอาหารที่มีเพียงแต่คุณค่าแล้วก็คุณประโยชน์ทางโภชนาการและก็ความสะอาดโดยไม่มีการแปดเปื้อนของสารเคมีต่างๆเพื่อห่างไหลมายากลจากโรคร้ายอย่างมะเร็ง

Tags : เพาะเห็ดหลินจือ
24  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: และก็รักษาโรคของเห็ดหลินจือ เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 03:51:44 pm
ประโยชน์เห็ดหลินจือ ขายเห็ดหลินจือ
25  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: พวกเรารับประทานเห็ดหลินจือมีสรระคุณดีต่อเราอย่างเราบ้าง เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 11:07:55 am
เห็ดหลินจือ ประโยชน์เห็ดหลินจือ ขายเห็ดหลินจือ
26  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: ถั่งเช่า สรรพคุณสุดอัศจรรย์ แก้นกเขาไม่ขัน ขุมพลังแห่งการต้านมะเร็ง เมื่อ: มิถุนายน 11, 2018, 08:53:09 am
ขายถั่งเช่า ประโยชน์ถั่งเช่า
27  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / น้ำมันระกำ สามารถนำมารักษาโรคได้เเละมีสรรพคุณ-ประเป็นอย่างดี เมื่อ: มิถุนายน 06, 2018, 03:07:59 pm

น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate)
น้ำมันระกำเป็นอย่างไร  น้ำมันระกำ เมทิลซาลิไซเลต (Methyl salicylate หรือ Wintergreen oil หรือ Oil of wintergreen) เป็นสารอินทรีย์ในธรรมชาติเจอได้จากพืชหลายประเภทโดยเฉพาะพืชในกรุ๊ปวินเทอร์กรีน (Wintergreen) รวมทั้งพืชอีกหลายประเภทที่ผลิต เมทิลซาลิไซเลต ในจำนวนนิดหน่อย ดังเช่น

  • สปีชี่โดยมากของวงศ์ Pyrolaceae โดยเฉพาะในสกุล Pyrola
  • บางสปีชี่ของสกุล Gaultheria ในวงศ์ Ericaceae
  • บางสปีชี่ของสกุล Betula ในวงศ์ Betulaceae โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกุลย่อย Betulenta

แต่ว่าในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ สามารถสังเคราะห์สารเมทิลซาลิไซเลตแบบที่พบในน้ำมันระกำได้เช่นเดียวกัน และถูกประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตน้ำหอม ของกิน เครื่องดื่ม รวมทั้งยาในบ้านเรา น้ำมันระกำมักถูกเอามาเป็นส่วนประกอบของ ครีม ขี้ผึ้ง น้ำมันทาถูนวด สำหรับลดลักษณะของการปวดของกล้ามเนื้อรวมทั้งปวดข้อ ซึ่งสารเมทิลซาลิไซเลตในน้ำมันระกำมักใช้ได้ผลในด้านดีกับลักษณะของการปวดชนิดทันควันไม่รุนแรง แม้กระนั้นอาการปวดชนิดเรื้อรังจะได้ผลน้อย
สูตรเคมีและสูตรโครงสร้าง น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) เป็นสารอินทรีย์ในสูตรโครงสร้างมีหมู่ เอสเทอร์ (Esters) วงแหวนเบนซินซึ่งสามารถกลืนรังสีอุลตร้าไวโอเลตได้ เป็นองค์ประกอบหลักและมีชื่อทางเคมีตาม IUPAC คือ metyl 2-hydroxybenzoate มีสูตรเคมี C6H4(HD)COOCH3 มีน้ำหนักโมเลกุล 152.1494g/mal มีจุดหลอมเหลวที่ -9 องศาเซลเซียส (ºC) จุดเดือดอยู่ที่ 220-224 องศาเซลเซียส  (ºC) สามารถติดไฟได้ แล้วก็สามารถละลายก้าวหน้าในแอลกอฮอลล์ กรดอะสิตำหนิก อีเทอร์ ส่วนในน้ำละลายได้บางส่วน
 
 
 
 
                สูตรส่วนประกอบทางเคมีของเมทิลซาลิไซเลท
                           ที่มา : Wikipedia                                   ที่มา : Brahmachari (2009)                                                 
 
 
มูลเหตุ/แหล่งที่พบ น้ำมันระกำ หรือ เมทิลซาลิไซเลต ในอดีตกาลนั้นสามารถสกัดได้จากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ว่าในตอนนี้ เมื่อแวดวงวิทยาศาสตร์ดีขึ้นขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถแยกต้นเหตุของน้ำมันระกำได้เป็น

  • ได้มากจากธรรมชาติ จะได้มาจากการกลั่นใบของต้นไม้ที่มี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gaultheria procumbens Linn. ชื่ออังกฤษ wintergreen, Checkerberry, Teaberry Tree, อยู่ในสกุล ERICAEAE ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเล็กๆแผ่ไปตามดิน ยอดจะยกขึ้นสูงโดยประมาณ10-15 เซนติเมตร มีอายุเกิน 1 ปี ใบ คนเดียวออกสลับกัน ใบสีเขียวแก่ รูปไข่ ยาว 1-2 เซนติเมตร ใบมีกลิ่นหอมหวานรสฝาด ดอก สีขาวเป็นรูประฆัง ยาว 5 มิลลิเมตร ออกที่ข้อด้านข้างใบ ผล เป็น capsule สีม่วง มีส่วนของกลีบรองกสีบดอก สีแดงสดติดอยู่ ซึ่งในใบจะมีสาร methyl Salicylate อยู่ถึง 99% อย่างยิ่งจริงๆ โดยพืชจำพวกนี้เป็นพืชพื้นบ้านของทวีปอเมริกาเหนือแล้วก็
  • ได้มาจากการสังเคราะห์สารเคมี โดยการสร้าง น้ำมันระกำด้านวิทยาศาสตร์ได้จากการสังเคราะห์สารมีชื่อทางเคมีว่า Salicylyl acetate เป็นอนุพันธ์เอสเธอร์ ของ Salicylic acid รวมทั้ง methyl salicylate โดยใช้ปฏิกิริยาคอนเดนเซซั่น ของกรดซาลิไซลิก กับ เมทานอล โดยทำให้กรดซัลฟิวริกผ่าน esterification กรด Salicylic จะละลายในเมทานอลเพิ่มกรดกำมะถันและความร้อน เวลาในการทำปฏิกิริยาเป็น 3 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 90-100 ℃ เมื่อปล่อยให้เย็นถึง 30 ℃ แล้วก็ใช้น้ำมันล้างด้วยสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตที่มีค่า pH 8 ด้านบนแล้วล้างด้วยน้ำ 1 ครั้ง น้ำ. ส่วนการกลั่นด้วยเครื่องสุญญากาศ 95-110 ℃ (1.33-2.0kPa) กลั่นให้ได้เมทิลซาลิไซเลต 80% หรือปริมาณเมทิลเซลิเซียลในอุตสาหกรรมทั่วไปเท่ากับ 99.5%
ประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์
ประโยชน์และก็คุณประโยชน์ของน้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) คือ ใช้เป็นยาระงับปวดจำพวกใช้เฉพาะที่สำหรับทุเลาลักษณะของการปวดต่างๆที่ไม่รุนแรง อาทิเช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามจากภาวการณ์ตึงหรือเคล็ดลับ ข้อต่ออักเสบ บอบช้ำ หรือปวดหลัง เป็นต้น โดยยานี้จะช่วยให้ผู้เจ็บป่วยรู้สึกเย็นรอบๆผิวหนังในตอนแรก แล้วต่อจากนั้นจะค่อยๆอุ่นขึ้น ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความพอใจจากการรู้สึกถึงลักษณะของการปวด นอกนั้น ยังบางทีอาจใช้รักษาโรคอื่นๆตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย  น้ำมันระกำมีกลไกการออกฤทธิ์ โดยตัวยาจะกระตุ้นปลายประสาทที่รับความรู้สึกถึงความร้อน - อบอุ่น ทำให้ร่างกายมีการสนองตอบถึงการบรรเทาอาการปวดลดลง จึงทำให้รู้สึกถึงฤทธิ์การดูแลรักษาตามสรรพคุณ ในการศึกษาเรียนรู้ฤทธิ์ทางเภสัชยังเจออีกว่าน้ำมันระกำสามารถปรับปรุง ต้านทานการปวดบวมและอักเสบ แถมมีฤทธิ์เป็นยาชาแบบอ่อนๆและมี pH เป็นกรด ค่อนข้างแรง และมีโมเลกุลแบบ BHA ด้วย มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะแบบอ่อนๆทำให้ทำลายแบคทีเรียที่ผิวหน้าได้มักใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา แอสไพริน ซาลิโซเลต แล้วก็ยาฆ่าเชื้อ
                ยิ่งไปกว่านี้ยังใช้เมทิลซาลีไซเลตในอุตสาหกรรมอื่นๆอีกอาทิเช่น เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้แก่ ยาสีฟัน แป้งฝุ่น ยาหม่อง อุตสาหกรรมย้อม น้ำหอม เป็นต้น
การเรียนทางเภสัชวิทยา รายงานทางเภสัชวิทยาของน้ำมันระกำนั้นไม่ค่อยรายงานมาก ผู้เขียนสามารถเก็บรวบรวมมาได้เพียงแค่เล็กๆน้อยๆแค่นั้น ยกตัวอย่างเช่น กรดซาลิไซลิก มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส ต้านสะเก็ดเงิน โดยสมุนไพรที่เจอกรดซาลิไซลิก จะพบได้ทั่วไปในพืชสกุล Salix ยกตัวอย่างเช่น สนุ่น willow นอกจากนั้นยังเจอในต้น wintergreen (Gaultheria procumbens) ที่เอามาทำน้ำมันระกำเป็นต้น แล้วก็การใช้น้ำมันระกำ(เมทิลซาลิไซเลต)ทาร่วมกับการกินยาต้านทานการแข็งตัวของเลือดเช่น Warfarin, Dicumarol สามารถทำให้เลือดออกตามร่างกายได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าเกิดแจ้งให้หมอรู้ก่อนใช้ยา หมอจะปรับขนาดรับประทานของ Warfarin แล้วก็ Dicumarol ให้เหมาะสมกับคนไข้เป็นกรณีๆไป

การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
มีรายงานการเรียนความเป็นพิษเฉียบพลันในน้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) โดยให้ทางปากแก่หนูทดลอง พบว่าค่า LD50=1110 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) และก็เมื่อฉีดเข้ากล้ามตัวทดลองพบว่า ค่า LD50=887 มก./น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) สารเมทิลซาลิไซเลตหรือน้ำมันระกำบริสุทธิ์จัดเป็นสารเคมีที่มีพิษ ร่างกายมนุษย์ไม่สมควรได้รับเมทิลซาลิไซเลต เกิน 101 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) มีรายงานของนักกีฬาที่วิ่งข้ามประเทศเสียชีวิตเพราะร่างกายของเขามีการดูดซึมเมทิลซาลิไซเลตมากจนเกินไปด้วยการใช้ยาทา แก้ปวด ด้วยเหตุนั้นจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับผู้บริโภค/ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาใช้ภายนอกเมทิลซาลิไซเลตกับเด็กตัวเล็กๆซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ป่วยในกลุ่มอื่นๆซึ่งก่อนการเลือกใช้เภสัชภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยานี้จำเป็นจะต้องหารือแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกคราว
ขนาด/ปริมาณที่ควรจะใช้ น้ำมันระกำตามตลาดในบ้านพวกเราส่วนมากนั้นมักจะเห็นเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มีส่วนผสมของน้ำมันระกำ หรือ เป็นส่วนผสมของยาถูนวดที่ใช้ทาภายนอกเป็นส่วนมาก ซึ่งก็มีกฏเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่าร่างกายมนุษย์ไม่ควรได้รับเมทิลยาลิไซเลตเกิน 101 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโล) โดยถ้าเกิดใช้เป็นยาทาก็อาจจะใช้ทาได้ในรอบๆที่ปวดวันละ 3-4 ครั้ง ก็คงจะเพียงพอแล้ว
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • เพราะน้ำมันระกำมีฤทธิ์คล้ายแอสไพรินโดยเหตุนี้ควรต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาถ้าเกิดมีประวัติแพ้ยาหรือองค์ประกอบของยาประเภทนี้ แพ้ยาแอสไพรินหรือยาในกรุ๊ปซาลิไซเลต และก็ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารอะไรก็แล้วแต่
  • คนที่อยู่ในตอนให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้ทาบริเวณเต้านม
  • ห้ามให้เด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 12 ปี ใช้โดยไม่ได้ขอคำแนะนำแพทย์
  • ห้ามทายานี้ในรอบๆที่เป็นแผลเปิด แผลไหม้
  • แม้ทายานี้แล้วมีลักษณะแสบร้อนจัดขึ้นให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่แล้วถูเบาๆเพื่อทำความสะ อาดกำจัดยาออกไป
  • ห้ามทายานี้รอบๆ ตา อวัยวะเพศ โพรงปาก เพราะว่ายาจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเป็นอย่างมากต่อเยื่อเหล่านั้น
  • เลี่ยงการใช้เพื่อดมกลิ่น เพราะว่าอาจก่อการเคืองเยื่อเมือกบุทางเท้าหายใจได้
  • ถ้าหากใช้ยาชนิดครีม เจล โลชั่น ออยล์ ขี้ผึ้ง หรือสเปรย์ ให้ทาบางๆในบริเวณที่มีลักษณะอาการปวด และก็นวดเบาๆให้ยาซึมไปสู่ผิวหนัง
  • การใช้ยาชนิดน้ำหรือแท่ง ให้ทายารอบๆที่มีอาการปวด จากนั้นนวดช้าๆกระทั่งยาซึมลงผิวหนัง
  • การใช้ยาประเภทแผ่นแปะ ให้ลอกแผ่นฟิล์มออก ต่อจากนั้นติดรอบๆที่มีลักษณะอาการปวดให้แนบสนิทไปกับผิวหนัง โดยใช้วันละ 1-2 ครั้ง ตามต้องการ
ส่วนผลข้างเคียงจากการใช้น้ำมันระกำ Methyl Salicylate
อาจจะเป็นผลให้เกิดผลข้างเคียง เป็นต้นว่า ผิวเคือง แสบ แดง มีลักษณะชา รู้สึกปวดเหมือนเข็มทิ่มแทงตามผิวหนัง เกิดภาวะภูไม่ไวเกิน เป็นต้น
อย่างไรก็แล้วแต่ แม้เจอผลกระทบรุนแรงจากการใช้น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) ดังต่อไปนี้ ควรจะหยุดใช้ยาแล้วก็ไปพบหมอในทันที อาทิเช่น

  • มีอาการแพ้ยา เช่น เป็นลมเป็นแล้งพิษ หายใจไม่สะดวก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม เป็นต้น
  • มีลักษณะอาการแสบอย่างหนัก เจ็บ บวม หรือพุพองในบริเวณที่ใช้ยา แม้พบอาการดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วให้รีบล้างยาออกก่อนแล้วก็ไปพบแพทย์ทันที
เอกสารอ้างอิง

  • สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.สอบถามเกี่ยวกับสมุนไพร.กระดานถาม-ตอบ
  • Brahmachari, G. 2009. Natural products: chemistry, biochemistry and pharmacology. Alpha Science International Ltd, Oxford. http://www.disthai.com/[/b]
  • ต้นน้ำมันระกำมีประโยชน์อย่างไร.ไทยเกษตรศาสตร์.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Methyt Salicylate (เมทิลซาสิไซเลต)-รายละเอียดของยา.พบแพทย์ดอทคอม(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • เมทิลซาสิไซเลต.วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Yü-Liang Chou 1952. Floral morphology of three species of Gaultheria: Contributions from the Hull Botanical Laboratory. Botanical Gazette 114:198–221 First page free
  • Gibbons, Euell. "Stalking the Healthful Herbs." New York: David McKay Company. 1966. pg. 92.
28  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรหญ้าหนวดเเมว มีสรรพคุณดีอย่างไร-เเละสามารถรักษาโรคได้อย่างไร เมื่อ: มิถุนายน 04, 2018, 10:14:21 am

ต้นหญ้าหนวดแมว
ชื่อสมุนไพร  หญ้าหนวดแมว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  พยับเมฆ (จ.กรุงเทพฯ) บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ์), อีตู่ดง (เพชรบุรี) หญ้าหนวดเสือ
ชื่อสามัญ Kidney tea plant, Cat’s whiskers, Java tea, Hoorah grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ Orthosiphon aristatus (Blume) Miq.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Orthosiphon grandiflorus Bold. ,Orthosiphon stamineus Benth.
วงศ์ Lamiaceae หรือ Lamiaceae
บ้านเกิด  ต้นหญ้าหนวดแมวจัดเป็นพืชป่าในเขตร้อนชื้นมีบ้านเกิดเมืองนอนแถวทวีปเอเชียใต้แถบอินเดีย , บังคลาเทศ , ศรีลังกาและทางตอนใต้ของจีนแล้วมีการกระจัดกระจายจำพวกไปสู่ในประเทศเขตร้อนที่ใกล้เคียง (ในเอเซียอาคเนย์) ยกตัวอย่างเช่น พม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย ฯลฯ ในประเทศไทย มีการนำหญ้าหนวดแมวมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคนิ่วแล้วก็ขับเยี่ยวมานานแล้ว ตราบจนกระทั่งในตอนนี้มีการวิจัยเกี่ยวกับต้นหญ้าหนวดแมวว่าสามารถเยียวยาโรคแล้วก็สภาวะต่างๆได้มากมายหลายโรคจึงทำให้ความชื่นชอบสำหรับเพื่อการใช้ต้นหญ้าหนวดแมวเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ลักษณะทั่วไป   หญ้าหนวดแมวมีลักษณะ ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุก ขนาดเล็ก เนื้ออ่อน สูง 30-60 ซม. มีอายุยาวนานหลายปี ลำต้นรวมทั้งกิ่งไม้ออกจะเป็นสี่เหลี่ยมเห็นได้ชัดเจน มีสีม่วงแดง และก็มีขนนิดหน่อย แตกกิ่งก้านสาขามาก โคนต้นอ่อนโค้ง ปลายตั้งตรง ตามยอดอ่อนมีขนกระจาย ใบเป็นโดดเดี่ยว ออกตรงข้าม สีเขียวเข้ม รูปไข่ หรือรูปสี่เหลี่ยมผ่านหลามตัด ตามเส้นใบมักมีขน กว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 5-10 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบของใบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆยกเว้นขอบที่โคนใบจะเรียบ มีขนตามเส้นใบข้างบนรวมทั้งด้านล่าง เนื้อใบบาง ก้านใบยาว 2-4.5 ซม. มีขน ดอก มีสีขาว หรือขาวอมม่วงอ่อน ออกเป็นช่อกระจะตั้ง ที่ปลายยอด เป็นรูปฉัตร ยาว 7-29 ซม. มีดอกย่อยราวๆ 6 ดอก ขนาดดอก 1.5 ซม. ดอกจะบานจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน ริ้วตกแต่งรูปไข่ ยาว 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีก้าน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง งอน้อย ยาว 2.5-4.5 มม. เมื่อได้ผลสำเร็จยาว 6.5-10 มม. ด้านนอกมีต่อมน้ำมันหรือเป็นปุ่มๆกลีบดอกโคนเชื่อมชิดกันเป็นหลอดตรงเล็ก ยาว 10-20 มม. ปลายแยกเป็นปากสองปาก ปากบนใหญ่กว่า ปากบนมีหยักตื้นๆ4 หยัก โค้งไปทางด้านหลัง ปากข้างล่างตรง โค้งเป็นรูปช้อน เกสรเพศผู้มี 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ คู่ด้านล่างยาวกว่าคู่บนบางส่วน ก้านเกสรยาว หมดจด ไม่ชิดกัน ยื่นยาวออกมานอกกลีบดอกเห็นได้ชัดเหมือนหนวดแมว อับเรณูเป็น 2 พู ด้านบนบรรจบกัน ก้านเกสรเพศเมียเรียวเล็ก ยาว 5-6 เซนติเมตร ปลายก้านเป็นรูปกระบอง ปลายสุดมี 2 พู ผลเป็นผลแห้งไม่แตก รูปขอบขนานกว้าง แบน แข็ง สีน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็ก ยาวโดยประมาณ 1-2 มม. ผลจะรุ่งเรืองเป็น 4 ผลย่อยจากดอกหนึ่งดอก ตามผิวมีรอยย่น ออกดอกรวมทั้งติดผลราวก.ย.ถึงต.ค. ชอบขึ้นที่เปียกชื้น มีแดดรำไรในป่าขอบสายธาร หรือน้ำตก
การขยายพันธุ์ ต้นหญ้าหนวดแมว เป็นไม้ล้มลุกที่เติบโตก้าวหน้าในดินชื้น คล้ายกับกระเพราแล้วก็โหระพา จึงทนต่อภาวะแห้งได้น้อย ด้วยเหตุนั้น การปลูกต้นหญ้านวดแมวจึงควรเลือกสถานที่ปลูกที่ออกจะเปียกชื้นเสมอหรือมีระบบระเบียบให้น้ำอย่างทั่วถึง แต่ในช่วงฤดูฝนสามารถเติบโตได้ทุกพื้นที่
                อีกทั้งหญ้าหนวดแมวเป็นพืชชอบดินร่วน และมีสารอินทรีย์สูง ฉะนั้น ดินหรือแปลงปลูกควรเพิ่มเติมอินทรียวัตถุ เป็นต้นว่า ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ก่อนลูกพรวนผสมให้เข้ากันรวมทั้งกำจัดวัชพืชออกให้หมด
ส่วนการปลูกหญ้าหนวดแมว ปลูกได้ด้วย 2 แนวทาง คือ

  • การปักชำกิ่ง ตัดกิ่งที่ยังไม่มีดอก ยาวราว 15-20 ซม. ต่อจากนั้น เด็ดกิ่งกิ่งก้านสาขา และใบออกด้านโคนกิ่งออก ในความยาวราว 5 เซ็นติเมตร พร้อมด้วยเด็ดยอดทิ้ง ก่อนเอามาปักชำ ซึ่งอาจปักชำในกระถางหรือปักชำลงแปลงปลูก
  • การโปรยเม็ด นำเม็ดหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้ โดยหว่านให้เมล็ดมีระยะห่างกันโดยประมาณ 3-5 ซม. ก่อนให้น้ำ ให้ปุ๋ย และก็ดูแลกระทั่งต้นกล้าอายุประมาณ 20-30 วัน หรือสูงประมาณ 10-15 ซม. ก่อนแยกปลูกลงแปลงถัดไป

หญ้านวดแมว เป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูง ถ้าเกิดขาดน้ำนาน ลำต้นจะเฉา แล้วก็ตายได้รวดเร็ว ด้วยเหตุนั้น กล้าต้นหญ้าหนวดแมวหรือต้นที่ปลูกเอาไว้ในแปลงแล้ว จะต้องมีการให้น้ำอย่างน้อย 2 วัน/ครั้ง
การเก็บเกี่ยว หญ้าหนวดแมว มีอายุเก็บเกี่ยวราว 120-140 วัน หลังปลูก อาจเก็บเกี่ยวด้วยการถอนอีกทั้งต้นหรือทยอยเด็ดเก็บกิ่งมาใช้ประโยชน์ก็ได้
ส่วนประกอบทางเคมี
หญ้าหนวดแมวมีองค์ประกอบทางด้านพฤกษเคมีที่เด่นคือ สารกลุ่ม phenolic compoundsตัวอย่างเช่น rosmarinic acid, 3’-hydroxy-5, 6,    7, 4’-tetramethoxyflavone, sinensetin รวมทั้งeupatorin รวมทั้ง pentacyclic triterpenoid ที่สำคัญคือ betulinic acid2 นอกเหนือจากนี้ยังเจอ glucoside orthosiphonin, myoinositol, essential oil, saponin, alkaloid, phytosterol, tannin พบสารกรุ๊ปฟลาโอ้อวดน เป็นต้นว่า sinensetin, 3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxy flavones Potassium Salf ในใบ แล้วก็Hederagenin, Beta-Sitosterol, Ursolic acid ในต้นอีกด้วย
ซึ่งสารในต้นหญ้าหนวดแมวกลุ่มนี้มีรายงานฤทธิ์ทางสรีรวิทยาและเภสัชวิทยามากไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น การขับฉี่ ลดระดับกรดยูริค (hypouricemic activity) คุ้มครองป้องกัน ตับ ไต และก็กระเพาะ ลดระดับความดันเลือด ต้านสารอนุมูลอิสระหรือปฏิกิริยาออกซิเดชัน ต้านทานการอักเสบ เบาหวาน และก็จุลชีพ ลดไขมัน (antihyper-lipidemic activity) ลดความอยากรับประทานอาหาร (anorexic  activity)  แล้วก็ปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunomodulation)
 
 
 องค์ประกอบทางเคมีของสารพฤกษเคมีในต้นหญ้าหนวดแมว (a)    rosmarinic acid, (b)  3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxyflavone, (c) eupatorin, (d) sinensetin, (e) betulinic acid
                 
     Tannin ที่มา: Wikipedia                      Myo-inositol   ที่มา: Google
คุณประโยชน์  ต้นหญ้าหนวดแมวเป็นสมุนไพรที่คนประเทศไทยได้ประยุกต์ใช้รักษาโรคมานานแล้ว โดยมีสรรพคุณตามตำราไทย คือ ใบมีรสจืด ใช้เป็นยาชงแทนใบชา รับประทานขับฉี่ ขับนิ่ว แก้โรคไต รวมทั้งกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว แล้วก็ไขข้ออักเสบ แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ ทุเลาอาการไอ แก้หนองใน ราก ขับเยี่ยว ขับนิ่ว ทั้งยังต้น แก้โรคไต ขับฉี่ รักษาโรคกระษัย รักษาโรคปวดตามสันหลัง รวมทั้งบั้นเอว รักษาโรคนิ่ว แก้โรคหนองใน รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ล้างสารพิษในไต
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น มีผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยระบุว่า หญ้าหนวดแมวมีคุณประโยชน์

  • ความดันเลือดสูง หญ้าหนวดแมวทำให้ความดันเลือดลดลง และยังสามารถลดภาวการณ์หลอดเลือดหดตัวได้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ไม่เป็นอันตรายในคนเจ็บกลุ่มนี้มากขึ้น
  • การติดเชื้อระบบทางเดินเยี่ยว โรคนี้แพทย์มักแนะนำให้คนเจ็บดื่มน้ำมากมายๆโดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะเริ่มแรกแม้กินน้ำมากมายๆก็จะสามารถช่วยทำให้หายได้โดยไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ การกินน้ำมากๆราวกับเป็นการช่วยทำให้เชื้อโรคถูกขับออกไทยจากระบบทางเท้าปัสสาวะไปเรื่อยยิ่งขับออกเร็วมากเท่าไรอาการโรคก็จะหายเร็วมากยิ่งขึ้นเท่านั้นแม้เชื้อสะสมอยู่ในระบบทางเท้าเยี่ยวก็จะทำการกระตุ้นการหลั่งสารกรุ๊ป cytokines โดยเฉพาะ interleukin 6  ที่ให้ผลทั้งยังเฉพาะที่ในระบบทางเท้าเยี่ยวรวมทั้งกระทบไปทั่วร่างกาย (systemic effect) เป็นก่อให้เกิดการปวด อักเสบ และก็มีไข้ได้ หญ้าหนวดแมวก็ยังสามารถช่วยลดการอักเสบ ปวด ไข้ รวมถึงป้องกันมิให้เชื้อติดตามเยื่อระบบทางเท้าฉี่ เชื้อก็จะหลุดออกไปกับน้ำเยี่ยวได้เร็วขึ้น
  • เบาหวาน หญ้าหนวดแมวทำให้น้ำตาลในกระแสโลหิตลดน้อยลงเพราะเหตุว่ายับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase แล้วก็  α-amylase  แล้วก็ลดพิษจากการได้รับเดกซ์โทรสปริมาณสูง จึงสามารถประยุกต์ใช้ในคนไข้โรคเบาหวานได้อย่างปลอดภัยรวมทั้งตำราเรียนยาโบราณยังอาจใช้รักษาโรคเบาหวานได้ด้วย
  • นิ่ว ต้นหญ้าหนวดแมวเป็น hypourecimic agent คือขับกรดยูริกออกจากกระแสโลหิต ลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริกได้ ทั้งยังยังลดการบิดเจ็บในไตที่เกิดจากนิ่ว calcium oxalate ได้ด้วย
  • โรคมะเร็ง ต้นหญ้านวดแมวเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็งหลายชนิดและลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ไม่ให้แตกออกไปเลี้ยงก้อนเนื้อโรคมะเร็ง จึงให้ผลดีสำหรับการร่วมรักษาโรคมะเร็งได้
  • ท่อเยี่ยวตีบแคบ ต้นหญ้าหนวดแมวถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากในการช่วยขับปัสสาวะในผู้เจ็บป่วยที่มีปัญหาในเรื่องท่อฉี่ตีบแคบซึ่งเจอได้ย่อยในสุภาพสตรีสูงอายุ เนื่องจากทำให้กล้ามเนื้อเรียบของท่อปัสสาวะคลายตัว
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ ตามตำรายาไทยระบุได้ว่า

  • ใช้ขับเยี่ยว
  • ใช้กิ่งกับใบหญ้าหนวดแมว ขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนถึงเกินความจำเป็น ล้างสะอาด เอามาผึ่งในที่ร่มให้แห้ง นำมา 4 กรัม หรือ 4 จับมือ ชงกับน้ำเดือด 1 ขวดน้ำปลา (750 ซีซี.) แบบเดียวกันชงชา ดื่มต่างน้ำทั้งวัน กินนาน 1-6 เดือน
  • ใช้ต้นกับใบวันละ 1 กอบมือ (สด 90- 120 กรัม แห้ง 40- 50 กรัม ) ต้มกับน้ำกิน ทีละ 1 ถ้วยชา (75 ซีซี.) วันละ 3 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร
  • ใช้แก้นิ่ว/ขับนิ่ว ให้นำใบอ่อน (ไม่ใช่ดอก) ขอบต้นหญ้าหนวดแมว ราวๆ 2-3 ใบ (ควรเก็บช่วงที่ต้นหญ้าหนวดแมวกำลังมีดอก) มาหั่นเป็นท่อนราว 2-3 ซม. ผึ่งแดดให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อน (ประมาณ 2 กรัมต่อน้ำร้อน 1 แก้ว) ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ใช้ดื่ม วันละ 3-4 ครั้ง
  • แก้อาการคลื่นเหียน คลื่นไส้ หนังสือเรียนยาให้ใช้ใช้ทั้งใบ รวมทั้งกิ่งต้มน้ำรวมกับสารส้ม ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร

การศึกษาทางพิษวิทยา การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาของหญ้าหนวดแมวโดยมากจะมีด้านฤทธิ์การขับเยี่ยวแล้วก็ฤทธิ์ในการรักษานิ่ว ตัวอย่างเช่น

  • มีสารฤทธิ์ขับฉี่ ทดลองป้อนทิงเจอร์ของสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 50 รวมทั้งร้อยละ 70 ให้หนูแรทพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 50 มีฤทธิ์ขับเยี่ยวรวมทั้งขับโซเดียมได้ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 70 แม้กระนั้นขับโปแตสเซียมออกได้น้อยกว่า ยิ่งกว่านั้นสารสกัดด้วยเอทานอลปริมาณร้อยละ 50 ยังมีฤทธิ์ขับกรดยูริคเจริญมากมาย และพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีจำนวนสารสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น sinesetine, eupatorine, caffeic acid แล้วก็ cichoric acid สูงขึ้นยิ่งกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 70 แม้กระนั้นมีสาร rosemarinic acid น้อยกว่า
  • ฤทธิ์สำหรับเพื่อการรักษานิ่ว มีการเรียนฤทธิ์สำหรับในการรักษานิ่วในทางเดินฉี่ส่วนบนของหญ้าหนวดแมวเปรียบเทียบกับการดูแลและรักษามาตรฐานด้วยไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต พบว่าคนป่วยที่ได้รับต้นหญ้าหนวดแมวมีการเคลื่อนตัวของนิ่วรอบๆกระดูกกระเบนเหน็บมากยิ่งกว่า รวมทั้งช่วยลดการใช้ยารับประทานแก้ปวดได้มากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยามาตรฐาน แต่ว่าไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีความดันโลหิตต่ำลงเล็กน้อย ในตอนที่กรุ๊ปที่ได้ยามาตรฐานจะมีความดันโลหิตลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ คนไข้ที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีชีพจรในช่วงแรก (วันที่ 3 ของการทดลอง) เร็วขึ้น แต่ว่าไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับโปแตสเซียมในเลือด กรุ๊ปที่ได้ยามาตรฐานจะมีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะในวันที่ 30 ของการทดลองน้อยลง ความเคลื่อนไหวของความถ่วงจำเพาะของเยี่ยวทั้งสองกรุ๊ปไม่ต่างกัน ในระหว่างที่เจอผลข้างเคียงในกรุ๊ปที่ใช้ต้นหญ้าหนวดแมวน้อยกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยามาตรฐาน แต่ว่าไม่ได้ต่างอะไรอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ นอกนั้น มีรายงานผลการรักษานิ่วในไตในคนเจ็บที่ให้กินยาต้มที่เตรียมจากใบต้นหญ้าหนวดแมวแห้ง ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ขนาด 300 มิลลิลิตร ครั้งเดียว ติดต่อกันนาน 1-10 เดือน พบว่า 9 ราย มีการตอบสนองทางสถานพยาบาลที่ดี พบว่าฉี่ของคนเจ็บมีลักษณะท่าทางเป็นด่างเพิ่มขึ้น ซึ่งชี้นำว่าน่าจะช่วยลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริคได้

ยิ่งกว่านั้นยังมีการทำการศึกษาเรียนรู้ในต่างชาติของฤทธิ์สำหรับการบรรเทาและก็รักษาลักษณะโรคต่างๆดังต่อไปนี้

  • การขับฉี่ (diuresis) เดี๋ยวนี้พบว่าเนื้อเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ (uroepithelial tissue) ที่มีตัวรับขอบ ที่มีตัวรับของ adenosinereceptor  A1 A2A A2B และ A3    สาระสำคัญในต้นหญ้าหนวดแมวมีกลไกการทำงานที่สำคัญเป็น กระตุ้น adenosine receptor ชนิด A1    receptor แต่ก็ให้ฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องถึง adenosine receptor อีก 3 จำพวกด้วย ทำให้กล้ามเรียบของกระเพาะปัสสาวะหดตัวแต่ว่ากล้ามเรียบของท่อปัสสาวะ (urethra) คลายตัวซึ่งเอื้อต่อการขับปัสสาวะ ก็เลยน่าจะเป็นกลไกที่ประยุกต์ใช้อธิบายการขับปัสสาวะได้
  • นิ่วในไต (urolithiasis) เป็นโรคที่ยังถือได้ว่าเป็นปัญหาอยู่มากมายและก็ยังไม่รู้กลไกที่แจ่มกระจ่าง ยาแผนโบราณใช้หญ้าหนวดแมวสำหรับเพื่อการรักษานิ่ว Gao แล้วก็ภาควิชาชี้ให้เห็นศักยภาพของต้นหญ้าหนวดแมวสำหรับเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนิ่วที่เกิดจากผลึกของ calcium oxalateในเยื่อไตของตัวทดลอง โดยทำให้สาร biomarker กว่า 20 ชนิดที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อไตบาดเจ็บจากผลึกของ calcium oxalate สามารถกลับสู่สภาวะปกติได้เรื่องดำเนินงานของสารในหญ้าหนวดแมวคาดว่าน่าจะผ่านหลายกลไกในลักษณะ multiple metabolicpathways โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมแทบอลิซึมของพลังงานต่างๆกรดอะมิโน taurine hypotaurine purine และก็ citrate cycle ยิ่งกว่านั้นยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าการขับฉี่บางทีอาจเป็นการช่วยละลายนิ่วและก็ขับออกมากับเยี่ยวง่ายดายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยขับกรดยูริคแล้วก็ป้องกัน  uric acid stone formation
  • การติดเชื้อของระบบทางเท้าเยี่ยว (urinary tract infection, UTI) เมื่อนำต้นหญ้าหนวดแมวมาใช้ในระบบฟุตบาทปัสสาวะ ผลประโยชน์ที่น่าดึงดูดเป็น นอกจากจะขับเยี่ยวที่ช่วยให้อาการของการต่อว่าดเชื้อแล้ว ยังสามารถลดการยึดติดของเชื้อจำพวก uropathognicEscherichia coli กับเซลล์กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เชื้อถูกขับออกไปจากระบบทางเดินเยี่ยวได้ง่ายรวมทั้งเร็วขึ้น นอกจากนั้นคุณลักษณะสำหรับเพื่อการต้านทานปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน ที่จะลดความเครียดจากภาวะออกซิเดชัน (oxidative stress) ก็เลยลดการเจ็บที่เกิดจากปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันสำคัญคือ lipid peroxidation ทำให้ลดการเกิดแผล (scar formation) ได้
  • การต้านอักเสบ (anti-inflammation) สารสกัดจากใบหญ้าหนวดแมว  (chloroform extract) มีคุณสมบัติตามอักเสบได้ดี จึงมีการนำมาใช้ใน rheumatoid arthritis gout และโรคอันมีต้นเหตุมาจากการอักเสบต่างๆกลไกหนึ่งของสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวที่ลดการอักเสบคือยับยั้ง cytosolic phospholipaseA2a (cPLA2a) ทำให้การสลาย phospholipid น้อยลงสาร eupatorin และก็ sinensetin ยั้งการแสดงออกของยีน iNOS และ COX-2 ทำให้การสังเคราะห์ nitric oxide รวมทั้ง PGE2 ลดลงตามลำดับ เว้นเสียแต่สารกลุ่ม phenolic compounds เป็นeupatorin และsinensetin แล้วสารกรุ๊ป diterpines ในต้นหญ้าหนวดแมวก็สามารถยั้งการสังเคราะห์ nitric oxide ได้เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านี้ยังลดการสังเคราะห์ tumornecrosis factor a อีกด้วย คาดคะเนว่ากลไกการต้านอักเสบผ่าน transcription factor ที่ชื่อ STAT1a
  • การลดไข้ (antipyretic activity)สารสกัดจากต้นหญ้าหนวดแมวมีคุณลักษณะลดการเกิดไข้ได้โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็น rosmarinic acid,sinensetin, eupatorin แล้วก็ tetramethoxy-flavone ข้อดีที่นอกเหนือจากการต่อต้านอักเสบและลดไข้แล้วยังช่วยลดอาหารปวดได้อีกด้วย31 ซึ่งอาการอักเสบ ไข้และก็ปวดจะพบมากสำหรับการติดเชื้อของระบบฟุตบาทปัสสาวะ
  • ภาวการณ์น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycaemia) การใช้หญ้าหนวดแมวในคนเจ็บโรคเบาหวานคงจะมีความปลอดภัยสูงเนื่องจากว่าสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของตัวทดลองที่เป็นเบาหวานได้ โดยยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี a-glucosidase เพิ่มการแสดงออกของยีนอินซูลินและคุ้มครองป้องกันความเป็นพิษที่เกิดขึ้นจากการรับเดกซ์โทรสขนาดสูงๆ(high glucosetoxicity) โดยผ่านการเติมกลุ่มฟอสเฟตให้กับphosphatidylino-sitol 3-kinase (PI3K)

เมื่อกระทำการสกัดแยกสาร sinensetin ออกมาทดสอบฤทธิ์การขัดขวางเอนไซม์ a-glucosidase และก็a-amylase ก็พบว่าสมรรถนะของสารบริสุทธิ์sinensetin สำหรับเพื่อการยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี a-glucosidase สูงกว่าสารสกัดหญ้าหนวดแมว (ethanolic extract) ถึง 7 เท่า ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 0.66 แล้วก็ 4.63 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ ตอนที่ประสิทธิภาพของsinensetin สำหรับเพื่อการยับยั้งเอนไซม์ a-amylase สูงกว่าสารสกัดหญ้าหนวดแมวถึง 32.5 เท่า ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 1.13 รวมทั้ง 36.7 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรเป็นลำดับ ก็เลยคาดการณ์ว่าสาร sinensetin อาจเป็นสารสำคัญชนิดหนึ่งสำหรับการออกฤทธิ์ของหญ้าหนวดแมวในการต้านทานโรคเบาหวานชนิดที่ไม่สังกัดอินซูลิน (non-insulin-dependent diabetes) ได้

  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension) สารสกัดหญ้าหนวดแมว สามารถลดสภาวะเส้นโลหิตหดรัด (vasoconstriction) ด้วยการหยุดยั้งตัวรับ alpha 1 adrenergic และก็ angiotensin 1 จึงคงจะไม่เป็นอันตรายในคนไข้ความดันโลหิตสูง นอกเหนือจากการที่จะไม่มีอันตรายในคนไข้ความดันโลหิตสูงแล้วยังสามารถนำมาใช้ผลดีสำหรับการรักษาความดันโลหิตสูงได้ด้วย คาดว่าสารสำคัญที่ออกฤทธิ์มาจากกลุ่ม diterpenes รวมทั้ง methylripario-chromene A
  • พิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxicity)ต้นหญ้าหนวดแมวที่สกัดด้วยแนวทาง supercritical carbon-dioxide ให้ผลที่น่าดึงดูด ในการยับยั้งการเติบโตของเซลล์ของมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยความเข้มข้นที่ยั้งการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ (inhibitory concemtration) ได้ 50 % คือค่า IC50 ต่ำเพียง 28 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เมื่อเล่าเรียนลงไปในระดับเซลล์ก็พบว่าทำให้เซลล์ตายในลักษณะ apoptosis ที่สามารถเห็น nuclearcondensation และก็ความแปลกของเยื่อไมโตคอนเดรียได้อย่างชัดเจน เมื่อทำการสกัดสาร eupatorin มาทดลองความเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็งหลายๆจำพวกก็ให้ค่า    IC50  ในระดับตำเป็นไมโครโมล่าร์ ด้วยการขัดขวางวงจรการแบ่งเซลล์ ระยะ G2/M phase ข้อดีที่เหนือยาเคมีบรรเทาในตอนนี้เป็น eupatorin ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ธรรมดา
  • การต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (anti-oxidation) สารสกัดหญ้าหนวดแมวสามารถลดสารอนุมูลอิสระ เช่น การลดปฏิกิริยา lipid peroxidation ทำให้เยื่อเซลล์คงทนถาวรและแข็งแรง จึงลดการเกิดรอยแผลของระบบฟุตบาทปัสสาวะได้  นอกเหนือจากลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation แล้วยังสามารถลดการเกิด hydrogen peroxide ได้อีกด้วย ทำให้เซลล์รอดพ้นจากการถึงแก่กรรมแบบ apoptosis ด้วยการเพิ่มการแสดงออกของยีน  Bcl-2  กับลดการแสดงออกของยีน Bax42  Ho แล้วก็ภาควิชาทดสอบการใช้เคล็ดลับultrasound-assisted extraction (UAE) มาช่วยสำหรับการสกัดสารจากต้นหญ้าหนวดแมวทำได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านทานปฏิกิริยาออกซิเดชัน โดยพบสารrosmarinic  acid,  kaempferol-rutinoside  แล้วก็sinesetine อยู่ในสารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

การศึกษาทางพิษวิทยา เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบและลำต้นเข้าท้องหนูแรทเพศผู้และก็เพศเมีย หนูเม้าส์เพศผู้และก็เพศภรรยา เจอความเป็นพิษปานกลาง   เมื่อป้อนสารสกัดเดียวดันนี้ให้กับหนูแรททั้งสองเพศทุกวันต่อเนื่องกัน 30 วัน ไม่เจอความเคลื่อนไหวของน้ำหนักตัว ค่าการตรวจทางวิชาชีวเคมีในเลือด รวมทั้งพยาธิภาวะของอวัยวะสำคัญเมื่อดูด้วยตาเปล่า  แล้วก็เมื่อเล่าเรียนความเป็นพิษในระยะยาวนาน 6 เดือน โดยการป้อนหนูแรทด้วยยาชงด้วยน้ำร้อน ซึ่งมีความแรงเทียบเท่ากับ 11.25, 112.5 รวมทั้ง 225 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนไข้โรคนิ่วในท่อไต ไม่เจอความแตกต่างของการเจริญเติบโต  การกินอาหาร ลักษณะข้างนอกหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีเหมือนปกติ และค่าการตรวจทางชีวเคมีในเลือดเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม เว้นเสียแต่ปริมาณเกร็ดเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อใช้ยาในขนาด 18 กรัม/กิโล/วัน พบว่าระดับโซเดียมในเลือดในกลุ่มทดลองทุกกรุ๊ป โปแตสเซียมในหนูเพศเมีย รวมทั้งคอเลสเตอรอลในหนูเพศผู้ จะหรูหราต่ำยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม   นอกจากนั้น เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดจากหญ้าหนวดแมว ติดต่อกันนาน 6 เดือน เทียบกรุ๊ปควบคุม พบว่า หนูทุกกลุ่มมีการเจริญวัยและทานอาหารได้ใกล้เคียงกัน ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติในระบบโลหิตวิทยาแล้วก็ความไม่ดีเหมือนปกติของอวัยวะภายใน ส่วนการตรวจผลทางชีวเคมีพบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดทุกขนาดมีระดับโซเดียมต่ำกว่ากรุ๊ปควบคุม แต่ว่าระดับโปแตสเซียมมีแนวโน้มสูงมากขึ้น ในหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 0.96 กรัม/โล/วัน จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยของตับรวมทั้งม้ามมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างไรก็แล้วแต่การตรวจทางจุลพยาธิภาวะไม่พบความแตกต่างจากปกติที่เซลล์ตับรวมทั้งอวัยวะอื่นๆยกเว้นการโป่งพองของกรวยไตในหนูขาวที่ได้รับสารสกัด 4.8 กรัม/โล/วัน ที่มีจำนวนเพิ่มมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  กล่าวโดยย่อสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวเป็นพิษน้อย  แต่จำต้องรอติดตามวัดระดับโซเดียมและโปแตสเซียมถ้าเกิดใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ
ข้อแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม

  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ ไม่ควรใช้สมุนไพรต้นหญ้าหนวดแมว เพราะเหตุว่าสมุนไพรประเภทนี้มีสารโพแทสเซียมสูงมากมาย ถ้าหากไตแตกต่างจากปกติก็จะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกมาได้ ส่งผลให้เกิดโทษต่อร่างกายอย่างร้ายแรง และยังมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการขับฉี่ให้ออกมามากยิ่งกว่าปกติ และเกรงว่าขนาดของโพแทสเซียมที่สูงมากมายนั้น อาจจะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วไม่ปกติ ก็เลยบางทีอาจส่งผลกระทบต่อโรคหัวใจได้
  • การใช้ใบชองหญ้าหนวดแมวไม่สมควรใช้การต้ม ให้ใช้การชง รวมทั้งควรที่จะใช้ใบอ่อน เพราะเหตุว่าใบแก่จะมีความเข้มข้นอาจส่งผลให้มีฤทธิ์กดหัวดวงใจ
  • การเลือกต้นประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพร ควรจะเลือกต้นที่มองแข็งแรง แข็งรวมทั้งครึ้ม ไม่อ่อนห้อยลงมา ลำต้นมองอ้วนเป็นเหลี่ยม ต้นมีสีม่วงแดงเข้ม และดูได้จากใบที่มีสีเขียวเข้มเป็นมันแล้วก็ใหญ่
  • การใช้สมุนไพรหญ้าหนวดแมวเพื่อรักษานิ่วจะได้ผลลัพธ์ที่ดีก็เมื่อใช้กับนิ่วก้อนเล็กๆแต่จะไม่เป็นผลกับก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่
  • สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ไม่ควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน เพราะว่าหญ้าหนวดแมวจะมีผลให้ยาแอสไพรินไปจับกล้ามเนื้อหัวใจเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • ผลกระทบของหญ้าหนวดแมว ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นได้กับคนธรรมดาที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน โดยอาการที่บางทีอาจเจอได้คือ ใจสั่น หายใจลำบาก โดยเหตุนี้การใช้สมุนไพรประเภทนี้ครั้งแรก หากใช้กรรมวิธีชงดื่มให้ใช้แนวทางจิบๆ
29  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / บอระเพ็ด เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2018, 01:01:34 pm
บอระเพ็ด
ชื่อสมุนไพร บอระเพ็ด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน จุ้งจาลิง , จุ่งจิง , เครือเขาฮอ (ภาคเหนือ) , เจตมูลหนาม (จังหวัดหนองคาย) , หางหนู (จังหวัดอุบลราชธานี) , เถาหัวด้วน , ตัวเจตมูลยาน (สระบุรี)
ชื่อสามัญ Heart leaved moonseed
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson
ชื่อพ้อง Tinospora tuberculata Miers, Tinospora rumphii Boerl.
สกุล Menispermaceae
บ้านเกิดเมืองนอน บอระเพ็ดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดในป่าดงดิบแล้งและก็ป่าเบญจพรรณ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักพบในประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เป็นต้น รวมถึงบางประเทศในทวีปเอเชียใต้ เป็นต้นว่า อินเดีย รวมทั้งศรีลังกา สำหรับในประเทศไทยนั้นบอระเพ็ดนับเป็นพืชที่เป็นที่รู้จักอย่างดีเยี่ยมมาเป็นเวลายาวนานแล้ว เนื่องจากว่าชาวไทยในสมัยก่อนได้นำบอระเพ็ดมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาลักษณะของการป่วยต่างๆดังเช่นว่า ใช้ลดไข้ บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร อื่นๆอีกมากมาย ต่อให้ปัจจุบันนี้ก็ยังนิยมใช้บอระเพ็ดเพื่อสรรพคุณทางยาพวกนี้อยู่ ซึ่งในประเทศไทยนั้นสามารถพบบอระเพ็ดได้ทุกภาคของประเทศและส่วนมากพบในป่าดิบแล้งแล้วก็ป่าเบญจพรรณทั่วไป
ลักษณะทั่วไป 
บอระเพ็[/b] จัดเป็น  ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ไม่มีขน ยาวถึง 15 เมตร เถากลม ตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ เป็นปุ่มเปลือกของเถาบางลอกออกได้ เป็นปุ่มกระจายทั่วไป เมื่อแก่มองเห็นปุ่มเงื่อนพวกนี้หนาแน่น แล้วก็กระจ่างแจ้งมาก เปลือกเถา คล้ายเยื่อกระดาษ มียางขาว ใส  เถามีรสขมจัด สีเทาปนเหลือง มีรากอากาศคล้ายด้ายยาว กลม ยาว สีน้ำตาลเข้ม ใบโดดเดี่ยว เรียงเวียนสลับ มักเป็นรูปหัวใจ รูปไข่กว้าง หรือรูปกลม กว้าง 6-12ซม. ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนเรียวแหลมยาว ปลายจักเป็นรูปหัวใจลึก หรือตื้น เนื้อเหมือนแผ่นกระดาษบาง มักมีต่อม ใบข้างล่างบางทีเจอต่อมแบนตามโคนง่ามของเส้นใบ เส้นใบออกจากโคนใบรูปฝ่ามือมี 3-5 เส้น รวมทั้งมีเส้นกิ่งก้านสาขาใบอีก 1-3 คู่ ก้านใบยาว 5-15 ซม. บวมพอง รวมทั้งเป็นข้องอ ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งแก่ๆที่ไม่มีใบ มักมีดอกเมื่อใบหลุดร่วงหมด มี 2-3 ช่อ เล็กเรียว ดอกมีขนาดเล็กสีเขียวอมเหลือง ดอกเพศผู้แล้วก็เพศภรรยาแยกกันอยู่ต่างดอก ช่อดอกเพศผู้ ยาว 5-9 เซนติเมตร ดอกมี 1-3 ดอก ติดเป็นกลุ่ม ดอกเพศผู้ มีก้านดอกย่อยเล็กเรียว ยาว 2-4 มม. กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน วงนอกมี 3 กลีบ รูปไข่ หนาที่โคน ยาว 1-1.5 มม. วงในมี 3 กลีบ รูปไข่กลับ มีก้านกลม หรือโคนแหลม ยาว 3-4 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 3 กลีบ กลีบวงนอกแค่นั้นที่เจริญขึ้น รูปใบหอกกลับแคบ แบน ไม่มีตุ่ม ยาว 2 มม. ส่วนกลีบวงในลดรูป เกสรเพศผู้มี 6 อัน ยาว 2 มม. ช่อดอกเพศภรรยา ยาว 2-6 มิลลิเมตร ดอกโดยมากเกิดผู้เดียวๆตามง่ามใบ ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงและกลีบดอกไม้คล้ายดอกเพศผู้ เกสรเพศผู้เลียนแบบมี 6 อัน เป็นรูปลิ่มแคบ ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 3 อัน ทรงรี ยาว 2 มม. ยอดเกสรเพศเมียเป็นพูสั้นมาก ผลออกเป็นช่อ มีก้านช่อยาว 1.5-2 เซนติเมตร มีก้านผลเป็นรูปครึ่งปิรามิด ยาว 2-3 มม. ใต้ลงมาเป็นกลีบเลี้ยงที่ติดแน่น รูปไข่ ยาว 2 มม. โค้งกลับ ผลสด เมื่อสุกมีสีเหลืองหรือสีส้ม ทรงรี ยาว 2 ซม. ฝาผนังผลชั้นในสีขาว ทรงรี กว้าง 7-9 มม. ยาว 11-13 มิลลิเมตร ผิวร่นนิดหน่อย หรือเกือบจะเรียบ มีสันที่ข้างบนชัด มีช่องเปิดรูปรีเล็กที่ด้านบน ออกดอกสิ้นเดือนเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม ติดผลราวเดือนเมษายนถึงพ.ค.
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์บอระเพ็ดสามารถทำเป็น 2 วิธี คือ การเพาะเม็ด และการปักชำกิ่ง การเพาะเม็ดนั้นต้องใช้เมล็ดจากผลที่สุกจัด ผลมีสีเหลืองเข้ม ยิ่งสำเร็จที่หล่นแล้วยิ่งดี แล้วหลังจากนั้น นำผลมาตากแดดให้แห้ง นาน 15-20 วัน และเก็บไว้ในร่มก่อนจนถึงต้นหน้าฝนก็เลยนำออกมาเพาะในถุงเพาะชำหรือใช้หยอดปลูกตามจุดที่อยาก การปลูกด้วยเม็ดนี้ จะได้เครือบอระเพ็ดที่ใหญ่ยาวมากกว่าการปักชำ  การปักชำเถา เป็นแนวทางหนึ่งที่สบายเร็ว ด้วยการตัดเถาบอระเพ็ดที่แก่จัด เถาแก่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ตัดเถายาว 20-30 เซนติเมตร ต่อไป ค่อยนำลงปักชำในถุงหรือกระถาง แนวทางนี้ จะได้ต้นที่งอกใหม่ภายใน 15-30 วัน แต่ลำต้นมักมีเครือไม่ยาวราวกับการเพาะเมล็ด แม้กระนั้นไม่ต่างอะไรกันมากสักเท่าไรนัก
ส่วนประกอบทางเคมี

  • สารขมชื่อ picroretin, columbin, picroretroside, tinosporide, tinosporidine
  • สารกลุ่มตรีเทอปีนป่ายอยส์ ตัวอย่างเช่น Borapetoside A, Borapetoside B, Borapetol A, Tinocrisposide, tinosporan
  • สารกลุ่มอัลคาลอยด์ ดังเช่น N-formylannonaine, N-acetylnornuciferine ฯลฯ
  • สารจำพวกอามีนที่พบ เป็นต้นว่า N-trans-feruloyl tyramine, N-cis-feruloyl tyramine
  • สารฟีนอสิคไกลโคไซด์ เป็นต้นว่า tinoluberide
  • สารอื่นๆยกตัวอย่างเช่น berberine, β-sitosterol

ที่มา : wikipedia
คุณประโยชน์/สรรพคุณ น้ำสกัดหรือน้ำต้มจากบอระเพ็ดสามารถใช้ฉีดพ่นกำจัด และคุ้มครองป้องกันหนอนแมลงศัตรูพืช อาทิเช่น หนอนใยผัก และก็เพลี้ยต่างๆได้เป็นอย่างดี ส่วนลำต้น และใบของบอระเพ็ดสามารถใช้ผสมในอาหารสัตว์หรือให้สัตว์กินโดยตรง เพื่อสัตว์มีสุขภาพดี และรักษาโรคในสัตว์ ทั้งยังโค ควาย หมู ไก่ และก็อื่น ซึ่งประชาชนนิยมให้ไก่ชนกินในระยะก่อนออกชน นอกเหนือจากนี้ลำตัน รวมทั้งใบยังสามารถนำมาบด และก็ใช้พอกศีรษะหรือสระผม สำหรับกำจัดเหาได้อีกด้วย ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของบอระเพ็ดนั้นมีดังนี้
แบบเรียนยาไทย
ใช้  เถา ซึ่งมีรสขมจัดเย็น แก้ไข้ทุกประเภท แก้พิษไข้ทรพิษ เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มดื่มเพื่อเจริญอาหาร ช่วยสำหรับในการย่อย บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ แก้โรคกระเพาะอาหาร บำรุงร่างกาย แก้สะอึก แก้มาลาเรีย เป็นยาขับเหงื่อ ดับหิว แก้ร้อนในดีเลิศ แก้อหิวาต์ แก้ท้องร่วง ไข้ป่า ระงับความร้อน ทำให้เนื้อเย็น แก้โลหิตพิการ ใช้ภายนอกใช้ล้างตา ล้างแผลที่เกิดขึ้นมาจากโรคซิฟิลิส ใบ มีรสขมเมา เป็นยาพอกบาดแผล ทำให้เย็นและก็ทุเลาลักษณะของการปวด ดับพิษปวดแสบปวดร้อน พอกฝี แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้คัน แก้โรครำมะนาด ปวดฟัน ฆ่าแมลงที่ไพเราะ ฆ่าพยาธิไส้เดือน แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง บำรุงน้ำดี  ราก มีรสขม เป็นยาช่วยทำให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ รากอากาศ รสขมเย็น แก้ไข้ขึ้นสูงมีอาการบ้าเพ้อ ดับพิษร้อน ทำลายพิษร้อน ถอนพิษไข้ เจริญอาหาร ผล รสขม แก้ไข้ แก้เสมหะเป็นพิษ ทุกส่วนของพืช ใช้แก้ไข้ เป็นยาบำรุง โรคดีซ่าน ยาเจริญอาหาร แก้มาลาเรียใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ร้อนในอยากกินน้ำ
นอกเหนือจากนี้บอระเพ็ดยังจัดอยู่ใน “พิกัดตรีญาณรส” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่ทำให้รู้รสอาหาร 3 อย่าง มี ไส้หมาก รากสะเดา เถาบอระเพ็ด มีคุณประโยชน์ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับปัสสาวะ ขับเสลด บำรุงไฟธาตุ บำรุงกำลัง “พิกัดยาแก้ไข้ 5 ประเภท” คือการจำกัดปริมาณตัวยาแก้ไข้ 5 อย่าง มี รากย่านาง รากคนทา รากต้นกระโรกใหญ่ ขี้เหล็กอีกทั้ง 5 และก็เถาบอระเพ็ด สรรพคุณแก้ไข้พิษร้อน
แบบเรียนอายุรเวทของประเทศอินเดีย ใช้ เถา เป็นยาแก้ไข้ เหมือนกับชิงช้าชาลี กล่าวไว้ว่า แก้ไข้ดีเท่ากับซิงโคนา แก้ธาตุเปลี่ยนไปจากปกติ โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้อาการเกร็ง
แบบอย่าง/ขนาดการใช้
รักษาอาการไข้ ใช้เถาบอระเพ็ดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเหลือเกิน (เถาเพสลาก) ประมาณ  1- 1.5  ฟุต (2.5 คืบ) หรือเถา น้ำหนัก  30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มเติมน้ำเล็กน้อย  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  ต้มให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผง  ทำให้เป็นลูกกลอนกินวันละ  2  ครั้ง  ก่อนอาหาร  ตอนเช้า  เย็น
           รักษาอาการไม่อยากอาหาร: ใช้เถาที่โตเต็มที่   ประมาณ  1- 1.5   ฟุต  (2.5 คืบ)  น้ำหนัก หรือเถา 30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มเติมน้ำนิดหน่อย  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  เคี่ยวให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผุยผง  ทำให้เป็นลูกกลอนรับประทานวันละ  2  ครั้ง  ก่อนที่จะกินอาหาร  รุ่งเช้า  เย็น  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้บอระเพ็ด / เมล็ดข่อย / หัวหญ้าแห้วหมู / เมล็ดพริกไทย / เปลือกต้นทิ้งถ่อน / เปลือกต้นตะโกนา ในรูปร่างเสมอกันนำมาบดเป็นผง ปั้นเป็นยาลูกกลอนเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานก่อนนอนทีละ 2-3 เม็ด หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะนำเถาบอระเพ็ดมาหั่นตากแห้งแล้วนำมาบดให้เป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้  ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เถาสดที่โตเต็มกำลังตากแห้งแล้วบดเป็นผุยผง เอามาชงน้ำร้อนดื่มทีละ 1 ช้อน รุ่งเช้าและเย็น แก้โรคกระเพาะอาหารด้วยการใช้บอระเพ็ด 5 ส่วน / มะขามเปียก 7 ส่วน / เกลือ 3 ส่วน / น้ำผึ้งพอเหมาะ เอามาคลุกเคล้าจะกว่าจะเข้ากันแล้วรับประทานก่อนกินอาหาร 3 เวลา นำทุกส่วนของบอระเพ็ด (เถา,ใบ,ราก) มาบดแล้วใช้ประคบฝี เพื่อลดน้ำหนอง,ลดลักษณะของการปวดบวม หรือ แผล(สำหรับห้ามเลือด)
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดไข้    มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ของบอระเพ็ด โดยทดลองกับสัตว์ทดลองที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดไข้ด้วยสารต่างๆอย่างเช่น การทดสอบกรอกสารสกัดบอระเพ็ดด้วยอัลกอฮอล์และน้ำ (1:1) ให้กระต่ายที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดไข้ด้วยยีสต์ พบว่าสารสกัดไม่มีฤทธิ์ลดไข้ บุญเทียม แล้วก็คณะ ได้ทดสอบให้สารสกัดบอระเพ็ดด้วยน้ำกับหนูเพศผู้ที่ถูกรั้งนำให้เกิดไข้ด้วยวัคซีนไข้รากสาดน้อยในขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม โดยการผสมกับน้ำกิน  พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ รวมทั้งต่อมาได้ทำทดสอบโดยให้สารสกัดบอระเพ็ดกับกระต่ายและก็หนูขาวเพศผู้ที่รั้งนำให้กำเนิดไข้ด้วย LPS (Lipopolysaccharide) ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. แล้วก็ 600 มก./กก. เป็นลำดับ พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ได้ด้วยเหมือนกัน จากการศึกษาเชื่อว่ากลไกสำหรับเพื่อการยั้งการเกิดไข้ของสารสกัดบอระเพ็ดน่าจะมีสาเหตุมาจากการไปยั้งการผลิต interleukin-1 หรือ prostaglandins (PGs) ซึ่งกลไกนี้เป็นกลไกที่อยู่ในระบบ CNS นอกเหนือจากนั้นยังมีผู้พบว่าส่วนสกัดด้วยบิวทานอลมีฤทธิ์ลดไข้ ไม่มีการทดลองแยกสารออกฤทธิ์ลดไข้จากบอระเพ็ด แต่มีรายงานฤทธิ์ลดไข้ของสารที่เจอในบอระเพ็ดคือ berberine เมื่อป้อนให้หนูในขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้ง b-sitosterol ซึ่งออกฤทธิ์ในขนาด 160 มก./กิโลกรัม
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ        มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดการอักเสบของชาชงบอระเพ็ดโดยการกรอกให้แกะเพศผู้ (ตอน) ในขนาด 8 มิลลิลิตร/ตัว พบว่าชาชงบอระเพ็ดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเทียบเท่ากับแอสไพริน 30 มก./น้ำหนักตัว 200 กรัม Higashino รวมทั้งคณะ ได้เรียนรู้ฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเถาบอระเพ็ดด้วยเมทานอล (50%) กับหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วย carrageenin โดยให้กินสารสกัดในขนาด 10 มก./กก. พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ โดยส่วนสกัดด้วยบิวทานอผุดผ่องกฤทธิ์เจริญที่สุด ไม่ว่าจะให้โดยการกิน ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าช่องท้อง รวมทั้งพบว่าส่วนสกัดในขนาด 3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังมีฤทธิ์เทียบเท่ากับ sulpyrine 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และก็ diphenhydramine 10 มก./กิโลกรัม
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A สารสำคัญที่พบในต้นบอระเพ็ด โดยการฉีด borapetosides A ให้แก่หนูเม้าส์ที่เป็นโรคเบาหวาน จำพวกที่ 1 และก็ชนิดที่ 2 รวมทั้งหนูเม้าส์ธรรมดา วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน พบว่า borapetosides A จะช่วยเพิ่มระดับของไกลวัวเจน รวมทั้งลดน้ำตาลในเลือดได้อีกทั้งหนูปกติ รวมทั้งหนูที่เป็นโรคเบาหวาน โดยฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของ borapetosides A เกี่ยวโยงกับการเพิ่มปริมาณอินซูลินในหนูปกติรวมทั้งหนูที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลินในหนูที่เป็นเบาหวานจำพวกที่ 1 ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสาร borapetosides A กระตุ้นการสังเคราะห์ไกลโคเจนในเซลล์เนื้อกล้าม รวมทั้งลดการแสดงออกของโปรตีน phosphoenolpyruvate carboxylase ที่เพิ่มขึ้นจากการเป็นโรคเบาหวานได้ การค้นคว้านี้ชี้ให้เห็นว่าสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ดสามารถออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้จำพวกที่เกี่ยวพันและไม่เกี่ยวข้องกับอินซูลิน โดยผ่านกลไกกระตุ้นการใช้กลูโคสของกล้ามเนื้อ ลดการสะสมน้ำตาลในเซลล์ และก็กระตุ้นการผลิตอินซูลิน
การทดสอบในสัตว์ทดสอบพบว่าบอระเพ็ดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนการเล่าเรียนในคนไข้เบาหวานโดยให้ทานบอระเพ็ด วันละ 250 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าช่วยลดระดับน้ำตาลได้ แม้กระนั้นขณะที่กำลังทำการทดสอบคนเจ็บหลายรายมีลักษณะอาการตับอักเสบ และก็พบว่าการใช้บอระเพ็ดในขนาดสูงรวมทั้งติดต่อกันเป็นเวลานานจะเป็นพิษต่อตับรวมทั้งไต มีรายงานการวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่าเมื่อให้อาสาสมัครร่างกายแข็งแรง 12 ราย รับประทานบอระเพ็ดขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 อาทิตย์ พบว่าแนวโน้มทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในตับมากขึ้น แปลว่ามีลัษณะทิศทางจะมีผลให้เกิดพิษต่อตับ
การศึกษาทางพิษวิทยา  การทดสอบพิษรุนแรงของสารสกัดเถาด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 1,786 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล ตรวจไม่เจออาการเป็นพิษ  เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูถีบจักร ขนาด 4 กรัม/กก. เสมอกันผงยาแห้ง 28.95 กรัม/กิโลกรัม ไม่ทำให้เกิดอาการพิษ การศึกษาพิษเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูขาวจำพวกวิสตาร์ทั้ง 2 เพศ ในขนาด 0.02, 0.16 และ 1.28 ก./กิโลกรัม/วัน หรือเท่ากันผงแห้ง 0.145, 1.16 แล้วก็ 9.26 กรัม/กก. เป็นเวลา 6 เดือน พบว่าหนูขาวทั้งสองเพศที่ได้รับสารสกัดในขนาด 1.28 ก./กิโลกรัม ส่งผลทำให้น้ำหนักหนูน้อยกว่ากลุ่มควบคุมรวมทั้งเกิดอาการแตกต่างจากปกติของรูปแบบการทำงานของตับและไตได้          มีหมอผู้ทำการศึกษาศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับฤทธิ์ลดเบาหวานของบอระเพ็ด พบว่าผู้ป่วยมีอาการตับอักเสบหลายราย
ข้อเสนอ/ข้อพึงระวัง

  • ส่วนที่นิยมนำเถาบอระเพ็ดมาใช้ทำเป็นยาจะเป็นส่วนของ “เถาเพสลาก” ด้วยเหตุว่ามีลักษณะไม่แก่หรืออ่อนเกินไปนัก และก็มีรสชาติขมจัด แม้กระนั้นหากเป็นเถาแก่จะแตกแห้ง รสเฝื่อน ไม่ขม หรือถ้าหากอ่อนเหลือเกินก็จะมีรสไม่ขมมาก
  • การเรียนรู้ในอาสาสมัครสุขภาพดี 12 ผู้ที่กินบอระเพ็ดในขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 สัปดาห์ พบแนวโน้มระดับเอนไซม์ในตับมากขึ้นแสดงว่าน่าจะก่อเกิดพิษต่อตับ
  • แม้นำบอระเพ็ดมาใช้และก็เจออาการแตกต่างจากปกติของการทำงานตับรวมทั้งไต ควรจะหยุดการใช้
  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับขาดตกบกพร่อง หรือผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต
  • สมุนไพรบอระเพ็ดสำหรับการรับประทานในส่วนของรากโดยตลอดเป็นเวลานานอาจมีผลต่อหัวจิตใจ เพราะเหตุว่าเป็นยารสขม สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือไม่ควรใช้ติดกันสม่ำเสมอเกิน 1 เดือน ถ้าหากว่าจะต้องใช้ในเดือนถัดไปก็ควรจะเว้นระยะเวลา 1-2 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำเพื่อให้ร่างกายสามารถปรับภาวะได้ก่อน ถ้าใช้ไปแล้วมีลักษณะมือเท้าเย็น แขนขาหมดเรี่ยวแรงก็ควรหยุดกิน
เอกสารอ้างอิง

  • [url=http://www.disthai.com/16913475/%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%94]บอระเพ็ด.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • บุญเทียม คงศักดิ์ตระกูล  ยุวดี วงษ์กระจ่าง และคณะ.  รายงานฉบับสมบูรณ์ขององค์การเภสัชกรรม, 2541:18pp.
  • Higashino H, Suzuki A, Tanaka Y, Pootakham K.  Inhibitory effects of Siamese Tinospora crispa extracts on the carrageenin-induced foot pad edema in rats (the 1st report).  Nippon Yakurigaku Zasshi 1992;100(4):339-44.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.disthai.com/[/color]
  • Kongsaktrakoon B, Temsiririrkkul R, Suvitayavat W, Nakornchai S, Wongkrajang Y.  The antipyretic effect of Tinospora crispa Mier ex Hook.f. & Thoms.  Mahidol Univ J Pharm Sci 1994;21(1):1-6.
  • บอระเพ็ด.ชาสมุนไพรบรรเทาอาการไข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หน้า3-5
  • กัมปนาท รื่นรมย์.ประสิทธิภาพและการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากบอระเพ็ดในการเป็นสารกำจัดแมลงต่อหนอนใยผัก(Plutella xylostella L.)
  • Sabir M, Akhter MH, Bhide NK.  Further studies on pharmacology of berberine.  Indian J Physiol Pharmacol 1978;22:9.
  • บอระเพ็ด ประโยชน์/สรรพคุณบอระเพ็ด.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทยบุญส่ง คงคาทิพย์ และสมนึก วงศ์ทอง การแยกสารออกฤทธิ์ฆ่าหนอนเจาะเสมอฝ้ายจากต้นบอระเพ็ดและการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสารกับการออกฤทธิ์
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ด.ข่าวความเคลื่อนไหนสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Rivai Y.  Antiinflammatory effects of Tinospora crispa (L) Miers ex Hook.f & Thoms stem infusion on rat.  MS Thesis, Dept Pharm, Fac Math & Sci, Univ Andalas, Indonesia, 1987.
  • บอระเพ็ดกับเบาหวาน.กระทู้ถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Gupta M, Nath R, Srivastava N, Shanker K, Kishor K, Bhargava KB.  Anti-inflammatory and antipyretic activities of b-sitosterol.  Planta Med 1980;39:157-63.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ.สำนังานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chavalittumrong P, Attawish A, Chuthaputti A, Chuntapet P.  Toxicological study of crude extract of Tinospora crispa Miers ex Hook.f. & Thoms.  Thai J Pharm Sci 1997;21(4):199-210.


Tags : บอระเพ็ด
30  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / งาดำที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2018, 03:05:46 pm
งาดำ
ชื่อสมุนไพร งาดำ
ชื่อสามัญ  Black Sasame seeds Black
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn
วงศ์ Pedaliaceae
บ้านเกิด  งามีบ้านเกิดในทวีปแอฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังประเทศอินเดีย จีน และประเทศต่างๆในแถบเอเชียรวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการบอกว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่พ่อค้าชาวอาหรับ รวมทั้งเมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ และก็ ยุโรป
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผู้พบหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามายาวนานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล รวมทั้งใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา แล้วก็ของกิน ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes บอกว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกเอาไว้ในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แต่ปรากฏว่าสภาพอากาศไม่เหมาะกับการปลูก แล้วก็ในช่วงปลายศตวรรษที่17 รวมทั้ง18 มีการนำงามาปลูกในอเมริกาโดยขี้ข้าชาวแอฟริกัน
ด้านการใช้ผลดีจากงาดำนั้นประเทศอินเดีย จีน และก็ประเทศอื่นๆในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อประกอบอาหาร ส่วนคนยุโรปจะนำงามาทำขนมเค้ก ไวน์ และนํ้ามัน รวมถึงใช้ในการทำกับข้าว และก็เป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ ประทัด และก็พอกผิวหนัง และใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงฯลฯ
ลักษณะทั่วไป
งาดำ เป็นพืชล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรง บางทีอาจแตกกิ่งหรือเปล่าแตกกิ่งแขนง ลำต้นสูงราวๆ 50-150 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะสีเหลี่ยม มีร่องตามแนวยาว ไม่มีแก่น มีลักษณะอวบน้ำ รวมทั้งมีขนสั้นปกคลุม เปลือกลำต้นบาง มีสีเขียว  ใบงาดำ ออกเป็นใบลำพัง เรียงตรงข้ามกันเป็นชั้นๆตามความสูง ประกอบด้วยก้านใบสั้น ยาวประมาณ แผ่นใบมีรูปหอก สีเขียวสด กว้างโดยประมาณ 3-6 ซม. ยาวประมาณ 8-16 ซม. โคนใบมนกว้าง ปลายใบแหลม ขอบของใบหยักนิดหน่อย มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบตรงข้ามกันเป็นคู่ๆยาวถึงขอบของใบ ดอกงาดำเป็นดอกลำพังหรือเป็นกรุ๊ปตรงซอกใบ จำนวน 1-3 ดอก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น มีกลีบรองดอก จำนวน 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นกรวย ห้วยลงดิน กลีบอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกเมื่อบานมีสีขาว ยาวโดยประมาณ 4-5 เซนติเมตร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กลีบด้านล่าง แล้วก็กลีบบน โดยกลีบล่างจะยาวกว่ากลีบบน ข้างในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ มี 1 คู่ยาว ส่วนอีกคู่สั้นกว่า ส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน มีก้านเกสรยาว 1.5-2 ซม. ปลายก้านเกสรวิ่นเป็น 2-4 แฉก  ผลงาดำเรียกว่า ฝัก มีลักษณะทรงกระบอกยาว ผิวฝักเรียบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง และก็แบ่งได้ร่องพู 2-4 ร่อง กว้างประมาณ 1 ซม. ยาวราว 2-3 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุม ฝักแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเบาๆกลายเป็นสีดำอมเทา แล้วต่อจากนั้น ร่องพูจะปริแตก เพื่อเมล็ดร่วงลงดิน  ด้านในฝักมีเมล็ดขนาดเล็ก สีดำจำนวนไม่ใช่น้อย เม็ดเรียงซ้อนในร่องพู เม็ดมีรูปรี และก็แบน ขนาดเม็ดประมาณ 2-3 มม. เปลือกเมล็ดบางมีสีดำ มีกลิ่นหอมสดชื่น แต่ละฝักมีเม็ดราวๆ 80-100 เม็ด
การขยายพันธุ์ งาดำแพร่พันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ซึ่งนิยมปลูกด้วยกัน 2 แบบเป็นการหว่านเมล็ด และก็โรยเม็ดเป็นแถว แบ่งตอนปลูกออกเป็น 3 ตอน เป็น

  • ช่วงต้นหน้าฝน โดยประมาณพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน และก็เก็บเกี่ยวในตอนเดือนกรกฎาคม-ส.ค.
  • ช่วงปลายหน้าฝน ราวเดือนกรกฎาคม-ส.ค. และก็เก็บเกี่ยวในตอนเดือนกันยายน-ตุลาคม
  • ช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าว ราวๆเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงม.ค.-ก.พ.

การเตรียมแปลงปลูก ในพื้นที่ที่มีระบบระเบียบชลประทานเข้าถึง สามารถปลูกงาดำได้ทุกฤดู ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานมักปลูกลงในช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ
พื้นที่แปลงปลูกจะต้องไถกลบดิน 1 รอบก่อน รวมทั้งตากดินนาน 7-10 วัน จากนั้น หว่านด้วยปุ๋ยหมัก ประมาณ 1-2 ตัน/ไร่ ก่อนไถลูกพรวนดินกลบอีกรอบ หรือหว่านปุ๋ยมูลสัตว์ตั้งแต่ตอนไถรอบแรก (ใช้สำหรับพื้นที่ไม่เกลื่อนกลาดมากมาย) เพราะรอบต่อมาจะเป็นการหว่านเม็ดได้เลย ส่วนการปลูกแบบหยอดเม็ด ให้ไถร่องตื้นหรือใช้คราดดึงทำแนวร่องก่อน
การปลูก

  • การปลูกแบบหว่านลงแปลง ข้างหลังไถกลบรอบแรกหรือไถลูกพรวนดินในรอบ 2 แล้ว ให้หว่านเม็ดงาดำ อัตรา 0.5-1 กก./ไร่ ควรหว่านเมล็ดให้กระจายให้สูงที่สุด ก่อนไถลูกพรวนหน้าดินตื้นๆกลบ
  • การปลูกแบบหยดเมล็ดเป็นแนว หลังไถยกร่องหรือดึงคราดทำแนวร่องเสร็จ ให้โรยเม็ดตามความยาวของร่อง ให้เม็ดห่างกันอย่างสม่ำเสมอ ใช้เม็ดในอัตราเดียวกับการหว่านเม็ด ก่อนคราดหรือเกลี่ยหน้าดินกลบ

การรักษา หลังการหว่านเม็ด แม้ปลูกเอาไว้ในตอนแล้ง เกษตรมักติดตั้งระบบให้น้ำ ซึ่งควรให้บ่อยๆ 2-3 ครั้ง/อาทิตย์ ส่วนการปลูกในหน้าฝน เกษตรมักปลดปล่อยให้งาดำเติบโตโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ทั้งนี้ ถ้าเกิดเจอโรคหรือแมลงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัด ส่วนการใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในระยะ 1-1.5 เดือน แรกหลังปลูก แล้วก็บางทีอาจใส่ร่วมกับปุ๋ยมูลสัตว์ อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ส่วนการกำจัดวัชพืช ให้ลงแปลงถอนวัชพืชด้วยมือบ่อยๆ ทุก 2 ครั้ง/ เดือน โดยยิ่งไปกว่านั้นใน 1-1.5 เดือนแรก
การเก็บเกี่ยวผลผลิต งาดำ สามารถเก็บเกี่ยวเม็ดได้ข้างหลังการปลูกโดยประมาณ 70-120 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยพิจารณาจากฝักที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ส่วนใบจะเริ่มสีเหลือง และก็บางจำพวกมีการหล่นแล้ว ดังนี้ จะต้องเก็บฝักก่อนที่จะเปลือกฝักจะปริแตก ส่วนพันธุ์งาดำที่นิยมนำมาปลูกในปัจจุบันนั้นมีด้วยกัน 4 จำพวกเป็น

  • งาดำ บุรีรัมย์ จัดเป็นชนิดพื้นเมือง มีลักษณะเด่นหมายถึงฝักแบ่งได้ 4 กลีบใหญ่ เมล็ดมีขนาดใหญ่ สีแทบดำสนิท แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง โดยประมาณ 90-100 วัน ได้ผลผลิต ราว 60-130 กิโล/ไร่
  • งาดำ จังหวัดนครสวรรค์ จัดเป็นประเภทพื้นบ้านที่นิยมมากมายในเกือบทุกภาค โดยเฉพาะภาคกึ่งกลาง เหนือ แล้วก็อีสาน มีลักษณะเด่นเป็นลำต้นค่อนข้างจะสูง มีการเลื้อย และก็แตกกิ่งก้านมากมาย ใบมีขนาดใหญ่ มีลักษณะค่อนข้างจะกลม ส่วนเมล็ดมีสีดำ อวบ รวมทั้งขนาดใหญ่ แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง โดยประมาณ 95-100 วัน ได้ผลผลิต 60-130 กิโลกรัม/ไร่
  • งาดำ มก.18 เป็นชนิดงาดำแท้ ที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในตอนปี 2528-2530 ที่ได้จากการผสมของงาชนิด col.34 กับงาดำ นครสวรรค์ มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นออกจะสูง มีการทอดยอด แม้กระนั้นไม่แตกกิ่ง ลำต้นมีข้อสั้น ทำให้ปริมาณของฝักต่อต้นสูง เม็ดมีสีดำสนิท 1,000 เม็ด มีน้ำหนักราวๆ 3 กรัม ถ้าหากในฤดูฝนจะแก่การเก็บเกี่ยวโดยประมาณ 85 วัน แม้ปลูกฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง มีอายุการเก็บเกี่ยว ราว 90 วัน ได้ผลผลิต แต่ออกจะสูง ในตอน 60-148 กิโลกรัม/ไร่
  • งาดำ มข.2 เป็นประเภทไม่ไวต่อช่วงแสงที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีประเภทดั้งเดิมหมายถึงงาดำ ประเภท ซีบี 80 ที่นำเข้ามาจากจีน มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นสูงราว 105-115 เซนติเมตร ลำต้นมีการแตกกิ่ง แต่แตกน้อย ราว 3-4 กิ่ง/ต้น เม็ดสีดำสนิท 1,000 เมล็ด หนักโดยประมาณ 2.77 กรัม มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าชนิดอื่นๆประมาณ 70-75 วัน ได้ผลผลิตปานกลางถึงสูง ราว 80-150 กิโลกรัม/ไร่ เป็นชนิดที่ทนแล้ง รวมทั้งต่อต้านต่อโรค เน่าดำได้ดี
ส่วนประกอบทางเคมี
ในเมล็ดมีน้ำมันอยู่ราว 45-55% มีกรดไขมันเป็นต้นว่า oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, นอกเหนือจากนั้นยังมี สารกรุ๊ป lignan, ชื่อ Sesamin , sesamol, 
d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆดังเช่นว่า sitosterol  (สารกันเหม็นหืนคือ sesamol ทำให้น้ำมันงาไม่เหม็นหืน)
                นอกนั้นงาดำยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของงาดำ (งาดำ 100 กรัม)
น้ำ                           4.2          กรัม
พลังงาน                 603         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.6        กรัม
ไขมัน                       48.2        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        21.8        กรัม
ใยอาหาร                                9.9          กรัม
เถ้า                           5.2          กรัม
แคลเซียม                               1228       มิลลิกรัม
เหล็ก                       8.8          มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                              584         มก.
 
ไทอะมีน                 0.94        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                           0.27        มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  3.5          มก.
กรดกลูดามิก                         3.955     กรัม
กรดแอสพาร์ตำหนิก                     1.646     กรัม
เมไธโอนีน                              0.586     กรัม
ทรีโอนีน                  0.736     กรัม
ซีสหนอีน                   0.358     กรัม
ซีรีน                         0.967     กรัม
ฟีนิลอะลานีน                        0.940     กรัม
อะลานีน                 0.927     กรัม
อาร์จินีน                 2.630     กรัม
โปรลีน                    0.810     กรัม
ไกลซีน                    1.215     กรัม
ฮิสทิดีน                   0.522     กรัม
ทริปโตเฟน                             0.388     กรัม
ไทโรซีน                   0.743     กรัม
วาลีน                      0.990     กรัม
ไอโซลิวซีน                              0.763     กรัม
ลิวซีน                      1.358     กรัม
ไลซีน                       0.569     กรัม
ธาตุแคลเซียม                        975         มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก                               14.55     มก.
ธาตุซีลีเนียม                          5.7          มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม                           11           มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                      629         มก.
ธาตุสังกะสี                            7.75        มก.
ธาตุโพแทสเซียม                   468         มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม                     351         มก.
ธาตุแมงกานีส                       2.460     มก.
ธาตุทองแดง                          4.082     มก.
 
ผลดี/คุณประโยชน์ งาดำนิยมประยุกต์ใช้เป็นสัดส่วนประกอบของของหวานต่างๆอาทิเช่น ไอติมงาดำ , คุกกี้งาดำ , ขนมเค้กงาดำ , นมงาดำ , กระยาสารท ฯลฯ หรือใช้เป็นส่วนผสมภัณฑ์เสริมความสวยสดงดงามต่างๆตัวอย่างเช่น สบู่ โลชั่นสำหรับบำรุงผิว อื่นๆอีกมากมาย ส่วนสรรพคุณทางยาของงาดำนั้นสามารถช่วยทำนุบำรุงร่างกายแทบทุกรูปร่าง ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ ก็เลยเหมาะกับทุกวัย แม้กระทั่งเด็กที่มีลักษณะป่วยอยู่แล้ว หรือสตรีที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นมากอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยคุ้มครองโรคสภาวะกระดูกพรุนอย่างเห็นผล โดยในตำราเรียนยาไทยกล่าวว่า ใช้น้ำมันระเหยยากที่บีบจากเม็ด หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผล และผสมเป็นน้ำมันทาถูนวดแก้เคล็ดลับปวดเมื่อย ฟกช้ำ ปวดบวม ลดการอักเสบ ใส่แผลรักษาอาการผื่นคัน ทำน้ำมันใส่ผม เป็นยาระบายอ่อนๆทาผิวหนังให้นุ่มแล้วก็เปียกชื้น หญิงไทยโบราณใช้ทาเพื่อประทินผิว คุณประโยชน์พื้นเมืองกล่าวว่า เมล็ด ก่อให้เกิดกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่ว่าทำให้ดีกำเริบเสิบสาน น้ำมัน ทำน้ำมันใส่แผล ใส่แผลเน่าเปื่อย มักใช้ผสมยาใช้ภายนอกสำหรับกระดูกหัก บำรุงเอ็น ไขข้อ ทานวดแก้กลยุทธ์ยอก ปวดบวม หรือใช้ทาบำรุงรากผม
ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก เกลื้อน น้ำร้อนลวก ไฟไหม้
           ตำรับยาน้ำมันที่เจาะจงในแบบเรียนพระยาพระนารายณ์: มีรวม 3 ตำรับ ที่ใช้น้ำมันงาเป็นส่วนประกอบ ดังนี้ “น้ำมันทรงแก้พระผมหล่น (ผมร่วง)ให้คันให้หงอก” ประกอบด้วยสมุนไพร 19 จำพวก เอามาต้มแล้วกรองกากออก เติมน้ำมันงา แล้วหุงให้เหลือแค่น้ำมันใช้แก้พระผมหล่อน คัน หงอก “น้ำมันแก้ยุ่ยพัง” มีคุณประโยชน์ แก้ขัดเบาหรือปัสสาวะไม่ออก แก้ปวดขบ แก้หนอง มีรวม 2 ตำรับ แต่ละตำรับ ประกอบด้วยสมุนไพร 12 จำพวก และน้ำมันงาพอสมควร หุงให้เหลือแค่น้ำมัน ยานี้ใช้ ยอนเป่าเข้าไปในลำกล้อง (ทางเท้าเยี่ยวในองคชาติ)
ส่วนแบบเรียนแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่าสารออกฤทธิ์ในงาดำมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ต้านทานการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต้านเซลล์มะเร็ง  รักษาอาการไอ จากการเจาะจงคุณภาพการดูแลรักษาโรคของเมล็ดงาโดยฐานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ที่ว่าช่วยบรรเทาอาการไอ นับมีประโยชน์ข้อเดียวของงาดำและงาขาวที่มีข้อมูลสูงที่สุดในตอนนี้  ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันงายอดเยี่ยมในน้ำมันจากพืชที่กล่าวกันว่าดีต่อสุขภาพ โดยเชื่อว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันประเภทดีที่ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลรวมทั้งในน้ำมันงานี้ยังพบไขมันอิ่มตัวในจำนวนน้อย วัยทอง หญิงที่เข้าสู่วัยหมดระดูซึ่งเป็นสภาวะของความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกต่อไป บางทีอาจได้ใช้ประโยชน์จากสารเซซามิน (Sesamin) ในเม็ดงาที่มั่นใจว่าเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกจุลินทรีย์ในลำไส้แปรไปเป็นสารสำคัญอย่างเอนเทอโรแลกโตน (Enterolactone) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนแล้วก็มีโครงสร้างทางเคมีเหมือนฮอร์โมนเอสโตเจนของเพศหญิงอย่างไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) งาเป็นของกินที่มีธาตุมากมายที่สำคัญหมายถึงธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยปริมาณแคลเซียมที่พบจะมีมากกว่าผักทั่วๆไปกว่า 40 เท่า และฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักทั่วๆไปกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นธาตุที่ทำหน้าที่เสริมสร้างกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก แล้วก็สตรีวัยหมดประจำเดือน กรดไขมันไลโนเลอิค และกรดไขมันประเภทโอเลอิค ช่วยในการลดระดับไขมันจำพวกต่างๆในเส้นโลหิต และช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดเกล็ดเลือด แล้วก็ลิ่มเลือด  งามีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณตํ่า แต่ว่ามีวิตามินบีทุกชนิดสูงจึงถือได้ว่างามีวิตามินบีอยู่ดูเหมือนจะทุกประเภท จึงมีคุณประโยชน์ช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ทุเลาอาการเหน็บชา แก้ร่างกายอ่อนล้า แก้ลักษณะของการปวดปวดเมื่อย แล้วก็แก้การเบื่อข้าว  งามีจำนวนใยอาหารในจำนวนสูง ปฏิบัติหน้าที่สร้างเสริม รวมทั้งกระตุ้นหลักการทำงานของไส้ ทั้งการย่อย การดูดซึม รวมทั้งการขับถ่าย ช่วยคุ้มครองป้องกันท้องผูก ยั้ง รวมทั้งดูดซับพิษ พร้อมขับออกทางอุจจาระ ทำให้คุ้มครองปกป้องมะเร็งในไส้ และควบคุมระดับไขมันในเลือด      กรดไลโนเลอิคเจอในเม็ดงาเยอะมาก เป็นกรดที่มีหน้าที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต และก็ช่วยรักษาความชื้นของผิวหนัง เพราะทำให้ฝาผนังเซลล์ด้านในด้านนอกดำเนินงานอย่างปกติ
ต้นแบบ/ขนาดการใช้ ในปัจจุบันงาดำนั้นส่วนมากจะนิยมเอามาทำเป็นขนมหรือส่วนผสมของขนมแล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคมากกว่าการใช้ผลดีในด้านอื่นๆแต่ว่าก็มีตำรายาไทยแผนโบราณที่ได้กำหนดจำนวนการใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆตัวอย่างเช่น

  • รักษาลักษณะของการปวดตามข้อ ใช้งาคั่วกิน 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการอ่อนล้า เมื่อตามร่างกาย กินงาคั่ว 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการเหน็บชา คั่วเม็ดงา 1 ลิตร ร่วมกับรำข้าว 1 ลิตร แล้วก็กระเทียมหั่น 1 กำมือ จากนั้น ตำบดผสมกัน แล้วก็ผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลกิน 1 เดือน
  • รักษาอาการคัดจมูก ใช้งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกับข้าวสุกหรือน้ำนมถั่วเหลืองกิน 2-3 วัน
  • รักษาอาการเป็นหวัด กินงาคั่ว วันละ 4 ช้อนโต๊ะ
  • รักษาอาการท้องผูก ใช้งาคั่วผสมกับเกลือกินร่วมกับข้าว
  • รักษาลักษณะของการปวดระดู รับประทานงาผง ½ ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง
  • ใช้บำรุงสมอง และระบบประสาท ใช้งาคั่วผสมกับมะขามป้อม และก็น้ำผึ้ง รับประทานวันละ 1 ครั้ง
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ      สาร sesamin จากน้ำมันเม็ดงา เมื่อกระทำการทดสอบโดยผสมลงในของกินของหนูถีบจักร และก็ป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดการติดโรค แล้วก็การอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งหนูที่มีการอักเสบจะมีการหลั่งสาร dienoic, eicosanoids, TNF-a (tumor necrosis factor-a) และ cyclooxygenase เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากผลของการทดลอง พบว่าสาร sesamin ในน้ำมันเม็ดงา มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่ลำไส้ของหนูได้ โดยลดการผลิตสารพวก Prostaglandin E2 (PGE2), Thromboxane B2 (TXB2) รวมทั้ง TNF-a อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ (1) เมื่อทำทดลองในชายปกติ 11 คน โดยฉีดสารที่นำมาซึ่งการอักเสบ Auromyose ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ของ TNF-a, PGE2 แล้วก็ leukotriene B4 (LTB4) ต่อจากนั้นให้ชาย 11 คน กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 18 ก./วัน นาน 12 อาทิตย์ รวมทั้งกระทำวัดระดับ TNF-a, PGE2  และก็ LTB4 ในกระแสเลือดทั้งยังก่อนแล้วก็ข้างหลังให้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา พบว่าระดับของสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบดังที่ได้กล่าวมาแล้วไม่มีความเคลื่อนไหว มีความหมายว่าน้ำมันงาไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (2) 0.5 ก. ของสารสกัดเมทานอล 100% จากเม็ดงา 100 กรัม ไม่เป็นผลยั้ง cyclooxygenase 2 และก็ nitric oxide ในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกรั้งนำโดย lipopolysaccharide (3)
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย        สารสกัดอัลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากเม็ดงา ความเข้มข้น 25 มคก./มล. (4) รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 80% จากใบ ลำต้น ราก รวมทั้งผล ความเข้มข้น 500 มก./มิลลิลิตร (5) ไม่มีผลยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (4, 5) รวมทั้งเชื้อ Pseudomonas aeruginosa (5)
การเรียนรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของงาดำและงาขาวที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดสอบในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีลักษณะอาการไอจากโรคหวัด โดยให้รับประทานน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนติดต่อกัน 3 วัน เพื่อลดความร้ายแรงรวมทั้งความถี่ของการไอ คำตอบพบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่รับประทานน้ำมันงาดีขึ้นกว่ากรุ๊ปกินยาหลอก แต่อยู่ในระดับไม่มากนัก แล้วก็เมื่อผ่านไป 3 วัน เด็กทั้ง 2 กรุ๊ปต่างมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้น และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงาก่อเกิดผลกระทบอะไรก็แล้วแต่ศึกษาวิจัยผู้ป่วยที่บาดเจ็บในโรงพยาบาลทั้งปวง 150 คน โดยกรุ๊ปหนึ่งให้การรักษาด้วยการทาน้ำมันงาพร้อมกันไปกับการดูแลรักษาธรรมดา ส่วนอีกกรุ๊ปให้การดูแลรักษาธรรมดาเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความร้ายแรงของความเจ็บปวดรวมทั้งทำให้ผู้เจ็บป่วยกินยาแก้ปวดลดน้อยลง
ภาควิชาแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นพบว่าในเมล็ดงาดำ มีสารเซซาไม่นอยู่ภายในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยสำหรับในการยับยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้เกิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมประสานกับกระดูกมากขึ้นนอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดตันในสมองเส้นโลหิตแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซามินจะเข้าไปช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพท้ายที่สุดก็เป็นโรคโรคมะเร็ง ที่ถือเป็นโรคที่เกิดมากมายเป็นอันดับ 1 ในช่วงเวลานี้ซึ่งเซลล์ของมะเร็งนั้นจะแพร่ขยายไปอย่างเร็วเนื่องจากมีเส้นโลหิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหล่อเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งนั้นๆจากนั้นก็จะแพร่กระจายไปบ่อยซึ่งสารเซซาไม่น ก็จะเข้าไปคุ้มครองป้องกันเซลล์กับตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งพร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กลับมา
โดยผลงานวิจัยในห้องแลปที่ได้ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท ได้ทดลองกับไข่ไก่ที่ปกติแล้วต่อจากนั้นได้กระทำฉีดเซลล์หรือสารพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะกำเนิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นโรคมะเร็ง แล้วหลังจากนั้นก็กระทำฉีดสารเซซาไม่น เข้าไปก็พบว่าการฟื้นฟูของเซลล์เริ่มกลับมาและก็ได้ทดสอบด้วยการฉีดสารเซซาไม่นเข้าไปในไข่ไก่ธรรมดา แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการคุ้มครองป้องกันเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ไม่ถูกฉีดสารเซซาไม่นอย่างเห็นได้ชัด
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา

  • การทดลองความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นปริมาณครึ่งเดียว (LD50) มีค่าพอๆกับ 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม น้ำมันจากเมล็ดงาไม่เจาะจงความเข้มข้น พบว่าเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง และก็เมื่อฉีดน้ำมันจากเมล็ดงาเข้าทางเส้นเลือดดำของกระต่าย พบว่า MIC มีค่าพอๆกับ 0.74 มิลลิลิตร/กิโลกรัม เมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด เม็ดฝ้าย น้ำมันที่ทำจากมะกอก และก็น้ำมันงาให้กับหนูเพศผู้-ภรรยา ในขนาด 0.1, 0.5% ของของกินเป็นระยะเวลานาน 105 วัน พบว่าหนูทุกตัวมีการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันที่ตับ แล้วก็ในหนูเพศภรรยา เยื่อที่
ต่อม thyroid ชนิด microfollicular จะมีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ  และในหนูทุกตัวที่ป้อนอาหารที่มีส่วนผสมในขนาด 0.5% ของอาหาร พบว่าน้ำหนักของหัวใจเพิ่มมากขึ้น

  • ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรายงานว่าคนรับประทานเมล็ดงา แล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ในคนเพศชายพบว่ามีอาการแพ้ด้วยการสูดดม และทำ skin prick tests ผล positive และเมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 2 มก./วัน พบว่าเกิดอาการผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ นอกจากนี้มีรายงานในคนเพศหญิง เมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 10 ก./คน และสูดดม พบว่าเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มีอาการหอบ จมูกอักเสบ และมีผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ และมีรายงานว่าผู้ที่รับประทานเมล็ดงา  และเกิดอาการแพ้แบบ anaphylactic shock เนื่องจากสารในเมล็ดงาไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันชนิด non-IgE ผู้ป่วยอายุ 46 ปี เกิดอาการแพ้หลังจากการใช้น้ำมันงาในเยื่อหุ้มฟัน ทำให้เกิด anaphylactic shock ด้วยเช่นกัน มีรายงานในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารที่มีงาเป็นส่วนผสม และเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง 10 ราย ผู้ป่วยทุกคนทำ skin prick test ต่องา และตรวจ IgE antibodies พบว่าได้ผล positive ทั้ง 2 ชนิด ทุกคน  และพบว่าสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงในงาคือ 2S albumin
  • พิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัดเมล็ดด้วยบิวทานอล เอทานอล (95%) และน้ำ เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียขนาด 3.05 ก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 200 มก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล:น้ำ (1:1) เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียทางปากขนาด 200 มก./กก.  พบว่าไม่มีพิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเบนซีนและปิโตรเลียมอีเทอร์  เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ทางสายยางให้อาหารขนาด 150 มก./กก. พบว่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน น้ำมันจากเมล็ดงาเมื่อป้อนให้หนูที่ตั้งครรภ์ทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร ในขนาด 4 มล./ตัว  โดยให้ในช่วงสัปดาห์ที่ 6-10 ของการตั้งครรภ์ พบว่าไม่มีผลทำให้เกิดความพิการของตัวอ่อน
  • พิษต่อเซลล์ สารสกัดทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) ขนาด 0.25 มก./มล. พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวในคน (Lymphocytes Human) และสารสกัดเดิมเมื่อทำการทดสอบกับ Cells vero, Cell-CHO (Chinese Hamster Ovary) และเซลล์ Lymphoma Daltons พบว่าขนาดที่มีผลทำให้เกิดพิษต่
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 6
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย