กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 44
151  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเบาหวาน-อาการ-สาเหตุ-วิธีรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 23, 2018, 12:08:24 pm

เบาหวาน(Diabetes Mellitus)

  • เบาหวานเป็นยังไง ความหมายของโรคเบาหวาน สมาคมโรคเบาหวานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความเบาหวานไว้เป็นเบาหวานเป็นกรุ๊ปโรคทางเมตะบอลิซึมที่แสดงอาการ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นผสมมาจาก ความผิดปกติของการหลั่งอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือทั้งคู่อย่าง สภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง จะสำเร็จให้มีการเสื่อมของอวัยวะภายในร่างกาย ในระยะยาวกำเนิดโรคแทรกและทำให้การขายหน้าที่ ของอวัยวะที่สำคัญหลายอวัยวะสถานที่ทำงานล้มเหลวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา ไต ระบบประสาท หัวใจรวมทั้งเส้นเลือด

    ประวัติความเป็นมาโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน มีหลักฐานปรากฏในกระดาษปาปิรุสของอียิปต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ดั้งเดิมเยอะที่สุดชิ้นหนึ่ง จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ากระดาษที่บันทึกเกี่ยวกับหัวข้อนี้นั้นแก่ราว 1500 ปีกลาย คริสตกาล จึงแสดงว่า “เบาหวาน” เป็นโรคที่โบราณมากมาย รวมทั้งเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการเจอบันทึกของหมอชาวภาษากรีก ชื่อ “อารีอุส” ซึ่งได้บันทึกลักษณะของโรคที่มีลักษณะของการกัดกินเนื้อหนังและก็มีการฉี่เยอะมากๆในแต่ละครั้ง โดย “อารีอุส” ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า diabetes insipidus ซึ่งปัจจุบันนี้ชื่อเรียกนี้จะคือโรค “ค่อยจืดชืด”
    ผ่านไปอีกเกือบ 1700 ปี ได้มีคำว่า mellitus เกิดขึ้น mellitus เป็นภาษาลาติน หมายความว่า น้ำผึ้ง ซึ่งนำมาใช้เรียกโรคที่มีลักษณะอาการแบบเดียวกับ diabetes โดยเป็น “โรคเบาหวาน”
    ในขณะนี้เบาหวานเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั้งโลก อุบัติการณ์ของโรคเบาหวานมีลัษณะทิศทางเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลของสมาพันธ์ โรคเบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation) พบว่าผู้ป่วย เบาหวานทั้งโลก ว่ามีจำนวน 285 ล้านคน แล้วก็ ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ที่สำคัญในจำนวนนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย ในการคาดราวจำนวนราษฎรที่เป็น โรคเบาหวานในอนาคตของเมืองไทยโดยสำนักควบคุมโรคไม่ติดต่อ พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2563 จะมีจำนวนประชากรที่เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นอยู่ในตอน 501,299 -553,941 คน/ปี และก็ในปี พ.ศ. 2563 จะมีปริมาณคนป่วยเบาหวานราย ใหม่สูงถึง 8,200,000 คน ประเทศไทยได้กำหนโรคเบาหวาน[/url]เป็นโรควิถีชีวิตที่สำคัญหนึ่งในห้าโรคที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงวิถีชีวิตไทย พ.ศ. 2554 -2563 จากการสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งล่าสุดในปี พุทธศักราช 2554 พบว่าอัตราป่วยเป็น โรคเรื้อรัง พุทธศักราช 2544 - 2552 มีผู้เจ็บป่วยเป็นเบาหวานมากขึ้นจาก 288 คน เป็น 736 คน ต่อประชากรแสนคน
    โดยปกติ โรคเบาหวานสามารถ แบ่งได้ 2 ชนิดหลัก คือ โรคเบาหวานจำพวก 1 (Diabetes mellitus type 1), โรคเบาหวานจำพวก 2 (Diabetes mellitus type 2)
    เบาหวานจำพวก 1 เบาหวานประเภทต้องพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus) และเพราะเหตุว่าเบาหวานประเภทนี้พบได้ทั่วไปในเด็กรวมทั้งวัยรุ่น ก็เลยเรียกได้อีกชื่อว่า โรคเบาหวานในเด็กแล้วก็วัยรุ่น หรือ Juvenile diabetes mellitus
    โรคเบาหวานชนิด 2 โรคเบาหวานในคนแก่ (Adult onset diabetes mellitus) แล้วก็เป็นโรคเบาหวานที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งอินซูลิน (Non- insulin-dependent diabetes mellitus)
    ตารางเทียบโรคเบาหวานประเภทที่ 1 รวมทั้งจำพวกที่ 2
         เบาหวานประเภทที่1   เบาหวานประเภทที่
    กลุ่มวัยมักเกิดกับผู้สูงอายุน้อยกว่า 40ปี     มักกำเนิดกับผู้สูงวัย 40 ปี ขึ้นไป
    น้ำหนักตัวซูบผอมอ้วน
    หลักการทำงานของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้           
    1.สามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง
    2.ผลิตได้ปกติแต่ว่าอินซูลินไม่มีคุณภาพ
    3.เซลล์ร่างกายต่อต้านอินซูลิน
    การแสดงออกของอาการ    กำเนิดอาการร้ายแรง             
    1.ไม่มีอาการเลย
    2.มีลักษณะเล็กน้อย
    3.อาการร้ายแรง จนกระทั่งช็อกหมดสติได้
    การรักษา              เพิ่มปริมาณอินซูลินภายในร่างกาย            บางทีอาจใช้การควบคุมเรื่องของการรับประทานอาหารได้

  • ที่มาของโรคเบาหวาน ในคนปกติในระยะที่ไม่ได้รับประทานอาหารตับจะมีการสร้างน้ำตาลออกมาตลอดเวลาเพื่อให้เป็นอาหารของสมองแล้วก็อวัยวะอื่นๆในช่วงหลังกินอาหารพวกแป้งจะมีการย่อยเป็นน้ำตาลเดกซ์โทรสไปสู่กระแสโลหิต ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการนำน้ำตาลไปใช้ทำให้ระดับน้ำตาลลดน้อยลงมาเป็นปกติ ในคนไข้เบาหวานที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการขาดอินซูลินหรือซุกซนต่อฤทธิ์ของอินซูลินทำให้ไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ ช่วงเวลาเดียวกันมีการสลายไขมันและก็โปรตีนในเนื้อเยื่อมาสร้างเป็นน้ำตาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง จนกระทั่งล้นออกมาทางไตและมีน้ำตาลในฉี่ เป็นที่มาของคำว่า”โรคเบาหวาน”

ระดับน้ำตาลในเลือดคนธรรมดาเป็นเท่าไหร่
ตาราง ค่าน้ำตาลในเลือด (มิลลิกรัมดล.)
                น้ำตาลในเลือดเมื่องดอาหาร            น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
คนธรรมดา               60 – น้อยกว่า 100               น้อยกว่า 140
ภาวการณ์มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน       100 – น้อยกว่า 126             140 – น้อยกว่า 200
โรคเบาหวาน   126 ขึ้นไป              200 ขึ้นไป
ดังนั้นเบาหวาน ก็เลยมีเหตุที่เกิดจากความไม่ปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินน้อยเกินไป ที่ส่งผลทำให้ระดับ น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน เบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเพราะว่าการที่ร่างกายไม่สามารถที่จะใช้น้ำตาลได้อย่าง สมควร ซึ่งปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้อำนาจบังคับของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งคนที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่อาจจะนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด สูงมากขึ้น ในระยะยาวจะส่งผลในการทำลายเส้นเลือด ถ้ามิได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะควร อาจนำมาซึ่งสถานการณ์แทรก ซ้อนที่รุนแรงได้

  • อาการโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลคนปกติจะอยู่ในช่วง 60-99 มก./ดล. ก่อนอาหารตอนเช้า คนป่วยโรคเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจากค่าปกติไม่มากอาจไม่มีอาการแจ้งชัด จะต้องทำการตรวจเลือดเพื่อการวิเคราะห์ ถ้าเกิดไม่รู้ว่าเป็นโรคเบาหวานมาเป็นระยะเวลานานผู้เจ็บป่วยอาจมาตรวจเจอด้วยภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานได้
กรุ๊ปอาการเด่นของโรคเบาหวานมีดังนี้

  • เยี่ยวมากกว่าธรรมดา ปัสสาวะหลายหนตอนกลางคืน เพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นเมื่อเลือดไหลผ่านไตก็ไม่สามารถที่จะเก็บกักน้ำตาลไว้ได้ ก็ถูกขับออกทางเยี่ยว ทำให้เสียน้ำออกไปทางปัสสาวะ
  • กินน้ำบ่อยมากแล้วก็มากยิ่งกว่าคนที่ไม่มีอาการ เนื่องจากว่าฉี่มากมายและก็บ่อยครั้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำก็เลยเกิดความอยากน้ำ
  • หิวบ่อยกินจุแม้กระนั้นผอมลง เนื่องจากอินซูลินน้อยเกินไป ไหมสามารถออกฤทธิ์ได้พอเพียง ก็เลยนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานมิได้ ทำให้มีความรู้สึกหิว รับประทานได้มาก
  • เป็นแผลหรือฝีง่าย รวมทั้งหายยากเพราะว่าน้ำตาลสูง เยื่อรอบๆที่เป็นแผลมีความชื้นสูงทำให้แรงต้านทานต่อเชื้อโรคน้อยลง
  • คันตามตัว ผิวหนังและก็รอบๆอวัยวะสืบพันธุ์ ที่มาของอาการคันกำเนิดได้หลายอย่าง ดังเช่น ผิวหนังแห้งเหลือเกิน หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้ทั่วไปในคนป่วยโรคเบาหวาน ส่วนการคันรอบๆของลับมักเกิดจากาความกำหนัดดเชื้อรา
  • ตาพร่ามัวจำต้องแปลงแว่นตาบ่อยมาก การที่ตาพร่ามัวในเบาหวานมูลเหตุอาจกำเนิดได้หลายประการ คือ อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสายตาแปลง (ตาสั้นลง) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงรวมทั้งน้ำตาลไปคั่งอยู่ในตาหรือตามัว อาจเป็นเพราะเนื่องจากต้อกระจก หรือเส้นเลือดในตาตันก็ได้
  • มือชา เท้าชา หมดความรู้สึกทางเพศ เนื่องมาจากน้ำตาลในเลือดที่สูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม บางบุคคลอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ พบได้บ่อยๆว่าผู้เจ็บป่วยที่ปล่อยทิ้งไม่รับการวินิจฉัยแล้วก็รับการดูแลและรักษาโรคเบาหวานตั้งแต่ต้นจะทราบว่าเป็นโรคเบาหวานก็เมื่อมีโรคแทรกขึ้นแล้ว
  • เบื่ออาหารเมื่อยล้า อ่อนเพลียง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
  • น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าน้ำหนักเคยมากมายมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้สุดกำลัง ก็เลยจำเป็นต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามมาใช้ชดเชย

โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่มักพบในคนป่วยโรคเบาหวาน  ไตเสื่อม ไตวาย จากโรคเบาหวาน                   ไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองสารต่างๆที่อยู่ในกระแสโลหิต  มีเส้นโลหิตขนาดเล็กเยอะแยะรอบๆไต  เมื่อฝาผนังเส้นโลหิตถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นระยะเวลานาน  การทำหน้าที่สำหรับการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง  ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานกว่า  10  ปี มักเกิดปัญหาไตเสื่อม  แม้กระนั้นความร้ายแรงรวมทั้งระยะการเกิดจะมากหรือน้อยขึ้นกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
จอประสาทตาเสื่อและก็ต้อกระจกจากโรคเบาหวาน มีสาเหตุมาจากการสะสมรวมตัวกันของน้ำตาลรอบๆเลนส์ตา  ทำให้เลนส์ตาบวมและก็มัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดภายในลูกตา  ที่สามารถคุ้มครองป้องกันได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด บริเวณเรตินา  เป็นรอบๆที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมาก  เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ฝาผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองจนแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา  เมื่อรอยรั่วหายก็ดีแล้วเกิดรอยแผลซึ่งจะขวางการไหลของเลือดด้านในตา  ก็เลยเกิดการผลิออกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยสำหรับในการไหลเวียนโลหิต  แต่เส้นเลือดฝอยที่แตกหน่อใหม่จะบอบบาง  แตกง่าย  ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและก็จอตา  เวลานี้จะพบว่าคนป่วยมีอาการตามัว  เมื่อแผลเกิดขึ้นมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา  เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว  เกิดการดึงรังรวมทั้งฉีกจนขาดของเนื้อเยื่อบริเวณส่วนหลังของลูกตา  จะมีอาการเหมือนมีม่านดำขึงผ่านขวางตาหรือเหมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา  ซึ่งเมื่อมีลักษณะอาการแบบนี้ให้เจอหมอรักษาสายตาทันทีเพราะอาจก่อให้ตาบอดได้
ปลายประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน เป็นโรคสอดแทรกที่มักพบในคนไข้โรคเบาหวาน  โดยไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่กรรม แต่ว่าทำให้รู้สึกหงุดหงิดแล้วก็เจ็บปวด  เป็นผลมาจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย   ไม่อาจจะส่งออกสิเจนมาตามกระแสโลหิตเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้  รวมทั้งการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่รอบๆเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้หลักการทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง   การรับทราบความรู้สึกต่างๆลดน้อยลง  โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณปลายมือปลายเท้า จะเกิดอาการชา  เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือปวดจะไม่ค่อยรู้สึก  ก็เลยเป็นอันตรายกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน  ด้วยเหตุว่าอาจจะทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว  เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลง  ทำงานกิจวัตรได้ลดน้อยลง
 นับเป็นโรคเข้าแทรกที่รุกรามต่อชีวิตได้  ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ  กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนถึงกล้ามเนื้อหัวใจตายสุดท้าย โรคเส้นโลหิตหัวใจ มักมีต้นเหตุที่เกิดจากควบคุมโรคเบาหวานไม่ดี  ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน ดูดบุหรี่เรื่องราวโรคหัวใจในครอบครัว  รวมทั้งเป็นคนที่เครียดเสมอๆ
โรคเส้นโลหิตสมองแคบ เป็นโรคสอดแทรกที่เกิดจากเส้นโลหิตที่มาเลี้ยงรอบๆสมองแคบ  นำไปสู่การพิการหรืออาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้  โอกาสกำเนิดเส้นเลือดสมองตีบตันจะสูงมากขึ้น ในผู้เจ็บป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย  ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ อ่อนแรงลงไปกำเนิดอัมพฤกษ์  หรืออัมพาต

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง/กรุ๊ปเสี่ยงที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดเบาหวาน โรคเบาซาบซ่านมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เป็นต้นว่า
  • ประเภทกรรม ปัจจัยหลักของผู้ป่วยเบาหวานเป็น จำพวกกรรม พบว่าราวๆหนึ่งในสามของผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานมีประวัติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน ลักษณะยีนของการเป็นโรคเบาหวานเป็นลักษณะทางพันธุ์กรรมที่ตกทอดกันผ่านโครโมโซมในนิวเครียสของเซลล์เหมือนกันกับการสืบทองคำของพันธุ์บาปอื่นๆ
  • ความอ้วน ความอ้วนเป็นอีกมูลเหตุหนึ่งของการเกิดเบาหวานเพราะว่าจะก่อให้เซลล์ของร่างกายสนองตอบต่อฮอร์โมนอินซูลินต่ำลง อินซูลินก็เลยไม่อาจจะพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เจริญเหมือนเดิม กระทั่งกลายมาเป็นภาวะขาดน้ำตาลในเลือดสูง
  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆย่อมจำต้องเสื่อมลง และตับอ่อนที่มีบทบาทสังเคราะห์และก็ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะทำหน้าที่ได้ลดน้อยลงก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเบาหวาน
  • ตับอ่อนไม่สมบูรณ์ อีกสาเหตุหนึ่งของเบาหวานอาจเป็นเพราะการที่ตับอ่อนได้รับการกระทบกระเทือนหรือเกิดอุบัติเหตุที่มีผลเสียต่อตับอ่อน แล้วก็อาจเป็นเพราะเนื่องจากโรค เป็นต้นว่า ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากจนเกินไป ซึ่งมีความสำคัญจำเป็นต้องผ่าตัดเอาเล็กน้อยของตับอ่อนออก หกบุคคลนั้นมีลักษณะท่าทางว่าจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อตกอยู่ในภาวการณ์นี้ก็จะออกอาการของเบาหวานได้เร็วขึ้น
  • การตำหนิดเชื้อไวรัสบางประเภท เชื้อไวรัสบางจำพวก เมื่อไปสู่ร่างกายแล้วส่งผลใกล้กันสำหรับในการกำเนิดเบาหวาน อาทิเช่น คางทูม โรคเหือด
  • ยาบางจำพวก ยาบางจำพวกก็ส่งผลต่อการเกิดเบาหวานอย่างเดียวกัน ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด เพราะเหตุว่าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นได้ จึงควรหารือแพทย์ก่อนใช้ยา โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆ
  • ภาวการณ์ท้อง เนื่องจากฮอร์โมนหลายอย่างที่รกสังเคราะห์ขึ้นมานั้น ส่งผลยังยั้งแนวทางการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน คนที่มีครรภ์จึงเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงมากต่อการเกิดเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มียีนเบาหวานอนยู่ในร่างกาย แล้วก็ภาวะเบาหวานเข้าแทรกในระหว่างท้องมีอันตรายเป็นอย่างมาก จึงต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยเป็นเบาหวาน

  • คนที่มีลักษณะอาการต่างๆของโรคเบาหวานดังที่กล่าวมา
  • แก่กว่า 40 ปี
  • มีพี่น้องสายตรงเป็นโรคเบาหวาน
  • เคยหรูหราน้ำตาลอยู่ในระยะก่อนเบาหวาน
  • เคยเป็นเบาหวานขณะท้อง
  • คลอดบุตรหนักมากยิ่งกว่า 4 กก.
  • ความดันโลหิตสูง
  • มีไขมันในเลือดแตกต่างจากปกติ
  • มีโรคเส้นโลหิตตีบแข็ง
  • มีโรคที่บ่งบอกว่ามีสภาวะซุกซนต่ออินซูลินได้แก่โรครังไข่มีถุงน้ำหลายถุง

คนที่มีภาวการณ์ดังกล่าวแม้ไม่มีอาการโรคเบาหวานควรวิเคราะห์ ถ้าเกิดระดับน้ำตาลอยู่ในข่ายสงสัยควรตรวจซ้ำในระยะ 1 ปี

  • ขั้นตอนการรักษาโรคโรคเบาหวาน เนื่องมาจากโดยประมาณกึ่งหนึ่งของคนเจ็บเบาหวานไม่มีอาการ คนที่มีความเสี่ยงที่จะกำเนิดโรค เบาหวานควรต้องตรวจคัดกรองเบาหวานทุกปี หมอวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จาก ประวัติความเป็นมาอาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่างๆเรื่องราวเจ็บ ป่วยไข้ของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญคือ การตรวจเลือดเพื่อมองจำนวนน้ำตาลในเลือด และก็/หรือ ดูสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C: Glycated hemoglobin)

ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเป็นวิธีที่จะทำให้พวกเราทราบได้อย่างชัดเจนว่าหรูหราน้ำตาลสูงแค่ไหน ซึ่งทำให้ทราบว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ออกจะที่จะแน่นอน ในคนธรรมดาระดับน้ำตาลในเลือดจะคงเดิม คือประมาณ 80-110 มก./เดซิลิตร โดยระดับน้ำตาลก่อนที่จะรับประทานอาหารตอนเช้าจะมีค่าโดยประมาณ 70-115 มิลลิกรัม/ดล. เมื่อรับประทานอาหาร ของกินจะถูกสลายตัวเป็นน้ำตาลเดกซ์โทรสแล้วก็ถูกซึมซับเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นแต่จะไม่เกิน 140 มก./ดล. หลังรับประทานอาหารยามเช้าแล้ว 2 ชั่วโมง แม้กระนั้นถ้าตรวจเจอระดับน้ำตาลที่สูงเกิน 140 มิลลิกรัม/ดล. อย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไปก็จะจัดว่าผู้นั้นเป็น “โรคเบาหวาน”
ตรวจค้น ฮีโมโกบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) เป็นการตรวจปริมาณน้ำตาลที่จับอยู่กับฮีโมโกบินซึ่งเป็นสารโปรตีนในเม็ดเลือดแดงมีบทบาทนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ การตรวจด้วยวิธีแบบนี้จะใช้หลังการดูแลและรักษาแล้วเพื่อตรวจผลการควบคุมโรคมากกว่าตรวจเพื่อหาโรค  ในกรณีที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในภาวการณ์ที่ควบคุมได้ยากหรือมีโรคแทรกซ้อนควรได้รับการตรวจทุกๆ2 อาทิตย์หากอยู่ระหว่างช่วงมีครรภ์แล้วก็เป็นโรคเบาหวานควรจะตรวจปริมาณฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) ทุกๆ1 – 2 เดือนเพื่อบอกปริมาณน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในภาวการณ์ที่เกิดอันตรายไหม นอกเหนือจากนั้นอาจมีการตรวจอื่นๆมี ดังเช่น  ตรวจระดับน้ำตาลในเยี่ยว ในกรณีที่วัดระดับน้ำตาลในฉี่รวมทั้งพบว่ามีน้ำตาลผสมออกด้วยนั้น ย่อยแสดงว่าผู้นั้นป่วยด้วยเบาหวาน โดยมองประกอบกับการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 180-200 มก./ดล. เหตุที่เป็นแบบนี้ด้วยเหตุว่าไตของผู้คนมีความรู้กรองน้ำตาลได้ราวๆ 180-200 มก./ดล.  โดยเหตุนี้แม้ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับนี้ ไตก็จะไม่อาจจะกรองน้ำตาลเอาไว้ได้น้ำตาลส่วนที่เกินออกมาพวกนั้นก็จะถูกขับออกมากับเยี่ยว
Glucose tolerance test (GTT) การตรวจด้วย GTT มักทำในเด็กที่ยังไม่มีอาการโรคโรคเบาหวานกระจ่างแจ้ง ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลหลังงดเว้นอาหารกับการตรวจปัสสาวะยังไม่พบความไม่ปกติ GTT มักทำในเด็กที่มีครอบครัวที่มีพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคเบาหวานหรือตรวจแฝดราวกับ (identical twins) ที่คนหนึ่งเป็นโรคเบาหวานแล้ว
การดูแลรักษาโรคเบาหวน ปัจจุบันเบาหวานมีแนวทางการดูแลและรักษา 4 วิถีทางประกอบกันคือ  การฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง  การใช้ยาเม็ดควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือด การควบคุมอาหาร การบริหารร่างกาย
การดูแลรักษาโดยการฉีดอินซูลิน การใช้อินซูลินในคนป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 1 โรคเบาหวานประเภทที่ 1 มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายไม่อาจจะสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ โดยทั่วไปแพทย์มักกำหนดให้ฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายวันละ 2 ครั้ง การใช้อินซูลินในคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2  ในผู้เจ็บป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงทำหน้าที่ผลิตอินซูลินได้ แต่ร่างกายกลับต่อต้านอินซูลินหรืออินซูลินที่ได้ไม่มีคุณภาพพอเพียงทำให้ไม่สามารถที่จะควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ จุดหมายของการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในปัจจุบัน จึงมุ่งเน้นไปที่การลดระดับน้ำตาบในกระแสเลือดทั้งในช่วงก่อนแล้วก็หลังรับประทานอาหารเพื่อปกป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดง
การดูแลและรักษาโดยการใช้ยา ยารักษาโรคเบาหวาน ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กรุ๊ปเป็น ยาที่มีผลสำหรับเพื่อการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งจำนวนอินซูลินมากขึ้น ดังเช่น Sulfonylureas (Chlorpropamide, Acetazolamide, Tolazamide, Glyburide หรือ Glipizide) โดยการทำหน้าที่ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยการกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในจำนวนมากขึ้น ยาที่มีผลสำหรับการยั้งการเผาไหม้คาร์โบไฮเดรตในไส้ อาทิเช่น Alpha-Glycosides inhibitors (Acarbose แล้วก็ Meglitol) ชวยชะลอกรรมวิธีการยอยและก็ดูดซึมน้ำตาลรวมทั้ง แปงในลําไสซึ่งจะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำข้างหลังมื้ออาหาร ยาที่ส่งผลสำหรับเพื่อการลดการผลิตเดกซ์โทรสในตับรวมทั้งเพิ่มการใช้น้ำตาลกลูโคส ดังเช่นว่า Biguanide (Metformin) เป็นยาที่ช่วยลดจำนวนการสร้างเดกซ์โทรสจากตับและช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นการทำงานของอินซูลินซึ่งผลิตโดยตับอ่อน ยาที่ปฏิบัติภารกิจลดภาวการณ์การต้านอินซูลินในร่างกาย อย่างเช่น ยาในกรุ๊ป Thiazolidine diones  Thiazolidinediones (Rosiglitazone และก็ Pioglitazone) ยาจำพวกนี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตับอ่อน แม้กระนั้นทำหน้าที่ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นลักษณะการทำงานของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมา การควบคุมของกิน การควบคุมอาหารจำพวกแป้ง รวมทั้งน้ำตาล เป็นการช่วยลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งถ้าหากทำควบคู่ไปกับการใช้ยาด้วยแล้วหลังจากนั้นก็จะก่อให้กำเนิดประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลในการรักษาโรคเบาหวานได้ดิบได้ดียิ่งขึ้น
การดูแลและรักษาโดยการบริหารร่างกาย เมื่อออกกำลังกายจะมีการเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ตัวอย่างเช่น  มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการทำงานของปอดและก็หัวใจมากขึ้น มีการปรับระดับฮอร์โมนหลายแบบ การเปลี่ยนแปลงกลุ่มนี้จะเกิดมากน้อยขึ้นกับสาเหตุหลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่น ระยะเวลาของการบริหารร่างกาย น้ำหนักของการบริหารร่างกาย สภาวะโภชนาการและก็ภาวะความสมบูรณ์ของปอดและก็หัวใจ

  • การติดต่อของเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคในระบบเมตาบอลิซึมภายในร่างกายจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยเบาหวาน พฤติกรรมด้านการบริโภค เลือกบริโภคของกินให้ครบ 5หมู่ โดยนึกถึงพลังงานที่ได้จากอาหารโดยประมาณจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)ราวๆ 55 - 60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) ราว 15-20%ไขมัน ราวๆ 25% คนที่มีน้ำหนักตัวมากน่าจะจะต้องลดปริมาณการกินลง โดยอาจจะเบาๆลดน้อยลงให้เหลือแค่ครึ่งเดียวของจำนวนที่เคยรับประทานปกติ แล้วก็อุตสาหะงด อาหารมันแล้วก็ทอด ทานอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยสำหรับการขับถ่าย. หลบหลีกการกินเล็กๆน้อยๆและก็ทานอาหารไม่ตามกำหนด อุตสาหะกินอาหารในจำนวนที่สม่ำเสมอกันในทุกมื้อ ถ้ามีลักษณะเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรจะหลบหลีกอาหารรสเค็ม ควบคุมอาหารระดับน้ำตาลในเลือดจะธรรมดารวมทั้งตาม งดบริโภคอาหารต่างๆพวกนี้ น้ำตาลทุกชนิด รวมไปถึงน้ำผึ้ง ผลไม้กวนชนิดต่างๆขนมเชื่อม อาหารหวานต่างๆผลไม้ที่มีรสหวานมากมายๆน้ำหวานชนิดต่างๆของหวานทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด ปฏิบัติตามหมอ พยาบาลชี้แนะ รับประทานยาให้ถูกต้องครบสมบูรณ์ ไม่ขาดยา รู้จักผลข้างเคียงจากยาเบาหวาน รวมทั้งการดูแลตนเองที่สำคัญ คือ ภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ รักษาสุขอนามัยเสมอ ด้วยเหตุว่าผู้ป่วยจะติดเชื้อต่างๆได้ง่าย จากเบาหวานเป็นสาเหตุที่ทำให้มีภูมิคุ้มกันขัดขวางโรคลดน้อยลง รักษาสุขภาพเท้าเสมอ เลิกสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่เพิ่มโอกาสเกิดผลข้างๆของโรคเบาหวาน เลิกเหล้า หรือจำกัดสุราให้เหลือต่ำที่สุด เพราะว่าเหล้าอาจมีผลต่อยาที่ควบคุมโรคเบาหวานและโรคต่างๆทำให้ควบคุมโรคต่างๆได้ยาก ไม่ซื้อยากินเอง และไม่ใช้สมุนไพรเมื่อกินยาโรคเบาหวาน เพราะเหตุว่าบางทีอาจต่อต้านหรือเพิ่มฤทธิ์ของยาเบาหวาน จนอาจจะก่อให้เกิดผลข้างๆจากยาโรคเบาหวานที่ร้ายแรงได้ ตัวอย่างเช่น ผลต่อไต หรือภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ ฉีดวัคซีนปกป้องโรคต่างๆตามหมอเสนอแนะ ตัวอย่างเช่น วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่พบหมอรักษาสายตาเป็นประจำตามแพทย์โรคเบาหวานและก็หมอรักษาสายตาเสนอแนะ เพื่อการวิเคราะห์ แล้วก็การรักษาภาวะโรคเบาหวานขึ้นตาแต่เนิ่นๆป้องกันตาบอดจากโรคเบาหวาน พบหมอตามนัดเสมอ หรือรีบพบแพทย์ก่อนนัด เมื่อมีลักษณะอาการต่างๆผิดปกติไปจากเดิม

วัตถุประสงค์การควบคุมของคนไข้โรคเบาหวาน ตามคำแนะนำของสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา
                จุดมุ่งหมาย
น้ำตาลก่อนรับประทานอาหาร (มก./ดล.)
น้ำตาลหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง (มก./ดล.)
น้ำตาลเฉลี่ย hba1c (%)
 โคเลสเตอคอยล (มิลลิกรัม/ดล.)
เอช ดี แอล วัวเลสเตอรอล (มิลลิกรัม
152  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคปอดอักเสบ/ปอดบวม-อาการ-สาเหตุ-วิธีรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 22, 2018, 10:00:07 am

โรคปอดอักเสบ / ปอดอักเสบ (Pneumonia)

  • โรคปอดอักเสบ / ปอดอักเสบ เป็นยังไง ปอด (Lung) เป็นอวัยวะในระบบการหายใจที่อยู่ด้านในทรวงอก 2 ข้าง มีลักษณะเป็นเนื้อหยุ่นๆมีสีออกชมพูมีบทบาทแลกแก๊สจากอากาศที่เราหายใจเข้าไปหมายถึงในช่วงที่พวกเราหายใจเข้าปอดจะปฏิบัติหน้าที่นำก๊าซออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงร่างกายแล้วก็ในเวลาเดียวกันปอดก็จะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมากับลมหายใจ ธรรมดาเนื้อปอดนี้จะเป็นอวัยวะที่ปราศจากเชื้อโรค เมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนอื่นๆเข้าไปถึงเนื้อปอด จะนำมาซึ่งการทำให้การอักเสบรวมทั้งมีการบวมเกิดขึ้น ซึ่งโรคปอดอักเสบ (Pneumonitis – นิวโมนิว่ากล่าวส) เป็นคำทั่วไปที่หมายถึงการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ในระหว่างที่ปอดอักเสบ (Pneumonia – นิวโมเนีย) เป็นจำพวกของการตำหนิดเชื้อที่นำมาซึ่งการอักเสบของปอด โรคปอดอักเสบรวมทั้งปอดบวมจึงมีความหมายคล้ายกันมากมายจนใช้เรียกแทนกันได้ แต่ในตอนนี้นิยมเรียกโรคปอดอักเสบมากยิ่งกว่าด้วยเหตุว่าสื่อความหมายตรงกว่า โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นโรคติดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งระยะฟักตัวขึ้นกับเชื้อที่ก่อโรคโดยบางทีอาจใช้เวลาฟักตัว 1-3 วัน หรือบางทีอาจจะนาน 1-4 อาทิตย์ อย่างยิ่งจริงๆ ซึ่งจะมีผลให้เกิด การอักเสบของเนื้อปอด*ซึ่งประกอบไปด้วยถุงลมปอดแล้วก็เยื่อโดยรอบทำให้ปอดปฏิบัติภารกิจได้ลดลง รวมทั้งกำเนิดอาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก ซึ่งจัดเป็นภาวการณ์รุนแรงทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกรุ๊ปเสี่ยง ตัวอย่างเช่น เด็กเล็ก ผู้สูงวัย คนที่มีภูมิคุ้มกันต้านโรคต่ำ ฯลฯ
  • ต้นเหตุของโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ปอดอักเสบเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แม้กระนั้นที่มักพบ คือ การต่อว่าดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย โปโตซัว หรือ เชื้อวัณโรค ตัวอย่างเช่น การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย ประเภทหนึ่งที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบที่พบบ่อยที่สุดในคนทุกวัย ตัวอย่างเช่น เชื้อปอดอักเสบ ที่มีชื่อว่า “สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pheumoniae) หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “นิวโมค็อกคัส” (Pneumococcus) ซึ่งเป็นเชื้อที่กระตุ้นให้เกิดอาการปอดอักเสบฉับพลันรวมทั้งรุนแรง โดยแต่ละคนมีการ ติดโรคยากง่ายไม่เหมือนกัน ถ้า เป็นคนที่มีภูมิต้านทานร่างกายผิดพลาด ติดเชื้อโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ได้ยากดภูมิต้านทานก็เสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อได้ง่ายดายยิ่งกว่าคนเดินดินทั่วไป เช่นเดียวกับคนวัยแก่สุขภาพที่ไม่ดีราวกับคนวัยหนุ่มสาว ถ้าเกิดติดเชื้อตัวเดียวกัน คนสูงอายุอาจมีอาการร้ายแรงกว่า นอกเหนือจากนั้นคนสูงอายุบางทีอาจเป็นโรคอย่างอื่นร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ถ้ามีสภาวะเหล่านี้ พอเพียงมีปอดอักเสบร่างกายก็จะทรุดเร็วภาวะแทรกซ้อนก็เกิดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น ขาดออกสิเจนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  • อาการโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ลักษณะโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการไอ มักมีเสลด เป็นไข้ เจ็บอก อ่อนแรงง่าย ลักษณะของการมีไข้ มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หรือจับไข้ตัวร้อนตลอดระยะเวลา อาการไอ ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆไม่มีเสมหะ แล้วถัดมาจะมีเสมหะขาวหรือขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือบางรายอาจะเป็นสีสนิมเหล็กหรือมีเลือดปน ลักษณะการเจ็บหน้าอก บางรายอาจมีลักษณะของการเจ็บหน้าอก แบบเจ็บแปลบเวลาหายใจเข้าหรือในขณะที่ไอแรงๆตรงบริเวณที่มีการอักเสบของปอด ซึ่งบางครั้งอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้าง หรือท้อง แล้วถัดมาจะมีลักษณะอาการหายใจหอบเร็ว อาการหอบอ่อนเพลียผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะหอบอ่อนล้า หายใจเร็ว หากเป็นมากอาจมีอาการปากเขียว ตัวเขียว ส่วนในรายที่เป็นไม่มากอาจไม่มีอาการหอบเหนื่อยกระจ่าง อาการพวกนี้อาจมีไม่ครบทุกอย่าง โดยเฉพาะในคนไข้เด็กตัวเล็กๆๆคนชรา คนเจ็บพิการที่ไม่อาจจะช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ติดต่อได้จำกัด ควรสนใจแล้วก็สงสัยมากกว่าปกติ เหตุเพราะอาการอาจกำกวม ดังเช่นว่า ในคนแก่ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเพียงแต่มีไข้ หรือตัวอุ่นๆและก็ซึมลงเท่า นั้น บางทีก็อาจจะไอเพียงนิดหน่อย หรือบางทีอาจจะไม่ไอให้เห็นก็ได้ เพราะเหตุว่ามีความจำกัดสำหรับการเคลื่อน ไหว แล้วก็/หรือกล้ามเนื้อไม่มีแรงพอที่จะไอได้อย่างมีคุณภาพ ส่วนอาการแทรกฝึกซ้อมที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ เป็นต้นว่า เกิดฝีในปอด หรือเกิดโรคหนองในเยื่อหุ้มห่อปอด โดยแม้เป็นไม่มากมายก็ใช้วิธีใส่ท่อระบายหนองออก ถ้าเป็นมากอาจถึงขนาดจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาหนองออก เจาะเยื่อห่อหุ้มปอดออก ในช่วงเวลาที่คนไข้บางรายอาจมีอาการไอเป็นเลือด ถุงลมรั่ว แต่ว่าพบได้น้อย
  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ ดังเช่นว่า
  • อายุ ในเด็กเล็กๆรวมทั้งในคนแก่ เพราะร่างกายมีความบกพร่องสำหรับการปกป้องและก็กำจัดเชื้อโรค
  • การดื่มสุรา สูบบุหรี่ และ/หรือรับประทานยาบางจำพวก เช่น ยากดภูมิต้านทาน ยารักษาโรคมะ เร็ง (ยาเคมีบรรเทา) ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันยับยั้งโรค และก็การกำจัดเชื้อโรค
  • การมีโรคประจำตัวบางสิ่งดังเช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ  โรคไตเรื้อรัง ฯลฯ
  • การไม่รักษาสุขภาพและอนามัย ดังเช่นว่า การขาดอาหาร สุขภาพทรุดโทรม พักอาศัยในสถานที่ที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดีเพียงพอ ในที่ที่มีมลภาวะที่ต้องหายดวงใจรวมทั้งสูดมลพิษเข้าไปในปอด
  • กรรมวิธีรักษาโรคปอดอักเสบ/ปวดบวม การตรวจหาเชื้อต้นเหตุขอโรคปอดอักเสบ[/url]จำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องทดลองและจะต้องใช้เวลาสำหรับเพื่อการตรวจทางห้องทดลอง ซึ่งประกอบด้วย


  • การตรวจ เพื่อวินิจฉัยโรคปอดบวม
  • การตรวจเพื่อประเมิน site of care,
  • การตรวจเพื่อหาเชื้อมูลเหตุ,
  • การตรวจเพื่อ ประเมินโรคประจำตัวของคนป่วย, รวมทั้ง
  • การตรวจเพื่อหา ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะมีการเกิดขึ้น

ส่วนในด้านการลดอัตราการเสียชีวิต ของคนเจ็บโรคปอดบวม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การให้ยา ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมรวมทั้งให้อย่างรวดเร็วข้างใน 4 ถึง 6 ชั่วโมง ภายหลังให้การวิเคราะห์รวมทั้งส่งตรวจทางห้องทดลอง ซึ่งขั้นตอนการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ จะพินิจตาม site of care เนื่องจากว่ามีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่า เจอเชื้อสาเหตุอะไรได้บ่อยครั้งในผู้ป่วยแต่ละกลุ่ม ซึ่งข้อมูลเชื้อก่อโรคในประเทศไทย จะเหมือนกับทางประเทศอเมริกา ซึ่งวิธีการรักษาปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ประกอบด้วย การให้ยายาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เป็นต้นว่า เพนิซิลลินวี (Penicillin V.) อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) หรืออิริโทรมัยสิน (Erythromycin) ฯลฯ (สำหรับกลุ่มวัยรุ่นแล้วก็วัยหนุ่มสาว ควรจะใช้ยาอิริดทรมัยสิน เพื่อครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนียอี แล้วก็เชื้อคลามัยเดีย นิวโมเนียอี) หรือบางทีอาจให้ยายาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดแบบผู้ป่วยใน การรักษาเกื้อหนุนตามอาการธรรมดาดังเช่น การให้ยาลดไข้ การให้สารน้ำทางเส้นเลือด การให้ออกซิเจน การให้อาการเหลวทางสายให้อาหารลงกระเพาะอาหารในรายที่กินอาหารเองไม่เพียงพอ ฯลฯ

  • การติดต่อของโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ระยะติดต่อ สามารถกระจายเชื้อได้ตลอดเวลาที่เป็นโรคจนกระทั่งเสมหะจากปากแล้วก็จมูกจะมีเชื้อไม่ร้ายแรงแล้วก็มีจำนวนไม่มากพอ ส่วนเด็กที่เป็นพาหะของเชื้อโดยไม่แสดงอาการซึ่งพบได้ในสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนก็สามารถแพร่เชื้อได้เหมือนกัน  โดยเชื้อโรคแล้วก็สารก่อโรคสามารถเข้าสู่ปอดได้โดยทางใดทางหนึ่ง ดังต่อไปนี้  การหายใจนำเชื้อเข้าสู่ปอดโดยตรง โดยการสูดเอาเชื้อโรคที่แพร่กระจายอยู่กลางอากาศในรูปละออกฝอยขนาดเล็ก (จาการไอหรือจามใส่) หรือเชื้อที่อยู่ปกติวิสัย (Normal flora) ในช่องปากและก็คอหอยลงไปในปอด เป็นต้นว่า สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumonia)  ฮีสูดดมฟิลัส อินฟลูเอนเซ (Haemophilus influenzae) กลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกซิเจน – แอนแอโรบส์ (Anaerobes) การสำลัก เป็นกรณีคราวมีเหตุที่เกิดจากการสำลักเอาน้ำรวมทั้งสิ่งแปดเปื้อน (ในผู้ป่วยจมน้ำ) น้ำย่อยในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน สารเคมี (ดังเช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน) หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด ซึ่งพบได้มากได้ในเด็กเล็ก คนแก่ ผู้ป่วยอัมพาต ลมชัก หมดสติ หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็เลยทำให้ปอดอักเสบจากการระคายเคืองของสารเคมีหรือการตำหนิดเชื้อ เรียกว่า “ปอดอักเสบจากการสำลัก” (Aspiration Pneumonia) ซึ่งการอักเสบนอกเหนือจากการที่จะเป็นผลมาจากสารเคืองแล้ว ยงอาจเกิดขึ้นจากเชื้อโรคที่มีอยู่ในช่องปากและก็คอหอยที่ถูกสำลักลงไปในปอดด้วย (ปอดอักเสบที่เกิดจากการสำลักมักเป็นที่ปอดข้างขวามากยิ่งกว่าข้างซ้ายด้วยเหตุว่าหลอดลมข้างขวาหักมุมน้อยกว่าข้างซ้าย)

ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) สำนักระบาดวิทยา ได้รับรายงานผู้เจ็บป่วยโรคปอดอักเสบ 215,951ราย อัตราเจ็บป่วย 330.06 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 486 ราย อัตราตาย 0.74 ต่อพลเมืองแสนคน และก็อัตราป่วยไข้ตายปริมาณร้อยละ 0.23 จากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี พุทธศักราช2549 – 2558 (คริสต์ศักราช2006 – 2015) อัตราเจ็บป่วย มีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราเจ็บไข้ตายมีแนวโน้มต่ำลง โดยผู้เจ็บป่วยเป็นเพศชาย 117,531 ราย เพศหญิง 98,420 ราย อัตราส่วนผู้หญิงต่อผู้ชาย เท่ากับ 1 : 1.2 และก็กลุ่มอายุ 0 – 4 ปี มีอัตราเจ็บไข้สูงสุด รองลงมา คือ กลุ่มวัย 65 ปีขึ้นไป ภาคอีสานอัตราเจ็บป่วยสูงสุด รองลงมา ดังเช่นว่าภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกึ่งกลาง

  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ แนวทางสังเกตกล้วยๆว่าตนเองเป็นโรคปอดอักเสบ/ปอดบวมหรือไม่ คือ เมื่อใดที่เกิดอาการเมื่อยล้า รู้สึกเริ่มหายใจขัด ไม่ทั่วท้อง จำเป็นต้องเอะใจแล้ว หรือถ้าหากมีลักษณะไข้ ไอ มีเสลด คล้ายเป็นหวัด เกิน 3 วันไปแล้วไข้ยังสูงอยู่ เนื่องจากโดยปกติคนเป็นหวัดธรรมดาไม่เกิน 3 วันไข้ก็ลดแล้ว แม้กระนั้นหากเกิน 3 วันไข้ยังสูง มีความคิดว่าไม่ดีขึ้น แล้วก็มีอาการเหน็ดเหนื่อยร่วมด้วย อยู่ในข่ายถูกสงสัยเป็นปอดอักเสบ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย อีกอาการหนึ่งที่ทำให้สงสัยว่ามีลักษณะอาการปอดอักเสบหมายถึงมีลักษณะอาการเจ็บอกร่วมด้วย ซึ่งเรียกว่าเจ็บแบบเยื่อหุ้มปอดอักเสบหมายถึงเจ็บตอนหายใจเข้าลึกๆรวมทั้งเมื่อไปพบแพทย์แล้ว ปรากฏว่าแพทย์วินิจฉัยว่ามีลักษณะอาการ ปอดบวมนิดหน่อย ที่หมอพิเคราะห์ให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ หรือกรณีที่เป็นปอดบวมเข้ารับการดูแลและรักษาในโรงพยาบาลแล้ว และก็แพทย์พินิจพิเคราะห์ให้กลับบ้านเพื่อรักษา และพักฟื้นต่อที่บ้าน ควรปฏิบัติตนดังนี้ ควรกินยาต่อตามหมอสั่งอย่างถูกต้อง ครบสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาปฏิชีวนะ ซึ่งไม่ควรหยุดยาเอง รับประทานอาหารให้พอเพียงกับความอยากได้ของร่างกาย เพราะว่าเป็นช่วงๆที่ร่างกายอยากได้พลังงานในการต่อสู้กับโรค รวมทั้งซ่อมบำรุงร่างกายให้ฟื้น ควรจะเอาใจใส่พิจารณาอาการแทรกที่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเกิดขึ้น
  • การป้องดันตัวเองจากโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ รักษาสุขภาพและอนามัยให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เป็นประจำตัวอย่างเช่น การทานอาหาร พักผ่อน บริหารร่างกาย ให้เหมาะสมกับภาวะรวมทั้งวัยของท่าน หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆได้แก่ การสูบยาสูบ การดื่มสุรา การใช้ยาเสพติด ภาวะทุพโภชนา ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็นการงดรวมทั้งเลิก บุหรี่ สุรา แล้วก็สารเสพติด การป้องกันการรับเชื้อโดยการปิดปากแล้วก็จมูกเมื่อจำเป็นต้องสัมผัสผู้เจ็บป่วยที่ไอหรือจาม  รวมทั้งผู้ป่วยที่มีลักษณะไอหรือจาม ควรจะป้องกันการแพร่ระบาดฝอยละอองไปยังคนอื่น ด้วยการปิดปากและจมูกด้วยกระดาษหรือผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัย ผู้ที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง อาทิเช่น คนสูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ดังเช่นว่า โรคถุงลมโป่งพอง เบาหวาน โรคหัวใจ  ผู้ได้ยากดภูมิต้านทานต้านทานโรค ยกตัวอย่างเช่น ยารักษาโรคโรคมะเร็ง/ยาเคมีบำบัด

ฯลฯ ควรพิเคราะห์ฉีดวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ถ้าเกิดมีโรคประจำตัว หรือเมื่อเป็นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ฝึกฝน อีสุกอีใส ฯลฯ ควรจะดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

  • สมุนไพรจำพวกไหนที่สามารถช่วยบรรเทา/รักษาโรคปอดอักเสบ/ปอดบวมได้ ฟ้าทะลายขโมย  รสขม เป็นยาครอบจักรวาล คุณประโยชน์กินแก้อาการอักเสบต่างๆแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปอดอักเสบ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ไม่สมควรรับประทานติดต่อนานเกินเจ็ดวัน ทำให้ตับเย็น  กระเทียม  เป็นยาบำรุงร่างกาย รับประทานเป็นยาแก้อักเสบในอก ในปอด แก้เสมหะ กระเทียมเจ็ดกลีบตำอย่างระมัดระวัง ลายน้ำผึ้งกินติดต่อกันเจ็ดวัน เพื่อขับเสมหะในระบบทางเท้าหายใจ แก้หืดหอบ แก้ไอให้เสลดแห้ง บำรุงปอด แก้ปอดทุพพลภาพ แก้ปอดบวม แก้วัณโรคปอด แก้เสมหะ แก้น้ำลาบเหนียว แก้ริดสีดวงงอก เหง้าขิง  รสเผ็ดร้อนมีนำมันหอมระเหยที่มีประโยชน์ต่อหัวหัวใจ ปอด ไล่เสลด ไล่ลม ให้ความอบอุ่นยามที่หนาวเปียกชื้น กลิ่นหอมยวนใจทำให้หายใจสะดวก ดื่มน้ำขิงอุ่นๆผสมนมร้อนบำรุงร่างกายบำรุงปอด  ขมิ้น  เป็นสมุนไพรเบื้องต้นที่ใช้รักษาอาการอักเสบกับอวัยวะต่างๆมาหลายร้อยพันปี เป็นยาบำรุงปอด สมานแผลอักเสบในปอด
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 441-445
  • “ปอดอักเสบ”เป็นไข้ ไอ มีเสมหะ เหนื่อยเจ็บหน้าอก.สถานีรามาแชนแนล ขับเคลื่อนสังคมไทยให้สุขภาพดี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://wed.mahidol.ac.th/ramanel ... rhealth-20140910-31
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานุภาพ “โรคปอดอักเสบ ในโรคระบบการหายใจ” http://www.disthai.com/[/b]
  • การรักษาโรคปอดบวม.บทความฟื้นฟูวิชาการ.วารสารอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ปีที่ 1.ฉบับที่ 4.ตุลาคม-ธันวาคม 2558.หน้า 17-29
  • Mandell LA, Wunderink RG, Anzueto A, et al. Infectious Diseases Society of America/American Thoracic Society consensus guidelines on the management of community-acquired pneumonia in adults. Clin Infect Dis 2007; 44 Suppl 2: S27-72.
  • Watkins RR, Lemonovich TL. Diagnosis and management of community-acquired pneumonia in adults. Am Fam Physician 2011; 83: 1299-306.
  • Liapikou A, Torres A. Current treatment of community-acquired pneumonia. Expert Opin Pharmacother 2013; 14: 1319-32.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ) “ปอดอักเสบ” นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์:สารานุกรมทันโรค เล่มที่306
  • Lim WS, Baudouin SV, George RC, et al. British Thoracic Society guidelines for the management of community acquired pneumonia in adults: update 2009. Thorax 2009; 64 (Suppl 3): iii1-55.
  • Managing CAP: An evidence – based algorithm. The Journal of Family Practice. 2007;56:722-726.
  • Reechaipichitkul W, Lulitanond V, Tantiwong P, Saelee R, Pisprasert V. Etiologies and treatment outcomes in patients hospitalized with community-acquired pneumonia (CAP) at Srinagarind Hospital, Khon Kaen, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2005; 36: 156-61.
  • Reechaipichitkul W, Lulitanond V, Sawanyawisuth, Lulitanond A, Limpawattana P. Etiologies and treatment outcomes for out-patients with community-acquired pneumonia (CAP) at Srinagarind Hospital, Khon Kaen, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2005; 36: 1261-7.
  • . Wattanathum A, Chaoprasong C, Nunthapisud P, et al. Community-acquired pneumonia in Southeast-Asia: the microbial different between ambulatory and hospitalized patients. Chest 2003; 123: 1512-9.
  • โรคปอดอักเสบ.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2558.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวจสาธารณสุข.หน้า 101-103
  • สมุนไพรบำรุงปอด.สยามรัฐ.
153  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเเผลในกระเพาะอาหาร- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 21, 2018, 08:52:42 am

โรคแผลในกระเพาะ (โรคกระเพาะ)

  • โรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นอย่างไร โรคแผลในกระเพาะ (Gastric ulcer) คือ โรคที่มีแผลในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อกระเพาะ ผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายสนิทได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรัง หรือเป็นนานๆถ้าไม่รักษาหรือทำตัวให้ถูกจะมีลักษณะเป็นๆหายๆรวมทั้งถ้าเกิดปลดปล่อยให้เป็นมาก จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นโทษถึงชีวิตได้  หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคแผลเพ็ปติก (peptic ulcer) ซึ่งบางทีอาจเป็นแผลตรงส่วนกระเพาะอาหาร เรียกว่า แผลกระเพาะ อาหาร (gastric ulcer, ย่อว่า GU) หรือแผลตรงส่วนลำไส้เล็กส่วนต้น เรียกว่า แผลลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer, ย่อว่า DU) ก็ได้
  • ต้นเหตุของโรคแผลในกระเพาะ โรคแผลในกระเพาะ เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเยื่อเมือกบุข้างในทางเดินอาหาร ถูกทำลายโดยน้ำย่อยจากกระเพาะ ชื่อ เปบซิน (Pepsin) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อโรคว่า แผลเปบติเตียนค ซึ่งเปบซินเป็นน้ำย่อยโปรตีนที่ทำงานร่วมกับกรดในกระเพาะ โดยมีกรดเป็นตัวปลุกฤทธิ์ (Activate)ให้น้ำย่อยนี้มีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการย่อยมากขึ้น รวมทั้งปัจจุบันนี้พบว่ายังมีเหตุเสริมอื่นๆที่ก่อให้เกิดโรคได้อีก ตัวอย่างเช่น การติดเชื้อเฮลิโคกางคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่แปดเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ โดยแบคทีเรียชนิดนี้ มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหาง มีความทนทานกรดสูงเนื่องด้วยสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่ บริเวณตัวมัน  ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบข้างในกระเพาะได้ เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ ฝาผนังกระเพาะก็เลยอ่อนแอลงและมีความทนทานต่อกรดลดลง ทำให้กระเพาะและก็ไส้ส่วนต้นเกิดแผลได้ง่าย

การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (non steroidal anti inflammatory drugs, ย่อว่า NSAIDs) ดังเช่นว่า แอสไพริน ไอบูโพรเฟน อินโดเมทาสิน ท้องนาโพรเซน ไพร็อกสิแคม ไดโคลฟีแนก ฯลฯ ซึ่งนิยมใช้เป็นยาพาราข้อ ปวด เอ็นหรือกล้ามเนื้อ ปวดรอบเดือน และ ใช้แก้ปวดแก้ไข้ทั่วๆไป ถ้าหากใช้ติดต่อกันนานๆมักจะทำให้เกิดแผลเพ็ปติก อาจร้ายแรงถึงขนาดเลือดออก (อ้วกเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ) หรือกระเพาะไส้เป็นแผลทะลุได้ กระเพาะถูกกระตุ้นให้มีกรดเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยกระตุ้นของปลายประสาท มีสาเหตุจากความเครียด วิตกกังวลรวมทั้งอารมณ์ การดื่มแอลกอฮอล์ ดังเช่น สุรา เบียร์ ยาดอง การดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่  การกินของกินไม่ตรงเวลา  มีอุปนิสัยการทานอาหารที่ผิดต้อง ตัวอย่างเช่น การกินอาหารอย่างเร่งรีบ รับประทานไม่เป็นเวลาหรืออดอาหารบางมื้อ เป็นต้น

  • อาการโรคแผลในกระเพาะ เจ็บท้อง ลักษณะของการเกิดอาการเจ็บท้องที่สำคัญหมายถึงปวดเรื้อรังมานาน เป็นๆหายๆเป็นเดือนหรือเป็นปี  ปวดหรือจุกแน่นท้องรอบๆใต้ลิ้นปี่ หรือ หน้าท้องช่วงบน เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักตรงเวลาท้องว่า หรือเวลาหิว อาการก็เลยเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน  ลักษณะของการปวดแน่นท้อง มักจะทุเลาได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด  อาการปวด ชอบเป็นๆหายๆโดยมีช่วงเว้นที่ปราศจากอาการค่อนข้างนาน ตัวอย่างเช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปนับเป็นเวลาหลายเดือนจึงกลับมาปวดอีก  ปวดแน่นท้องตอนกลางดึกหลังจากที่หลับไปแล้ว  แม้ว่าจะมีอาการเรื้อรังเป็นปี สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม โรคแผลกระเพาะจะไม่แปลงเป็นโรคมะเร็ง แม้จะเป็นๆหายๆอยู่นานกี่ปีก็ตาม นอกเหนือจากการที่จะเป็นแผลประเภทที่เกิดขึ้นมาจากโรคมะเร็งของกระเพาะตั้งแต่แรกเริ่มโดยตรง  จุดเสียด แน่นท้อง ท้องเฟ้อ ท้องขึ้น ท้องอืด เรอลม มีลมในท้อง ร้อนในท้อง อาเจียนอ้วก  อื่นๆที่เจอได้หมายถึงไม่อยากอาหาร

ผอมบางลง ภาวะลำไส้ตัน จากแผลก่อให้เกิดพังผืด จึงส่งผลให้ทางเท้าในกระเพาะอาหารแล้วก็/หรือลำไส้เล็กตีบแคบลง ซึ่งอาการเป็น เจ็บท้องรุนแรง ร่วมกับอาเจียน โดยยิ่งไปกว่านั้นข้างหลังทานอาหาร และดื่มน้ำ และไม่สามารถผายลมได้
                ภาวะแทรกซ้อน  เลือดออกมาจากแผลในกระเพาะอาหาร พบได้มากที่สุด ผู้เจ็บป่วยจะมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำเหลว หรือหน้ามืด วิงเวียน เป็นลม  กระเพาะทะลุ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเจ็บท้องตอนบนกะทันหันรุนแรง หน้าท้องแข็งตึง กดเจ็บมาก  กระเพาะอุดตัน ผู้ป่วยจะกินได้น้อย อิ่มเร็ว มีคลื่นไส้หลังอาหารแทบทุกมื้อ ไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักต่ำลง

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคแผลในกระเพาะ ปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหารเป็น1. การกินอาหารต่างๆได้แด่ การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การรับประทานอาหารรสจัด ได้แก่ เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด 2.การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลผสมหรือน้ำอัดลม รวมทั้ง ชา กาแฟ 3.การสูบยาสูบ 4.การรับประทานยาต้านการอักเสบ ในกลุ่ม NSAIDs ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ 5.การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโด กางคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ที่แปดเปื้อนมากับของกินหรือน้ำ
  • กระบวนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร แพทย์วินิจฉัยโรคแผลเปบติคได้จาก ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย หรือการตรวจภาพกระเพาะรวมทั้งช่องท้องด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่การตรวจที่ให้ผลแน่ นอน คือ การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร แล้วก็ไส้ ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา แล้วก็อาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่ม ดังนี้สังกัดอาการผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ เป็นต้นว่า การตรวจค้นสารบางประเภทในอุจจาระซึ่งสร้างโดยเชื้อ เอชไพโลไร หรือการตรวจสารบางประเภทที่เชื้อนี้สร้างและก็ร่างกายกำจัดออกทางการหายใจ การให้ยารักษา (ในกรณีไม่ติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobactor Pylori) โดยกินยาอย่างแม่นยำ เป็นจะต้องรับประทานยาให้สม่ำเสมอ รับประทานยาให้ครบตามปริมาณ และก็ช่วงเวลา ที่หมอสั่งยารักษาโรคกระเพาะ จำนวนมากจะต้องใช้เวลาราวอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย โดยเหตุนี้ตอนหลังกินยา ถ้าหากอาการห้ามหยุดยา จะต้องกินยาต่อกระทั่งครบ และแพทย์มั่นใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะ ลดยาหรือหยุดยาวได้

การให้ยารักษาในกรณีตรวจเจอเชื้อแบคทีเรีย หมอจะให้การรักษาโดยมีสูตรยา 3-4 ประเภทด้วยกัน รับประทานนาน 1-2 อาทิตย์ สูตรยาโดยมากเป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรด เพื่อรักษาแผลและช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นของยาปฏิชีวนะ คนไข้ควรจะได้รับการตรวจหาเชื้อซ้ำหลังจากได้รับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว โดยอาจเป็นการตรวจโดยการส่องกล้องกระเพาะอีกครั้งเพื่อกระทำพิสูจน์ ชิ้นเนื้อซ้ำ หรือทดลองโดยการกินยาสำหรับทดสอบเชื้อแบคทีเรียโดยตรง และตรวจวัดสารที่ถูกปลดปล่อยออกมาทางลมหายใจ
การผ่าตัด ซึ่งในขณะนี้ มียาที่รักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างยอดเยี่ยมมากไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าหากให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นที่ต้องผ่าตัดในการผ่าตัดอาจจะส่งผลให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรก ตัวอย่างเช่น เลือดออกในกระเพาะและก็ลำไส้เล็ก โดยไม่อาจจะทำให้หยุด                เลือดออกได้          แผลกระเพาะรวมทั้งลำไส้เล็กเกิดการทะลุ        กระเพาะมีการตัน

  • การติดต่อของโรคแผลในกระเพาะ โรคแผลในกระเพาะ ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ควรจะรำลึกไว้เสมอว่า โรคแผลกระเพาะเป็นโรคเรื้อรัง เป็นๆหายๆมักไม่หายสนิทตลอดชาติ คนเจ็บจำเป็นต้องได้รับยารักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน ข้างหลังได้รับยา อาการปวดจะหายไปก่อน ใน 3-7 วัน แต่ว่าแผลจะยังไม่หาย ส่วนมากใช้เวลาถึง 4-8 อาทิตย์ แผลก็เลยหาย เมื่อหายแล้ว จะกลับมาเป็นใหม่ได้อีกหากไม่ระวังกระทำตัวให้ถูกต้อง อย่างเช่น  ทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย แล้วก็ทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ทานอาหารตรงตรงเวลาทุกมื้อ  รับประทานอาหารปริมาณน้อยๆแต่ว่ารับประทานให้บ่อยมากมื้อ ไม่สมควรรับประทานจนกระทั่งอิ่มมากในแต่ละมื้อ  หลบหลีกอาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ งดเว้นสูบบุหรี่  งดการใช้ยาพารา แอสไพริน และยาแก้โรคกระดูกและก็ข้ออักเสบทุกชนิด รวมถึงยาชุดต่างๆคลายเครียด ไม่สบายใจ พักให้เพียงพอ กินยาลดกรด หรือยารักษาแผลกระเพาะอาหารติดต่อกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ หรือจากที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากมีอาการของภาวะแทรกซ้อน จำต้องรีบไปพบหมอ ควรบริหารร่างกายให้สุขภาพแข็งแรง
  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคแผลในกระเพาะอาหาร รักษาสุขลักษณะ เพื่อลดจังหวะติดเชื้อต่างๆโดย เฉพาะการใช้ช้อนกลาง และก็การล้างมือเสมอๆโดยยิ่งไปกว่านั้นหลังเข้าส้วม และก่อนอาหาร เมื่อมีลักษณะเจ็บท้องบริเวณลิ้นปี่เสมอๆเป็นๆหายๆหรือเรื้อรัง อาการเกิดขึ้นอีกข้างหลังดูแลตัวเองในเบื้องต้น ควรพบหมอเสมอ เพื่อการวิเคราะห์หาสาเหตุแล้วก็ให้การรักษาแต่ว่าเนิ่นๆก่อนโรคขยายเป็นแผลเปบว่ากล่าวค หรือบางทีอาจเป็นลักษณะโรคมะเร็งกระเพาะได้ หลบหลีกการใช้ยาโดยไม่ ต้อง โดยเฉพาะกลุ่มยาต่อต้านอักเสบ ที่ไม่ใช่สตีรอยด์ที่ใช้แก้ปวดข้อปวดเส้นเอ็นรวมทั้งกล้าม รวมทั้งยาอื่นๆที่เป็นเหตุกระตุ้นให้โรคกำเริบ กินอาหารสุก อย่าทานอาหารดิบๆสุกๆหรือมีแมลงวันตอม เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อว่าดเชื้อเอชไพโรไล หลบหลีกการดื่มเหล้า เบียร์สด กาแฟ ยาดอง รวมทั้งงดเว้นสูบบุหรี่ พักผ่อนให้มากพอเพียง ทำจิตใจให้ร่าเริงบรรเทาเครียดกังวล และไม่หงุดหงิดเจ้าอารมณ์
  • สมุนไพรที่สามารถช่วยทุเลา/รักษาโรคแผลในกระเพาะได้ ขมิ้นชัน ในขมิ้นชันจะมีสารชนิดหนึ่งชื่อ เคอคิวมินอยด์ เป็นตัวปกป้องการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการขับน้ำดี ทำให้ระบบการย่อยของอาหารดีขึ้น จึงช่วยคลายความจุกเสียด รวมทั้งสารเคอคิวมินอยด์ ยังไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารฉาบกระเพาะอาหารจึงช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารให้ดียิ่งขึ้น วิธีการใช้ เพียงแต่นำเหง้าของขมิ้นชันมาล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆผึ่งแดดราวๆ 1 – 2 วันแล้วบดให้รอบคอบ ผสมกับน้ำผึ้งรับประทานเป็นลูกกลอน กินทีละ 500 มก. หลังอาหารและก่อนนอน 4 เวลา ว่านหางจระเข้  ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณลักษณะในการรักษาโรคกระเพาะ ช่วยสำหรับการรักษาบาดแผลในกระเพาะอาหารรวมทั้งล้างพิษ  โดยให้ใช้ใบสดที่พึ่งจะเอาออกมาจากต้น ล้างน้ำให้สะอาดแล้วปอกให้เหลือแต่วุ้นใสๆแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆรับประทานทุกวัน ก่อนรับประทานอาหาร กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณสำหรับในการรักษาโรคกระเพาะและก็ลำไส้ ด้วยเหตุว่าในฝักกระเจี๊ยบนั้นจะมีสารประเภทหนึ่งชื่อว่า แพ็คติน และก็คัม ที่จะช่วยเคลือบแผลในกระเพาะและก็ไส้ วิธีการใช้ เพียงแค่เอามาลวกแล้วรับประทานวันแล้ววันเล่าตรงเวลาต่อเนื่องอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ แผลในกระเพาะก็จะดียิ่งขึ้นเพราะว่าเมือกลื่นๆในผลของกระเจี๊ยบเขียวช่วยฉาบแผลในกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคกระเพาะอาหาร.หน่วยโรคทางเดินอาหารฯ.สาขาวิชาอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคกระเพาะ.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 288 .คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.เมษายน.2546
  • ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร.โรคกระเพาะอาหาร.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
  • สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ,(2543).ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 2).กรุงเทพฯ:อุษาการพิมพ์.
  • แผลเปปติค(Pept:c ulcer)/แผลในกระเพาะอาหาร(Gastric ulcer)http://www.disthai.com/[/b]
  • วันทนีย์ เกรียงสินยศ,(2548).กินอย่างไรเมื่อเป็นโรคกระเพาะ.หมอชาวบ้าน.(ปีที่ 26 ฉบับที่ 311หน้า52-54).
  • El-Omer E, Penman I, Ardill JE, McColl KE. A substantial proportion of non-ulcer dyspepsia patients have the same abnormality of acid secretion as duodenal ulcer patients. Gut 1995;36:534-8.
  • พิศาล ไม้เรียง.(2536).โรคทางเดินอาหาร การวินิจฉัยและการรักษา.(พิมพ์ครั้งที่ 2).ขอนแก่น:โรงพิมพืคลังนานาวิทยา.
  • กลุ่มวิจัยโรคกระเพาะอาหาร.สมาคมแพทย์ระบบทางเดินแห่งประเทศไทย.แนวทางเวชปฏิบัติในการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยดิสเปปเซียและผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพลอไร ในประเทศไทย พ.ศ.2553.สำนักพิมพ์กรุงเทพเวชสาร,2010.
  • เฟื่องเพชร เกียรติเสรี.(2541).โรคระบบทางเดินอาหาร.(พิมพ์ครั้งที่1).กรุงเทพฯ:เรือนแก้ว การพิมพ์.

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : โรคหัวใจขาดเลือด
154  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคมะเร็ง-อาการ-สาเหตุ-การรักษา-การรักษา-วิธีการป้องกัน-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 20, 2018, 03:09:10 pm

โรคมะเร็ง (Canaer)[/size]

  • โรคมะเร็งเป็นอย่างไร โรคมะเร็งเป็นโรคที่มีความผิดธรรมดาของเซลล์ในอวัยวะต่างๆของร่างกาย โดยเกิดการเปลี่ยนทางพันธุกรรมของเซลล์ ก่อกำเนิดเป็นเซลล์ของโรคมะเร็งที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับที่เหมาะสม ผลลัพธ์เป็น การเกิดเป็นก้อนเนื้อโรคมะเร็งที่เติบโตก่อกวนหลักการทำงานของเซลล์ปกติในอวัยวะ นอกเหนือจากนั้นยังสามารถแพร่กระจายแพร่ไปยังอวัยวะอื่นได้โดยผ่านระบบกระแสโลหิตหรือน้ำเหลืองของเราเป็นตัวน้ำกาม โรคมะเร็งอาจมีไม่เหมือนกันได้มากมาย ตามตำแหน่งของอวัยวะที่เป็นจุดกำเนิดของโรคมะเร็ง รวมทั้งชนิดของเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างในอวัยวะนั้นๆโดยอวัยวะที่มีการตรวจเจอเซลล์ของโรคมะเร็ง ดังเช่นว่า มะเร็งตับ โรคมะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวโรคมะเร็งสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งไส้ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งกระเพาะ มะเร็งกระดูก โรคมะเร็งหลอดอาหาร โรคมะเร็งลิ้น มะเร็งโพรงปากและคอ มะเร็งท่อน้ำดีและถุงน้ำดี มะเร็งหลอดลม โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคมะเร็งตับอ่อน มะเร็งไต มะเร็งไทรอยด์ โรคมะเร็งโพรงมดลูก และโรคมะเร็งพบได้บ่อยในเด็กไทย เรียงจากลำดับแรก 4 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งสมอง และโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมา
  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือ ภายนอกร่างกาย ซึ่งเดี๋ยวนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง จำนวนมาก มีต้นเหตุจากปัจจัยอาทิเช่น
  • สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและก็เครื่องดื่ม ดังเช่นว่า สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นมาจากการปิ้ง ปิ้ง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขั้นตอนรักษาอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า
  • บุหรี่ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง การสูบยาสูบหรือการอยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่ นำมาซึ่งการทำให้เป็นโรคมะเร็ง แล้วก็โรคระบบฟุตบาทหายใจต่างๆและถึงแก่ชีวิตได้
  • แอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ได้โอกาสเป็นมะเร็งในโพรงปาก คอ หลอดของกิน และก็กล่องเสียงได้ นอกนั้นแอลกอฮอล์ยังไปทำลายตับ และมีโอกาสเป็นมะเร็งตับได้
  • ฮอร์โมน เพศหญิงที่ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนควบคุมอาการร้อนวูบวาบ หรืออาการเสื่อมของกระดูก ซึ่งมักจะเกิดในวัยหมดประจำเดือน จากการเรียนพบว่า การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ได้โอกาสเป็นมะเร็งมดลูก รวมทั้งโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น
  • รังสี รังสีเอกซเรย์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรค เพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ แม้จะมีจำนวนเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ แม้กระนั้นถ้าหากได้รับรังสีบ่อยๆกันหลายๆครั้ง อาจส่งผลให้ก่อให้เกิดอันตรายได้
  • แสงสว่างอุลตร้าไวโอเล็ต แสงสว่างจากพระอาทิตย์ หรือจากแหล่งอื่นๆบางทีอาจทำลายผิวหนังแล้วก็นำมาซึ่งโรคมะเร็งผิวหนังได้ ด้วยเหตุนั้นจึงควรหลบหลีกการเช็ดกแสงแดดในระยะเวลา 11.00-15.00 น. เนื่องจากเป็นตอนที่แสงอาทิตย์แรงจัด
  • มีต้นเหตุที่เกิดจากความเปลี่ยนไปจากปกติในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย ดังเช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ เกิดได้โอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ฯลฯ การมีภูมิต้านทานที่บกพร่องและก็สภาวะ ทุพโภชนาการ เป็นต้นว่า การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี

รวมถึงสาเหตุด้านกรรมพันธุ์ โรคมะเร็งบางชนิด ตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และก็มะเร็งลำไส้ มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้กับบุคคลภายในครอบครัวที่มีประวัติเป็นมะเร็งดังกล่าวมาแล้วข้างต้นสาเหตุของมะเร็งที่สำคัญๆในปัจจุบัน อย่างเช่น

  • โรคมะเร็งที่ผิวหนัง มูลเหตุเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากถูกแดดหรือแสงสว่างอุลตราไวโอเลตและก็มีสาเหตุมาจากพวกสารหนู หรือการรักษาโดยใช้ยาที่เข้าน้ำมันดิน ทั้งยาไทย-จีน ซึ่งน้ำมันดินเป็นองค์ประกอบ สำหรับเล็บรวมทั้งขน ไม่เป็นโรคมะเร็ง
  • โรคมะเร็งที่ปอด มูลเหตุเป็นผลมาจากหายใจในอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ มีฝุ่นที่มีสารพวกไฮโดรคาร์บอน ตัวอย่างเช่น ควันดำจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือเขม่าจากโรงงาน สำหรับยาสูบ มีผลกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดมะเร็งปอดได้
  • โรคมะเร็งที่โพรงปาก ชอบมีสาเหตุมาจากการระคายเคืองเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ดื่มเหล้าเพียวๆกินหมาก แล้วรักษาสุขภาพไม่สะอาดด้วย และก็ที่สำคัญเป็นยาฉุน การเคี้ยวอาหารแล้วมีการระคาย ได้แก่ ฟันเก หรือใส่ฟันปลอมไม่กระชับ ทำให้เป็นแผลเล็กๆตราบจนกระทั่งเป็นโรคมะเร็งได้
  • มะเร็งที่หลอดของกิน โดยมากเกิดขึ้นจากการระคายเคืองเรื้อรัง การกินของร้อน ดังเช่นว่า จิบชา กาแฟร้อนๆ
  • มะเร็งที่กระเพาะอาหาร ส่วนมากมีเหตุมาจากสารไนโตรซามีนส์ เป็นต้นว่า รับประทานอาหารพวกโปรตีนหมัก สารที่เข้าดินประสิวที่ใช้สำหรับเพื่อการทำให้เนื้อมีสีแดง เนื้อเปื่อย รวมทั้ง ดี.ดี.ครั้ง.ซึ่งเมื่อเข้าไปภายในร่างกายแล้ว มันจะเปลี่ยนเป็นไดเมธิลไนโตรซามีนส์ พวกที่กินผักที่มี ดี.ดี.ที. นอกเหนือจากที่จะตายจาก ดี.ดี.ที. แล้ว ยังบางทีอาจตายจากโรคมะเร็งได้อีกด้วย
  • มะเร็งที่ลำไส้เล็ก-ใหญ่ ปัจจัยคล้ายคลึงกันกับโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหาร
  • มะเร็งที่เต้านม ปัจจัยมีเหตุมาจากเชื้อไวรัส เมื่อก่อนมั่นใจว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากด้านเชื้อชาติและการกระทบกระแทกที่เต้านม
  • โรคมะเร็งที่ตับ ต้นสายปลายเหตุมีต้นเหตุที่เกิดจากไนโตรซามีนต์ อะฟล่าท็อกสิน รวมทั้งจากพยาธิใบไม้ในตับ รวมทั้งจากโรคตับแข็ง
  • มะเร็งปากมดลูก มีต้นเหตุที่เกิดจากไวรัส และจากการระคายเคืองเรื้อรัง ดังเช่นว่า คนที่ออกลูกเสมอๆมีเซ็กส์บ่อยๆหรือผู้ที่เป็นหญิงงามเมือง และก็คนที่ไม่รักษาความสะอาดรอบๆของลับ
  • โรคมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากบุหรี่ สีย้อมผ้าที่ใช้ผสมของกิน ยิ่งไปกว่านี้พวกมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลิวคีภรรยา), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ลิมโฟม่า) ก็มีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัสด้วยเหมือนกัน
  • ลักษณะโรคโรคมะเร็ง สำหรับในระยะแรกของการเกิดโรคมะเร็งขึ้นในร่างกายนั้นกล่าวได้ว่าแทบไม่มีอาการอะไรส่อแวว หรือบอกให้ผู้เจ็บป่วยทราบได้เลยว่ากำลังเผชิญกับโรคมะเร็งนี้อยู่ ทำให้กว่าที่จะรู้สึกตัวก็สายเกินแก้ เมื่อเป็นประสักระยะหนึ่ง คนที่มีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งจำนวนมากมักจะเริ่มรู้สึกอ่อนแรงง่าย เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้ลดลง อิ่มเร็ว ผอมซูบ น้ำหนักลด ร่างกายเริ่มมองเสื่อมโทรมลง ไม่สดชื่นคล่องแคล่วเหมือนเดิม และก็เมื่ออยู่ในระยะที่มะเร็งเริ่มแพร่กระจายเยอะขึ้นก็จะเริ่มปรากฏอาการอย่างเห็นได้ชัดในตอนนี้ จะรู้สึกเจ็บปวดรวมทั้งทรมาทรกรรมเป็นอย่างยิ่งตามจุดต่างๆที่เกิดโรคมะเร็งขึ้น ดังนี้จะมีลักษณะอาการมากน้อยเช่นไรก็ขึ้นกับโรคมะเร็งที่เป็นว่าเป็นโรคมะเร็งจำพวกใด จำพวกไหน และก็การกระจายของเซลล์ของมะเร็งข้างในนั้นไปเบียดบังอวัยวะส่วนใดบ้าง


  • ไอมีเสลดคละเคล้าเลือด เป็นลักษณะโรคโรคมะเร็งปอด
  • ไอเรื้อรังแล้วก็มีเสียงแหบ เป็นอาการของโรคมะเร็งกล่องเสียงหรือมะเร็งปอดโดยไม่มีอาการของหวัดหมายถึงจับไข้ มีน้ำมูก และก็มีเสลดมาก่อนหน้า
  • ลูบคลำก้อนถึงที่เหมาะเต้านมหรือที่อื่นของร่างกายที่ไม่เคยลูบคลำได้มาก่อนเป็นลักษณะของโรคมะเร็งเต้านมและเร็งอื่น
  • อึลำบาก ท้องผูกสลับกับท้องร่วง เป็นลักษณะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีลักษณะสม่ำเสมอมากยิ่งกว่า 2 อาทิตย์ ร่วมกับน้ำหนักลด
  • มูกหรือเลือดออกทางทวารหนักหรือช่องคลอด เป็นอาการของโรคมะเร็งทางนรีเวช อย่างเช่น โรคมะเร็งปากมดลูก หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนไส้ตรง
  • ฉี่มีเลือดปน อาจเป็นอาการของโรคโรคมะเร็งทางเดินปัสสาวะ ดังเช่นว่า กระเพาะปัสสาวะต่อมลูกหมาก
  • น้ำหนักลดน้อยลงโดยไม่มีต้นเหตุ
  • ไข้เรื้อรัง ไข้ที่เป็นมานานกว่า 1 สัปดาห์ เป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดโลหิตหรือต่อมน้ำเหลือง
  • ปวดตามตัวหรือที่กระดูก โดยเฉพาะลักษณะของการปวดที่ตลอด และก็มีอาการปวดตอนกลางคืนเป็นอาการของโรคมะเร็งแพร่ระบาดเข้ากระดูกได้
  • อ่อนล้า เบื่อข้าว เป็นลักษณะของโรคมะเร็งระบบทางเดินอาหาร อย่างเช่น กระเพาะลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน หรือเป็นแค่อาการที่เกิดจากมะเร็งจำพวกอื่นๆ

โดยธรรมดาโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ตัวอย่างเช่น ระยะที่ 1-4 ซึ่งทั้งยัง 4 ระยะ ส่วนโรคมะเร็งระยะศูนย์ (0) ยังไม่จัดเป็นโรคโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เนื่องจากเซลล์เพียงมีลักษณะเป็นมะเร็ง แม้กระนั้นยังไม่มีการรุกราน (Invasive) ขาดทุนเยื่อข้างๆ

  • ระยะที่ 1: ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
  • ระยะที่ 2: ก้อนหรือแผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มแพร่กระจายด้านในเยื่อหรืออวัยวะ
  • ระยะที่ 3: ก้อนหรือแผลโรคมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มขยายขาดทุนเยื่อหรืออวัยวะข้างๆ รวมทั้งขยายเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นโรคมะเร็ง
  • ระยะที่ 4: ก้อนหรือแผลโรคมะเร็งขนาดโตมาก ซึ่งขยายเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้กัน จนกระทั่งทะ ลุ รวมทั้งเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนโรคมะเร็ง โดยเจอต่อมน้ำเหลืองโตลูบคลำได้ และ/หรือ แพร่ไปเข้ากระแสโลหิต หรือสายน้ำเหลือง ไปยังเยื่อ/อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป ได้แก่ ปอด ตับ สมอง กระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในท้อง ในช่องอก ต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า
  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคมะเร็ง ที่ สำคัญ มี 2 ข้อ

ข้อ แรก คือ ต้นสายปลายเหตุจากสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อน ในของกิน อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เป็นต้น และก็การได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย แล้วก็พยาธิบางชนิด
ข้อลำดับที่สอง คือ อาทิเช่นปัจจัยภายในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ความไม่ดีเหมือนปกติทางพันธุกรรม ความบกพร่องของระบบภูมิต้านทาน และภาวะทุพโภชนา ฯลฯ   
 
โดยเหตุนี้คนที่มีความเสี่ยงต่อการ เป็นโรคโรคมะเร็งเป็นคนที่มีการกระทำดังนี้
ผู้ที่ดูดบุหรี่  ทั้งยังยาสูบมวนเอง ยาสูบ กล้องยาสูบ หรือการเคี้ยวยาสูบ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นโรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งในโพรงปาก กล่องเสียง โรคมะเร็ง หลอดของกิน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ รวมทั้งมะเร็งของตับอ่อน
คนที่ดื่มสุราเสมอๆ สามารถส่งผลให้เกิดตับอักเสบและตับแข็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับตามมา นอกนั้น สุรายังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในช่องปากรวมทั้งคอ
คนที่ติดเชื้อโรค เชื้อไวรัสบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น   เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ เชื้อไวรัสเอปสไตน์บารร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งข้างหลังโพรงจมูกหรือโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Burkitt เชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus) เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งปากมดลูกในสตรี หรือ โรคมะเร็งช่องปากและคอ  หรือคนที่ถูกใจรับประทานอาหารที่มี พิษ ชื่อ อัลฟาทอกซิล ที่เจอจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารเช่น ถั่วลิสงป่น ฯลฯ ถ้ากินประจำจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับ และก็แม้ได้รับทั้งยัง 2 อย่าง ช่องทาง จะเป็นมะเร็งตับมากขึ้นเรื่อยๆ
คนที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเสมอๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก รวมทั้งต่อมลูกหมาก
ผู้ที่ติดโรคพยาธิใบไม้ตับ และกินอาหารที่ใส่ดิน ประสิวเสมอๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่องอันเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความไม่ดีเหมือนปกติจากกรรมพันธุ์หรือติดเชื้อโรคไวรัส โรคภูมิคุมกันบกพร่อง จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งของเส้นโลหิต ฯลฯ
คนที่กินอาหารเค็ม จัด ของกินที่มีส่วนผสมโปตัสเซี่ยมไนเตรดแล้วก็ส่วนไหม้เกรียม ของของกินเสมอๆจะเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ของกินแล้วก็ลำไส้ใหญ่
ผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว อาทิเช่น โรคมะเร็งของจอตา มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ประเภทที่ เป็นติ่งเนื้อ เป็นต้น
คนที่ตากแดดจัดเป็นประจำจะ เกิดอันตรายจากแสงอาทิตย์ที่ มีจำนวนของแสงอุลยี่ห้อ ไวโอเลต มากไม่น้อยเลยทีเดียว ส่งผลทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้
สัญญาณเตือน 7 ประการ ที่อาจมีความหมายว่าเป็นลักษณะโรคมะเร็ง มีดังนี้

  • มีการเปลี่ยนสำหรับในการอึ ปัสสาวะ ที่ผิดปกติ อาทิเช่น มีเลือดออก ท้องเดินหรือท้องผูกไม่ดีเหมือนปกติ
  • มีแผลเรื้อรังที่ไม่หาย โดยเป็นเป็นเวลานานมากกว่า 3 สัปดาห์
  • มีเลือดออก หรือมีสารคัดหลั่งออกมาจากบริเวณช่องต่างๆของร่างกายแตกต่างจากปกติ ยกตัวอย่างเช่น หัวนม, จมูก, ช่องคลอด ทวารหนัก เป็นต้น
  • ลูบคลำพบก้อนที่เต้านม หรือที่อื่นๆของร่างกาย
  • ท้องขึ้น ของกินไม่ย่อย มีอาการปวดท้อง กลืนอาหารทุกข์ยากลำบาก เป็นต้น
  • ไฝหรือจุดเล็กๆตามร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ดังเช่นว่า โตขึ้น มีสีไม่ดีเหมือนปกติหรือมีเลือดออก
  • มีลักษณะอาการไอที่ผิดปกติ ตัวอย่างเช่น ไอปนเลือด ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบ
  • ขั้นตอนการรักษาโรคโรคมะเร็ง หมอวินิจฉัยโรคมะเร็งได้จาก เรื่องราวอาการต่างๆของคนเจ็บ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพเนื้อเยื่อและอวัยวะที่มีลักษณะอาการด้วยเอกซเรย์ หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอมอาร์ไอ แต่ที่ได้ผลแน่ๆเป็นการตรวจเซลล์จากก้อนเนื้อเพื่อ การตรวจทางเซลล์วิทยา หรือ ตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

วิธีรักษาโรคโรคมะเร็ง สำหรับการรักษาโรคโรคมะเร็งนี้ภายหลังแพทย์วิเคราะห์ลักษณะโรคเสร็จแล้ว จะมีการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเซลล์ของมะเร็งร้ายกระจัดกระจายไปอยู่ในรอบๆใดของร่างกายบ้าง เมื่อเข้าใจแล้วก็จะรักษาไปตามอาการ โดยมะเร็งแต่ละประเภทการดูแลและรักษาก็บางครั้งอาจจะไม่เหมือนกันออกไปบ้าง แม้กระนั้นทั้งนี้ก็มีแนวทางที่หมอนิยมรักษากันอยู่ เป็น
การผ่าตัด โรคมะเร็งระยะเริ่มต้นส่วนมากมักจะใช้การผ่าตัดเป็นส่วนมาก อาทิเช่น โรคมะเร็งหัวและก็คอ มะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยหมอจะทำผ่าตัดก่อนเป็นขั้นแรก เพื่อกำจัดก้อนเนื้อร้ายที่อยู่ภายในร่างกายพวกเราออกไป แม้กระนั้นวิธีแบบนี้ไม่ได้สามารถทำรักษาได้กับมะเร็งทุกชนิด และก็การผ่าตัดก็ยังไม่แน่ว่าจะหายสนิท หรือไม่ ด้วยเหตุว่าเซลล์ของมะเร็งอาจยังหลงเหลือหรือซ่อนตัวอยู่ในร่างกาย โดยอาจเป็นเซลล์ของมะเร็งที่กำลังเริ่มจะเกิด ทำให้แพทย์ไม่อาจจะรู้หรือมองเห็น เมื่อปล่อยไปสักระยะก็จะกลับเข้าสู่วังวนเดิม คือเริ่มก่อตัวขยายใหญ่ขึ้น ก็ต้องมาผ่าตัดกันใหม่อีกครั้ง แต่โดยมากกับกรรมวิธีการผ่าตัดนี้หมอมักแนะนำให้ทำคีโมหรือเคมีบรรเทาร่วมด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะช่วยให้หายขาดจากโรคมะเร็งนี้ได้
การใช้รังสีรักษา เป็นการฉายแสงไปยังเซลล์ของมะเร็งในร่างกาย เพื่อทำลายกลุ่มก้อนเซลล์มะเร็งนั้น ในการส่องแสงนี้เป็นการรักษาแบบเฉพาะที่ โดยอาศัยต้นสายปลายเหตุจากจำพวกของมะเร็งที่เป็น ระยะเวลาที่เกิดมะเร็ง ตลอดจนสุขภาพของคนไข้เหตุว่าแข็งแรงพอไหม ซึ่งถ้าหากผู้เจ็บป่วยพร้อมก็จะทำเปล่งแสงราวๆ 2 – 10 นาที โดยจำต้องทำการฉายแสงสัปดาห์ละ 5 วัน รวมประมาณ 5 – 8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของหมอ แต่ว่าการรักษาด้วยรังสีรักษานี้จะทำให้เป็นผลข้างๆขึ้น ได้
เคมีบรรเทา (คีโม) สำหรับวิธีนี้ถือเป็นการรักษาอย่างถูกจุด แก้ที่ต้นเหตุโดยตรงของปัญหา เพราะเหตุว่าเป็นการให้ยาเข้าไปทำลายเซลล์ของมะเร็งทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่ภายในร่างกาย และที่กระจายเข้าไปตามต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือดด้วย โดยแพทย์จะนัดหมายมาทำตรวจร่างกายวัดความดันและก็ทำเจาะเลือด ซึ่งหากผลของการตรวจร่างกายผ่าน แพทย์ก็จะให้ไปทำการให้คีโมซึ่งก็ราวกับการให้น้ำเกลือทั่วๆไป เพียงแต่จำเป็นต้องนอนรอหลายชั่วโมงจนกว่าตัวยาจะหมด แล้วก็ในระหว่างการให้คีโมนี้คนป่วยบางคนอาจกำเนิดอาการแพ้ได้ ซึ่งบางทีอาจรู้สึกเวียนศีรษะ อาเจียน หรืออ้วก และก็ผลกระทบที่ตามมาหลังจากการให้คีโมประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ ผมจะเริ่มตก รู้สึกอ้วก คลื่นไส้ เป็นแผลในปาก รวมทั้งจำนวนเม็ดเลือดลดน้อยลงทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย ตลอดจนอาจรู้สึกหายใจไม่สะดวก มีผื่นขึ้น ท้องผูกถ่ายไม่ออก หรือเป็นไข้ เป็นต้น แต่ว่าการดูแลและรักษาด้วยวิธีนี้ก็มีค่ารักษาที่ค่อนข้างแพงเลยแล้วก็ยังต้องทำหลายที ขึ้นอยู่กับหมอเป็นผู้วินิจฉัยว่าจำต้องทำทั้งผองกี่ครั้งจึงจะหายเป็นปกติ

  • การติดต่อของโรคมะเร็ง โรคมะเร็งเป็นโรคที่ไม่ติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งหรือติดต่อจากสัตว์สู่คน แต่โรคมะเร็งบางประเภทอาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ได้แก่ มะเร็งเต้านม ถ้าหากมีประวัติบุคคลในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้ สมาชิกด้านในครอบครัวนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงขึ้นยิ่งกว่าคนทั่วไปน้อย
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคมะเร็ง

การดูแลตัวเองในเรื่องทั่วไป รักษาสุขลักษณะอย่างเคร่งครัด เพราะเหตุว่าเป็นตอนๆติดเชื้อโรคได้ง่าย พักให้สุดกำลัง หากหมดแรง ควรจะลาหยุดงาน แต่หากไม่อ่อนล้า ก็สามารถปฏิบัติงานได้ แต่ว่าควรเป็นงานเบาๆไม่ใช้แรงงาน และก็สมองมากมาย ทำงานบ้านได้ตามกำลัง งดเว้น/เลิก ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
จำกัดเครื่องดื่มคาเฟอีนดังได้กล่าวแล้ว หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดเพราะจะติดเชื้อโรคได้ง่าย ยังคงจำต้อง ดูแล รักษา ควบคุมโรคร่วมอื่นๆอย่างต่อเนื่องร่วมไปด้วยเสมอกับการดูแลและรักษาโรคมะเร็ง
รักษาสุขภาพจิต ให้กำลังใจตนเอง และคนรอบข้าง มองโลกในด้านบวกเสมอ เจอหมอตามนัดเสมอ เจอแพทย์ก่อนนัดหมาย เมื่ออาการต่างๆต่ำทรามลง หรือกำเนิดความไม่ปกติไม่ถูกไปจากเดิม หรือเมื่อตื่นตระหนกในอาการ
การดูแลตนเองในเรื่องของกิน เมื่อรับประทานอาหารได้น้อย ให้พากเพียรกินในปริมาณมื้อที่บ่อยครั้งขึ้น รับประทานครั้งน้อยๆแต่เสมอๆแต่ว่ายังต้องจำกัดอาหารว่าง และก็อาหารเค็ม เนื่องจากส่งผลต่อน้ำตาลในเลือด แล้วก็ลักษณะการทำงานของไต ให้กำลังใจตัวเอง เข้าใจว่า ของกินเป็นตัวยาสำคัญยิ่งตัวยาหนึ่ง ของการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ทดลองปรับเปลี่ยน ชนิดของกินให้กินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น อาหารอ่อน อาหารเหลว แต่ว่าควรจะหลีกเลี่ยงอาหารทอด หรือผัด หรือมีกลิ่นรุนแรง เพราะมักทำให้เกิดอาการอ้วก อ้วก เตรียมอาหารทีละน้อยๆอย่าให้รับประทานเหลือ เนื่องจากว่าจะได้กำเนิดกำลังใจว่ากินหมดทุกมื้อ ควรแจ้งแพทย์ พยาบาลเมื่อกินมิได้ หรือกินได้น้อย และควรจะเห็นด้วย เมื่อหมอแนะนำการให้อาหารทางสายให้อาหาร การกินอาหารที่มีสาระครบ 5 กลุ่มเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารโปรตีน (ดังเช่น เนื้อ นม ไข่ ปลา ตับ) เพราะว่าในการรักษาโรคโรคมะเร็ง ความแข็งแรงของไขกระดูก (เม็ดเลือดต่างๆ) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นตัวช่วยให้ร่างกายสนองตอบที่ดีต่อรังสีรักษา รวมทั้งยาเคมีบำบัด รวมทั้งช่วยลดช่องทางติดโรค ซึ่งการต่อว่าดเชื้อในขณะกำลังรักษาโรคโรคมะเร็งมักเป็นการติดเชื้อโรคที่ร้ายแรง

  • การป้องกันตนเองจากโรคมะเร็ง วิธีคุ้มครองป้องกันโรคมะเร็งที่ดีที่สุดหมายถึงหลบหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ที่หลีกเลี่ยงได้ ดังเช่น รับประทานอาหารเป็นประโยชน์ครบ 5 หมู่ทุกวี่วัน ในปริมาณที่เหมาะสมเป็นไม่ให้อ้วนหรือ ผอม เกินไป โดยจำกัดเนื้อแดง แป้ง น้ำตาล ไขมัน เกลือ แม้กระนั้นเพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆรวมทั้งหลบหลีกอาหารประเภทปิ้งปิ้งที่มีลักษณะไหม้เกรียม ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพ เป็นประจำ รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเป็นปัจจุบันนี้
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้องโรคมะเร็ง สมุนไพรตั้งแต่นี้ต่อไปล้วนมีผลการทดลองที่มีประโยชน์ต่อการดูแลและรักษาโรคมะเร็ง

ฟ้าทะลายโจร(Andrographis paniculata) ในประเทศอินเดียใช้กันมานานรักษาไข้รากสาดน้อย แก้อักเสบ แก้มาเลเรีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน สารสำคัญเป็น andrographolide สามารถยั้งเซลล์ของมะเร็งได้หลายประเภท
บัวบก (Centella asiatica) มีสาร asiaticoside ที่ช่วยให้แผลเรื้อรังหายได้เร็วขึ้น เพิ่มภูมิต้านทาน และก็ในบราซิลมีการใช้เพื่อรักษามะเร็งมดลูก
ขมิ้น (Curcuma longa) สารสำคัญเป็น curcumin มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์แล้วก็ต่อต้านการอักเสบที่แรง สามารถนำมาซึ่งการตายของเซลมะเร็งหลายประเภทเช่น โรคมะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะ โรคมะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งรังไข่ รวมทั้งยังมีฤทธิ์ต้านทานไวรัส แบคทีเรียแล้วก็ราอีกด้วย
ว่านหางจรเข้ (Aloe vera) มีสาร aloe-emodin ที่กระตุ้น macrophage ให้กำจัดเซล์ลมะเร็ง แล้วก็ยังมี acemannan ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ว่านหางจรเข้ช่วยกระตุ้นการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ธรรมดาแล้วก็ยั้งการเจริญของเซลล์ของมะเร็ง
ทุเรียนเทศ (Anona muricata) สาร acetogenin จากผลทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
ดีปล[/b] (Piper longum) มี piperine ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอ็อกสิไดส์ทั้งยัง in vitro แล้วก็ in vivo จึงเป็นองค์ประกอบของตำรับยารักษาโรคมะเร็งของอายุรเวท
บอระเพ็ด (Tinospora cordifolia) สารสำคัญจากบอระเพ็ดกระตุ้นภูมิต้านทานโดยการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว และสามารถลดขนาดเนื้องอกได้ 58.8% เสมอกัน cyclophosphamide
เอกสารอ้างอิง

155  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน-เเละ สมุน เมื่อ: มีนาคม 20, 2018, 12:13:59 pm

โรความดันโลหิตสูง (Hypertension)[/size][/b]

  • โรคความคันโลหิตสูง เป็นอย่างไร ความดันเลือดสูง ความดันเลือด คือ แรงกดดันเลือด ที่เกิดจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การประมาณความดันโลหิตสามารถทำโดยใช้เครื่องมือหลายแบบ แต่ว่าจำพวกที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เช่น เครื่องวัดความดันเลือดมาตรฐานชนิดปรอท เครื่องวัดความดันโลหิตดิจิตอลประเภทอัตโนมัติ ค่าของความดันเลือดมีหน่วยเป็น มิลลิเมตรปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือด ขณะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงดันเลือดขณะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันโลหิตที่ถือว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    ด้วยเหตุนี้โรคความดันเลือดสูง ก็เลยเป็นโรคหรือภาวะที่แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงมีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐานสังกัดขั้นตอนการวัด โดยหากวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันเลือดตัวบนสูงขึ้นมากยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และ/หรือความดันเลือดตัวล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 90 มิลลิเมตรปรอท อย่างต่ำ 2 ครั้ง แม้กระนั้นถ้าเกิดเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันโลหิตตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 135 มิลลิเมตรปรอทและ/หรือความดันโลหิตตัวด้านล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 85 มิลลิเมตรปรอทเป็นต้น ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556คนประเทศไทยป่วยเป็นโรคความดันเลือดแทบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน และก็พบเจ็บไข้ราย ใหม่เพิ่มเกือบจะ 1 แสนคน จำนวนร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่ป่วยแล้วพบว่ามีเพียงแต่ 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีความประพฤติปฏิบัติน่าห่วงองค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคความดันเลือดสูงเป็น 1 ในต้นสายปลายเหตุสำคัญ ที่ทำให้พลเมืองอายุสั้น ทั้งโลกมีคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบจะ 8 ล้านคน เฉลี่ยประมาณนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 เจอในวัย คนแก่แล้วก็คาดว่า ในปีพุทธศักราช2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งโลกจะป่วยด้วยโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ความดันเลือดสูงแยกประเภทตามต้นเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
  • ความดันโลหิตสูงชนิดไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ (primary or essential hypertension) เจอได้ราวๆปริมาณร้อยละ95 ของจำนวนคนแก่โรคความดันเลือดสูงทั้งหมดส่วนใหญ่เจอในคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไปและก็พบในเพศหญิงมากกว่าผู้ชาย ปัจจุบันยังไม่เคยทราบสาเหตุที่แจ่มแจ้งแม้กระนั้นอย่างไร ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการคาดการณ์รวมทั้งรักษาโรคความดันโลหิตสูง ของอเมริกา พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวพันรวมทั้งผลักดันให้กำเนิดโรคความดันเลือดสูง ได้แก่ กรรมพันธุ์ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดแจงไม่บริหารร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การสูบยาสูบความตึงเครียดอายุแล้วก็มีประวัติครอบครัวเสี่ยงต่อโรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือดซึ่งความดันโลหิตสูงชนิดไม่รู้สาเหตุนี้คือปัญหาสำคัญที่ต้องให้การวินิจฉัยรักษารวมทั้งควบคุมโรคให้ได้อย่างมีคุณภาพ
  • ความดันเลือดสูงประเภทรู้มูลเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยโดยประมาณจำนวนร้อยละ5-10 ส่วนมากมีมูลเหตุมีต้นเหตุมาจากการมีพยาธิภาวะของอวัยวะต่างๆในร่างกายโดยจะส่งผลส่งผลให้เกิดแรงดันเลือดสูงส่วนมาก บางทีอาจกำเนิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความไม่ปกติของระบบประสาทความแปลกของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคครรภ์เป็นพิษการบาดเจ็บของศีรษะยา และสารเคมีเป็นต้น ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อได้รับการดูแลและรักษาที่ปัจจัยระดับความดันเลือดจะน้อยลงปกติและสามารถรักษาให้หายได้

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จะไม่มีต้นเหตุ การควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดี จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และก็การตายจากโรคระบบหัวใจ และก็เส้นโลหิตลงได้

  • อาการของโรคความดันเลือดสูง ความสำคัญของโรคความดันเลือดสูงคือ เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ รวมทั้งที่เป็นโรคเรื้อรังที่ร้ายแรง (ถ้าเกิดไม่อาจจะควบคุมโรคได้) แม้กระนั้นมักไม่มีอาการ แพทย์บางท่านจึงเรียกโรคความดันโลหิตสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ดังนี้ส่วนใหญ่ของอาการจากโรคความดันเลือดสูง เป็นอาการจากผลข้างเคียง เป็นต้นว่า จากโรคหัวใจ รวมทั้งจากโรคเส้นโลหิตในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น อาการจากโรคเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง

    อาการและก็อาการแสดงที่พบบ่อย คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงน้อยหรือปานกลางไม่เจออาการแสดงเจาะจงที่ชี้ว่ามีภาวการณ์ความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ การวิเคราะห์พบบ่อยได้จากการที่คนไข้มาตรวจตามนัดหมายหรือมักพบร่วมกับสาเหตุของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับคนป่วยที่หรูหราความดันโลหิตสูงมากมายหรือสูงในระดับรุนแรงแล้วก็เป็นมานานโดยยิ่งไปกว่านั้นในรายที่ยังไม่เคยได้รับการดูแลและรักษาหรือรักษาแต่ไม่สม่ำเสมอไหมได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมมักพบมีลักษณะ ดังนี้

  • ปวดหัวมักพบในคนไข้ที่มีระดับความดันเลือดสูงร้ายแรง โดยลักษณะของอาการปวดศีรษะมักปวด ที่รอบๆกำดันโดยเฉพาะตอนที่ตื่นนอนในเวลาเช้าต่อมาอาการจะเบาๆดียิ่งขึ้นกระทั่งหายไปเองภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงและบางทีอาจเจอมีลักษณะคลื่นไส้อ้วกตามัวมัวด้วยโดยพบว่าลักษณะของการปวดหัวเกิด จากมีการเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะมากในช่วงช่วงเวลาหลังตื่นนอนเพราะว่าในช่วงเวลาค่ำคืนขณะนอนหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น จึงทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้เส้นโลหิตทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะในสมองขยายขนาดมากยิ่งขึ้นก็เลยเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนศีรษะ (dizziness) พบเกิดร่วมกับลักษณะของการปวดศีรษะ
  • เลือดกา เดาไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบมิได้แสดงถึงการมีสภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่อาจเจอร่วมตัวอย่างเช่นลักษณะการเจ็บทรวงอกสโมสรกับภาวการณ์กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นเลือดหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากภาวะความดันเลือดสูงที่เป็นมานานๆ

ฉะนั้นถ้ามีภาวการณ์ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานานๆก็เลยอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเสื่อมสภาพถูกทำลายรวมทั้งบางทีอาจเกิดภาวะสอดแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูง ในคนไข้โรคความดันโลหิตสูงบางรายบางทีอาจไม่พบมีอาการหรืออาการแสดงอะไรก็ตามรวมทั้งบางรายอาจ พบอาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังนี้

  • สมองความดัน เลือดสูงจะทา ให้ผนังเส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะครึ้มตัวแล้วก็แข็งตัวด้านในหลอดเลือดตีบแคบรูของเส้นเลือดแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงสมองน้อยลงและขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วคราวคนไข้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจึงได้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลธรรมดา

ยิ่งไปกว่านี้ยังทำให้มีการเปลี่ยนที่ฝาผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอาการไม่ปกติของระบบประสาทการรับรู้ความทรงจำลดน้อยลงและก็บางทีอาจรุนแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตถึงปริมาณร้อยละ50 และก็ส่งผลทำให้คนที่รอดชีวิตเกิดความพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรังจะส่งผลทา ให้ฝาผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจดกตัวขึ้นจำนวนเลือดเลี้ยงหัวใจน้อยลงหัวใจห้องล่างซ้ายทำงานมากมาขึ้น จำต้องบีบตัวเพิ่มขึ้นเพื่อต้านทานแรงกดดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นด้วยเหตุนั้น ในช่วงแรกกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับพฤติกรรมจากสภาวะความดันโลหิตสูงโดยหัวใจบีบตัวมากขึ้น เพื่อสามารถต้านกับแรงต้านทานที่มากยิ่งขึ้นและก็มีการขยายตัวทำให้เพิ่มความดกของผนังหัวใจห้องข้างล่างซ้ายกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดสภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) แม้ยังมิได้รับการดูแลและรักษาและเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่อาจจะขยายตัวได้อีก จะทำให้การทำงานของหัวใจไม่มี
ประสิทธิภาพเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวแล้วก็เสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันเลือดเรื้อรังส่งผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตครึ้มตัวแล้วก็แข็งขึ้น เส้นโลหิตตีบแคบลงส่งผลให้เส้นเลือดแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของปริมาณเลือดไปเลี้ยงไตลดน้อยลงประสิทธิภาพการกรองของเสียน้อยลงรวมทั้งทา ให้มีการคั่งของเสียไตย่อยสลาย รวมทั้งขายหน้าที่เกิดสภาวะไตวายและก็ได้โอกาสเสียชีวิตได้ มีการเรียนรู้พบว่าคนป่วยโรคความดันเลือดสูงประมาณจำนวนร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยสภาวะไตวาย
  • ตา คนป่วยที่มีภาวการณ์ความดันเลือดสูงร้ายแรงรวมทั้งเรื้อรังจะทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังเส้นเลือดที่ตาครึ้มตัวขึ้นมีแรงดัน ในหลอดเลือดสูงขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงตาตีบลงเส้นเลือดฝอยตีบแคบอย่างเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่เรตินาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือหน้าจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองเห็นลดน้อยลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวแล้วก็ได้โอกาสตาบอดได้
  • เส้นโลหิตในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต้านเส้นโลหิตส่วนปลายมากขึ้นฝาผนังเส้นโลหิตหนาตัวจากเซลล์กล้ามเรียบถูกกระตุ้น ให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากมีไขมัน ไปเกาะฝาผนังเส้นเลือดทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนของผนังเส้นโลหิตดกและตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตและก็ตาลดลงทา ให้เกิดภาวะเข้าแทรกของอวัยวะดังกล่าวข้างต้นตามมาไดแก้โรคหัวใจและก็
เส้นเลือดโรคเส้นเลือดสมองและก็ไตวายฯลฯ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคความดันโลหิต ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคความดันเลือดสูง อย่างเช่น กรรมพันธุ์ จังหวะมีความดันโลหิตสูง จะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนภายในครอบครัวเป็นโรคนี้ เบาหวาน ด้วยเหตุว่าทำให้เกิดการอักเสบ ตีบแคบของหลอดเลือดต่างๆรวมถึงหลอดเลือดไต โรคอ้วน และก็น้ำหนักตัวเกิน เพราะว่าเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเบาหวาน และก็โรคเส้นเลือดต่างๆตีบจากภาวะไขมันเกาะฝาผนังหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง เพราะว่าจะส่งผลถึงการผลิตเอ็นไซม์รวมทั้งฮอร์โมนที่ควบคุมความดันโลหิตดังที่กล่าวถึงมาแล้วแล้ว โรคนอนแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) สูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษในควันของบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดการอักเสบ ตีบตันของเส้นโลหิตต่าง รวมทั้งเส้นโลหิตไต รวมทั้งเส้นเลือดหัวใจ การติดเหล้า ซึ่งยังไม่รู้ชัดเจนถึงกลไกว่าเพราะเหตุใดดื่มสุราแล้วจึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แต่การเล่าเรียนต่างๆได้ผลตรงกันว่า คนที่ติดเหล้า จะนำมาซึ่งการทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ แล้วก็มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถึงโดยประมาณ 50%ของผู้ติดเหล้าทั้งปวง ทานอาหารเค็มเป็นประจำ ตลอด ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการออกกำลังกาย ด้วยเหตุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนแล้วก็เบาหวาน ผลกระทบจากยาบางจำพวก อย่างเช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • วิธีการรักษาโรคความดันโลหิตสูง การวิเคราะห์โรคความดันเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงวิเคราะห์จากการที่มีความดันเลือดสูงตลอดเวลา ซึ่งตรวจพบติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรจะห่างกัน 1 เดือน อย่างไรก็ตามถ้าหากตรวจพบว่าความดันเลือดสูงมาก (ความดันตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวข้างล่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดปกติของหลักการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็ถือว่าวินิจฉัยเป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วก็จะต้องรีบได้รับการดูแลและรักษา แพทย์วินิจฉัยโรค   ความดันโลหิตสูงได้จาก เรื่องราวอาการ เรื่องราวไม่สบายทั้งยังในอดีตกาลและก็ปัจจุบัน เรื่องราวรับประทาน/ใช้ยา การวัดความดันเลือด (ควรวัดที่บ้านร่วมด้วยหากว่ามีวัสดุ ด้วยเหตุว่าครั้งคราวค่าที่วัดถึงที่เหมาะโรงพยาบาลสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่าที่วัดเหมาะบ้าน) เมื่อวิเคราะห์ว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรจะตรวจร่างกาย และส่งไปตรวจอื่นๆเพิ่มอีกเพื่อหาปัจจัย หรือปัจจัยเสี่ยง นอกจากนั้น ควรต้องตรวจค้นผลกระทบของความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆเช่น หัวใจ ตา รวมทั้งไต เป็นต้นว่า ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลและไขมันในเลือด มองลักษณะการทำงานของไต รวมทั้งค่าเกลือแร่ในร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมองหลักการทำงานของหัวใจ และก็เอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเพิ่มเติมอีกต่างๆจะสังกัดอาการคนป่วย และดุลยพินิจของหมอแค่นั้น
ชมรมความดันโลหิตสูงที่ประเทศไทย ได้แบ่งระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูง ดังต่อไปนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
คนที่มีความดันเลือดสูงควรจะควบคุมระดับความดันเลือดให้น้อยกว่า 140/90 มม.ปรอทรวมทั้งใน คนที่มีสภาวะเสี่ยงควรจะควบคุมระดับความดันเลือดให้ต่ำลงมากยิ่งกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท และลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดป้องกันความพิกลพิการรวมทั้งลดการเกิดภาวะแทรกฝึกซ้อมต่ออวัยวะเป้าหมายที่สำคัญของร่างกายได้แก่สมองหัวใจไตแล้วก็ตารวมทั้งอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับเพื่อการรักษาและก็ควบคุมระดับความดันเลือดให้เข้าขั้นธรรมดามี 2 วิธีเป็นการดูแลและรักษาใช้ยาแล้วก็การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือขั้นตอนการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำนงชีพ
การดูแลรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) จุดหมายสำหรับในการลดความดันโลหิตโดยการใช้ยาคือการควบคุมระดับความดันโลหิตให้ลดต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยลดแรงต่อต้านของเส้นเลือดส่วนปลายรวมทั้งเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในคนป่วยโรคความดันโลหิตสูงจึงขึ้นกับความเหมาะสมของคนป่วยแต่ละรายและควรจะใคร่ครวญต้นสายปลายเหตุต่างๆเช่นความร้ายแรงของระดับความดันเลือดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมปัจจัยเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้สำหรับการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงสามารถแบ่งได้ 7 กลุ่มดังต่อไปนี้
ยาขับเยี่ยว  (diuretics) เป็นกรุ๊ปยาที่นิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีการปฏิบัติงานของไตแล้วก็หัวใจผิดปกติ ยากลุ่มนี้ได้แก่ ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) เมโทลาโซน (metolazone)
ยาต่อต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่ศีรษะดวงใจรวมทั้งหลอดเลือดแดงเพื่อยั้งการโต้ตอบต่อประสาทซิมพาธิติกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงและก็ความดันเลือดต่ำลง ยาในกลุ่มนี้ อาทิเช่น โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะหนโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์ห้ามตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายเส้นเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินมากขึ้นยากลุ่มนี้ อย่างเช่น แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) เป็นต้น
ยาต่อต้านแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยับยั้งการเคลื่อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามผนังหลอดเลือดคลายตัวอาจจะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง เป็นต้นว่า ยาเวอราขว้างไม่วล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิปีน (nifedipine)
ยาต่อต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต้านทานโพสไซแนปตำหนิกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) รวมทั้งออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดส่วนปลายทำให้เส้นเลือดขยายตัว ยาในกลุ่มนี้ดังเช่น พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยับยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนซินในการเปลี่ยนแปลงแองจิโอเทนสินวันเป็นแองจิโอเทนสินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่นอีนาลาพริล (enalapril)
ยาขยายเส้นโลหิต (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่บริเวณเส้นโลหิตแดงทำให้กล้ามคลายตัวและยาต่อต้านทางในผนังเส้นเลือดส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้อย่างเช่นไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิต (lifestylemodification)  เป็นความประพฤติปฏิบัติสุขภาพที่ต้องปฏิบัติบ่อยๆเป็นประจำเพื่อลดระดับความดันโลหิต แล้วก็ปกป้องภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญคนเจ็บโรคความดันเลือดสูงทุกราย ควรได้รับคำเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินชีวิตพร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาด้วยยา คนป่วยควรจะมีพฤติกรรมช่วยเหลือสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ดังต่อไปนี้ การควบคุมของกินและก็ควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดอาหารที่มีเกลือโซเดียม  การบริหารร่างกาย การงดสูบบุหรี่ การลดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์  การจัดการกับความตึงเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เกิดจาก ภาวะแรงดันเลือดในหลอดเลือดสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ดังนั้นโรคความดันโลหิตสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันเลือดสูง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
  • การลดหุ่นในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกชี้แนะว่าในตอนแรกควรลดหุ่น อย่างต่ำ 5 กิโล ในคนไข้ความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดปริมาณโซเดียม (เกลือ) ในอาหาร ลดโซเดียมในของกิน เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดจำนวนแอลกอฮอล์ หรือจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิด 20 – 30 กรัมต่อวันในเพศชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในเพศหญิง

จากการศึกษาอาหารสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงเรามักจะได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นของกินที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ รวมทั้งสินค้านมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน รวมทั้งไขมันอิ่มตัวในอาหาร
ตารางแสดงตัวอย่างอาหาร DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน



 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
ออกกำลังกาย การออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีความดันเลือดสูง ควรจะบริหารร่างกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกสิเจน) คือ การบริหารร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวโดยตลอดในช่วงช่วงเวลาหนึ่งของกล้ามผูกใหญ่ๆซึ่งเป็นการใช้ออกสิเจนสำหรับในการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นโลหิต อย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกวัน ขั้นต่ำวันละ 30 นาที หากไม่มีข้อบังคับ
                บริหารคลายความเครียด การจัดการผ่อนคลายความเครียดในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลแล้วก็หลักจิตวิทยามีอยู่ 2 วิธี
-              พยายามหลบหลีกเรื่องราวหรือภาวะที่จะส่งผลให้เกิดความเคร่งเครียดมาก
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตนเอง ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
รับประทานยาและก็รับการรักษาต่อเนื่อง รับประทานยาตามหมอสั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา และก็เจอแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ไม่ควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตัวเอง สำหรับคนเจ็บที่ทานยาขับเยี่ยว ควรกินส้มหรือกล้วยบ่อยๆ เพื่อชดเชยโปแตสเซียมที่สูญเสียไปในปัสสาวะรีบเจอแพทย์ด้านใน 24 ชั่วโมง หรือ รีบด่วน มีอาการดังนี้  ปวดศีรษะมาก อ่อนล้าอย่างมากกว่าปกติมากมาย เท้าบวม (อาการโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลม (อาการจากโรคเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งจำต้องเจอแพทย์รีบด่วน) แขน ขาอ่อนแรง กล่าวไม่ชัดเจน ปากเบี้ยว อาเจียน คลื่นไส้ (อาการจากโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจำต้องพบแพทย์เร่งด่วน)

  • การปกป้องตัวเองจากโรคความดันเลือดสูง สิ่งจำเป็นที่สุดที่จะคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคความดันเลือดสูง เป็นการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอีกทั้งเรื่องการรับประทาน การออกกำลังกายโดย

-              ควรควบคุมน้ำหนัก
-              กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบอีกทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม เพิ่มผักผลไม้ในมื้อของกินประเภทไม่หวานมากมายให้มากมายๆ
-              บริหารร่างกาย โดยออกเป็นเวลายาวนานกว่า 30 นาที แล้วก็ออกดูเหมือนจะทุกวัน
-              ลดจำนวนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
-              พักผ่อนให้พอเพียง
-              รักษาสุขภาพจิต และก็อารมณ์
-              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมถึงตรวจวัดความดันเลือด เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี หลังจากนั้นตรวจสุขภาพบ่อยมากตามแพทย์ และก็พยาบาลแนะนำ
-              ลดของกินเค็ม หรือโซเดียมคลอไรด์ น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) รับประทานอาหารชนิดผัก รวมทั้งผลไม้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ข้อเสนอสำหรับในการลดการบริโภคเกลือและก็โซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนแนวทางในการเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋อง ผักดองและก็อาหารสำเร็จรูป
หากจำเป็นต้องเลือกซื้ออาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรอ่านฉลากของกินทุกครั้ง รวมทั้งเลือกสินค้าที่มีจำนวนโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับประชากรทั่วๆไปควรบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักรวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงอาหารให้สะอาด เพื่อชะล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือแล้วก็เครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศรวมทั้งสมุนไพรที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ อาทิเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหยี แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือและเครื่องปรุงรสต่างๆดังเช่น ซอส  ซีอิ๊วขาวและก็น้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อชิมของกินก่อนกิน ฝึกการรับประทานอาหารที่มีรสชาติพอเหมาะพอควร ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ทำกับข้าวกินอาหารเองแทนการทานอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้ออาหารสำเร็
156  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน-เเละ สมุน เมื่อ: มีนาคม 20, 2018, 08:54:56 am

โรความดันโลหิตสูง (Hypertension)[/size][/b]

  • โรคความคันโลหิตสูง เป็นยังไง ความดันเลือดสูง ความดันเลือดหมายถึงแรงดันเลือด ที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การประมาณความดันเลือดสามารถทำโดยใช้เครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิด แต่ชนิดที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป ได้แก่ เครื่องตวงความดันเลือดมาตรฐานจำพวกปรอท เครื่องตวงความดันเลือดดิจิตอลจำพวกอัตโนมัติ ค่าของความดันโลหิตมีหน่วยเป็น มม.ปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือด ขณะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวข้างล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือดขณะหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันโลหิตที่จัดว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรคความดันโลหิตสูง จึงหมายถึงโรคหรือภาวะที่แรงกดดันเลือดในหลอดเลือดแดงมีค่าสูงขึ้นยิ่งกว่าค่ามาตรฐานขึ้นกับกรรมวิธีวัด โดยถ้าวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงขึ้นมากยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และ/หรือความดันเลือดตัวด้านล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท อย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ว่าถ้าหากเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันโลหิตตัวบนสูงยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 135 มิลลิเมตรปรอทแล้วก็/หรือความดันโลหิตตัวข้างล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 85 มิลลิเมตรปรอทฯลฯ ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556ชาวไทยป่วยเป็นโรคความดันโลหิตเกือบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน รวมทั้งพบเจ็บไข้ราย ใหม่เพิ่มเกือบจะ 1 แสนคน ปริมาณร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวเนื่องจากไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกลุ่มที่ป่วยแล้วพบว่ามีเพียง 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีพฤติกรรมน่าห่วงองค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคความดันเลือดสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พลเมืองอายุสั้น ทั่วทั้งโลกมีผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบจะ 8 ล้านคน เฉลี่ยประมาณนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 เจอในวัย คนแก่แล้วก็คาดว่า ในปีพ.ศ.2568 มวลชนวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะมีอาการป่วยด้วยโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • สาเหตุของโรคความดันเลือดสูง ความดันเลือดสูงแบ่งประเภทและชนิดตามมูลเหตุการเกิด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด เป็น
  • ความดันเลือดสูงชนิดไม่เคยรู้มูลเหตุ (primary or essential hypertension) พบได้โดยประมาณจำนวนร้อยละ95 ของปริมาณคนแก่โรคความดันเลือดสูงทั้งหมดส่วนใหญ่เจอในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและพบในเพศหญิงมากกว่าผู้ชาย ปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบต้นเหตุที่กระจ่างแต่ยังไง ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการวัดและก็รักษาโรคความดันโลหิตสูง ของอเมริกา พบว่ามีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวข้องและก็ผลักดันให้กำเนิดโรคความดันเลือดสูง ตัวอย่างเช่น พันธุกรรมความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการทานอาหารที่มีรสเค็มจัดการไม่บริหารร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การสูบยาสูบความตึงเครียดอายุแล้วก็มีประวัติครอบครัวเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งความดันโลหิตสูงประเภทไม่รู้จักปัจจัยนี้คือปัญหาสำคัญที่ต้องให้การวิเคราะห์รักษารวมทั้งควบคุมโรคให้ได้อย่างมีคุณภาพ
  • ความดันเลือดสูงประเภททราบต้นเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยราวๆจำนวนร้อยละ5-10 ส่วนใหญ่มีปัจจัยมีเหตุที่เกิดจากการมีพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆในร่างกายโดยจะส่งผลทำให้มีการเกิดแรงดันเลือดสูงส่วนใหญ่ บางทีอาจเกิดพยาธิภาวะที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความผิดแปลกของระบบประสาทความไม่ปกติของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคท้องเป็นพิษการเจ็บของศีรษะยา และก็สารเคมีฯลฯ โดยเหตุนี้เมื่อได้รับการรักษาที่ปัจจัยระดับความดันเลือดจะลดลงเป็นปกติและก็สามารถรักษาให้หายได้

ด้วยเหตุนั้นจึงสรุปได้ว่า โรคความดันโลหิตสูงโดยมากจะไม่มีสาเหตุ การควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดิบได้ดี จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และก็การเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นเลือดลงได้

  • ลักษณะของโรคความดันเลือดสูง จุดสำคัญของโรคความดันโลหิตสูงเป็น เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ และที่เป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง (ถ้าหากไม่อาจจะควบคุมโรคได้) แต่มักไม่มีอาการ แพทย์บางท่านก็เลยเรียกโรคความดันโลหิตสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ดังนี้ส่วนมากของอาการจากโรคความดันเลือดสูง เป็นอาการจากผลกระทบ ได้แก่ จากโรคหัวใจ แล้วก็จากโรคเส้นโลหิตในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ดังเช่น อาการจากเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นต้นเหตุ ดังเช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง

อาการและก็อาการแสดงที่พบมาก คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงบางส่วนหรือปานกลางไม่เจออาการแสดงเฉพาะที่ชี้ว่ามีภาวะความดันเลือดสูงโดยมาก การวิเคราะห์มักพบได้จากการที่ผู้เจ็บป่วยมาตรวจตามนัดหรือมักพบร่วมกับที่มาของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันโลหิตสูง สำหรับผู้เจ็บป่วยที่มีระดับความดันเลือดสูงมากหรือสูงในระดับรุนแรงแล้วก็เป็นมานานโดยเฉพาะในรายที่ยังไม่เคยได้รับการรักษาหรือรักษาแต่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมพบได้บ่อยมีลักษณะ ดังต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะพบได้บ่อยในคนเจ็บที่หรูหราความดันโลหิตสูงร้ายแรง โดยลักษณะของการมีอาการปวดศีรษะมักปวด ที่บริเวณท้ายทอยโดยเฉพาะขณะที่ตื่นนอนในตอนเช้าต่อมาอาการจะเบาๆกระทั่งหายไปเองภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงและอาจพบมีลักษณะอาการอาเจียนอ้วกตาฟางมัวด้วยโดยพบว่าลักษณะของการปวดหัวเกิด จากมีการเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะมากมายในช่วงระยะเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วด้วยเหตุว่าในช่วงกลางคืนขณะหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น ก็เลยทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ส่งผลทำให้เส้นโลหิตทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะในสมองขยายขนาดเพิ่มมากขึ้นก็เลยเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนศีรษะ (dizziness) เจอกำเนิดร่วมกับอาการปวดหัว
  • เลือดกา ทายใจไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยหอบขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบไม่ได้แสดงถึงการมีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมได้แก่ลักษณะของการเจ็บทรวงอกสัมพันธ์กับภาวการณ์กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นโลหิตหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากภาวะความดันเลือดสูงที่เป็นมานานๆ

ด้วยเหตุนี้ถ้ามีสภาวะความดันโลหิตสูงอยู่เป็นระยะเวลานานๆจึงอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายทำให้เกิดความเสื่อมสภาพถูกทำลายและก็บางทีอาจเกิดภาวะแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูง ในคนไข้โรคความดันเลือดสูงบางรายบางทีอาจไม่เจอมีอาการหรืออาการแสดงใดๆก็ตามแล้วก็บางรายบางทีอาจ พบอาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังนี้

  • สมองความดัน โลหิตสูงจะทา ให้ผนังหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะหนาตัวรวมทั้งแข็งตัวภายในหลอดเลือดตีบแคบรูของหลอดเลือดแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองลดน้อยลงแล้วก็ขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วครั้งชั่วคราวคนป่วยที่มีภาวการณ์ความดันโลหิตสูงจึงได้โอกาสกำเนิดโรคเส้นโลหิตสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลปกติ

ยิ่งไปกว่านี้ยังส่งผลให้มีการเปลี่ยนที่ฝาผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติของระบบประสาทการรับรู้ความทรงจำน้อยลงแล้วก็อาจร้ายแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตถึงจำนวนร้อยละ50 รวมทั้งส่งผลทำให้ผู้ที่รอดชีวิตกำเนิดความพิกลพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันเลือดสูงเรื้อรังจะมีผลทา ให้ผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจดกตัวขึ้นปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจน้อยลงหัวใจห้องข้างล่างซ้ายทำงานหนักมาขึ้น จะต้องบีบตัวเพิ่มขึ้นเพื่อต้านทานแรงกดดันเลือดในเส้นเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นฉะนั้น ในระยะต้นกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับตัวจากสภาวะความดันเลือดสูงโดยหัวใจบีบตัวมากขึ้น เพื่อให้สามารถต้านกับแรงต้านทานที่มากขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มีการขยายตัวทำให้เพิ่มความครึ้มของผนังหัวใจห้องข้างล่างซ้ายทำให้มีการเกิดสภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) ถ้าเกิดยังไม่ได้รับการดูแลและรักษาและก็เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่อาจจะขยายตัวได้อีก จะมีผลให้การทำงานของหัวใจไม่มี
สมรรถนะเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวแล้วก็เสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันโลหิตเรื้อรังมีผลทำให้มีการเกิดความเคลื่อนไหวของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตหนาตัวแล้วก็แข็งขึ้น เส้นโลหิตตีบแคบลงส่งผลให้หลอดเลือดแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของจำนวนเลือดไปเลี้ยงไตลดลงประสิทธิภาพการกรองของเสียน้อยลงรวมทั้งทา ให้เกิดการคั่งของเสียไตสลายตัว และก็อับอายที่เกิดสภาวะไตวายและก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ มีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูงประมาณจำนวนร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยภาวการณ์ไตวาย
  • ตา ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันเลือดสูงรุนแรงรวมทั้งเรื้อรังจะมีผลให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังเส้นเลือดที่ตาหนาตัวขึ้นมีแรงกดดัน ในหลอดเลือดสูงขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตาตีบลงหลอดเลือดฝอยตีบแคบอย่างรวดเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่เรตินาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นต่ำลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวแล้วก็ได้โอกาสตาบอดได้
  • เส้นโลหิตในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต่อต้านเส้นโลหิตส่วนปลายมากขึ้นฝาผนังเส้นโลหิตครึ้มตัวจากเซลล์กล้ามเนื้อเรียบถูกกระตุ้น ให้เจริญเพิ่มขึ้นหรืออาจเป็นเพราะเนื่องจากมีไขมัน ไปเกาะผนังหลอดเลือดทำให้เส้นเลือดแดงแข็งตัว (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนของผนังเส้นโลหิตดกและตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตและตาลดลงทา ให้เกิดภาวะเข้าแทรกของอวัยวะดังที่กล่าวถึงมาแล้วตามมาไดแก้โรคหัวใจและก็
หลอดเลือดโรคหลอดเลือดสมองแล้วก็ไตวายฯลฯ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคความดันเลือด ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคความดันเลือดสูง เช่น กรรมพันธุ์ จังหวะมีความดันเลือดสูง จะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนภายในครอบครัวเป็นโรคนี้ เบาหวาน เพราะก่อกำเนิดการอักเสบ ตีบแคบของเส้นเลือดต่างๆและก็เส้นโลหิตไต โรคอ้วน รวมทั้งน้ำหนักตัวเกิน เพราะว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของเบาหวาน แล้วก็โรคหลอดเลือดต่างๆตีบจากภาวะไขมันเกาะฝาผนังเส้นเลือด โรคไตเรื้อรัง เพราะว่าจะส่งผลถึงการสร้างเอ็นไซม์รวมทั้งฮอร์โมนที่ควบคุมความดันโลหิตดังที่ได้กล่าวมาแล้วแล้ว โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) ดูดบุหรี่ เนื่องจากว่าสารพิษในควันที่เกิดจากบุหรี่ส่งผลให้เกิดการอักเสบ ตีบตันของเส้นเลือดต่าง รวมทั้งเส้นโลหิตไต รวมทั้งหลอดเลือดหัวใจ การติดสุรา ซึ่งยังไม่เคยรู้แจ่มชัดถึงกลไกว่าเพราะเหตุใดดื่มสุราแล้วจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แม้กระนั้นการศึกษาเล่าเรียนต่างๆให้ผลตรงกันว่า ผู้ที่ติดสุรา จะนำมาซึ่งการทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ และมีโอกาสเป็นโรคความดันเลือดสูง ถึงโดยประมาณ 50%ของผู้ติดสุราทั้งปวง กินอาหารเค็มเป็นประจำ สม่ำเสมอ ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการบริหารร่างกาย เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนแล้วก็เบาหวาน ผลข้างเคียงจากยาบางจำพวก อาทิเช่น ยาในกรุ๊ปสเตียรอยด์
  • กรรมวิธีรักษาโรคความดันโลหิตสูง การวิเคราะห์โรคความดันเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงวิเคราะห์จากการที่มีความดันโลหิตสูงตลอดระยะเวลา ซึ่งตรวจเจอต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรจะห่างกัน 1 เดือน อย่างไรก็แล้วแต่ถ้าตรวจเจอว่าความดันโลหิตสูงมากมาย (ความดันตัวบนสูงยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวด้านล่างสูงยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดธรรมดาของรูปแบบการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็ถือว่าวิเคราะห์เป็นโรคความดันเลือดสูง รวมทั้งต้องรีบได้รับการดูแลรักษา หมอวินิจฉัยโรค   ความดันโลหิตสูงได้จาก ประวัติความเป็นมาอาการ ความเป็นมาเจ็บไข้ได้ป่วยอีกทั้งในสมัยก่อนและก็ปัจจุบัน ประวัติการกิน/ใช้ยา การวัดความดันเลือด (ควรจะวัดที่บ้านร่วมด้วยหากว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือ เนื่องจากบางเวลาค่าที่วัดถึงที่กะไว้โรงพยาบาลสูงยิ่งกว่าค่าที่วัดพอดีบ้าน) เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรจะตรวจร่างกาย และก็ส่งตรวจอื่นๆเพิ่มอีกเพื่อหาสาเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยง ยิ่งกว่านั้น จะต้องตรวจหาผลกระทบของความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆเป็นต้นว่า หัวใจ ตา รวมทั้งไต ยกตัวอย่างเช่น ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลและก็ไขมันในเลือด มองลักษณะการทำงานของไต รวมทั้งค่าเกลือแร่ในร่างกาย ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจดูหลักการทำงานของหัวใจ และเอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเสริมเติมต่างๆจะขึ้นอยู่กับอาการคนเจ็บ และก็ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
สมาคมความดันเลือดสูงที่ประเทศไทย ได้แบ่งระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูง ดังนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรจะควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำลงยิ่งกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทรวมทั้งใน คนที่มีภาวะเสี่ยงควรจะควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำลงยิ่งกว่า 130/80 มม.ปรอท แล้วก็ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิตคุ้มครองป้องกันความพิการรวมทั้งลดการเกิดภาวะแทรกซ้อมต่ออวัยวะแผนการที่สำคัญของร่างกายเป็นต้นว่าสมองหัวใจไตและตารวมทั้งอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับในการรักษาแล้วก็ควบคุมระดับความดันโลหิตให้เข้าขั้นปกติประกอบด้วย 2 แนวทางเป็นการดูแลรักษาใช้ยาแล้วก็การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือวิธีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิต
การรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) วัตถุประสงค์ในการลดความดันเลือดโดยการใช้ยาเป็นการควบคุมระดับความดันโลหิตให้ลดน้อยกว่า 140/90 มม.ปรอท โดยลดแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายรวมทั้งเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในคนไข้โรคความดันเลือดสูงก็เลยขึ้นกับความเหมาะสมของคนป่วยแต่ละรายและก็ควรจะตรึกตรองเหตุต่างๆตัวอย่างเช่นความรุนแรงของระดับความดันโลหิตปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้สำหรับในการรักษาภาวะความดันเลือดสูงสามารถแบ่งได้เป็น 7 กลุ่มดังนี้
ยาขับฉี่  (diuretics) เป็นกรุ๊ปยาที่นิยมใช้ในคนเจ็บที่มีการปฏิบัติงานของไตและหัวใจไม่ดีเหมือนปกติ ยากลุ่มนี้เป็นต้นว่า ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) เมทลาโซน (metolazone)
ยาต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่ศีรษะดวงใจแล้วก็เส้นเลือดแดงเพื่อยับยั้งการโต้ตอบต่อประสาทซิมพาธิว่ากล่าวกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงรวมทั้งความดันเลือดลดลง ยาในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะครั้งโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์ขัดขวางตัวรับแองจิโอเทนสินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินมากขึ้นยากลุ่มนี้ ได้แก่ แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) ฯลฯ
ยาต่อต้านแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยั้งการเคลื่อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามฝาผนังหลอดเลือดคลายตัวอาจจะก่อให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง เป็นต้นว่า ยาเวอราปาไม่วล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิไต่ (nifedipine)
ยาต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต้านทานโพสไซแนปตำหนิกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) และก็ออกฤทธิ์ขยายเส้นโลหิตส่วนปลายทำให้เส้นโลหิตขยายตัว ยาในกลุ่มนี้ดังเช่นว่า พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนซินสำหรับในการแปลงแองจิโอเทนสินวันเป็นแองจิโอเทนสินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้เช่นอีนาลาพริล (enalapril)
ยาขยายหลอดเลือด (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเรียบที่อยู่รอบๆเส้นโลหิตแดงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและยาต้านทางในผนังหลอดเลือดส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้ดังเช่นว่าไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำนงชีพ (lifestylemodification)  เป็นการกระทำสุขภาพที่จะต้องปฏิบัติเป็นประจำบ่อยเพื่อลดความดันโลหิต และก็ปกป้องภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญคนป่วยโรคความดันเลือดสูงทุกราย ควรได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลและรักษาด้วยยา ผู้ป่วยจะต้องมีการกระทำช่วยเหลือสุขภาพที่ดี ดังต่อไปนี้ การควบคุมของกินและควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดอาหารที่มีเกลือโซเดียม  การออกกำลังกาย การงดดูดบุหรี่ การลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  การจัดการกับความเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก สภาวะแรงกดดันเลือดในหลอดเลือดสูงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ด้วยเหตุนั้นโรคความดันเลือดสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูง เปลี่ยนพฤติกรรมด้านการบริโภค
  • การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกชี้แนะว่าในตอนแรกควรลดความอ้วน ขั้นต่ำ 5 โล ในคนป่วยความดันเลือดสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดปริมาณโซเดียม (เกลือ) ในอาหาร ลดโซเดียมในอาหาร เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดจำนวนแอลกอฮอล์ หรือจำกัดจำนวนแอลกอฮอล์ไม่เกิด 20 – 30 กรัมต่อวันในผู้ชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในผู้หญิง

จากการศึกษาอาหารสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงเราชอบได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นของกินที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน และก็ไขมันอิ่มตัวในของกิน
ตารางแสดงตัวอย่างอาหาร DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน



 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
บริหารร่างกาย การบริหารร่างกายสำหรับผู้ที่มีความดันเลือดสูง ควรจะบริหารร่างกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกสิเจน)หมายถึงการบริหารร่างกายที่มีการเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในตอนระยะเวลาหนึ่งของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆซึ่งได้แก่การใช้ออกซิเจนสำหรับเพื่อการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นโลหิต ตัวอย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติแต่ละวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ถ้าเกิดว่าไม่มีข้อห้าม
                บริหารเครียดน้อยลง การจัดการคลายเครียดในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลรวมทั้งหลักจิตวิทยามีอยู่ 2 แนวทาง
-              อุตสาหะหลบหลีกสถานะการณ์หรือสภาพที่จะส่งผลให้เกิดความเคร่งเครียดมาก
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตน ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
รับประทานยาและรับการดูแลรักษาสม่ำเสมอ กินยาตามหมอสั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา แล้วก็พบหมอตามนัดหมายทุกครั้ง ไม่สมควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตัวเอง สำหรับคนเจ็บที่ทานยาขับเยี่ยว ควรรับประทานส้มหรือกล้วยบ่อยๆ เพื่อชดเชยโปแตสเซียมที่สูญเสียไปในเยี่ยวรีบเจอแพทย์ข้างใน 1 วัน หรือ รีบด่วน มีลักษณะดังนี้  ปวดศีรษะมากมาย อ่อนเพลียเป็นอย่างมากกว่าธรรมดามาก เท้าบวม (ลักษณะของโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลม (อาการจากโรคเส้นโลหิตหัวใจ ซึ่งจะต้องพบหมอฉุกเฉิน) แขน ขาอ่อนแรง พูดไม่ชัดเจน ปากเบี้ยว คลื่นไส้ อ้วก (อาการจากโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจำต้องพบแพทย์รีบด่วน)

  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคความดันโลหิตสูง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตทั้งยังหัวข้อการรับประทาน การออกกำลังกายโดย

-              ควรควบคุมน้ำหนัก
-              กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบอีกทั้ง 5 กลุ่ม ในปริมาณที่สมควร เพิ่มผักผลไม้ในมื้อของกินประเภทไม่หวานมากมายให้มากมายๆ
-              ออกกำลังกาย โดยออกเป็นเวลายาวนานกว่า 30 นาที แล้วก็ออกแทบทุกวัน
-              ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
-              พักให้เพียงพอ
-              รักษาสุขภาพจิต แล้วก็อารมณ์
-              ตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งรวมถึงตรวจวัดความดันโลหิต เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี ต่อจากนั้นตรวจสุขภาพบ่อยครั้งตามหมอ และพยาบาลแนะนำ
-              ลดของกินเค็ม หรือเกลือแกง น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) กินอาหารประเภทผัก และผลไม้มากยิ่งขึ้น
ข้อแนะนำสำหรับการลดการบริโภคเกลือรวมทั้งโซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนการเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋อง ผักดองแล้วก็อาหารสำเร็จรูป
แม้จำต้องเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรจะอ่านฉลากอาหารทุกครั้ง แล้วก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับพลเมืองทั่วๆไปควรจะบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักและเนื้อสัตว์ที่ใช้ทำอาหารให้สะอาด เพื่อล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือและก็เครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศแล้วก็สมุนไพรที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ได้แก่ หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหยี แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือแล้วก็เครื่องปรุงรสต่างๆเป็นต้นว่า ซอส  ซีอิ๊วขาวและน้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อชิมของกินก่อนกิน ฝึกหัดการทานอาหารที่มีรสชาติเหมาะสม ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ประกอบอาหารทานอาหารเองแทนการรับประทานอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้ออาหารสำเร็จรูป
ของกินที่มีเกลือโซเดียมสูง ดังเช่นว่า อาหารที่ใช้เกลือแต่งรส ดังเช่นว่า  ซอส
157  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคหัวใจขาดเลือด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 19, 2018, 05:11:31 pm

โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease.IHD)

  • โรคหัวใจขาดเลือดเป็นอย่างไร
โรคหัวใจขาดเลือ[/b] ( Ischemic Heart Disease) เป็นโรคที่อาจพูดได้ว่าพบบ่อยในประเทศไทยและก็มีทิศทางสูงมากขึ้นเรื่อยแล้วก็เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการถึงแก่กรรมชั้นต้นในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว
หัวใจปฏิบัติภารกิจเหมือนเครื่องสูบน้ำ รอสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะรวมทั้งระบบต่างๆทั่วร่างกาย หัวใจมีกล้ามและก็เยื่อที่อยากเลือดไปเลี้ยงเหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นๆหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ภาษาแพทย์เรียกว่า เส้นเลือดหัวใจ หรือ หลอดเลือดโคโรนารี (coronary artery) ซึ่งมีอยู่หลายแขนง แต่ละแขนงจะแยกกันไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจส่วนต่างๆ
แต่ว่าถ้าหลอดเลือดหัวใจกิ่งก้านสาขาใดกิ่งก้านสาขาหนึ่งมีการตีบ ก็จะก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเล็กน้อยขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการเจ็บจุกทรวงอกและอ่อนแรง พวกเราเรียกว่า โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease เรียกชื่อย่อว่า IHD) บ้างก็เรียกว่า โรคเส้นโลหิตหัวใจลีบ หรืออุดกัน บ้างก็เรียกว่า โรคหัวใจวัวโรนารี (coronary heart disease เรียกชื่อย่อว่า CHD)
เพราะฉะนั้นโรคหัวใจขาดเลือด(Ischemicheart disease, IHD) หรือโรคเส้นโลหิตแดงโคโรนารี(Coronary artery disease, CAD) ก็เลยหมายความว่า โรคที่เกิดขึ้นจากเส้นเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน ซึ่งส่วนมากเป็นผลมาจากไขมันรวมทั้งเยื่อสะสมอยู่ในผนังของเส้นโลหิต ส่งผลให้เยื่อบุฝาผนังเส้นเลือดชั้นในตำแหน่งนั้นหนาตัวขึ้น คนป่วยจะมีอาการและก็อาการแสดงเมื่อเส้นเลือดแดงนี้ตีบจำนวนร้อยละ50 หรือมากยิ่งกว่าอาการสำคัญที่พบบ่อยเป็นต้นว่า อาการเจ็บเค้นอก ใจสั่น เหงื่อออก เมื่อยล้าขณะออกแรง เป็นลมสลบหรือร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลันได้
[url=http://www.disthai.com/16816959/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94-]โรคหัวใจขาดเลือด
เป็นโรคของคนแก่ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวไปจนกระทั่งในผู้สูงวัย โดยเจอได้สูงตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปในตอนวัยเจริญพันธุ์ พบโรคเส้นเลือดหัวใจในผู้ชายได้สูงยิ่งกว่าในหญิง แต่ภายหลังจากวัยหมดประจำเดือนถาวรแล้ว อีกทั้งเพศหญิงและก็เพศชายมีโอกาสกำเนิดโรคเส้นโลหิตหัวใจได้ใกล้เคียงกัน

  • สาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคที่เกิดจากเส้นเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตันซึ่งเกิดจากผนังหลอดเลือดแดงแข็ง ( Atherosclerosis ) และก็เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการอักเสบ ( inflammation )  ของฝาผนังเส้นโลหิตที่มีสาเหตุมาจากครามพลาด (Plaque) ที่เกิดขึ้นมาจากไขมันดังที่กล่าวมาซึ่งข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เป็นขบวน การสำคัญที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดเส้นเลือดแดงแข็งตัว ต้นสายปลายเหตุเหล่านี้จะมีผลกระตุ้นให้มีการสะสมของไขมัน ที่ฝาผนังหลอดเลือดนำไปสู่การตีบของเส้นโลหิตท้ายที่สุด แล้วก็เมื่อมีการตีบแคบตั้งแต่ร้อยละ70 ของความกว้างของหลอดเลือดขึ้นไปก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอเกิดอาการแน่นหน้าอกขึ้นมาและซึ่งกำเนิดเนื่องจากการมีไขมันไปเกาะอยู่ภายในฝาผนังหลอดเลือด เรียกว่า “ตะกรันท่อเส้นเลือด” (Artherosclerotic plaque) ซึ่งจะค่อยๆพอกดกตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยกระทั่งช่องทางเดินของเลือดตีบแคบลง เลือดก็เลยไปเลี้ยงหัวใจได้ลดน้อยลง

ถ้าปล่อยไว้นานๆขี้ตะกรันท่อเส้นโลหิตที่เกาะอยู่ด้านในผนังเส้นเลือดหัวใจจะเกิดการฉีกขาดหรือแตกออก เกล็ดเลือดก็จะจับกุมกันจนกระทั่งกลายเป็นลิ่มเลือดรวมทั้งอุดกั้นช่องทางสำหรับเดินของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่เป็นระยะเวลานานจนเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย คนไข้จึงเกิดลักษณะของการเจ็บแน่นหน้าอกอย่างหนัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตอย่างกระทันหันได้ เรียกว่า “สภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลัน” (Acute myocardial information)

  • ลักษณะของโรคหัวใจขาดเลือด ในระยะต้นเมื่อเริ่มเป็นหรืหลอดเลือดยังตีบไม่มากมายคนเจ็บจะยังไม่ออกอาการแต่หากหลอดเลือดมีการตีบมากขึ้นเรื่อยๆ

คนเจ็บมักจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นอาการนำซึ่งได้ผลสำเร็จจากการที่เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจน้อยเกินไปซึ่งอาการนี้เรียกว่า angina pectoris ลักษณะของ angina pectoris อาจแยกเป็นชนิดและประเภทส่วนประกอบได้เป็น 4 ลักษณะอันประกอบไปด้วย

  • ตำแหน่ง บริเวณที่เจ็บแน่นชอบอยู่กึ่งกลางๆหรือหน้าอกด้านซ้าย มักบอกตำแหน่งที่แน่ชัดมิได้ บางรายอาจมีความรู้สึกเจ็บร้าวไปที่บริเวณลิ้นปี่ ใต้คาง ฟัน ไหล่ หรือแขนได้โดยยิ่งไปกว่านั้นภายในของแขน
  • ลักษณะของการเจ็บ ลักษณะมักจะรู้สึกหนักๆแน่นๆบีบๆหรืออาจราวกับมีอะไรมากมายดทับหน้าอก โดยธรรมดาจะค่อยๆเพิ่มความร้ายแรงขึ้นจากนั้นจะค่อยๆต่ำลงในบางครั้งอาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย ได้แก่ รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เหงื่อออก อ้วก มือเท้าเย็นคล้ายจะเป็น ลม
  • ระยะเวลาที่เจ็บ อาการมักเป็นช่วงๆสั้นๆมักไม่เกิน 10 นาที ส่วนใหญ่จะเป็นนานโดยประมาณ 2 – 5 นาที
  • เหตุกระตุ้นรวมถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้อาการดียิ่งขึ้น อาการมักจะกระตุ้นด้วยการออกแรง อารมณ์เครียด โกรธ อากาศเย็น หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก และ อาการมักทุเลาลงเมื่อได้พัก หรือ ได้ยาขยายเส้นเลือดหัวใจ ( nitrates )

แต่คนไข้บางรายอาจมิได้มีลักษณะของ angina pectoris ได้แต่ว่าก็ยังนับว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นมาจากการขาดเลือด ( ischemic equivalents ) ได้แก่ เหนื่อยหรือปวดแขนเวลาออกแรง
นอกนั้นยังมีลักษณะอื่นๆอีกดังเช่นว่าลักษณะของโรคหัวใจล้มเหลว (หัวใจวาย) อาทิเช่น เหน็ดเหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว บวมตามหน้าแขน/ขา  ความดันโลหิตสูง  ไขมันในเลือดสูง  บางรายอาจมีอาการใจสั่นหวิว ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าธรรมดา บางรายมีลักษณะอาการเหงื่อซึม เป็นลม ตัวเย็น อาเจียน คลื่นไส้ ในผู้สูงวัยนั้น บางทีก็อาจจะไม่เอ่ยถึงลักษณะการเจ็บอกเลย แต่ว่ามีลักษณะอาการเมื่อยล้า เมื่อยล้าง่าย เหนื่อยหอบ และก็หายใจติดขัดร่วมกับอาการแน่นๆในทรวงอกเพียงแค่นั้น หรือรู้สึกหมดแรงหมดแรง จนกระทั่งสลบ อาการอีกอย่างหนึ่งคือ การเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน ซึ่งชอบเกิดใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด

เพศ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้หญิงซึ่งอยู่ในระยะยังไม่หมดประจำเดือน แต่หลังจากที่หมดรอบเดือนแล้ว จังหวะเป็นจะเสมอกันในทั้งคู่เพศ
อายุุ แผ่นไขมันจะเกิดมากขี้นตามอายุ เพราะฉะนั้นอุบัติการของการเกิดโรคนี้ก็เลยมากเพิ่มขึ้นตามอายุ การเจอโรคนี้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 35 ปีมีได้บ้างแม้กระนั้นใม่บ่อยมาก
ไขมันในเลือดสูง พบว่าผลรวมของโคเลสเตอรอลทั้งหมด มีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับโรคหัวใจขาดเลือดทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยเรียนรู้ราษฎรอเมริกัน ตรงเวลา 24 ปี และพบว่าพวกที่มีโคเลสเตอรอล ในเลือดสูงจะได้โอกาสเป็นโรคนี้มากยิ่งกว่าพวกที่มีไขมันต่ำถึง 5 เท่า โดยสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นพบได้บ่อยในคนที่หรูหรา วัวเลสเตอรอคอยล l ในเลือดสูงขึ้นมากยิ่งกว่า 200 มิลลิกรัม/ดล. หรือคนที่มี ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นมากยิ่งกว่า 150 มก./ดล
ความดันเลือดสูง ทั้งความดันซิสโตลิคและก็ไดแอสโตลิคมีความข้องเกี่ยวกับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดในภายหลังทั้งนั้น รวมทั้งยิ่งความดันสูงมากมาย โอกาสที่จะเกิดโรคนี้ยิ่งมีมากมาย โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 160/95 มม.ปรอท
การสูบบุหรี่ ต้นสายปลายเหตุนี้มีความเกี่ยวพันกับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดมากและก็ยังขึ้นอยู่กับช่วงเวลาครั้งดูดรวมทั้ง จำนวนบุหรี่ที่ดูดด้วย โดยพบว่าคนที่ติดการสูบบุหรี่จะมีโอกาส เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ได้มากกว่า ผู้ที่ไม่ดูดถึง 3 เท่า แล้วก็ถ้าหากมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆร่วมด้วยอีก ช่องทางเป็นโรคหัวใจขาดเลือดยิ่งเพิ่มมากขึ้น
บุคคลที่ทำงานมีความตึงเครียดสูง ผู้มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว คนสูงอายุ (เพศชายมากกว่า 55 ปี หญิงมากยิ่งกว่า 65 ปี) โรคอ้วน (Body mass index หรือ BMI/ดัชนีมวลกายมากกว่า30) โรคไตเรื้อรัง บุคคลที่ขาดการบริหารร่างกาย มีโรคเครียด


  • กรรมวิธีการรักษาโรคหัวใจขาดเลือด หมอสามารถวินิจฉัยโรคเส้นโลหิตหัวใจในพื้นฐานได้จากวิธีซักเรื่องราว (ตัวอย่างเช่น ประวัติการดูดบุหรี่ การบริหารร่างกาย โรคประจำตัว ประวัติการป่วยหนักในครอบครัว) และก็อาการที่แสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นรอบๆลิ้นปี่แล้วปวดร้าวไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร โดยมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงร่วมด้วย (อย่างเช่น มีอายุมากมาย ดูดบุหรี่ เครียด อ้วน มีประวัติเป็นโรคโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง) รวมทั้งเมื่อสงสัยว่าเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจ แพทย์จะกระทำตรวจพิเศษอื่นๆเพิ่มอีกดังนี้
  • คลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ ( Electrocardiogram: ECG ) นอกจากช่วยวิเคราะห์แล้วครั้งคราวบางทีอาจเจอความผิดแปลกอื่นๆอย่างเช่น ผนังหัวใจหนาหรือหัวใจ เต้นผิดจังหวะ ซึ่งลักษณะต่างๆนี้บางครั้งจะบ่งชี้ถึงกลไกของการแน่นหน้าอกแล้วก็ช่วยสำหรับเพื่อการเลือกกรรมวิธีการตรวจอื่นๆและก็บางครั้งยังช่วยประเมินการเสี่ยงด้วย
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ( echocardiography )คลื่นเสียงความถี่สูงจะให้ข้อมูลในด้านต่างๆของหัวใจ เป็นต้นว่า การบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายความเปลี่ยนไปจากปกติสำหรับเพื่อการบีบตัวของหัวใจเล็กน้อย ( regional wall motion abnormalities: RWMA )ซึ่งพบได้ทั่วไปในผู้เจ็บป่วยโรคหัวใจขาดเลือด นอกเหนือจากนั้นการเจอความแตกต่างจากปกติบางสิ่งบางอย่าง บางทีอาจเป็นต้นเหตุของอาการแน่นหน้าอกที่ไม่ใช่จากโรคหัวใจขาดเลือดได้ ค่าการบีบตัวของหัวใจห้องด้านล่างซ้ายยังเป็นสาระสำคัญที่ใช้ช่วยบอกถึงการเสี่ยงแล้วก็การคาดการณ์โรคได้อีกด้วย และก็สามารถใช้ประเมินความกว้างของบริเวณที่ขาดเลือดได้
  • Coronary computed tomography angiography (CTA) และ coronary calcium CTA แล้วก็ coronary calcium เป็นการตรวจที่ผลของการตรวจทั้งสองมีค่า negative predictive value สูงมากโดยเฉพาะในผู้เจ็บป่วยที่ได้โอกาสจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดในระดับต่ำถึงปานกลาง ก็เลยมีคุณประโยชน์สำหรับการตัดปัจจัยการแน่นหน้าอกจากเส้นเลือดหัวใจตีบได้ถ้าเกิดผลอ่านไม่เจอมีการตีบของ หลอดเลือด หลอดเลือดที่มีการแข็งบางครั้งก็อาจจะเจอมีการเกาะของแคลเซียมที่เส้นโลหิตได้ ด้วยเหตุนั้น ถ้าเกิดผลของ coronary calcium ต่ำจังหวะที่อาการแน่นหน้าอกจากเส้นเลือดหัวใจตีบก็จะน้อย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดค่าของ coronary calcium สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมากกว่า 400 ( Agatston score> 400 ) จะมีโอกาสเกิด อุบัติการณ์ต่างๆทางหัวจิตใจและก็เส้นเลือดมากขึ้น
  • Cardiac magnetic resonance ( CMR )CMR บางทีอาจช่วยประเมินความแตกต่างจากปกติของโครงสร้างหัวใจในด้านต่างๆเป็นต้นว่า ลิ้นหัวใจ ผนังกันห้องหัวใจ และก็กล้ามเนื้อหัวใจห้องต่างๆเป็นต้น รวมทั้ง ยังช่วยบอกการท างานของห้องหัวใจ ล่างซ้าย ( LVEF ) ได้สิ่งเดียวกัน
  • Electrocardiogram exercise testing หรือ exercise stress test ( EST )เป็นการกระตุ้นด้วยการออกก าลังกายแล้วก็ใช้ ECG ประเมินลักษณะขาดเลือด ซึ่งเป็น การตรวจที่สบายมีใช้กันโดยทั่วไป การออกกำลังอาจใช้วิธีวิ่งบนสายพาน (treadmill) หรือ ปั่นจักรยานไฟฟ้า ( Electrically braked cycles ) แล้วมองการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความแปลกที่แสดงว่าน่าจะมีหลอดเลือดหัวใจตีบ อาทิเช่น มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หน้าซีด ตัวเย็น ความดันเลือดต่ำขณะที่กำลังทำการทดลอง เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับเพื่อการเริ่มรักษานั้นนอกเหนือจากที่จะรักษาอาการแล้วคนไข้ทุกรายควรจะได้รับการชี้แนะให้ปรับลดปัจจัยเสี่ยงรวมทั้งควบคุมโรคที่จะทำให้โรคหัวใจขาดเลือดเป็นมากขึ้น อาทิเช่น การสูบบุหรี่เบาหวาน โรคความดันเลือดสูง รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม โรคอ้วน ขาดการออก พลังกาย รวมทั้งไขมันในเลือดสูงและก็สำหรับวิธีการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดนั้นมี 2 แนวทาง คือ การรักษาด้วยยา ตัวอย่างเช่น ยาขยายเส้นโลหิตหัวใจ ยาลดรูปแบบการทำงานของหัวใจ เพื่อหัวใจใช้ออกสิเจนลดน้อยลง ยายับยั้งเกร็ดเลือดเกาะตัว กรณีเป็นความดันเลือดสูงแตกต่างจากปกติ หรือโรคเบาหวานจำต้องรักษาร่วมไปด้วย ผู้ที่ระดับไขมันในเลือดสูงเปลี่ยนไปจากปกติก็จะได้รับยาเพื่อลดไขมัน ยาขยายเส้นโลหิต บางทีอาจทำในรูปยาอมใต้ลิ้น ยาพ่นเข้าในปาก และยาปิดหน้าอก ยาอมใต้ลิ้น และยาพ่นในโพรงปาก สามารถออกฤทธิ์ได้ภายใน 2-3 นาที ก็เลยเหมาะสมที่จะพกไว้ภายในช่องทางเร่งด่วน ยาเป็นแผ่นปิดหน้าอก ใช้ปิดหน้าอกและที่อื่นๆตามร่างกาย จะออกฤทธิ์โดยประมาณ 30-45 นาที ข้างหลังปิดบนผิวหนัง จะไม่ออกฤทธิ์ทันทีเช่นยาอมใต้ลิ้น การรักษาด้วยการผ่าตัด ดังเช่น การผ่าตัดทำทางเบี่ยงของเส้นโลหิต ( Coronary Artery Bypass Graft, CABG) มักจะใช้กรรมวิธีผ่าตัดนำเส้นเลือดดำที่ขามาตัดต่อกับเส้นโลหิตที่อุดตัน ทำฟุตบาทของเลือดใหม่ การดูแลและรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดด้วยแนวทางต่างๆดังเช่นว่า ถ่างขยายด้วยบอลลูน หัวกรอ และก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องใส่ขดลวดค้ำไว้ เพื่อไม่ให้หลอดเลือดตีบซ้ำ

158  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา - สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 19, 2018, 10:01:36 am

โรคอัมพฤกษ์อัมพาต

  • โรคอัมพฤกษ์อัมพาต เป็นยังไง โรคอัมพฤกษ์อัมพาตเป็นลักษณะของ โรคเส้นเลือดสมองยอดเยี่ยมในกรุ๊ปโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีความจำเป็นเป็นอย่างมาก ในแต่ละปีสามัญชนโลกโดยประมาณ 15 ล้านคนที่มีอาการป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตสมอง และคนเสียชีวิตจากโรคนี้ปริมาณ 5.5 ล้านคนต่อปี แล้วก็ พิการอีกหลายล้านคน ยิ่งไปกว่านี้ยังทำให้เกิดผลเสียถึงชุมชนแล้วก็สังคมที่ต้องแบกรับภาระการดูแลและรักษาทั้งคนดูแลและรายจ่าย ทำให้สูญเสียเศรษฐกิจเงินของชาติ ในประเทศไทยผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดสมองมีเยอะๆถึง 40,000 คนต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆโดยอายุเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 55-65 ปี โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นอาการของแขน ขาหรือหน้า ส่วนใดซีกหนึ่งชา อ่อนเปลี้ยเพลียแรงหรือเคลื่อนไหวทุกข์ยากลำบาก หรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย อย่างฉับพลัน  ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบหรือแตก ทำให้เนื้อสมองไม่ได้กินอาหาร รวมทั้งออกสิเจนทำให้เนื้อสมองมีการเสียหาย ถ้าหากไม่รีบรักษาเนื้อสมองจะตาย เกิดความย่ำแย่ถาวรในที่สุด และก็เนื่องจากสมองเป็นศูนย์รวมสำหรับเพื่อการสั่งของอวัยวะภายใต้อำนาจบังคับของสมองส่วนนั้น เมื่อเนื้อสมองส่วนใดเสียหายหรือตาย ก็จะมีผลกระทบต่อลักษณะการทำงานของอวัยวะภายใต้อำนาจบังคับของสมองส่วนนั้น

    โรคอัมพา[/b] ในความหมายทั่วๆไปจึงหมายความว่าอาการแขนรวมทั้ง/หรือ ขาขยับเขยื้อนมิได้ หมดแรง ใช้งานมิได้  ส่วนโรคอัมพฤกษ์ คืออาการแขนแล้วก็/หรือโคนขาแรงกว่าเดิม ยังพอประมาณงานได้ แต่ใช้ได้น้อยกว่าธรรมดายกตัวอย่างเช่น อาจชา จับจับของหนัก หรือเขียนหนังสือตามเดิมมิได้ ซึ่งอัมพฤกษ์จะมีความรุนแรงน้อยกว่าอัมพาต
    สำหรับในประเทศไทยสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2552 พบว่า โรคเส้นโลหิตสมองเป็นต้นเหตุการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพสูงเป็นอันดับ 3  ในเพศชาย รองจากโรคเอดส์แล้วก็อุบัติเหตุ และก็สูงเป็นชั้น 2 ในเพศหญิงรองจากโรคภูมิคุมกันบกพร่อง  จากข้อมูลดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะมีความเห็นว่าโรคเส้นเลือดสมองเป็นโรคที่รุกรามต่อชีวิตและชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรทั่วโลก

  • สิ่งที่ทำให้เกิโรคอัมพฤกษ์อัมพาต โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นผลมาจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากว่าเส้นโลหิตตีบ เส้นโลหิตอุดตัน หรือเส้นโลหิตแตก ทำให้เยื่อในสมองถูกทำลาย เป็นเหตุให้เกิดอาการต่างๆขึ้น โดยความผิดแปลกของโรคเส้นเลือดสมองสามารถแบ่งออกได้เป็นจำพวกต่างๆดังต่อไปนี้เป็น โรคหลอดเลือดสมองประเภทสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) เป็นจำพวกของเส้นโลหิตสมองที่เจอได้กว่า 80% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งผอง มีสาเหตุมาจากอุดตันของเส้นโลหิตจนถึงทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ซึ่งได้ผลจากการที่คนป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การบริโภคของกินที่มีไขมันสูง  การสูบบุหรี่   ภาวะหัวใจวายหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  โรคเลือดบางสิ่ง เช่น ภาวการณ์เลือดข้นเปลี่ยนไปจากปกติ   เกร็ดเลือดสูง  เม็ดเลือดขาวสูงไม่ดีเหมือนปกติ ส่วนมาก แล้วมักกำเนิดร่วมกับภาวการณ์เส้นเลือดแดงแข็ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากไขมันที่เกาะตามผนังเส้นเลือดจนกระทั่งกระตุ้นให้เกิดเส้นโลหิตตีบแข็ง โรคเส้นเลือดสมองประเภทนี้ยังแบ่งออกได้อีก 2 ชนิดย่อย ดังเช่นว่า  โรคเส้นโลหิตขาดเลือดจากสภาวะเส้นโลหิตสมองตีบ (Thrombotic Stroke) เป็นผลมาจากเส้นโลหิตแดงแข็ง (Atherosclerosis) มีสาเหตุจากภาวการณ์ไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง เบาหวาน ทำให้เลือดไม่สามารถที่จะไหลเวียนไปยังสมองได้ โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากการอุดตัน (Embolic Stroke) มีต้นเหตุจากการอุดตันของเส้นเลือดจนถึงทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปที่สมองได้อย่างเพียงพอ โรคเส้นโลหิตสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke) มีเหตุที่เกิดจากสภาวะหลอดเลือดสมองแตก เมื่อเกิดการแตกของเส้นโลหิตสมอง ก้อนเลือดจะเบียดดันเนื้อสมองส่วนที่ดีทำให้อับอายขายขี้หน้าที่เซลล์สมองทำงานเปลี่ยนไปจากปกติ  เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตตามมา หรือฉีกให้ขาด ทำให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อสมองแม้กระนั้นเจอได้น้อยกว่าจำพวกแรก คือโดยประมาณ 20%โดยภาวการณ์นี้มักสัมพันธ์กับโรความดันเลือดสูงที่ไม่ได้รับการรักษาลาภาวะเครียด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์รวมถึงยาบางนิดด้วย โรคหลอดเลือดสมองจำพวกนี้ยัง สามารถแบ่งได้อีก 2 ชนิดย่อยๆอย่างเช่น  โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง (Aneurysm) มีต้นเหตุมาจากความอ่อนแอของหลอดเลือด โรคเส้นโลหิตสมองผิดปกติ(Arteriovenous Malformation) ที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนไปจากปกติของหลอดเลือดสมองตั้งแต่เกิด
  • ลักษณะของโรค อัมพฤกษ์ อัมพาต ลักษณะของโรคเส้นโลหิตสมอง สามารถพบอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นกับตำแหน่งของสมองที่เกิดการขาดเลือดหรือถูกทำลาย โดยอาการที่สามารถพบบ่อย อาทิเช่น อาการเมื่อยล้า หรือมีลักษณะอัมพฤกษ์ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ส่วนมากมักกำเนิดกับร่างกายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ครึ่งด้านทางซ้ายฯลฯ อาการชา หรือสูญเสียความรู้สึกของร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกันกับอาการอ่อนล้าที่มักเกิดกับร่างกายครึ่งส่วนใดครึ่งด้านหนึ่ง มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด ได้แก่ พูดไม่ได้พูดติด เสียงไม่ชัด หรือไม่เข้าใจคำบอกเล่า มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว ตัวอย่างเช่นเดินเซ หรือมีอาการเวียนหัวฉับพลัน การสูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือเห็นภาพซ้อน

อาการกลุ่มนี้มักเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ในบางครั้งบางคราวอาจกำเนิดเป็นอาการเตือนเกิดขึ้นชั้วขณะหนึ่งแล้วหายไปเอง หรือเกิดขึ้นได้บ่อยมากก่อนมีอาการสมองขาดเลือดแบบถาวร เรียกว่าภาวะมีสมองขาดเลือดชั่วครั้งคราว(transient ischemic attack) ซึ่งเจอได้โดยประมาณ 15%

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้มีการเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงมีหลายสาเหตุ โดยอาจแบ่งได้เป็น เหตุที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วก็สาเหตุที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้{คือ|เป็น



    สาเหตุที่เปลี่ยนไม่ได้


    อายุ : ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีเนื่องด้วยอายุมากขึ้นเส้นเลือดจะมีการแข็งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีไขมันเกาะดกตัวทำให้เลือดไหลผ่านได้ตรากตรำมากเพิ่มขึ้นเพศ : ผู้ชาย มีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง
    ประวัติครอบครัว : เป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคเส้นโลหิตหัวใจ โดยเฉพาะขณะที่แก่ยังน้อย
    ปัจจัยเสี่ยงซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ โรคความดันเลือดสูง คนที่มีความดันเลือดสูงเป็นระยะเวลานานๆทำให้หลอดเลือดแข็ง จะก่อให้สมองปฏิบัติงานเปลี่ยนไปจากปกติ มีการตีบแตกของเส้นโลหิตสมอง จังหวะเป็นอัมพาตมากกว่าคนธรรมดามากถึง ๓–๑๗ เท่า เพราะว่าไปทำให้ฝาผนังหลอดเลือดอ่อนแอ ก็เลยเกิดการแตกง่ายระดับความดันเลือดที่นับว่าสูง จำเป็นต้องพอๆกับหรือมากยิ่งกว่า 140/90 มม.ปรอท โรคเบาหวาน ทำให้มีการเกิดสภาวะหลอดเลือดตีบแข็งทั่วร่างกาย หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองตัน กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอัมพาตได้ ซึ่งจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงในการกำเนิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาต 3 เท่า ไขมันในเลือดสูง ไขมันไปเกาะผนังเส้นโลหิต ทำให้ผนังเส้นเลือดแข็ง เกิดการตัน เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยเกินไป กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอัมพาตได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาตถึง 1.5 เท่า การสูบยาสูบ เพราะว่าสารคาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นตัวรีบทำให้ผนังเส้นเลือดมีการตีบตันขึ้นแล้วก็บุหรี่จะลดปริมาณออกซิเจนในหลอดเลือด เพิ่มความหนืดของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายไม่เพียงพอ จังหวะเป็นอัมพาตได้มากกว่าคนที่ไม่สูบ ๓ เท่า ขาดการออกกำลังกาย การบริหารร่างกายช่วยเผาผลาญน้ำตาลและก็ไขมัน ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดภาวะสารอาหารเกิน ช่วยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดและก็ออกซิเจนภายในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิต ลดความเคร่งเครียดและก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแล้วก็กระดูกแข็งแรง นิสัยการบริโภคที่ผิดจำต้อง เป็นต้นว่า การทานอาหารในจำนวนมากเกินความจำเป็น จนทำให้อ้วน (ธรรมดารอบเอว ชายไม่เกิน 90 เซนติเมตร หญิง ไม่เกิน 80 เซนติเมตร) อาหารที่มีเกลือ (ปกติ ไม่เกิน 1 ช้อนชา/วัน) แล้วก็ไขมันสูง (การทอด น้ำมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก หนังไก่ ขาหมู ทานอาหารพวกผัก ผลไม้ไม่พอ (น้อยกว่า 5 ส่วนต่อวัน อย่างเช่นผักสดน้อยกว่า 5 ทัพพีต่อวัน/ผักสุกน้อยกว่า 9 ช้อนโต๊ะต่อวัน) ดื่มแอลกอฮอล์ในจำนวนมากบ่อยๆ (ธรรมดาชาย ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน หญิง ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน) ก่อให้เกิดปัญหาความดันเลือดสูง ไขมันแล้วก็น้ำตาลในเลือดสูง

  • แนวทางการรักษา โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต การวิเคราะห์โรคหลอดเลือดสมอง สำหรับเพื่อการตรวจเพื่อรับรองโรคเส้นเลือดสมอง มีขั้นตอนดังนี้ การซักเรื่องราวแล้วก็ตรวจร่างกาย แพทย์จะซักเรื่องราวรักษา อาการ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆตรวจ ร่างกายทั่วไป และก็ตรวจร่างกายทางระบบประสาท  การตรวจทางห้องทดลอง ได้แก่การตรวจเลือดต่างๆการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Scan) เพื่อดูว่าสมองมีลักษณะของการขาดเลือดหรือกำเนิด เลือดออกในสมองไหม

                สำหรับการรักษาโรคเส้นเลือดสมอง ที่เกิดขึ้นจากการตีบหรือตันของเส้นเลือดในระยะทันควันที่มีการเรียนรู้รับรองแล้วว่าได้ผลดีกระจ่างแจ้ง ยกตัวอย่างเช่น

  • การให้ยาสลายลิ่มเลือด (Tissue plasminogen activator, tPA) ทางหลอดโลหิตดำแก่คนไข้โรคเส้นโลหิตสมองตีบหรืออุดตันภายในช่วงเวลา 3 ชั่วโมงข้างหลังเกิดอาการ จะเพิ่มช่องทางของการฟื้นฟูสภาพจากความพิกลพิการให้อาการกลับมาใกล้เคียงธรรมดาได้ถึง 1.5 – 3  เท่า  เมื่อเทียบกับคนป่วยกลุ่มที่ไม่ได้รับยา แต่การใช้ยานี้มีการเสี่ยงของเลือดออกในสมองได้ประมาณ 6%
  • การให้ยาต้านเกล็ดเลือด เป็นยาที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการก่อตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การอุดตันน้อยลง ยาในกลุ่มนี้ที่ นิยมใช้ได้แก่ยาแอสไพริน การให้กินยาแอสไพรินขั้นต่ำ 160 mg ต่อวันด้านใน  48  ชั่วโมงข้างหลังเกิดอาการ จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคเส้นเลือดสมองแคบซ้ำแล้วก็เสียชีวิตลง
  • การรับตัวผู้ป่วยไข้ไว้ในหอคนไข้โรคหลอดเลือดสมองกะทันหัน (acute stroke unit)นับเป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการตายหรือทุพพลภาพอีกแนวทางหนึ่ง
  • การผ่าตัดเปิดกะโหลก (Hemicraniectomy) จะไตร่ตรองทำเฉพาะในกรณีที่มีลักษณะ

ร้ายแรงรวมทั้งมีการตีบหรือตันของหลอดเลือดแดงใหญ่ Middle cerebral atery ในสมองเพียงแค่นั้น โดยมีหลักฐานการศึกษาว่าการผ่าตัดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถลดอัตราการตายของคนไข้ได้

  • การติดต่อของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่เกี่ยวกับหลายเลือดสมอง จึงไม่มีการติดต่อระหว่าง คนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อาการเตือนของอัมพาต แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หรือชาครึ่งด้าน ปากเบี้ยว พูดทุกข์ยากลำบาก ไหมรู้เรื่องภาษา เวียนศีรษะ หัวปั่น อ้วก เสียการทรงตัว ตามองมองไม่เห็นครึ่งซีก หรือสองส่วน ประสาทตาอัมพาต กลอกตามิได้ ตาเข เห็นภาพซ้อน กล้าม บริเวณใบหน้าเป็นอัมพาต ปากเบี้ยว ปิดตาไม่สนิท กลืนลำบาก บอกไม่ชัด เสียงแหบ ซึมหรือหมดสติ ถ้าเกิดมีเส้นโลหิตแตกจะมีก้อนกดทับสมอง สมองบวม ความดันในกะโหลกเพิ่มขึ้น ทำให้มีอาการต่างๆร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น ปวดหัวมาก อ้วก อาเจียน ต้นคอแข็งเกร็ง หมดความรู้สึก เมื่อมีลักษณะเตือนของอัมพาตเกิดขึ้น คนสนิทหมั่นสังเกต ถ้ามีอะไรไม่ดีเหมือนปกติรีบพบหมอ ทำรักษาทันที บางรายหากมีการเปลี่ยนแปลงสลบไป บางครั้งอาจจะจำเป็นต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน

ส่วนเมื่อได้รับการดูแลและรักษาแล้วรวมทั้งหมออนุญาตให้กลับมาดูแลตนเองที่บ้าน การดูแลตน เอง/การพบแพทย์ที่สำคัญเป็น ประพฤติตัวตามหมอ/พยาบาลแนะนำ พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ทำเป็นเสมอ เช่น ทำกายภาพบำบัดตามคำแนะนำของหมอ หรือ นักกายภาพบำบัดบ่อย อย่าท้อแท้ เพราะว่าอาการต่างๆจะเบาๆดียิ่งขึ้นช้าๆกินยาต่างๆให้ครบสมบูรณ์ ถูกต้อง ไม่ขาดยา เพื่อป้องกันโรคกำเนิดเป็นซ้ำ แล้วก็โรคแทรกซ้อนต่างๆรักษาสุขลักษณะเบื้องต้น  เพื่อลดช่องทางติดเชื้อโรค รู้เรื่องในธรรมชาติของโรค เห็นด้วยความจริง ปรับตัวให้กับภาวะ จัดบ้าน ห้องพัก และห้องน้ำเพื่อช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เจอหมอตามนัดเสมอและรีบเจอก่อนนัดหมายเมื่ออาการต่างๆชั่วลง

  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต การป้องกันโรคเส้นเลือดสมอง โรคเส้นโลหิตสมองสามารถคุ้มครองป้องกันได้ด้วยการลดการเสี่ยงโรคเส้นโลหิต ซึ่งการลดการเสี่ยงทำได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการใช้ชีวิต การทานอาหาร และก็การบริหารร่างกาย ดังนี้ ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ แล้วก็ควรจะหลบหลีกอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวการณ์คอเลสเตอรอลในเลือดสูง รวมถึงอาหารที่มีรสเค็มจัด ที่เป็นสาเหตุของโรคความดันเลือดสูง ควบคุมน้ำหนัก โรคอ้วนเป็นสาเหตุของโรครุนแรงต่างๆและก็โรคเส้นโลหิตสมอง การควบคุมน้ำหนักจะช่วยลดการเสี่ยงลงได้ บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ โดยช่วงเวลาสำหรับเพื่อการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก งดสูบบุหรี่ยิ่งไปกว่านี้ควรจะรับการตรวจรักษาต่อเนื่องกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆโดยการใช้ ยาร่วมกัน อย่างเช่น การให้ยาควบคุมระดับคอเลสเตอรอล โดยควรได้รับการวัดระดับไขมันในเลือดอย่างน้อยทุก 6-12 เดือน ถ้าเป็นคนที่มีการเสี่ยง หรือมีสภาวะคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว ควรไปพบหมออย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการ- ควบคุมระดับความดันเลือดให้เข้าขั้นปกติโดยความดันโลหิตที่เหมาะสม คือ ต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มม.ปรอท- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ปรับเปลี่ยนการกระทำการรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ชีวิต ยิ่งไปกว่านี้ ควรจะกินยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมอาการได้และทำให้การเสี่ยงโรคเส้นโลหิตสมองลดน้อยลง กรณีเป็นโรคหัวใจ ควรรับการดูแลรักษาโรคหัวใจโดยตลอดเหมือนกัน โดยกรณีเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะควรจะได้รับยาคุ้มครองเลือดแข็ง
  • สมุนไพรซึ่งสามารถช่วยคุ้มครองปกป้องโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • สมุนไพรที่สามารถช่วยคุ้มครองป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต (เส้นเลือดสมอง) ดังเช่นว่า กระเทียม กระชาย ขมิ้น ข่า ตะไคร้ ขิง ใบกะเพรา ใบโหระพา ใบสะระแหน่ พริกไทยดำ โดยส่วนใหญ่แล้วในสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยจะมีส่วนช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย บำรุงเลือด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย และทำให้เส้นเลือดแข็งแรง
  • สมุนไพรพื้นเมืองแก้โรคเบาหวานลดความดันที่เป็นต้นเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มะระขี้นก เป็นไม้เลื้อยแล้วก็เป็นผักพื้นบ้านของไทย มีวิตามิน เอ แล้วก็ ซี สูง มีคุณประโยชน์สำหรับในการลดน้ำตาลในเลือด และก็ชะลอการเกิดต้อกระจกได้ กระเทียม มีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิตลงได้ ควรจะรับประทานกระเทียมหัวแก่ ถ้าหากรับประทานสดจะได้รับคุณประโยชน์มากยิ่งกว่ากระเทียมที่ปรุงสุกแล้ว ตะไคร้ เป็นสมุนไพรแก้โรคเบาหวานและก็ความดันที่พวกเรารู้จักกันดี เนื่องจากว่านิยมนำมาปรุงอาหาร ซึ่งตะไคร้จะมีสรรพคุณสำหรับในการขับฉี่ ขับลม รวมทั้งยังช่วยลดความดันเลือดได้อีกด้วย ใบชะพลู เป็นผักพื้นเมืองของไทยรวมทั้งเป็นสมุนไพรแก้เบาหวานรวมทั้งความดัน  นิยมนำมากินสด ในตำรับยาสมุนไพรประจำถิ่นสามารถนำใบชะพลูมาต้มเพื่อลดโรคเบาหวานได้ เพราะใบชะพลูมีสรรพคุณสำหรับในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง
เอกสารอ้างอิง

  • พญ.พรรณวลัย ผดุงวณิชย์กุล.โรคหลอดเลือดสมอง.สาขาวิชาประสาทวิทยา.ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์.มหาวิทยาลัยนเรศวร.
  • อ.นพ.ยงชัย นิละนนท์.อัมพฤกษ์อัมพาต โรคเรื้อรังที่ต้องดูแล.สาขาวิชาประสาทวิทยา.ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ทำไมต้องรู้จัก”โรคหลอดเลือดสมอง”.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์อื่นๆ.มิถุนายน 2551.
  • โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดสมอง(Stroke)
  • อรุณี เจษฎาวิสุทธิ์.อัมพฤกษ์ อัมพาต มหันตภัยใกล้ตัว.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่320.คอลัมน์ บทความพิเศษ.ธันวาคม 2548
  • Poungvarin, N. et al. (2011). Prevalence of stroke and stroke risk factors in Thailands: Thai Epidemiologic Stroke (TES) Study. J Med Assoc Thai. 94, 427-436.
  • สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์. สถิติสธารณสุข พ.ศ. 2554 (Public Health Statistics A.D. 2011). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2554. 234 p.http://www.disthai.com/
  • สมศักดิ์ เทียมเก่า,กาญจนศรี สิงห์ภู่,พัชรินทร์ อัวนไตร,และณัฐภรณ์ หาดี.(2557).คู่มือการดูแลสุขภาพสำหรับประชาชน เรื่อง โรคหลอดเลือดสมอง.โรคพยาบาลศรีนครินทร์และภาควิชาอายุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์.
  • Lambert, M. (2011).AHA/ASA guidelines on prevention of recurrent stroke. Am Fam Physician. 83, 993-1001.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
159  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเหมิอนโลด มีสรรพคุณ-ประโยชน์ ที่ท่านผู้หญิงต้องลองอ่าน เมื่อ: มีนาคม 16, 2018, 04:14:02 pm
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/1-1.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรเหมือนโล[/size][/b]
เสมือนโลด Aporusa villosa (Lindl.) Baill.
บางถิ่นเรียกว่า เสมือนโลด (ขอนแก่น) กรม (ใต้) ด่าง (จังหวัดสุโขทัย) ตีนครึน พลึง โลด (กลาง) ประป่าข้อ (พิจิตร) เหมือดควาย เหมือดตบ (เหนือ) เหมือดหลวง (เชียงใหม่.
ต้นไม้ สูง 8-10 ม. ตามยอดอ่อน และก็กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปนเหลือง เปลือกครึ้ม แตกเป็นร่องลึกตามแนวยาว. ใบ รูปขอบขนาน ขอบขนานป้อมๆจนถึงรูปรีปนรูปไข่กลับ กว้าง 6-10 ซม. ยาว 10-16 เซนติเมตร ปลายใบทื่อ หรือ เป็นติ่งทู่ๆขอบใบเรียบ หรือ เป็นคลื่นนิดหน่อย โคนใบมน หรือ แหลม เนื้อใบออกจะหนา ข้างบนเกลี้ยง หรือ มีขนเรี่ยราย ตามเส้นกลางใบรวมทั้งเส้นแขนงใบมีขน ด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแกมเหลือง ก้านใบยาว 1.2-2.2 เซนติเมตร มีขนสีน้ำตาลแกมเหลือง. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้เล็ก ออกชิดกันเป็นแท่งยาว ยาว 2-4 ซม. ปริมาณหลายช่ออยู่ร่วมกัน มีใบประดับประดารูปไข่ป้อม ปลายแหลม ด้านนอก และขอบมีขน; กลีบรองกลีบเชื่อมชิดกัน ปลายแยกเป็น 3-6 กลีบ ไม่มีกลีบดอก เกสรผู้มี 2 อัน อับเรณูแตกตามยาว. ดอกเพศเมีย ออกเป็นช่อเช่นเดียวกับดอกเพศผู้ แต่สั้นกว่ามากมาย โดยมากจะออกเป็นแท่งผู้เดียวๆรังไข่มีขนสีน้ำตาลปนเหลือง ภายในมี 1 ช่อง มีไขอ่อน 2 หน่วย ท่อรังไข่แยกเป็น 2 แฉก. ผล รูปไข่ ปลายมีติ่งแหลม มีขนสีน้ำตาลแกมเหลืองหนาแน่น สีส้ม กว้าโดยประมาณ 7 มิลลิเมตร ยาว 10 มิลลิเมตร มี 1 เม็ด อีก 1 เม็ดฝ่อ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นดังที่โล่งแจ้งในป่าดิบเขาทางภาคเหนือ ป่าเต็งรัง แล้วก็ป่าเบญจพรรณทั่วๆไป เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,400 ม.
สรรพคุณ : ต้น เปลือกมียางสีแดงใช้เป็นสีย้อม ปรุงเป็นยาขับลมในลำไส้ รวมทั้งขับเมนส์
160  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะไฟ มีสรรพคุณ-ประโยชน์ สามารถเเก้บวมตามร่างได้ดี เมื่อ: มีนาคม 16, 2018, 08:25:54 am

มะไ[/size][/b]
มะไฟ Baccaurea ramiflora Lour.
ชื่อพ้อง B. sapida (Roxb.) Muell. Arg.
บางถิ่นเรียกว่า มะไฟ (ทั่วๆไป) แซเครือแซ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ผะยิ้ว (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) สัมไฟ (ใต้) หำกัง (จังหวัดเพชรบูรณ์).
ต้นไม้ ขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ สูง 13-17 มัธยม ตามยอด แล้วก็ปลายกิ่งอ่อนมีขน. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปรีแกมรูปหอก รูปหอกกลับ หรือ รูปไข่กลับ โคนใบแหลม ขอบของใบเรียบ หรือ หยักตื้นๆไม่สม่ำเสมอ; ปลายใบเรียวแหลม กว้าง 4.5-8 ซม. ยาว 10.5-22 ซม. เส้นกิ่งก้านสาขาใบมี 5-8 คู่ ข้างล่างนูน ไม่มีขนทั้งสองด้าน เนื้อใบค่อนข้างบาง ก้านใบยาว 1.5-6 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อยาวๆตามง่ามใบ รวมทั้งตามกิ่งที่ไร้ใบ สีเหลือง [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศเมีย ส่วนมากอยู่ต่างต้นกัน ส่วนน้อยที่อยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกมีขน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อยาว 5-7.5 เซนติเมตร ใบตกแต่งรูปหอก กว้าง 2-3 มม. กลีบรองกลีบมี 4-5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน เกสรผู้มี 4-8 อัน. ดอกเพศภรรยา ออกเป็นช่อยาวมากมาย มีใบเสริมแต่งอยู่ที่โคนก้านดอก; กลีบรองกลีบดอกไม้ขอบขนานแคบๆยาวโดยประมาณ 1.2 ซม. รังไข่มีขน ไม่มีท่อรังไข่ ปลายเกสรแยกเป็น 2-3 อัน ภายในมี 3 ช่อง. ผล ค่อนข้างกลม หรือ รี เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 25 มม. ผิวสีเหลือง ไม่มีขน มี 1-3 เม็ด เนื้อหุ้มห่อเม็ดสีขาวขุ่น รสเปรี้ยวอมหวาน.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบใกล้ลำธาร ในป่าผลักใบ ขึ้นปะปนกับไผ่ รวมทั้งปลูกกันตามสวน มีดอกโดยประมาณมีนาคม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มราก รวมกัสมุนไพร
อื่นๆดื่มแก้ท้องร่วง ข้างหลังการคลอดลูก เผาไฟกินเป็นยาทำลายพิษ ดับพิษร้อน ทาแก้บวม อักเสบ ต้น เปลือกทำเป็นยาทา
161  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรระงับพิษงู เป็นยาเเผนโบราณที่มีสรรพคุณ-ประโยชน์ที่น่าทึ่ง เมื่อ: มีนาคม 15, 2018, 05:54:24 pm

สมุนไพรระงับพิ[/size][/b]
หยุดพิษ Breynia glauca Craib
ชื่อพ้อง B. subterblanca Fischer
บางถิ่นเรียกว่า ยับยั้งพิษ ดับพิษ (เชียงใหม่) แรงสีเสียด (จังหวัดลำพูน) ปริก (ประจวบคีรีขันธ์).
ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 7.5 มัธยม ไม่มีขน กิ่งอ่อนค่อนข้างจะแบน ถัดมาจะกลม. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปไข่แกมรูปหอก โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ; ปลายใบแหลม หรือ มน ปลายสุดเป็นติ่งแข็งเล็กๆกว้าง 1.5-3.0 ซม. ยาว 2.5-7.0 เซนติเมตร เนื้อใบครึ้มและก็แข็ง ด้านบนสีน้ำตาลเข้ม ข้างล่างสีขาวนวล เส้นใบเล็กมากมาย มี 5-6 คู่ มองเห็นไม่ชัด ก้านใบยาว 2-3 มม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และแยกเพศ. [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/url] ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาวโดยประมาณ 4 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบเชื่อมชิดกันเหมือนลูกข่าง ยาว 2 มิลลิเมตร เกสรผู้ 3 อัน ก้านเกสรเชื่อมชิดกัน. ดอกเพศภรรยา ก้านดอกสั้น กลีบรองกลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นปราศจาก ยาว 2 มิลลิเมตร เป็น 3 เหลี่ยม ปลายแยกเป็น 6 แฉก ท่อรังไข่ 3 อัน ตั้งชัน แต่ละอันปลายแยกเป็น 2 แฉก. ผล รูปกลม แบน กว้างราวๆ 8 มิลลิเมตร ยาว 5 มิลลิเมตร แก่จัดสีดำ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นจากที่ลุ่มในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ แล้วก็ที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป.
สรรพคุณ : แก้ไข้ กระทุ้งพิษ (ในประมวลคุณประโยชน์ยาไทยของสมาคมหมอแผนโบราณ ไม่ได้บอกว่าใช้ส่วนไหนของพืช).
162  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเต็งหนาม มีสรรพคุุณ-ประโยชน์ ที่สามารถรักษาอาการปวดตามข้องต่างๆตามร่ากาย เมื่อ: มีนาคม 13, 2018, 12:24:24 pm

สมุนไพรเต็งหนา[/size][/b]
เต็งหนาม Bridelia retusa (Linn.) Spreng.
ชื่อพ้อง B. spinosa (Roxb.) Willd.
บางถิ่นเรียกว่า เต็งหนาม (ราชบุรี) จาลีลึกป๊วก (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) รังโทน (จังหวัดนครราชสีมา) ว้อโบ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี.
     ไม้พุ่ม หรือ  ไม้ใหญ่ สูงได้ถึง 15 ม. ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน รูปรีปนขอบขนาน กว้าง 4-9.5 เซนติเมตร ยาว 8-20 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบของใบเรียบ หรือ เป็นคลื่นน้อย โคนใบมน เบี้ยวเล็กน้อย มีเส้นใบ 15-21 คู่ เรียงห่างกัน 3-5 มิลลิเมตร เส้นใบย่อยเรียงเป็นขั้นบันได ด้านบนสะอาด ด้านล่างมีขนละเอียดสีขาวนวล ก้านใบยาว 8-12 มิลลิเมตร ดอก เล็ก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ มีขน ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อ ยาว 3-15 ซม. ดอกกลม ติดกันเป็นกระจุกเล็กๆตามแกนกลางช่อ เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบดอกรูปไข่ปลายแหลม 5(4-6) กลีบ  [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/url] ดอกตูม กลีบรองกลีบจะอยู่ชิดกันพอดี ไม่ทับกัน กลีบเล็กมากยิ่งกว่ากลีบรองกลีบดอก รูปกลม ขอบหยักมนๆเกสรผู้มี 5 อัน ก้านเกสรผู้เชื่อมติดกันที่ฐาน ตอนบนกางออก อับเรณูเรียงขนานกัน ฐานดอกกว้าง รูปคล้ายหมอน หรือ เบาะ ติดกับท่อกลีบรองกลีบดอก. ดอกเพศเมีย ช่อดอก สั้นกว่าช่อดอกเพศผู้มากมาย ยาว 2-4 ซม. กลีบรองกลีบมีลักษณะราวกับดอกเพศผู้ กลีบดอกคล้ายรูปช้อนแกมขอบขนาน; รังไข่ขอบหยัก เมื่อยังอ่อนอยู่ในฐานดอก. ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 มม. ผลแก่สีม่วงแกมดำ แก่จัดแตกออกเป็น 3 เสี่ยง.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าดงดิบแล้ง ป่าไผ่รวมทั้งตามท้องทุ่ง เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,100 มัธยม
สรรพคุณ : ต้น เปลือกให้ยางสีแดง ผสมกับน้ำมันงา ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวดข้อ น้ำต้มเปลือกเป็นยาฝาดสมาน กินเพื่อละลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ผล กินได้มีรสหวาน

Tags : สมุนไพร
163  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / มะกาเครือ เป็นสมุนไพร ที่มีสรรพคุณสามารถ เเก้ถอนพิษได้ดี เมื่อ: มีนาคม 13, 2018, 08:32:46 am
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรมะกาเครื[/size][/b]
มะกาเครือ Bridelia stipularis (Linn.) Bl.
บางถิ่นเรียก มะกาเครือ หัสคุณผี (กึ่งกลาง) สะไอ (สงขลา จังหวัดนราธิวาส) สะไอเครือ (ยะลา) หัสอัยเครือ (เหนือ) ไอหน่วย (จังหวัดชุมพร).
ไม้เถา เนื้อแข็ง หรือ ครึ่งไม้พุ่ม กิ่งตรง หรือ คดไปๆมาๆ กิ่งอ่อนมีขนสีเหลืองแกมน้ำตาล. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปรี ไข่กลับ หรือ ขอบขนานป้อมๆโคนใบกลม หรือ เว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบเรียบ หรือ เป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบแหลม หรือ มน กว้าง 2-7 ซม. ยาว 4-11 ซม. เส้นแขนงใบมี 6-9 คู่ โค้งนิดหน่อย ข้างบนเกลี้ยง หรือ มีขนสั้นๆข้างล่างมีขนนุ่มหนาแน่น ก้านใบยาว 5-12 มม. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอก ออกเป็นกลุ่มเล็กๆตามง่ามใบ ดอกแยกเพศ แม้กระนั้นอยู่บนต้นเดียวกัน มีใบตกแต่งรองรับ ใบเสริมแต่งมีขนหนาแน่น กลีบรองกลีบ มี 5 แฉก แฉกรูปหอกปลายแหลม กลีบกลม หรือ รูปไข่กลับ เล็กกว่ากลีบรองกลีบมาก. ดอกเพศผู้ ฐานดอกรูปเหมือนเบาะกลมๆมีเกสรผู้ 5 อัน โคนก้านเกสรเชื่อมติดกัน ปลายแยกจากกัน. ดอกเพศเมีย ฐานดอกเหมือนรูปหีบศพ หรือ กลม รังไข่มี 2 ช่อง ท่อรังไข่ 2 อัน ปลายแยกเป็นแฉก. ผล รูปขอบขนาน มีกลีบรองกลีบดอกไม้ ซึ่งขยายใหญ่ขึ้น ติดอยู่กับขั้วผล กว้าง 0.6-1.0 เซนติเมตร ยาว 1-1.5 เซนติเมตร ปลายมน ผลแก่สีน้ำเงินคละเคล้าดำ ผิวเนียน.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นกระจัดกระจายตามไหล่เขา ชอบขึ้นขจัดขจายตามไหล่เขา ถูกใจขึ้นใกล้น้ำ ในป่าเบญจพรรณแล้วก็ป่าแล้งธรรมดา.
คุณประโยชน์ : ราก บด กินเป็นยาแก้เหน็ดเหนื่อย จากการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย ใช้ขับระดู  ต้น เป็นยาฟอกเลือด ใบ ตำประสมกับเมล็ดเทียนแดง (Nigella sativa Linn.) ใช้ทาแก้แผลริมอ่อน ผล แก้พิษต่อหรือแตนต่อย
164  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรดีหมี มี สรรพคุณ-ประโยชน์ เป็นยาระบายอย่างดี เมื่อ: มีนาคม 12, 2018, 04:31:16 pm

สมุนไพรดีหม[/size][/b]
ดีหมี Cleidion spiciflorum (Burn.f.) Merr. ชื่อพ้อง C. javanicum Bl.
บางถิ่นเรียกว่า ดีหมี ดินหมี (จังหวัดลำปาง) กาดาวกระจาย (ประจวบคีรีขันธ์) กาไล กำไล (สุราษฎร์ธานี) คัดไล (ระนอง) จ๊ามะไฟ มะดีหมี (เหนือ) เซยกะชู้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน).
  ไม้ต้น ไม่ผลัดใบ สูง 10-20 ม. เปลือกสีเทาดำ เกลี้ยง. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปรี ขอบขนาน หรือ รีปนรูปหอก โคนใบแหลม หรือ มน ขอบของใบหยักตื้นและห่าง หรือ เรียบ; ปลายใบแหลม มีติ่งแหลมยื่นยาวออกไปนิดหน่อย กว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 10-22 เซนติเมตร เส้นกิ้งก้านใบมี 6-10 คู่ มีขนเป็นกลุ่มเล็กๆที่มุมระหว่างเส้นกลางใบกับเส้นกิ่งก้านสาขาใบ; ก้านใบยาว 2-6 ซม. ดอก ดอกเพศผู้ และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน. [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/url] ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อยาวตามง่ามใบ หรือ ใกล้ยอด ยาว 8-21 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 1-2 มม.; กลีบรองกลีบดอกไม้รูปกลม มี 1-2 มม. กลีบรองกลีบดอกรูปกลม มี 3 กลีบ เกสรผู้เป็นจำนวนมาก เรียงกันเป็นกระจุกกลม อยู่บนฐานรูปกรวย ก้านเกสรไม่ติดกัน. ดอกเพศเมีย ออกลำพังๆตามง่ามใบ ก้านดอกยาว 4-5 ซม. กลีบรองกลีบดอก มี 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยม ปลายแหลม รังไข่ 1 อัน ด้านในมี 2-3 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกยาวๆ2-3 แฉก. ผล รูปค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม. ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร เม็ด กลม ผิวเนียน สีขาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 8-15 มิลลิเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบ.
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำสุกเปลือก กินเป็นยาแก้ปวดท้อง ใบ มีพิษ น้ำสุกใบ เมื่อดื่มมากๆอาจส่งผลให้สตรีแท้งบุตรได้ เม็ด กินเป็นยาระบาย

Tags : สมุนไพร
165  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรโกสน มีสรรพคุณ-ประโยชน์ ที่สามารถนำมารักษาได้ เมื่อ: มีนาคม 12, 2018, 12:49:23 pm

สมุนไพรโกส[/size][/b]
โกสน Codiaeum variegatum Bl.โกสน กรีกะสม กรีสาเก โกรต๋น (ทั่วไป).
  ไม้พุ่ม สูง 1-3 ม. ทุกส่วนหมดจด. ใบ มีรูปร่างหลายแบบ ตั้งแต่รูปขอบขนานจนกระทั่งรูปยาวแคบ โคนใบมน หรือ แหลม ขอบของใบเรียบ หรือ เป็นคลื่น ปลายใบทื่อ สีเขียว หรือ ลาย; มีเส้นแขนงใบราวๆ 10 คู่ ก้านใบยาว 3-5 เซนติเมตร ดอก เล็กๆออกเป็นช่อยาวที่ยอด รวมทั้งตามง่ามใบ ช่อยาว 10-20 ซม. มีดอกจำนวนไม่ใช่น้อย ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกเพศผู้ กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ยาวราวๆ 1.5 มม. กลม กลีบ 5 กลีบ กว้างมากกว่ายาว ที่มีฐานมีต่อม 5 ต่อมล เกสรผู้ 30 อัน. ดอกเพศภรรยา มีกลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่ปนสามเหลี่ยม มีขนาดไม่เท่ากัน ยาว 1-2 มม. โคนเชื่อมชิดกัน ไม่มีกลีบ ที่ฐานมีเนื้อเป็นรูปวงแหวนล้อมรังไข่ รังไข่รูปไข่ ปลายแหลม หมดจด ท่อรังไข่แยกเป็น 3 อัน ม้วนออก ด้านในมี 3 ช่อง. ผล เป็นจำพวกแก่แล้วแห้ง เส้นผ่าศูนย์กลาง ราวๆ 9 มิลลิเมตร ยาว 1 มิลลิเมตร สีขาว. เมล็ด ยาวราวๆ 6 มม.
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/Koson-01.jpg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: ปลูกกันทั่วๆไปเป็นไม้ประดับ.
สรรพคุณ : ใบ ตำพอกท้องเด็ก แก้โรคระบบทางเดินเยี่ยวเปลี่ยนไปจากปกติ

Tags : สมุนไพร
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย