กระทู้ล่าสุดของ: หนุ่มน้อยคอยรัก007

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
31  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / พญายอเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมารักษาโรคได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2018, 05:34:38 pm
ชื่อสมุนไพร  พญายอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน เสมหะพังพอนตัวเมีย , พญาข้อทอง พญาปล้องดำ (ภาคกลาง) , พญาข้อคำ (ลำปาง) , ผักมันไก่ , ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่) , โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง) , ชิงเจี้ยง หนิ่วซิ้วฮวา (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni  Nees
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นเกิด สมุนไพรพญายอเป็นสมุนไพรเขตร้อน ดังเช่นทวีปแอฟริกา บราซิล และก็อเมริกา กลาง ส่วนในทวีปเอเชียมีการกระจัดกระจายในประเทศอินโดนีเซีย ไทย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ และเป็นสมุนไพรที่มีแพทย์พื้นบ้านประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย จีน ใช้รักษาผื่นผิวหนัง แมลงสัตว์กัดต่อย งูกัด แมงป่องต่อย มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว ส่วนในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นตามป่าเบญจพรรณ หรือเจอปลูกกันตามบ้านทั่วไป ทั่วทุกภาคของประเทศ พญายอ หรือ เสลดพังพอนตัวเมียมีชื่อคล้องจองกัน ซึ่งก็คือ เสมหะพังพอนเพศผู้ แม้กระนั้นต่างกันตรงที่เสมหะพังพอนตัวผู้มีหนาม สรรพคุณอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมียรวมทั้งเพื่อไม่ให้งงงวยระหว่างสมุนไพร 2 ประเภทนี้ ก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ"
ลักษณะทั่วไป
พญายอ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มไม้แกมเถาหรือไม้พุ่มคอยเลื้อย มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ราว 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะเกลี้ยง ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างโดยประมาณ 2-3 ซม. รวมทั้งยาวโดยประมาณ 7-9 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ ดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราว 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกไม้เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 2 ปากหมายถึงปากด้านล่างแล้วก็ปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนคือต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียสะอาดไม่มีขน มีดอกในตอนราวเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม ผลได้ผลสำเร็จแห้งและก็แตกได้ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราวๆ 0.5 เซนติเมตร ก้านสั้น ข้างในผลมีเมล็ดราวๆ 4 เม็ด
การขยายพันธ์ การขยายพันธุ์พญายอนั้นสามารถได้ 2 วิธี คือ การปักชำรวมทั้งการแยกเหง้ากิ่งก้านสาขาไปปลูก แต่จำนวนมากมักจะใช้วิธีการใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือเปล่าอ่อนเหลือเกิน ตัดกิ่งชนิดให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งโดยประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด โดยประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของตัวการ แล้วก็กิ่งจำพวกเพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีเป็นดินร่วนปนทราย (จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง รวมทั้งสะดวกในการย้ายต้นไปปลูก) โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว และปักให้เอียง 45 องศา รดน้ำให้เปียกแฉะรวมทั้งรักษาความชื้นให้พอเพียงควรระวังอย่าให้กิ่งชำถูกแดดมากมาย กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 อาทิตย์ แล้วใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่ตระเตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบ รดน้ำหลังจากปลูกในทันที
การเก็บเกี่ยว ควรเก็บใบขนาดกลาง ที่ไม่แก่หรืออ่อนกระทั่งเหลือเกิน โดยให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร ภายหลังเก็บเกี่ยวแล้ว ตัวการเดิมยังสามารถแตกออกแตกกิ่งเติบโตได้อีก และก็สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลถัดไปได้
การดูแลรักษา ในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรจะรดน้ำทุกวี่ทุกวัน ถ้าหากแดดจ้าควรรดน้ำยามเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้าเกิดมีฝนตกบางทีอาจจะไม่ต้องให้น้ำ พญายอสามารถเติบโตเจริญในดินทุกจำพวกที่มีการระบายน้ำก้าวหน้า แต่ถูกใจดินร่วนคละเคล้าทรายที่ระบายน้ำดีมากที่สุด  ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นเจริญทั้งๆที่มีแดด(แดดไม่จัด) รวมทั้งที่ร่ม
องค์ประกอบทางเคมี  รากของพญายอ มีสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และก็มีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล    (butanol) จากใบของพญายอ มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบสารกรุ๊ป Monoglycosyl diglycerides ดังเช่น    1,   2- di-O-linolenoyl-3-O-β-D-Galactopyranosyl-sn-glycerol รวมทั้งสารกรุ๊ป Glycoglycerolipids จากใบมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเริมแล้วก็งูสวัด
                ยิ่งไปกว่านี้พญายอ ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากกว่า 20 ชนิด โดยเป็นสารเคมีจากพืชที่มีความสำคัญต่อชีวิต อย่างเช่น   Stigmaster, Lupeol, B-Sitosterol Belutin, Myricyl alcohol และก็สารสกัดที่ได้จากเมทานอลในประเทศไทย 6  ชนิด    C-Glycosyl flavones ตัวอย่างเช่น    Vitexin, Isovitexin, Schaftoside, Isomoll-pentin, 7-0-B-Glucopyranoside, Orientin, Isori-entin และสารสกัดได้จากต้นและก็ใบได้สาร Gluco-sides  5   จำพวก    (1)    Cerebrosides และ  Monoacylmonogalactosyl glycerol สาร    Triga-lactosyl รวมทั้ง    Digalactosyl diglycerides 4  สาร    8 ชนิด    สกัดได้จากส่วนเหนือดินสดด้วยคลอโรฟอร์มคือ   Chlorophyll A,  Chlorophyll B,  แล้วก็    Phacoph-orbide A  และก็สารประกอบที่มีซัลเฟอร์ 4  จำพวก   Clinamide A-C, 2-Cis- entadamide A  และก็สารประกอบที่พบมาก่อน 3  ชนิด    Entadamide A, Entadamide C   แล้วก็    Trans 3  methylsulfinyl-2-propenol
ผลดี / สรรพคุณ คุณประโยชน์ของพญายอตามตำรายาไทย
กล่าวว่า ใบ – ใช้ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน แก้อาการผิดสำแดง แก้เจ็บคอ เจ็บปก แผลในปาก คางทูม รักษาโรคบิด ไข่ดัน รักษาแผลไฟเผา น้ำร้อนลวก รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้ฝี แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคฝึกฝน ราก  - ปรุงเป็นยาขับเยี่ยว ขับระดู แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวบั้นเอว ชูกำลัง แก้ผิดสำแดง ส่วนทั้ง 5  (ทั้งยังต้น) -   ใช้ทำลายพิษ โดยเฉพาะพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก  โรคตับเหลือง รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แก้ปวดบวม เคล็ดปวดเมื่อย ฟกช้ำ  ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังมีการผลิตยาที่มีส่วนประกอบของพญายอหลายแบบ ดังเช่นว่า ครีมพญายอ ใช้บรรเทาลักษณะโรคเริม และ งูสวัด ยาป้ายปากพญายอให้รักษาแผลในปาก (aphthaus ulcer) โลชั่นพญายอ ใช้บรรเทาอาการผื่นผื่นคัน ผื่นคัน ตุ่มคัน ฯลฯ
แบบ / ขนาดการใช้

  • ทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน

o             - ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลลัพธ์ที่ดี

  • แก้แผลน้ำร้อนลวก

o             ใช้ใบตำต้มกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง
o             นำใบมาตำอย่างละเอียดผสมกับเหล้า ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟลุกหรือน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี

  • รักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด

o             ใช้ใบเสมหะพังพอนตัวเมียสด 10-20 ใบ (เลือกใบสีเขียวเข้มสดวาวไม่อ่อนไม่แก่จนถึงเหลือเกิน)นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
o             ใช้ใบเสมหะพังพอน 1,000 กรัม หมักใน alcohol 70 % 1,000 ซีซี. หมักไว้ 7 วัน เอามากรองแล้วเอาไประเหยให้เหลือ 500 ซีซี. เติม glycerine pure ลงไปเท่ากับปริมาณที่ระเหยไป (500 ซีซี.) นำน้ำยาเสลดพังพอนกรีเซอรีนที่ได้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก ถอนพิษต่างๆ

  • ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ถี่ถ้วน ผสมกับน้ำซาวข้าว ใช้พอกบนศีรษะคนเจ็บโดยประมาณ 30 นาที ลักษณะของการมีไข้และลักษณะของการปวดหัวจะหายไป
  • ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดนำมาต้มรับประทานครั้งละราว 2 ช้อนแกง
  • ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวโดยประมาณ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง
  • แก้คางทูม ด้วยการกางใบสดราว 10-15 ใบ ตำอย่างถี่ถ้วนผสมกับสุราโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และอาการเจ็บปวดจะหายไปด้านใน 30 นาที
  • ใช้แก้ฝี ด้วยการใช้ใบนำมาตำผสมกับเกลือและสุรา ใช้พอกบริเวณที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกยามเช้าแล้วก็เย็น

ส่วนการใช้พญายอรักษาอาการด้วยเหตุว่าแมลงกัดต่อย และก็เริมตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนั้น  ให้ใช้ใบขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลง สัตว์ กัดต่อย หรือเป็นเริมและก็สำหรับครีม ที่มีสารสกัดพญายอจำนวนร้อยละ 4 – 5   รวมทั้งสารละลาย (สำหรับป้ายปาก) ที่มีสารสกัดพญายอในกลีเซอรีนร้อยละ 2.5 – 4                  รวมถึงโลชัน ที่มีสารสกัดพญายอร้อยละ 1.25  ให้ใช้  ทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 5 ครั้ง
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ  สารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบให้ทางปากหนูขาว จะลดการอักเสบของอุ้งเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำโดย carrageenan และก็ลดการอักเสบของถุงลมหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้กำเนิดโดยฉีดลมและน้ำมันละหุ่ง (1-3) แม้กระนั้นถ้าหากใช้แนวทางทาสารสกัดที่ผิวหนังจะไม่สามารถลดน้ำหนองของถุงลมหนูได้ สารสกัดเอ็นบิวทานอล ขนาด 270 มก./กก. จะลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูได้เท่ากับแอสไพรินขนาด 100 มก./กก. (2) เมื่อใช้ 5% ของพญายอในรูป cold cream สารสกัดเอทานอล 95% แล้วก็สารสกัดเอทานอลในน้ำ ทาเฉพาะที่ให้หนูขาว  สามารถลดหนองรวมทั้งการเกิด granuloma ได้ 50.98%, 50.10% และ 48.30% ตามลำดับ สารสกัดเอทานอลจากใบ ขนาด 20 มคก./มล. ส่งผลต่อ cytokines  ที่เกิดในแนวทางการอักเสบหมายถึงยับยั้ง  interleukin-1-b แต่ว่าไม่อาจจะยั้ง interleukin-6 และก็  tumor necrosing factor-a
ฤทธิ์รักษาโรคงูสวัด  นำสารสกัดจากใบพญายอความเข้มข้นต่างๆมาตรวจ DNA hybridization และ plaque reduction assay พบว่า ขนาด 1:2,000 รวมทั้ง 1:1,200 ตามลำดับ จะยั้งเชื้อไวรัส Varicella zoster ก่อนเข้าสู่เซลล์ได้ 50% ขนาด 1:6,000 และ 1:4,800 เป็นลำดับ จะฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส  Varicella zoster  ในเซลล์  ขนาดมากกว่า 1:18,000 และก็ 1:9,600 เป็นลำดับ สามารถทำลายเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster โดยตรงได้ 50% จะมีความคิดเห็นว่าเมื่อเชื้อเข้าสู่เซลล์แล้วฤทธิ์สำหรับเพื่อการยั้งเชื้อไวรัสน้อยลง
          คนเจ็บโรคงูสวัด ปริมาณ 51 ราย  ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใพญายอ[/url]เปรียบเทียบกับยาหลอกแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป ตามประเภทของยา รวมทั้งให้ยาเรียงสลับแบบสุ่ม คนเจ็บทุกรายมาเจอหมอด้านใน 48 ชั่วโมงภายหลังจากมีลักษณะอาการ  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน กระทั่งแผลจะหาย พบว่าคนป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดใบพญายอแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน รวมทั้งหายข้างใน 7-10 วัน มีมากมายกว่ากรุ๊ปสุดที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ หรูหราความปวดลดน้อยลงเร็วกว่า และไม่เจอผลข้างเคียงใดๆ
ฤทธิ์ต้านทานเริม  สารสกัดน้ำจากใบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส Herpes simplex type 1 รวมทั้ง type 2 โดยตรงก่อนที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์ และก็สารสกัดจากใบความเข้มข้นตั้งแต่ 1:1,200 นาน 30 นาที สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อ HSV 2 โดยตรงก่อนเพาะเลี้ยงลงเซลล์ สารสกัดเมทานอลและสารสกัดน้ำจากใบไม่อาจจะยั้งเชื้อไวรัส HSV-2 รวมทั้ง HSV-1, HSV-2 ในเซลล์ ตามลำดับ
ผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์อีกทั้งชายและก็หญิงปริมาณ 27 คน ได้รับการดูแลรักษาด้วยครีมจากสารสกัดเอทานอลจากใบพญายอ 5% (dilution 1:4,800) เปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยา acyclovir cream ปริมาณ 26 คน และยาหลอก 24 คน  โดยทาแผลวันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 6 วัน พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยครีมพญายอ รวมทั้ง acyclovir cream แผลเป็นสะเก็ดในวันที่ 3 แล้วก็หายภายในวันที่ 7 ไม่เหมือนกับแผลของคนเจ็บที่ใช้ยาหลอก จะตกสะเก็ดในวันที่ 4–7 แล้วก็หายในวันที่ 7-14 หรือยาวนานกว่านั้น ครีมพญายอไม่ทำให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง ในตอนที่ acyclovir cream ทำให้แสบ
คนไข้โรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำ จำนวน 56 ราย ได้รับการดูแลรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอ เปรียบเทียบการรักษากับยา acyclovir cream ปริมาณ 54 คน รวมทั้งยาหลอก 53 คน ทาตุ่มหรือแผลวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่ากลุ่มหวานใจษาด้วยยาจากสารสกัดพญายอแผลจะเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน และหายด้านใน 7 วัน ไม่มีอาการแสบแผล  และไม่มีความไม่เหมือนจากการดูแลและรักษาด้วย acyclovir cream แต่ว่ายา acyclovir cream จะก่อให้แสบแผล (13)
ฤทธิ์แก้ปวด  เมื่อให้ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบ ขนาด 30, 90, 270, 540, 810 แล้วก็ 2,430 มก./กิโลกรัม  แก่หนูถีบจักรทางปาก จะลดการบิดตัวของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำโดยกรดอะซีตำหนิค รวมทั้งเพิ่มการซึมผ่านของผนังหลอดเลือด เป็นสัดส่วนกับขนาดของส่วนสกัด ส่วนสกัดเอ็นบิวทานอลขนาด 90 มิลลิกรัม/กก. จะมีความแรงเท่าๆกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับในการลดการบิดตัว แม้กระนั้นจะมีความแรงน้อยกว่าสำหรับการลดการซึมผ่านผนังเส้นเลือด เมื่อให้สารสกัดนี้โดยการฉีดเข้าท้อง ไม่ทำให้เห็นว่ามีฤทธิ์ระงับปวดเมื่อใช้วิธี hot water bath  และก็ให้ส่วนสกัดคลอโรฟอร์มจากใบขนาดดังที่กล่าวมาข้างต้นทางปากหนูถีบจักร  ไม่มีผลลดการบิดตัวของหนูเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านี้ พญายอมีสารออกฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในหลอดทดสอบรวมทั้งมีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรีย สารสกัดจากใบด้วยเอทธิลอะสิเตทเข้มข้น 1.39-6.31 มก./มิลลิลิตร สามารถยั้ง Bacillus cereus รวมทั้ง candida albican สาร    Flavonoids และ    Phenolic compounds ในสมุนไพรทุกประเภท ยั้งแบคทีเรียได้ไพเราะเพราะพริ้งมี Carbonyl group และก็    พญายอยังมีฤทธิ์ต้านทานพิษงู: มีการเรียนรู้พบว่าสารสกัดพญายอมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันทําลายเซลล์เนื้อเยื่อแผล แม้กระนั้นไม่มีฤทธิ์ยั้งพิษต่อระบบประสาทของงูเห่า ที่มีต่อNeuromuscular transmission
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษแล้วก็การทดสอบความเป็นพิษ
          การทดสอบความเป็นพิษพบว่า สารสกัดเอ็นบิวทานอลมีค่า LD50 13.4 กรัม/กิโลกรัม 48 ชม. ข้างหลังให้ทางปาก และก็มีค่า 3.4 ก./กิโลกรัม เมื่อฉีดเข้าช่องท้อง การให้สารสกัดทุกวี่ทุกวันเป็นเวลา 6 อาทิตย์ ไม่มีผลต่อการเติบโตของหนูขาว แต่พบน้ำหนักไธมัเสียใจลงในตอนที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติต่ออวัยวะอื่นๆและไม่มีลักษณะอาการไม่พึงปรารถนาอื่นๆส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กก. (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษอะไรก็ตามและก็เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้ง 540 มก./กิโลกรัม แต่ละวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง ตอนที่น้ำหนักตับเพิ่มขึ้น ไม่พบความแตกต่างจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่ปรารถนาอะไรก็แล้วแต่
ข้อแนะนำ / ข้อควรปฏิบัติตาม พญายอก็อย่างกับสมุนไพรประเภทอื่นๆคือ ควรจะใช้ในปริมาณที่พอดีไม่สมควรใช้มากเกินไปหรือนานจนเหลือเกินเนื่องจากอาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ รวมทั้งหากแม้ในอดีตจะมีการใช้ใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล และก็ให้ผลการดูแลรักษาที่ดี แต่ว่าในตอนนี้แนวทางลักษณะนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เนื่องจากจะทำความสะอาดแผลได้ยาก รวมทั้งอาจจะเป็นผลให้แผลติดเชื้อและเป็นหนองจนแผ่ขยายไปยังรอบๆอื่นได้
เอกสารอ้างอิง

  • เสลดพังพอนตัวเมีย.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
  • ฉัตรชัย สวัสดิไขย,สุรศักดิ์ อิ่มเอี่ยม.พญายอ.คอลัมน์ยาน่ารู้.วารสารศูนย์การศึกษาแพยทศาสตร์คลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่35. ฉบับที่1.มกราคม-มีนาคม 2561.หน้า106-110
  • สมชาย แสงกิจพร เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ธวัชสุภา ปราณี จันทเพ็ชร.  การรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาสารสกัดของใบพญายอ.  วารสารกรมการแพทย์ 2536;18(5):226-31
  • ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.“พญาปล้องทอง”.  หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.    หน้า 521-522.
  • Alam A,   Ferdosh S,   Ghafoor K,   Hakim A, Juraimi AS,    Khatib A,   et  al.   Clinacanthus nutans: A  review of   the   medicinal uses, pharmacology and    phytochemistry. AsianPac J Trop Med 2016:9: 402-9.
  • Thamaree S, Rugrungtham K, Ruangrungsi N, Thaworn N, Kemsri W.  The inhibitory effects of extracts of some herbal medicines on the production of proinflammatory cytokines by in vitro stimulated humam blood cells.  Thai J Pharm Sci 1998;22(3):S47. http://www.disthai.com/[/b]
  • พญายอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Panyakom K.   Strutcural elucidation of bioactive compounds of   clinacanthusnutans (Burm. f.)  lindau leaves [disserta-tion].    Nakhon Rathchasima. SuranareeUniversity of Technology; 2006.
  • ชุตินันท์ กันตสุข.  การทดสอบเบื้องต้นเพื่อหาฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ของสารสกัดสมุนไพรไทยบางชนิด.  วิทยานิพนธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534.
  • “พญาปล้องทอง”.  หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  หน้า 88.
  • Kittisiripornkul S, Bunyapraphatsara, N, Tanasomwong W, Satayavivad J.  The antiinflammatory action and toxicological studies of Clinacanthus nutans.  การประชุม Princess Congress I, 10-13 Dec 1987, กรุงเทพฯ:AC-5.
  • Cherdchu C,   Poopyruchpong N,   Adchari-yasucha R,   Ratanabanangkoon K.   The absence of  antagonism between extracts of   Clinacanthus nutans Burm. and    Naja naja    siamensis venom. Southeast Asian J  Trop    Med    Public Health 1977;8:249-54.
  • Thamaree S, Rugrungtham K, Ruangrungsi N, Thaworn N, Kemsri W.  The inhibitory effects of extracts of some herbal medicines on the production of proinflammatory cytokines by in vitro stimulated humam blood cells.  Thai J Pharm Sci 1998;22(3):S47.
  • Sangkitporn S, Balachandra K, Bunjob M. Chaiwat S, Dechatiwongse Na-Ayudhaya T, Jayavasu C.  Treatment of Herpes zoster with Clinacanthus nutans (Bi Phaya Yaw) extract.  J Med Assoc Thai 1995;78(11):624-7.
  • Dampawan P,   Huntrakul C,   Reutrakul V, Raston CL,    White AH.    Constituents of Clinacanthus nutans and    crystal structureof   Lup-20(29)-Ene-3-One. J  Sci    Soc  Thailand 1977; 3: 14-26.
  • พญายอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วิทยา บุญวรพัฒน์. “เสลดพังพอนตัวเมีย”.  หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.   หน้า 562.
  • ชื่นฤดี ไชยวสุ ทวีผล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา เครือวัลย์ พลจันทร ปราณี ชวลิตธำรง สุทธิโชค จงตระกูลศิริ.  การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากใบเสลดพังพอนและใบพญายอต่อเชื้อ Herpes simplex virus type-2 ในหลอดทดลอง.  วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2535;34(4):153-8.
  • Dechatiwongse T,  Sakkarat S, ShuypromA,   Pattamadilok D,   Bansiddhi J,   Water-man    PG,    et  al.   Chemical constituents of the   leaves of Clinacanthus nutans Lindau.Thai    Journal of  Phytopharm 2001;8(1):1.
  • Satayavivad J, Bunyapraphatsara N, Kittisiripornkul S, Tanasomwang W.  Analgesic and anti-inflammatory activities of extract of Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau.  Thai J Phytopharm 1996;3(1):7-17.
  • Thawaranantha D, Balachandra K, Jongtrakulsiri S, Chavalittumrong P, Bhumiswasdi J, Jayavasu C.  In vitro antiviral activity of Clinacanthus nutans on Varicella-zoster virus.  Siriraj Hosp Gaz 1992;44(4):285-91.
  • Yoosook C, Bunyapraphatsara N, Boonyakiat Y, Kantasuk C.  Anti-Herpes simplex virus activities of crude water extracts of Thai medicinal plants.  Phytomedicine 1999;6(6): 411-9.
  • Tanasomwang W.  The screening of anti-inflammatory action of Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau : a critical evaluation of carrangeenan-induced hind paw edema model.  MS Thesis, Mahidol Univ, 1986.
  • Yoosook C, Panpisutchai Y, Chaichana S, Santisuk T, Reutrakul V.  Evaluation of anti-HSV-2 activities of Barleria lupulina and Clinacanltus nutans.  J Ethnopharmacol 1999;67:179-87.
  • Suntararuks S, Satayavivad J, Vongsakul M, Wanichanon C, Thiantanawat A, Akanimanee J.  The study of immunologic effects of Clinacanthus nutans extract in male Wistar rats.  The Fourth Princess Chulabhorn International Science Congress Chemicals in the 21st Century, 28 Nov–2 Dec 1999, Bangkok, Thailand: P-24.
32  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / Re: โรคนิ่วในไต - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 27, 2018, 05:33:04 pm
โรคนิ่วในไต วิธีรักษา ยาสมุนไพร disthai
33  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคนิ่วในไต - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 21, 2018, 02:59:26 pm

นิ่วในไต (Kidney Stone)
นิ่วในไตเป็นยังไง ก่อนที่จะเราจะมาทำความรู้จักนิ่วในไตนั้น อันดับแรกจำต้องรู้จักโรคนิ่วกันก่อน โรคนิ่วเป็นขี้ตะกอนจากแร่ต่างๆศูนย์รวมตัวกันเป็นก้อนแข็งๆที่เกิดจากต้นสายปลายเหตุต่างๆตัวอย่างเช่น ขาดสารอาหารต่างๆหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิเทรต โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรืออาจเป็นเพราะเนื่องจากการอักเสบ จากโรคบางจำพวก ได้แก่ โรคเก๊าท์ฯลฯ และก็โรคนิ่วนั้นยังสามารถแบ่งได้เป็นของชนิด เป็นนิ่วในถุงน้ำดี และนิ่วในระบบฟุตบาทฉี่ แล้วก็ยังสามารถจัดประเภทนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีกตามตำแหน่งที่เกิดนิ่ว ดังเช่น นิ่วในไต นิ่วในทอไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ รวมทั้งนิ่วในทอปัสสาวะ ซึ่งนิ่วทั้งสองแบบนี้ มีความต่างกันในส่วนประกอบ ปัจจัย และการรักษา แม้กระนั้นในบทความนี้คนเขียนจะขอกล่าวถึงเฉพาะนิ่วในไตเท่านั้น
นิ่วในไต เป็นก้อนผลึกขนาดเล็ก มีหินปูน (แคลเซียม) กับสารเคมีและแร่ธาตุ นๆยกตัวอย่างเช่น ออกซาเลต ยูริก โปรตีน ฯลฯ หรือบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากสารตกค้างต่างๆอีกทั้งจากสารอาหารที่เรากินเข้าไป หรือกรดบางชนิดที่ร่างกายขับออกไม่หมด ซึ่งก้อนนิ่วในไตนี้ ยังไปเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคไตอีก
ประเภทของนิ่วในไต ก้อนนิ่วมีองค์ประกอบ 2 ส่วนเป็นส่วนที่เป็น แร่ (mineral composition) และส่วนที่เป็นสาร อินทรีย์(organic matrix) ซึ่งมีราวๆปริมาณร้อยละ 5-10 เป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่เจอในเยี่ยว ตัวอย่างเช่น โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ฯลฯ ส่วนที่เป็นแร่ธาตุมีเหตุที่เกิดจาก การตกผลึกของสารก่อนิ่วในเยี่ยว อาทิเช่น แคลเซียม ออกซาเลต ฟอสเฟต และก็กรดยูริค สามารถแยกเป็นชนิดและประเภทของนิ่วในไตได้ดังต่อไปนี้ นิ่วสงามไวท์(struvite stones) เจอ จำนวนร้อยละ 15 เกิดในคนไข้ที่มีทางเดินเยี่ยวอักเสบเรื้อรัง นิ่วกรดยูริค (uric acid stones) เจอราวๆปริมาณร้อยละ 6 มีเหตุที่เกิดจากทานอาหารที่มีพิวรีน (purine) สูง อาทิเช่น เครื่องใน สัตว์ปีก เป็นต้น นิ่วซีสตี (cystine stones) พบราวๆปริมาณร้อยละ 2 เกิดขึ้นจากความไม่ปกติของร่างกาย ในการซึมซับสารซีสตีน นิ่วแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate stones) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ในประเทศไทย โดยพบร้อยละ 75-80 ซึ่งจากรายงาน การศึกษาวิจัยที่จังหวัดขอนแก่นพบนิ่วประเภทนี้ปริมาณร้อยละ 88 และก็ที่อเมริกาพบอุบัติการณ์ปริมาณร้อยละ 90 นิ่วแคลเซียมออกซาเลตเกิดจากแคลเซียมรวมกับกรด ออกซาลิก (oxalic acid) เมื่อไปรวมกับธาตุตัวอื่น เช่น โซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม หรือโปแตสเซียม จะกลายเป็นผลึกออกซาเลต และแปลงเป็นก้อนนิ่วในเวลาถัดมา
นิ่วในไตสามารถพบได้ทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา แต่ว่าพบได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าในช่วงอายุ 40 - 50 ปี โดยพบในเพศชายสูงกว่าสตรีราว 2 - 3 เท่า
นิ่วในไตอาจกำเนิดกับไตเพียงแค่ข้างเดียว โดยช่องทางกำเนิดใกล้เคียงกันทั้งข้างซ้ายและก็ขวาหรือเกิดนิ่วพร้อมทั้งสองข้าง แต่ความรุนแรงของนิ่วในทั้งคู่ไตมักแตกต่างกันขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของนิ่ว ในประเทศที่เจริญแล้ว จะพบโรคนี้ได้ประมาณ 0.2% ของสามัญชน ส่วนในทวีปเอเชียพบได้ราว 2-5%
สำหรับในประเทศไทย เจออัตรา การเกิดโรคนิ่วในไตและในระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วยใน จากสถิติกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มขึ้นจาก 99.25 ต่อ 100,000 ของมวลชน ในปีพ.ศ. 2550 เป็น 122.46 ในปี พ.ศ. 2553 พบมากที่สุดในประชาชน ภาคเหนือแล้วก็ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในอัตรา 188.55 รวมทั้ง 174.67 เป็นลำดับ จากการเรียน นิ่วในระบบทางเท้าปัสสาวะ ในปีพ.ศ. 2552 แยกประเภทตามครอบครัว และ หมู่บ้าน ในพลเมืองภาคอีสาน ที่จังหวัด ขอนแก่น ปริมาณ 1,034 ราย (โดยรวมคนที่เป็นนิ่ว อยู่แล้ว 135 ราย) จาก 551 ครอบครัว และ 348 หมู่บ้าน เรียนรู้ด้วยวิธีถ่ายภาพรังสี Kidney-Ureter Bladder (KUB) พบว่า สมาชิกในครอบครัวปริมาณ 116 ครอบครัว (ปริมาณร้อยละ 21.05) และก็ใน 23 หมู่บ้าน (ร้อยละ 6.61) เป็นนิ่วในไต ตำแหน่งที่เจอนิ่วเยอะที่สุดหมายถึงในไต ราวๆปริมาณร้อยละ 80 สำหรับในภูมิภาคอื่นๆมีการเรียนรู้ไม่มากสักเท่าไรนัก แต่มีรายงานการเรียนรู้พบว่า เจอนิ่วสูงที่สุดในช่วงอายุ 40-50 ปีรวมทั้ง เจอในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 3 เท่า และพบ การเกิดซ้ำ ภายใน 2 ปี ข้างหลังผ่าตัดหรือสลายนิ่วสูงถึง ร้อยละ 39
ในขณะนี้โรคนิ่วในไตมีทิศทางที่สูงขึ้น ทั้งในประเทศไทยรวมทั้งทุกภูมิภาคทั้งโลก การมีนิ่วในไต ทำ ให้การทำ งานของไตเสื่อมลง และก็บางทีอาจร้ายแรงจนกระทั่ง เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแล้วก็โรคไตระยะท้ายที่สุด ซึ่งทำ ให้ เสียชีวิตได้ ยิ่งกว่านั้นโรคนิ่วในไตมีอุบัติการณ์กำเนิดนิ่วซ้ำ สูงมากมาย ทำ ให้ทั้งยังผู้ป่วยแล้วก็รัฐบาลต้องสูญเสียค่าใช้สอย สำหรับเพื่อการรักษามหาศาล โดยเหตุนี้การหลีกเลี่ยงปัจจัย เสี่ยงหรือมูลเหตุที่ก่อกำเนิดนิ่ว ตัวอย่างเช่น พืชที่มีออกซาเลต สูง หรือการรับประทานแคลเซียมเม็ดเสริม ควรจะเป็นสิ่งที่ จะต้องคำ นึกถึงเพื่อป้องการกันกำเนิดนิ่ว
สิ่งที่ทำให้เกินิ่วในไต[/url] มีต้นเหตุจากหลากหลายเหตุ ทั้งยังปัจจัยเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม เมตตาบอลิซึม กรรมพันธุ์ วิถีการดำรงชีวิต รวมทั้งนิสัยการกินอาหารของเพศผู้ป่วยไข้เอง แม้กระนั้นปัจจัยที่สำคัญของการเกิดนิ่วในไตเป็นการมีสารก่อนิ่วในปัสสาวะสูงยิ่งกว่าระดับสารยับยั้งนิ่ว ร่วมกับปัจจัยเสริมเป็น ปริมาตรของฉี่น้อย ส่งผลให้เกิดภาวการณ์อิ่มตัวยวดยิ่งของสารก่อนิ่วในเยี่ยว จึงเกิดผลึกที่ไม่ละลายน้ำขึ้น ดังเช่น แคลเซียมออกซาเลต แคลเซียมฟอสเฟต และยูเรต ผลึกนิ่วที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้มีการอักเสบ ส่งผลให้เซลล์บุข้างในไตถูกทำลาย ตำแหน่งถูกทำลายนี้จะเป็นพื้นที่ให้ผลึกนิ่วเกาะยึดและรวมกลุ่มกัน เกิดการทับถมของผลึกนิ่วเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนเปลี่ยนเป็นก้อนนิ่วได้สุดท้าย ในคนธรรมดาที่มีสารยั้งนิ่วในปัสสาวะสูงเพียงพอจะสามารถยับยั้งการก่อตัวของผลึกนิ่วได้ ขึ้นรถพวกนี้จะไปแย่งจับกับสารก่อนิ่ว เช่น ซิเทรตจับกับแคลเซียม หรือแมกนีเซียมจับกับออกซาเลต นำมาซึ่งการก่อให้เกิดเป็นสารที่ละลายน้ำก้าวหน้า และขับออกไปพร้อมทั้งน้ำปัสสาวะ ทำให้จำนวนสารก่อนิ่วในปัสสาวะน้อยลงและไม่สามารถรวมตัวกันเป็นผลึกนิ่วได้ เว้นเสียแต่สารยับยั้งนิ่วกลุ่มนี้แล้วโปรตีนในเยี่ยวหลากหลายประเภทยังปฏิบัติภารกิจคุ้มครองปกป้องการก่อผลึกในเยี่ยว แล้วก็เมื่อฉาบที่ผิวผลึกจะช่วยขับผลึกออกไปพร้อมกับเยี่ยวได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันนี้มีหลายงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยบอกว่า ความเปลี่ยนไปจากปกติของการสังเคราะห์รวมทั้งรูปแบบการทำงานของโปรตีนยั้งนิ่วพวกนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคนิ่วในไต  การเกิดนิ่วในไตยังอาจมีต้นเหตุที่เกิดจากโรคอื่นที่เป็นอยู่ เป็นต้นว่า การติดเชื้อในระบบฟุตบาทฉี่ โรคเมตาบอลิก รวมถึงการใช้ยารักษาโรคบางประเภทอย่างโรคเกาท์ ต่อมไทรอยด์ดำเนินงานเกินธรรมดา เบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งการรับประทานวิตามินดี รวมทั้งแคลเซียมเม็ดเสริมมากเกินความจำเป็น
ลักษณะของนิ่วในไต สำหรับนิ่วในไตโดยมาก ผู้เจ็บป่วยมักไม่มีอาการแสดง แต่จะมีลักษณะอาการแสดงก็เมื่อมีการติดเชื้อซ้ำซ้อนรวมทั้งก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กมากๆอาจหลุดออกไปกับการขับปัสสาวะโดยไม่ทำให้เกิดอาการหรือความรู้สึกเจ็บปวดอะไรก็ตามลักษณะของนิ่วในไตบางทีอาจไม่ปรากฏให้มองเห็นจนกว่าก้อนนิ่วเริ่มเคลื่อนตัวรอบๆไตหรือไปยังท่อไต ซึ่งเป็นท่อเชื่อมต่อระหว่างไตรวมทั้งกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คนเจ็บที่มีนิ่วในไตอาจมีอาการเหล่านี้ตามมา ดังเช่นว่า ปวดรอบๆหลังหรือช่องท้องข้างล่างข้างใดข้างหนึ่ง บางทีอาจเจ็บปวดรวดร้าวลงไปถึงบริเวณขาหนีบ  มีลักษณะปวดบีบเป็นระยะ รวมทั้งปวดร้ายแรงเป็นระยะๆที่บริเวณดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ฉี่เป็นเลือด หรืออาจมีสีแดง ชมพู และก็น้ำตาล  เยี่ยวแล้วเจ็บ  ปวดท้องเยี่ยวบ่อยมาก  ปัสสาวะน้อย  ฉี่ขุ่นหรือมีกลิ่นฉุน อ้วก อ้วก หนาวสั่น เจ็บป่วย รวมทั้งถ้าเกิดก้อนนิ่วมีขนาดเล็กและก็ตกลมมาที่ท่อไต จะก่อให้กำเนิดลักษณะของการปวดบิดในท้องรุนแรง เรียกว่า “นิ่วในท่อไต” คนไข้จะมีลักษณะระคายเคืองเวลาปัสสาวะ ต้องการฉี่ แต่ว่าเยี่ยวขัด กะปริดกะปรอย ในเรื่องที่มีการติดโรคเข้าแทรกจะมีลักษณะอาการไข้ร่วมด้วย แม้ปลดปล่อยให้เป็นนิ่วไปนานๆโดยไม่ได้รับการดูแลรักษาจะทำให้ไตบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีรูปร่างและปฏิบัติงานผิดปกติเยอะขึ้นและทำให้เกิดภาวการณ์ไตวายท้ายที่สุด
แนวทางการรักษานิ่วในไต  หมอวินิจฉัยนิ่วในไตได้จากประวัติความเป็นมาอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจปัสสาวะ และอาจมีการตรวจอื่นๆเสริมเติมสังกัดอาการผู้เจ็บป่วยรวมทั้งดุลพินิจของแพทย์ ดังเช่น

  • การตรวจเยี่ยว เพื่อดูว่าร่างกายมีการขับแร่ธาตุศูนย์รวมตัวเป็นก้อนนิ่วมากเกินความจำเป็น หรือมีสารปกป้องการเกิดนิ่วที่น้อยเกินไปหรือไม่ รวมทั้งตรวจเม็ดเลือดแดงในเยี่ยว ตลอดจนตรวจค้นภาวะติดโรค สามารถทำเป็นโดยเก็บฉี่ของคนเจ็บทั้งสิ้นในตอน 24 ชั่วโมง ได้แก่ หากเริ่มนับตั้งแต่ 8.00 นาฬิกา ปัจจุบันนี้ผู้เจ็บป่วยจำต้องเยี่ยวทิ้งไปก่อน แล้วเก็บครั้งต่อๆไปทุกคราวจนกระทั่ง 8.00 นาฬิกาของวันต่อไป
  • การวิเคราะห์เลือด ผลของการตรวจเลือดจะสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพไตของผู้ป่วย และช่วยให้หมอวินิจฉัยโรคต่างๆได้ รวมทั้งตรวจวัดระดับของสารที่อาจก่อให้เกิดนิ่ว โดยผู้เจ็บป่วยที่มีนิ่วในไตบางทีอาจตรวจเจอว่ามีปริมาณแคลเซียมหรือกรดยูริกในเลือดที่มากเกินไป
  • การตรวจโดยมองจากรูปไต วิธีแบบนี้จะช่วยให้หมอสามารถเห็นก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นตามทางเดินปัสสาวะ การถ่ายภาพไตมีมากมายหลากหลายวิธีให้เลือกใช้ ได้แก่ การฉายรังสีเอกซ์เรย์ในท้อง ซึ่งอาจทำให้ไม่เห็นก้อนนิ่วในไตขนาดเล็กหรือนิ่วบางจำพวก การตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ไต นอกจาก 2 วิธีนี้ แพทย์อาจไตร่ตรองใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ซึ่งอาจจะส่งผลให้เห็นนิ่วก้อนเล็กๆได้รวมทั้ง
  • การตรวจ x-ray เงาไตที่เรียก KUB (Kidney ureter and bladder) ถ้าหากว่าเป็นนิ่วที่ทึบแสงก็สามารถมองเห็นนิ่วได้ ถ้าหากเป็นนิ่วที่ไม่ทึบแสงก็ไม่สามารถที่จะเห็น รวมถึงการตรวจ IVP (Intravenous pyelogram) เป็นการฉีดสีเข้าเส้นเลือดดำ รวมทั้งสีนั้นจะถูกขับออกทางไตภายหลังจากฉีดจะ x-ray เงาไตที่เวลาต่างๆหลังฉีดสี เพื่อมองรูปร่าง รูปแบบของไต ว่ามีการอุดตันจากนิ่วหรือไม่ รวมถึงแนวทางการทำงานของไต ว่าดีมากน้อยแค่ไหน
  • การรักษานิ่วในไต การรักษามีหลายแนวทาง แพทย์จะตรึกตรองโดยอาศัยข้อมูลเรื่องขนาดของนิ่ว ตำแหน่งของนิ่ว ความแข็งของนิ่ว ไตบวมมากมายหรือน้อย การอักเสบของไตเป็นต้น เพื่อพิเคราะห์เลือกกระบวนการที่เยี่ยมที่สุดในแต่ละราย บางคนอาจจะสมควรที่จะรักษาด้วยการสลายนิ่ว แต่บางท่านไม่เหมาะสมที่จะสลายนิ่ว บางทีอาจรักษาได้ด้วยวิธีอื่นๆคนเจ็บควรขอคำแนะนำแพทย์ถึงกรรมวิธีต่างๆกลุ่มนี้เพื่อจะได้เข้าใจถึงเหตุผลที่แพทย์เลือกแนวทางนั้นๆสำหรับการรักษา

การรักษานิ่วในไตขนาดเล็ก  การดูแลและรักษานิ่วขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 5 มม. บางทีอาจทำได้ด้วยการดื่มน้ำมากมายๆเพื่อช่วยขับก้อนนิ่วออกมาพร้อมเยี่ยว และควรดื่มให้มากพอ (วันละ 8 – 10 แก้ว) จนถึงปัสสาวะเจือจางฉี่เป็นสีใสๆนิ่วอาจหลุดลงมาเป็นนิ่วในทอไต แม้กระนั้น แม้คนไข้ด้วยนิ่วชนิดนี้มีลักษณะอาการ หมออาจพิจารณาให้ผ่าตัดเอาก้อนนิ่วออกได้เช่นเดียวกัน
ถ้าเกิดก้อนนิ่วเล็กๆที่ทำให้เกิดความเจ็บ แพทย์อาจใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวด อย่างเช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) อะเซตามิโนเฟ่น (Acetaminophen) หรือที่รู้จักในชื่อพาราเซตามอล รวมทั้งที่นาพรอกเซน (Naproxen)
ยิ่งกว่านั้น การใช้ยาช่วยขับก้อนนิ่วก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางการรักษา หมอบางทีอาจสั่งจ่ายยากลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์ (Alpha Blocker) ซึ่งเป็นยาช่วยขับก้อนนิ่วออกมาทางฉี่ ออกฤทธิ์โดยการทำให้กล้ามเนื้อบรรเทา ทำให้ให้ก้อนนิ่วในไตถูกขับออกมาได้เร็วและก็เจ็บน้อยกว่า
การรักษานิ่วในไตขนาดใหญ่ ก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 มม.ขึ้นไปสามารถทำให้มีเลือดออก รวมทั้งคงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดแผลที่ท่อไตหรือการตำหนิดเชื้อในระบบทางเท้าปัสสาวะ จนถึงไม่สามารถที่จะหลุดมาเองได้ หมอบางทีอาจจะต้องใช้การรักษาประเภทอื่นๆดังต่อไปนี้

  • การใช้คลื่นเสียงกระจายตัวก้อนนิ่ว เหมาะสมกับนิ่วที่มีขนาดไม่เกิน 2 ซม. รักษาด้วยการใช้เครื่อง Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy (ESWL) โดยใช้แรงสั่นของคลื่นเสียงทำให้นิ่วแตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆกระทั่งสามารถผ่านออกทางการขับปัสสาวะได้ วิธีแบบนี้คนเจ็บบางทีอาจรู้สึกเจ็บปวดระดับปานกลาง หมอจึงอาจใช้ยาระงับประสาทเพื่อผู้ป่วยสงบหรือทำให้สลบแบบตื้น กรรมวิธีการรักษาใช้เวลาโดยประมาณ 45-60 นาที แล้วก็อาจส่งผลข้างๆให้เยี่ยวเป็นเลือด มีแผลบวมช้ำข้างหลังช่องท้อง เลือดออกรอบบริเวณไตแล้วก็อวัยวะรอบกาย รวมถึงรู้สึกเจ็บเมื่อเสี้ยวก้อนนิ่วเขยื้อนผ่านทางเท้าปัสสาวะออกมา การดูแลรักษาโรคนิ่วแนวทางนี้ช่วงเวลากว่าเศษนิ่วจะหลุดออกมาหมดนั้นไม่แน่นอน บางรายจะต้องสลายนิ่วซ้ำอีกหนึ่งหรือหลายคราว ไม่อาจจะยืนยันผลการรักษาได้ทุกราย โดยมีอัตราปลอดนิ่วที่ 3 เดือนราวๆจำนวนร้อยละ 75
  • การผ่าตัดก้อนนิ่วออก (Percutaneous Nephrolithotomy) เหมาะสมกับนิ่วที่มีขนาดไม่เกิน 3 เซนติเมตร อาจใช้ตามหลังการใช้คลื่นเสียงแตกตัวก้อนนิ่ว (ESWL) ไม่เป็นผล แพทย์อาจเลือกใช้การผ่าตัดนิ่วด้วยการใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กแล้วก็เครื่องมือใส่เข้าไปบริเวณหลังของคนป่วย โดยพักฟื้นที่โรงหมอเป็นเวลา 1-2 วัน แล้วก็มีประสิทธิภาพถึง 72-99 เปอร์เซ็นต์
  • การส่องกล้อง สำหรับก้อนนิ่วที่มีขนาดไม่เกิน 3 ซม. หมออาจใช้กล้อง Ureteroscope เพื่อฉายลำแสงแคบผ่านหลอดฉี่แล้วก็กระเพาะปัสสาวะ แล้วใช้เครื่องมือชนิดพิเศษจับหรือทำให้ก้อนนิ่วแตกตัวเป็นชิ้นเล็กจนสามารถถูกขับออกมาทางเท้าเยี่ยวได้ เพื่อลดอาการบวมหลังผ่าตัดรวมทั้งช่วยทำให้หายเร็วขึ้น ก็เลยอาจมีการใช้ท่อเล็กๆยึดไว้ที่หลอดฉี่ด้วย การส่องกล้องนี้พบว่ารักษาได้ผลถึง 94 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเกิดเป็นนิ่วเขากวางมีแขนงมากยิ่งกว่า 2 กิ่ง หรือนิ่วที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เซนติเมตร หมอมักไตร่ตรองเป็นการผ่าตัดเปิดตามความเหมาะสม
  • การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โรคต่อมไทรอยด์ดำเนินงานสูง เกิดการผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ขึ้นมามากมายไม่ปกติ และเป็นต้นเหตุให้กำเนิดก้อนนิ่วจากแคลเซียมฟอสเฟตได้ง่าย การทำงานที่แตกต่างจากปกตินี้หากมีต้นเหตุจากเนื้องอกที่เติบโตบนต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดเอาเนื้องอกดังกล่าวมาแล้วข้างต้นค่อนข้างจะเป็นช่วยลดการเกิดนิ่วในไตได้ด้วย

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดนิ่วในไต

  • รับประทานอาหารมีสารที่ก่อการนอนก้นเป็นนิ่วปริมาณสูงตลอดอย่างเช่น กินอาหารมีออกซาเลตสูง ได้แก่ โยเกิร์ต ถั่วที่มีรูปทรงราวกับไต อาทิ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง งา ลูกนัท ผลเบอร์รีต่างๆมะเดื่อ แครอด บีทรูท มะเขือ ผักกะหล่ำ หน่อไม้ฝรั่ง บรอคอยควัวลิ ผักโขม ชะพลู ผักกะเฉด รวมทั้งยอดผักต่างๆหรือมีกรดยูริคสูง ดังเช่นว่า เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ปลาทะเล หอยแครง น้ำเกรวี/Gravy และจากพืชบางประเภทยกตัวอย่างเช่น หน่อไม่ฝรั่ง ผักขม ยอดผัก แล้วก็ถั่วจำพวกมีรูปร่างเหมือนไต/ถั่วดำ/ถั่วแดง
  • การตีบแคบของทางเท้าปัสสาวะทำ ให้มี ปัสสาวะคั่งค้างข้างในไต
  • ความเข้มข้นของน้ำ ปัสสาวะ เกิดเพราะว่า คนเจ็บดื่มน้ำ น้อยกว่าธรรมดา หรือสูญเสียน้ำ ออกมาจาก ร่างกายมากกว่าปกติ ผู้มีอาชีพเกษตรกรทำ งานที่โล่งแจ้ง จะมีการเสียเหงื่อมากมายทำ ให้เยี่ยวมีความเข้มข้นสูง ช่องทางที่สารละลายในฉี่จะกลายเป็นผลึกก็เลยมีมากขึ้นเรื่อยๆ และ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับเกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำที่ใช้ดื่ม ซึ่งขึ้นกับแต่ละเขตแดนกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดเป็นนิ่วขึ้นได้ การออกกำลังกายอย่างหนัก ทำ ให้มีการสูญเสียน้ำ แล้วก็ เกลือแร่ไปกับเหงื่อ ทำให้ปัสสาวะจะมีจำนวนสิเทรตต่ำ ซึ่งการขาดซิเทรตทำ ให้แคลเซียมรวมกับออกซาเลตเป็นแคลเซียมออกซาเลต หรือแคลเซียมรวมกับฟอสเฟตเป็นแคลเซียมฟอสเฟต ซึ่งละลายน้ำ ได้ไม่ดี
  • ความเป็นกรด-ด่างของเยี่ยว เยี่ยวที่มี ฤทธิ์เป็นกรดมากมายบางทีอาจเกิดการตกผลึกของกรดยูริค แล้วก็ซีสทีน ส่วนปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นด่าง บางทีอาจมีการตกตะกอน ของผลึกออกซาเลต ฟอสเฟส และคาบอเนต ซึ่งคนธรรมดา ในช่วง 06.00 น. เยี่ยวจะมีความเป็นกรดที่ pH 5.2 ในตอน 18.00 น. จะมีความเป็นกลาง pH 7.0 ก็เลยมี จังหวะเกิดผลึกได้ผลึกกรดยูริค แล้วก็ผลึกแคลเซียม ซึ่งการรวมตัวกันของผลึกทำ ให้กำเนิดเป็นก้อนนิ่วสุดท้าย
  • โรคเรื้อรังบางชนิดที่ทำให้ภายในร่างกายมีสารต่างๆที่ก่อนิ่วสูงกว่าธรรมดาตัวอย่างเช่น โรคของ ต่อมพาราต่อมไทรอยด์(Parathyroid gland) ซึ่งคือต่อมไร้ท่อขนาดเล็กอยู่ใต้ต่อมไทรอยด์ มีหน้าที่ควบคุมแนวทางการทำงานของแคลเซียม) ดำเนินการเกิน หรือโรคเกาต์ซึ่งมีกรดยูริคสูงในร่างกาย
  • อาจจากกินวิตามินซี วิตามินดี และก็แคลเซียมเสริมของกินจำนวนสูงสม่ำเสมอ ด้วยเหตุนั้นการกินวิตามินเกลือแร่เหล่านี้เสริมของกิน ควรขอความเห็นแพทย์ก่อนเสมอ
  • ยาบางชนิดทำ ให้กำเนิดนิ่วได้ดังเช่นว่า ยาขับฉี่ ยากลุ่ม carbonic anhydrase inhibitors ยาระบาย หรือยาลดกรดที่รับประทานอยู่เป็นเวลานาน ทำ ให้เกิด นิ่วด้วยกลไกผ่านทางเมตาบอลิค

การติดต่อของนิ่วในไต  นิ่วในไตเป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของธาตุต่างๆรวมทั้งแคลเซียม (หินปูน) เป็นก้อนผลึกขนาดต่างๆตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย ตัวอย่างเช่น ถุงน้ำดี รวมทั้ง ระบบทางเดินปัสสาวะของร่างกาย ซึ่งไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อเป็นนิ่วในไต การดูแลตัวเองเมื่อเป็นนิ่วในไตแล้วก็เพื่อปกป้องนิ่วย้อนไปเป็นซ้ำหลังรักษานิ่วหายแล้ว ดังเช่น

  • กินน้ำสะอาดมากๆอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรถ้าเกิดว่าไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำ
  • จำกัดอาหารที่มีสารออกซาเลต กรดยูริค รวมทั้งสารซีสตีนสูง
  • ไม่กลั้นปัสสาวะนาน แล้วก็เพียรพยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ
  • ทำตามหมอ/พยาบาลชี้แนะอย่างเคร่งครัด
  • รับประทานยาต่างๆให้ถูกครบบริบรูณ์ ไม่ขาดยา และไม่หยุดยาเอง
  • สังเกตสีแล้วก็รูปแบบของฉี่เสมอเพื่อรีบพบแพทย์ก่อนนัดหมายเมื่อมีความผิดปกติกำเนิด ขึ้นเช่น ขุ่นมากหรือเป็นเลือดรวมทั้งเมื่อมีนิ่วหลุดออกมา ควรที่จะเก็บเอาไว้และจากนั้นจึงนำไปพบแพทย์ เพื่อศึกษาทางห้องทดลองว่าเป็นนิ่วชนิดใด เพื่อการรักษาและการดูแลตนเองได้ถูกต้อง ซึ่งเมื่อหมอเสนอแนะให้เก็บนิ่วมาให้หมอดู ควรจะปัสสาวะในกระโถนหรือปัสสาวะผ่านผ้ากรองเพื่อการเก็บนิ่วได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  • เลี่ยงเครื่องดื่มน้ำอัดลม เพราะว่าอาจทำให้จำนวนของซิเทรดในเยี่ยวลดน้อยลง

การคุ้มครองป้องกันตนเองจากนิ่วในไต ช่วงอายุที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วสูงสุดคือ 40-60 ปี รวมทั้งอัตราการเกิดเป็นนิ่วซ้ำ เจอสูงถึงจำนวนร้อยละ 50 ภายใน 5 ปี การกระทำตนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว หรือการเกิดนิ่วซ้ำ ควรปฏิบัติดังนี้

  • ควรจะกินน้ำ วันละ 6-8 แก้ว (2.5 ลิตรหรือมากกว่า) หรือให้ได้ความจุของปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ รวมทั้งลดโอกาสการก่อผลึกนิ่วในระบบฟุตบาทปัสสาวะ
  • ควรหลบหลีกการดื่มกาแฟที่เข้มข้นมาก อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทำ ให้ระดับแคลเซียมสูงมากขึ้นในปัสสาวะ
  • คนป่วยที่มีน
ตารางที่ 1 แสดงปริมาณกรดออกซาลิคในผักต่อน้ำ หนักผัก 100 กรัม
           ชื่อผัก                    ปริมาณกรดออกซาลิค ชื่อผัก            ปริมาณกรดออกซาลิค
                                    (มิลลิกรัม)                                            (มิลลิกรัม)
ผักชีฝรั่ง (parsley)               1,700                           หัวไชเท้า                        480
มันสำปะหลัง                       1,260                           ใบกระเจี๊ยบ                    389.5
ใบชะพลู                              1,088.4                        ใบยอ                            387.6
ผักโขม (amaranth)             1,090                           ผักปัง                            385.3
ผักโขม (spinach)                 970                              ผักกระเฉด                     310
ยอดพริกชี้ฟ้า                        761.7                           ผักแพงพวย                   243.9
แครอท                                500                              กระเทียม                       360

  • กินอาหารประเภทผักรวมทั้งผลไม้ (ที่ไม่มีสารออกซาเลต , ยูริกสูง) เพราะเหตุว่าเป็นแหล่งของสารยั้งการเกิดนิ่ว ช่วยทำให้ปริมาณซิเทรต โพแทสเซียม และก็ pH ของฉี่เพิ่มขึ้น และก็ลดการทำลายของเซลล์เยื่อบุหลอดไต จึงสามารถยับยั้งการเกิดนิ่วได้อย่างมีคุณภาพ
  • รับประทานไขมันจากพืชแล้วก็ไขมันจากปลา เนื่องจากว่าไขมันกลุ่มนี้สามารถลดจำนวนแคลเซียมในเยี่ยวได้ดีมากว่าไขมันที่ได้จากเนื้อสัตว์อื่นๆจึงช่วยลดช่องทางกำเนิดนิ่วซ้ำได้
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษานิ่วในไต
กระเจี๊ยบแดง Hibiscus sabdariffa L.

  • ส่วนประกอบทางเคมี: มีสาร Anthocyanin และก็กรดอินทรีย์หลายตัว ดังเช่น citric acid, mallic acid, tartaric acid, vitamin c ทำให้เยี่ยวมีฤทธิ์เป็นกรด
  • สรรพคุณ: หนังสือเรียนยาไทย: กลีบเลี้ยงมีรสเปรี้ยว แก้อาการขัดเบา แก้เสลด ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ ขับนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • การเล่าเรียนทางคลินิก: ลดระดับความดันเลือด ยั้งเชื้อแบคทีเรียในทางเดินฉี่ ทำให้คนป่วยโรคนิ่วในท่อไต ชิ้งฉ่องสะดวกขึ้น ผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีลักษณะปวดแสบเวลาปัสสาวะลดลง

ขลู่ Pluchea indica (L.) Less.

  • องค์ประกอบทางเคมี: พบสารอนุพันธ์ของ eudesmane กลุ่ม cauhtemone และก็พบเกลือแร่ sodium chloride เพราะเหตุว่าชอบขึ้นที่น้ำทะเลขึ้นถึง
  • สรรพคุณ: หนังสือเรียนยาไทย: ใช้ ใบ รสหอมฝาดเมาเค็ม เป็นยาขับฉี่ ทั้งยังต้น รสหอมฝาดเมาเค็ม ใช้ต้มรับประทานรักษาอาการขัดเบา แก้นิ่วในไต ขับปัสสาวะ แก้ฉี่ทุพพลภาพ

ตะไคร้   Cymbopogon citratus  Stapf

  • คุณประโยชน์ ต้น แก้โรคฟุตบาทฉี่ นิ่ว ขับปัสสาวะ รอบเดือนมาไม่ปกติ  แก้ฉี่เป็นเลือด แก้โรคหืด  ราก ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ฉี่ทุพพลภาพ แก้อาการขัดเบา

ทานตะวัน    Helianthus annuus  L.

  • คุณประโยชน์ แกนต้น – ขับฉี่ แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต เม็ด – ขับฉี่ ราก – ขับปัสสาวะ

สับปะรด    Ananas comosus  (L.) Merr.

  • สรรพคุณ ราก – แก้นิ่ว ขับฉี่ ใบสด – เป็นยาถ่าย ฆ่าพยาธิในท้อง ยาขับฉี่ ผลสุก – ขับปัสสาวะ ไส้กึ่งกลางสับปะรด – แก้ขัดค่อย เปลือก – ขับเยี่ยว ทำให้ไตมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง จุก – ขับฉี่ แก้นิ่ว กิ่งก้านสาขา – แก้โรคนิ่ว ยอดอ่อนสับปะรด – แก้นิ่ว
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.วิทย์ วิเศษสินธ์.โรคนิ่ววในระบบทางเดินปัสสาวะ.หน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
34  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคโรคลมชัก (Epilepsy) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: เมษายน 03, 2018, 01:31:28 pm

โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชักคืออะไร โรคลมชัก หรือ โรคลมบ้าหมู มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ:  คือ ยึด ครอบครอง หรือ ทำให้ป่วยไข้ โดยเป็นกรุ๊ปโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันมีต้นเหตุจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากเกินไปของเซลล์ประสาท ด้วยเหตุดังกล่าวโรคลมชัก ก็คือโรคจากความผิดปกติของระบบประสาทศูนย์กลางซึ่งทำหน้าที่สำหรับในการควบคุมลักษณะการทำงานของร่างกาย จนถึงนำไปสู่อาการชัก
                โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบบ่อย ในรายงานการเรียนรู้โดย World Health Organization (WHO) แล้วก็ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาด้านสุขภาพ พบว่าร้อยละ 72.5 ของประเทศพวกนี้กล่าวว่าโรคลมชักพบมากเป็นชั้นสองรองจากโรคปวดศีรษะ ขณะที่โรคหลอดเลือดสมองเป็นอันดับสามคือ จำนวนร้อยละ 62.7 ทำนองว่าทั้งโลกคงจะมีบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะพอๆกับหนึ่งในสี่ของจำนวนผู้ที่เป็นโรคลมชักทุกอายุ แล้วก็ในทุกๆปี คงจะมีบุคคลที่ได้รับการวิเคราะห์ใหม่เป็นโรคลมชัก ราวๆ 3.5 ล้านคน ซึ่งร้อยละ 40 จะเป็นคนเจ็บเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และก็กว่าจำนวนร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังปรับปรุง
                ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงเป็นช่วงทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก สาเหตุที่ทำให้มีการเกิดโรคลมชักในช่วงวัยแรกเกิดมักจะเป็นพยาธิภาวะที่เกิดในตอนการคลอดตัวอย่างเช่นผลของการขาดออกซิเจน การติดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนเฒ่าเป็นช่วงๆที่ได้โอกาสกำเนิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในขณะนี้น่าจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยแก่มากขึ้นเวลาที่ในช่วงวัยทารกต่ำลงเนื่องจากความสามารถด้านการแพทย์ในการดูแลคนป่วย ปัญหาสุขภาพแตกต่างจากเดิม การตำหนิดเชื้อที่ระบบประสาทที่บางครั้งอาจจะเป็นต้นเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มน้อยลงจากการที่มีวัคซีนปกป้องโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคเส้นโลหิตสมองซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาพฤติกรรมสำหรับในการรับประทานอาหารไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้น อื่นๆอีกมากมาย สำหรับประเทศที่กำลังปรับปรุงความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากปัญหาสุขอนามัยโรคติดเชื้อ ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการดูแลผู้ป่วยยังจำกัด มีการประมาณว่าชาวไทยทั่วราชอาณาจักร เป็นโรคลมชักราว 450,000 คน รวมทั้งพลเมืองโดยปกติยังมีความรู้และมีความเข้าใจต่อโรคลมชักไม่มากมาย
                ดังนี้ คนป่วยโรคลมชัก หากได้รับการดูแลและรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ทีแรกกำเนิดอาการ คนเจ็บจะสามารถดำเนินชีวิตอาทิเช่นคนธรรมดา เรียนหนังสือ ดำเนินการ เล่นกีฬา ออกสังคม และสามารถสมรสได้ แม้กระนั้นหากไม่มีความเอาใจใส่ไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง ปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจทำให้สมองเสื่อม บางรายอาจทุพพลภาพหรือตายเนื่องจากว่าอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างชัก เป็นต้นว่า จมน้ำ ขับขี่รถชน ตกจากที่สูง ไฟลุก น้ำร้อนลวก ฯลฯ
ที่มาของโรคลมชัก
โรคลมชักจำนวนมากเกิดขึ้นโดยตรวจไม่เจอสาเหตุกระจ่างแจ้ง (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) เชื่อว่ามีความ พร่องของสารเคมีอะไรบางอย่างในการควบคุมกระแสไฟในสมอง (โดยที่โครงสร้างของสมองปกติดี) ทำให้การทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยไฟฟ้าอย่างแตกต่างจากปกติของเซลล์สมอง ทำให้เกิดอาการชัก แล้วก็หมดสติชั่วขณะ คนเจ็บกลุ่มนี้ชอบมีลักษณะครั้งแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี และก็อาจมีประวัติความเป็นมาว่ามีบิดามารดาหรือญาติเป็นโรคนี้ด้วย  และมีส่วนน้อยที่สามารถหามูลเหตุที่กระจ่างได้ (Symptomatic หรือ Secondary  Epilepsy)  อาจเกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติของส่วนประกอบสมอง เป็นต้นว่า สมองทุพพลภาพโดยกำเนิด สมองได้รับกระเทือนระหว่างคลอด สมองพิการคราวหลังการตำหนิดเชื้อ แผลในสมองข้างหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้พบได้ทั่วไปในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี) ภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ สภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษเหล้า ยาเสพติด (ยกตัวอย่างเช่น การเสพยาม้าเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางประเภทที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบมากในผู้ที่แก่ 25 ปีขึ้นไป)
ดังนี้ อาการในผู้เจ็บป่วยโรคลมชักอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นควรจะมีสิ่งเร้าให้เกิดอาการ แม้กระนั้นก็มีในบางครั้งบางคราว หรือการใช้สารบางอย่างที่กระตุ้นให้เกิดอาการชักได้ อย่างเช่น ความเครียด การพักผ่อนหย่อนใจไม่พอ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางจำพวกหรือกการใช้สิ่งเสพติด ภาวะมีระดูของเพศหญิง นอกจากนั้นยังมีผู้เจ็บป่วยปริมาณหนึ่งแม้กระนั้นเป็นปริมาณน้อยที่สามารถกำเนิดอาการชักได้หากเห็นแสงแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดขึ้นจากต้นสายปลายเหตุนี้เรียกว่า โรคลมชักที่ผู้ป่วยไวต่อแสงสว่างกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
อาการของผู้เจ็บป่วยลมชัก โรคลมชัก ต่างจากการชักจากโรคอื่นๆเป็น อาการชักจากโรคลมชัก ต้องมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว โรคลมชักเอง มีลักษณะอาการชักได้ 3 แบบ ดังเช่น
1.อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นกับสมอง 2 ซีก แบ่งออกเป็น 2 จำพวกย่อยๆคือ
   อาการชักแบบเหม่อ (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่โดดเด่นคือการเหม่อ หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้นๆได้
   อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการเกร็งของกล้าม โดยชอบเกิดขึ้นกับกล้ามบริเวณหลัง แขนและก็ขา กระทั่งทำให้คนป่วยล้มลงได้
             อาการชักแบบกล้ามเหน็ดเหนื่อย (Atonic Seizures) อาการชักที่ทำให้กล้ามเหน็ดเหนื่อยลง ผู้ป่วยที่มีลักษณะชักชนิดนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามขณะเกิดอาการได้ กระทั่งทำให้คนป่วยล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างเฉียบพลัน
   อาการชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ก่อเกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามที่ไม่ปกติ โดยอาจก่อให้เกิดการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า แล้วก็แขน
             อาการชักแบบชักแล้วก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่มีผลต่อกล้ามภายในร่างกายทุกส่วน นำมาซึ่งอาการกล้ามเนื้อเกร็งแล้วก็กระตุก มีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มลง และหมดสติ บางรายบางทีอาจร้องไห้ในตอนที่ชักด้วย รวมทั้งภายหลังจากอาการบรรเทาลง ผู้ป่วยบางทีอาจรู้สึกเมื่อยล้าเนื่องด้วยอาการชัก
   อาการชักแบบชักผวา (Myoclonic Seizures) อาการชักจำพวกนี้มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยจะกำเนิดอาการชักกระตุกของแขนแล้วก็ขาคล้ายกับการโดนไฟฟ้าช็อต โดยมากชอบกำเนิดภายหลังจากตื่น บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกรุ๊ปเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักจำพวกนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงแค่เล็กน้อย ทำให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเพียงแค่นั้น แบ่งได้เป็น 2 จำพวกเป็น
    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักชนิดนี้ ระหว่างที่เกิดอาการ คนเจ็บจะยังคงมีสติครบ โดยผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆข้างในท้อง บ้างก็อาจรู้สึกเสมือนมีลักษณะอาการเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกดุจว่าเคยพบเห็นหรือเกิดเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่มาก่อน ทั้งที่ไม่เคย บางทีอาจกำเนิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวอย่างกะทันหัน และได้กลิ่นหรือรับรู้รสแปลกไป รู้สึกชาที่แขนแล้วก็ขา หรือมีอาการชักที่แขนและมือ ฯลฯ ทั้งนี้ อาการชักดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักประเภทอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้สามารถที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและก็คนที่อยู่รอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
    อาการชักโดยไม่ทันรู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่คนเจ็บอาจจะไม่ทราบตัวและไม่สามารถจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะตอนที่กำเนิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักประเภทนี้ไม่อาจจะคาดเดาได้โดยอาจมีอาการตัวอย่างเช่น ขยับริมฝีปาก เช็ดมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปรอบๆจับเสื้อผ้า เล่นกับข้าวของในมือ อยู่ในอาการแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนอะไรบางอย่าง นอกจากนี้ เวลาที่เกิดอาการ คนเจ็บจะไม่สามารถที่จะรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้เลย
3.อาการชักสม่ำเสมอ (Status Epilepticus) อาการชักประเภทนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักต่อเนื่องที่ผู้ป่วยไม่สามารถที่จะได้สติในขณะที่ชัก ซึ่งเป็นคราวฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ดังนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกชนิดคือ การที่คนป่วยมีลักษณะอาการไม่ปกติทางระบบประสาทดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่อาการเหล่านั้นจะเกิดบ่อยๆและก็อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายกัน
ก่อนจะชัก บางบุคคลอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน เช่น หงุดหงิด เครียด กลัดกลุ้ม เวียนศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก เป็นต้น รวมทั้งก่อนที่จะสลบเพียงไม่กี่วินาที คนเจ็บอาจมีอาการเตือน ยกตัวอย่างเช่น ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีลักษณะชาตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุก ฯลฯ ถ้าหากไม่ได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบซ้ำได้ปีละหลายครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีตัวกระตุ้น (มองหัวข้อ “การรักษาตนเอง”) คนไข้จะไม่มีอาการไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะของการมีอาการดังที่กล่าวถึงมาแล้วค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ของโรคลมชัก ถ้าเคยได้เห็นเพียงแต่ครั้งเดียวก็จะนึกออกตลอดไป
ส่วนอาการชักซึ่งเป็นผลมาจากโรคลมชัก มีปัจจัยมีสาเหตุจากการที่กลุ่มของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในจำนวนสูงอย่างไม่ปกติ และก็สอดคล้องกัน คำตอบนำมาซึ่งคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ โดยธรรมดาหลังจากเซลล์ประสาทที่ได้รับการเร่งเร้า ดำเนินการหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะคงทนต่อการผลิตศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ต้นเหตุส่วนใดส่วนหนึ่งบางทีอาจเป็นผลของแนวทางการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยับยั้ง ความเคลื่อนไหวกระแสไฟข้างในเซลล์ประสาทที่ได้รับการเร้า แล้วก็ผลกระทบของอะดีโนซีน
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคลมชัก

  • รับประทานยาปกป้อโรคลมชัก[/url]ตามขนาดที่แพทย์สั่งบ่อยๆ อย่าให้หยุดยาเอง หรือกินๆหยุดๆจนกระทั่งหมอจะพิจารณาให้หยุด ซึ่งบางทีอาจกินเวลา 2-3 ปี
  • ไปตรวจกับแพทย์ประจำตามนัดหมาย อย่าเปลี่ยนแพทย์เปลี่ยนแปลงโรงหมอโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าให้กำเนิดอาการชัก ดังเช่น อย่าอดนอน หรือนอนไม่ตรงเวลา หรือพักผ่อนน้อยเกินไป  อย่าทำงานทนทุกข์คร่ำเครียดหรืออ่อนเพลียเกินความจำเป็น  อย่าอดอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา  อย่าดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  อย่าเข้าไปในที่ๆมีเสียงครึกโครม หรือมีแสงจ้า หรือแสงสว่างวอบแวบ  เมื่อมีไข้สูง ต้องรีบกินยาลดไข้แล้วก็เช็ดตัวให้ไข้ต่ำลง มิเช่นนั้นบางทีอาจกระตุ้นให้ชักได้
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย อย่างเช่น ว่าย ไต่ขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ทำงานกับเครื่องจักร ขับขี่รถ ขับเรือ เดินข้ามถนนเพียงลำพัง ฯลฯ เพราะว่าหากกำเนิดอาการชักขึ้นมา บางทีอาจได้รับอันตรายได้
  • ควรเปิดเผยให้เพื่อนสถานที่สำหรับทำงานหรือที่โรงเรียนได้ทราบถึงโรคที่เป็น รวมถึงควรจะพกบัตรที่บันทึกข้อความเกี่ยวกับโรคที่เป็นและแนวทางปฐมพยาบาลเพื่อว่าเมื่อกำเนิดอาการชัก ผู้ที่พบเจอจะได้ไม่สะดุ้ง แล้วก็หาทางช่วยเหลือให้ไม่มีอันตรายได้
  • บริหารร่างกาย การบริหารร่างกายอย่างเหมาะสมจะช่วยทำให้สุขภาพดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังช่วยลดอาการสภาวะเซื่องซึมได้ แต่ว่าก็ควรกินน้ำให้พอเพียง และควรจะพักผ่อนถ้าหากรู้สึกอ่อนล้า
  • คุ้มครองป้องกันการบาดเจ็บที่สมอง ด้วยแนวทางดังนี้
  • ขับขี่รถอย่างปลอดภัย ใช้อุปกรณ์คุ้มครองป้องกัน คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกกันน็อก ถ้าผู้โดยสารเป็นเด็กเล็กควรจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อให้มีความปลอดภัย
  • เดินอย่างระแวดระวัง เพื่อคุ้มครองป้องกันการหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กรวมทั้งคนสูงอายุที่มีโอกาสในการเสี่ยงที่จะพลัดหล่นหกล้มได้ง่าย ฉะนั้นต้องมีคนคอยดูแลอยู่เป็นประจำ

การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคลมชัก แม้ว่าการเกิดโรคลมชักในหลายกรณีนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายมูลเหตุและก็จะไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้ แต่ว่าความเพียรพยายามที่จะลดการบาดเจ็บบริเวณหัว การดูแลเด็กทารกที่ดีในระยะเวลาข้างหลังคลอด อาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีสาเหตุ)ได้ แล้วก็เมื่อมีลักษณะชักเกิดขึ้นแล้ว ควรหาทางคุ้มครองปกป้องไม่ให้อาการเกิดขึ้นอีกขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่แพทย์เสนอแนะ แล้วก็คนไข้จะต้องหลบหลีกปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีก
ทั้งนี้ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้ป้องกันการเกิดโรคลมชักได้ผลดี 100% และก็แพทย์ไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองป้องกันการชัก หมอจะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีลักษณะอาการชักกำเนิด ขึ้นแล้ว เพื่อคุ้มครองปกป้อง/ลดจังหวะมีการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคลมชัก ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่าสมุนไพรชนิดไหนซึ่งสามารถคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคลมชักได้แต่มีการนำสมุนไพรของไทยไปทำการศึกษาเรียนรู้รวมทั้งทดสอบในสัตว์ทดลองรวมทั้งให้ผลเป็นที่น่าพอใจแต่ยังไม่ได้มีการนำไปทดลองในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ ได้แก่

  • พริกไทยดำ ชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ piper nigrum Linn. อยู่ในตระกูล Piperraceae เมื่อเร็วๆนี้มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดพริกไทยดำมีฤทธิ์ยั้งการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคมะเร็ง ต่อต้านโรคลมชัก โดยต้านทานการกระตุ้นสมองของสารสื่อประสาทกลุ่มกลูตาเมตผ่านตัวรับชนิด NMDA ซึ่งฤทธิ์ต้านลมชักนี้จะสอดคล้องกับคุณประโยชน์ของพริกไทยดำที่มีการอ้างถึงไว้ในตำราเรียนแพทย์แผนไทยแล้วก็หมอแผนจีน นอกจากนั้นยังมีแถลงการณ์ว่าหนูอ้วนที่ถูกรั้งนำด้วยการให้กินอาหารที่มีไขมันสูงที่ได้รับพริกไทยดำจะมีระดับความเคร่งเครียดออกซิเดชัน (oxidation stress) น้อยกล่ากลุ่มที่ไม่ได้รับพริกไทยดำ
  • พรมไม่ มีชื่อสามัญว่า Thyme-leaf Gratiola และก็ชื่ออังกฤษว่า Dwarf bacopa มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bacopa monnieri Wettst อยู่ในตระกูล Scrophulariaceae ในพรมมิมีสารสำคัญในกลุ่มแอลติดอยู่ลอยด์ ตัวอย่างเช่น บรามิน (brahmine), นิโคติน รวมทั้งสารกรุ๊ปซาโปนิน มีคุณลักษณะช่วยในการศึกษาแล้วก็จำ ช่วยลดอาการวิตกกังวล ลดอาการเหงาหงอย และก็ต้านทานอาการชัก ซึ่งมีการทดสอบที่สำคัญ ได้ดังต่อไปนี้
  • ฤทธิ์ต้านอาการชัก (Anticonvulsive action)การแพทย์แผนไทย มีการนำพรมไม่มาใช้เป็นสมุนไพรแก้ลมบ้าหมู ซึ่งในปัจจุบัน มีการนำพรมมิมาทดสอบในสัตว์ทดลอง (หนูถีบจักร) พบว่า สารสกัดน้ำจากพรมไม่ขนาด 1-30 กรัม/กิโล (น้ำหนักตัว) สามารถควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ได้อย่างดีเยี่ยมโดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทศูนย์กลาง
เอกสารอ้างอิง

  • Magiorkinis E, Kalliopi S, Diamantis A (January 2010). "Hallmarks in the history of epilepsy: epilepsy in antiquity". Epilepsy & behavior : E&B 17 (1): 103– PMID 19963440. doi:10.1016/j.yebeh.2009.10.023.
  • รศ.นพ.อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์ . อาการชัก และโรคลมชัก. บทความประกอบการบรรยายในการประชุมวิชาการ วิทยาการก้าวหน้าทางการพยาบาลเด็ก.2555
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคลมชัก-ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่166.คอลัมน์แนะยา-แจงโรค.กุมภาพันธ์ 2536
  • Liu Y, Yadev VR, Aggarwal BB, Nair MG. Inhibitory effects of black pepper (Piper nigrum) extracts and compounds on human tumor cell proliferation, cyclooxygenase enzymes, lipid peroxidation and nuclear transcription factor-kappa-B. Nat Prod Commun. 2010 ;5(เจ๋ง:1253-7
  • โรคลมชัก.ความหมาย,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • ชาญชัย สาดแสงจันทร์.พรมมิ สมุนไพรที่คนแก่ต้องกิน.วารสารธรรมศาสตร์เวชสาร.ปีที่13.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม.2556
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่363.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2553
  • Hi RA, Davies JW. Effects of Piper nigrum L. on epileptiform activity in cortical wedges prepared from DBA/2 mice. Brother Res 1997; 11(3): 222-225
  • Hammer, edited by Stephen J. McPhee, Gary D. (2010). "7". Pathophysiology of disease : an introduction to clinical medicine (6th ed. ed.). New York: McGraw-Hill Medical. ISBN 978-0-07-162167-0.
  • Nisha P, Singhal RS, Pandit AB. The degradation kinetics of flavor in black pepper (Piper nigrum L.).Journal of Food Engineering 2009; 92: 44-49.
  • Chang BS, Lowenstein DH (2003). "Epilepsy". N. Engl. J. Med. 349 (13): 1257–66. PMID 14507951. doi:10.1056/NEJMra022308.
35  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 31, 2018, 09:07:27 am

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคพาร์กินสัน
  • อายุ ถ้าหากมีอายุมากขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • กรรมพันธุ์ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยโดยประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (แม้มีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ 3 เท่า และก็แม้มี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าเป็นลำดับ)
  • เป็นคนที่สัมผัสกับยากำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตกันดาร เนื่องจากว่ามีรายงานว่าเจอโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่ดื่มน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่และก็มดลูก ผู้หญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งคนพวกนี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่แม้ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางครั้งก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนทางสมอง
  • นอกเหนือจากนั้นยังมีแถลงการณ์ว่า คนที่ขาดกรดโฟลิกจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันด้วยเหมือนกัน
  • ขั้นตอนการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยปกติถ้าเกิดคนเจ็บปรากฏอาการแจ่มกระจ่าง สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะของการเกิดอาการรวมทั้งการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดลออ ระยะเริ่มต้นเริ่ม บางทีอาจวิเคราะห์ยาก ควรต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอผู้ที่สงสัยว่าจะมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เหตุเพราะการรักษาจะไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะอะไรบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้ป่วย และความไม่ปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก รวมถึงลักษณะของอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และก็ความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนเจ็บกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างออกไปเพียงแค่นั้น อย่างเช่น การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสโลหิต การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตหมอเข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แต่ในตอนนี้เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้กำเนิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆรอบๆก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีจำนวนเซลล์ต่ำลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนช้า เกร็งและก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ โดยเหตุนั้นในตอนนี้การดูแลและรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง คือ

  • รักษาโดยใช้ยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่อาจจะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกออกตอบแทนเซลล์เดิมได้ แต่ว่าก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับสิ่งที่จำเป็นของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบันเป็นยากลุ่ม LEVODOPA แล้วก็ยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นกับการวินิจฉัยจากแพทย์ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการดูแลและรักษาก็คือ ให้ผู้ป่วยคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม สุขสบายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติกล้วยๆคือ

ก) ฝึกการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดิบพอดี โดยการเอาส้นเท้าลงเต็มอุ้งเท้า รวมทั้งแกว่งไกวแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับการทรงตัวดี ยิ่งไปกว่านี้ควรจะหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย แล้วก็พื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือสิ่งของที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงจำต้องเบาๆเอนตัวนอนลงตะแคงข้างโดยใช้ศอกกระทั่งถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยพี่น้องจะต้องให้ความเข้าอกเข้าใจค่อยๆฝึกคนไข้ และก็ควรจะทำในสถานที่ที่สงบเงียบ

  • การผ่าตัด โดยมากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีในคนไข้ที่แก่น้อย และก็มีอาการไม่เท่าไรนัก หรือในคนที่มีลักษณะอาการเข้าแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นเวลานานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่ร้ายแรง หรือมีการเคลื่อนแขน ขา มากไม่ปกติจากยา ปัจจุบันมีการใช้แนวทางกระตุ้นกระแสไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ภายในร่างกาย พบว่าเป็นผลดี แม้กระนั้นรายจ่ายสูงมาก ผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ควรต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ด้วยเหตุนั้นหากท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคจำพวกนี้ ควรต้องรีบนำมาเจอหมอเพื่อรับการวินิจฉัยโรคอันจะนำมาซึ่งการดูแลรักษาที่ถูกและก็เหมาะสมต่อไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เพราะว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองเกิดการตาย และก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีปริมาณต่ำลง จึงนำมาซึ่งอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถที่จะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางจำพวกกรรมไปสู่บุตรหลานได้)
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน คนป่วยและญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตลอด ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์บ่อยๆ
  • กินยาควบคุมอาการจากที่หมอชี้แนะให้ใช้
  • กินอาหารประเภทที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกหัดบริหารร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆรวมทั้งแนวทางการทำงานกิจวัตร บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวแล้วก็ความยืดหยุ่นของกล้าม ลดเกร็งแล้วก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้นว่า การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกพูดโดยให้คนไข้เป็นข้างกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้
  • รอบๆทางเท้าหรือในส้วมต้องมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเดิน
  • การแต่งตัว ควรจะใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เป็นต้นว่า กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • วงศ์ญาติ ควรที่จะเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ระแวดระวังการเกิดอุบัติเหตุ อาทิเช่น การเดินหกล้ม ฯลฯ

สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของคนป่วยและเครือญาติ ควรจะศึกษาและก็ทำความเข้าใจคนป่วยพาร์กินสัน  แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่เสนอแนะ ด้วยเหตุว่ามีโทษทำให้เกิดโรคอื่นๆที่น่าสยดสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การป้องกันตนเองจากโรคพาร์กินสัน เพราะเหตุว่ามูลเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่ทราบแจ้งชัด โดยเหตุนั้นการป้องกันเต็มที่จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าบางการเรียนพบว่า การกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในจำนวนที่สมควร โดยจำกัดของกินกรุ๊ปไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลือดอุ่น) จำกัดของกินในกรุ๊ปสินค้าจากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเหตุเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดจังหวะกำเนิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าแห่งแผนกแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรนาได้คิดแนวทางทดลองแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ รวมทั้งทำเสร็จภายในช่วงระยะเวลาเพียงแต่ ๑ นาที

แนวทางทดลองดังกล่าวมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ

  • ให้ผู้เจ็บป่วยยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้น 2 ข้างและให้ค้างเอาไว้
  • ท้ายที่สุดให้คนป่วยกล่าวประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค

นักวิจัยทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนปกติผู้อื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วหลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องที่มีคนไข้กำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดลองด้วยคำสั่งข้างต้นกับศิลปินทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดลองให้นักวิจัยทราบ โดยผู้ทำการวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นท่าทีหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนไข้ออกจากคนธรรมดาได้อย่างเที่ยงตรงถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามแขนเหน็ดเหนื่อยได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และแยก  ประสาทกลางสถานที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งนับได้ว่าถูกต้องแม่นยำมากภายในสถานการณ์ที่พยาบาลไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), คนป่วยความจำไม่ดี (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวการณ์สมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเนื้อเสียการร่วมมือ (Ataxia) แล้วก็โรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (myasthenia gravis)

               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนไข้พาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาเรียนรู้วิจัย โดยได้ผลสำหรับในการรักษาแน่ชัดในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมและก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในคนป่วยพาร์กินสัน เพราะเหตุว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา นำไปสู่ความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว ดังเช่นว่า การนอน ความแตกต่างจากปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าหมอง วิตก เป็นต้น
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการศึกษาในคนเจ็บกลุ่มโรคดังที่กล่าวถึงแล้วอย่างมีระบบ ชี้แนะถ้าเกิดพอใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการดูแลและรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรจะมีตอนที่หยุดยาม้าง เป็นต้นว่า ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
ยิ่งกว่านั้นข้อควรคำนึงหมายถึงห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือคนป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีลักษณะท่าทางความดันโลหิตต่ำเกินความจำเป็น หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร
หมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ผลวิจัยพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% และก็อาจเจอมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงในการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเท่ากันกับ Levodapa เดี่ยว
โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าราวกับ Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะมีผลให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ต่ำลง นอกจากนี้ยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ทางคลินิกแล้วก็การศึกษาในคนป่วยโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุนั้นจำเป็นที่จะต้องรอให้มีการทำการศึกษาเรียนรู้เพิ่ม รวมทั้งมีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/[/b]
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
36  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเเผลในกระเพาะอาหาร- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 27, 2018, 09:00:33 am

โรคแผลในกระเพาะ (โรคกระเพาะ)

  • โรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นอย่างไร โรคแผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer) คือ โรคที่มีแผลในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อกระเพาะ ผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยมากชอบเป็นเรื้อรัง หรือเป็นนานๆถ้าเกิดไม่รักษาหรือประพฤติให้ถูกจะมีอาการเป็นๆหายๆและถ้าหากปล่อยให้เป็นมาก จะมีผลให้กำเนิดโรคแทรก ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตได้  หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคแผลเพ็ปติก (peptic ulcer) ซึ่งอาจเป็นแผลตรงส่วนกระเพาะอาหาร เรียกว่า แผลกระเพาะ อาหาร (gastric ulcer, ย่อว่า GU) หรือแผลตรงส่วนลำไส้เล็กส่วนต้น เรียกว่า แผลลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer, ย่อว่า DU) ก็ได้
  • สาเหตุของโรคแผลในกระเพาะ โรคแผลในกระเพาะอาหาร มีต้นเหตุที่เกิดจากเยื่อเมือกบุภายในทางเดินอาหาร ถูกทำลายโดยน้ำย่อยจากกระเพาะ ชื่อ เปบซิน (Pepsin) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรคว่า แผลเปบติค ซึ่งเปบสินเป็นน้ำย่อยโปรตีนสถานที่ทำงานร่วมกับกรดในกระเพาะอาหาร โดยมีกรดเป็นตัวปลุกฤทธิ์ (Activate)ให้น้ำย่อยนี้มีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการย่อยเพิ่มขึ้น แล้วก็ตอนนี้พบว่ายังมีต้นสายปลายเหตุเสริมอื่นๆที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคได้อีก ดังเช่น การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการกินอาหารหรือกินน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดโรค โดยแบคทีเรียประเภทนี้ มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหาง มีความคงทนกรดสูงเนื่องด้วยสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่ รอบๆตัวมัน  ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวฉาบข้างในกระเพาะอาหารได้ เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ ผนังกระเพาะจึงอ่อนแอลงแล้วก็มีความคงทนประมือดลดลง ทำให้กระเพาะและก็ลำไส้ส่วนต้นเกิดแผลได้ง่าย

การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (non steroidal anti inflammatory drugs, ย่อว่า NSAIDs) ดังเช่นว่า แอสไพริน ไอบูโพรเฟน อินโดเมทาซิน นาโพรเซน ไพร็อกสิแคม ไดวัวลฟีแนก ฯลฯ ซึ่งนิยมใช้เป็นยาพาราข้อ ปวด เอ็นหรือกล้าม ปวดระดู รวมทั้ง ใช้แก้ปวดแก้ไข้ทั่วๆไป หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆมักจะทำให้เกิดแผลเพ็ปติก อาจรุนแรงถึงขั้นเลือดออก (คลื่นไส้เป็นเลือด อุจจาระดำ) หรือกระเพาะไส้เป็นแผลทะลุได้ กระเพาะอาหารถูกกระตุ้นให้มีกรดมากขึ้น เนื่องจากกระตุ้นของปลายประสาท มีสาเหตุมาจากความตึงเครียด วิตกกังวลรวมทั้งอารมณ์ การดื่มแอลกอฮอล์ อาทิเช่น สุรา เบียร์สด ยาดอง การดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ  การกินของกินไม่เป็นเวลา  มีนิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกจะต้อง อย่างเช่น การทานอาหารอย่างเร่งรีบ กินไม่ตรงเวลาหรืออดอาหารบางมื้อ เป็นต้น

  • อาการโรคแผลในกระเพาะ เจ็บท้อง ลักษณะของอาการปวดท้องที่สำคัญหมายถึงปวดเรื้อรังมานาน เป็นๆหายๆเป็นเดือนหรือเป็นปี  ปวดหรือจุกแน่นท้องรอบๆใต้ลิ้นปี่ หรือ หน้าท้องช่วงบน เป็นอาการที่พบได้มากที่สุด มักเป็นเวลาท้องว่า หรือเวลาหิว อาการจึงเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน  อาการปวดแน่นท้อง ชอบทุเลาได้ด้วยของกินหรือยาลดกรด  ลักษณะของการปวด ชอบเป็นๆหายๆโดยมีตอนเว้นที่ปราศจากอาการออกจะนาน อาทิเช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปนับเป็นเวลาหลายเดือนก็เลยกลับมาปวดอีก  ปวดแน่นท้องตอนดึกหลังจากที่หลับไปแล้ว  แม้จะมีลักษณะเรื้อรังเป็นปี สุขภาพโดยปกติจะไม่เสื่อมโทรม โรคแผลกระเพาะจะไม่แปลงเป็นโรคมะเร็ง แม้จะเป็นๆหายๆอยู่นานกี่ปีก็ตาม นอกจากจะเป็นแผลจำพวกที่เกิดขึ้นมาจากโรคมะเร็งของกระเพาะอาหารตั้งแต่ตอนแรกเริ่มโดยตรง  จุดเสียด แน่นท้อง ท้องขึ้น ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้อ้วก  อื่นๆที่พบได้หมายถึงไม่อยากอาหาร

ผอมบางลง ภาวะไส้ตัน จากแผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิดพังผืด ก็เลยนำมาซึ่งการทำให้ฟุตบาทในกระเพาะอาหารและก็/หรือลำไส้เล็กตีบแคบลง ซึ่งอาการเป็น เจ็บท้องร้ายแรง ร่วมกับอ้วก โดยเฉพาะหลังกินอาหาร รวมทั้งดื่มน้ำ และไม่สามารถผายลมได้
                ภาวะแทรกซ้อน  เลือดออกมาจากแผลในกระเพาะ พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีคลื่นไส้เป็นเลือด ถ่ายดำเหลว หรือหน้ามืด หน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง  กระเพาะทะลุ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการปวดท้องตอนบนทันควันร้ายแรง หน้าท้องแข็งตึง กดเจ็บมากมาย  กระเพาะอาหารตัน คนไข้จะกินได้น้อย อิ่มเร็ว มีคลื่นไส้หลังรับประทานอาหารดูเหมือนจะทุกมื้อ ไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักต่ำลง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคกระเพาะของกินหมายถึง1. การกินอาหารต่างๆได้แก่ การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การทานอาหารรสจัด ดังเช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด 2.การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลผสมหรือน้ำอัดลม รวมทั้ง ชา กาแฟ 3.การสูบยาสูบ 4.การรับประทานยาต้านทานการอักเสบ ในกลุ่ม NSAIDs ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ 5.การตำหนิดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโด กางคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ที่ปนเปื้อนมากับอาหารหรือน้ำดื่ม
  • กรรมวิธีรักษาโรคแผลในกระเพาะ หมอวินิจฉัยโรคแผลเปบตำหนิคได้จาก เรื่องราวอาการ การตรวจร่างกาย หรือการตรวจภาพกระเพาะอาหารและช่องท้องด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่ว่าการตรวจที่ได้ผลแน่ นอนเป็นการส่องกล้องตรวจกระเพาะ และไส้ ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา และก็อาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติมอีก ทั้งนี้สังกัดอาการคนป่วยแล้วก็ดุลพินิจของแพทย์ ตัวอย่างเช่น การตรวจหาสารบางประเภทในอุจจาระซึ่งสร้างโดยเชื้อ เอชไพโลไร หรือการตรวจสารบางจำพวกที่เชื้อนี้สร้างแล้วก็ร่างกายกำจัดออกทางการหายใจ การให้ยารักษา (ในกรณีไม่ติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobactor Pylori) โดยรับประทานยาอย่างแม่นยำ เป็นจะต้องกินยาให้เป็นประจำ รับประทานยาให้ครบตามจำนวน และช่วงเวลา ที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้เวลาราวอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ด้วยเหตุนี้ภายหลังกินยา หากอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องรับประทานยาต่อจนถึงครบ และหมอแน่ใจว่าแผลหายแล้ว ก็เลยจะ ลดยาหรือหยุดยาวได้

การให้ยารักษาในกรณีตรวจเจอเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้การรักษาโดยมีสูตรยา 3-4 ชนิดด้วยกัน รับประทานนาน 1-2 อาทิตย์ สูตรยาส่วนใหญ่เป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรด เพื่อรักษาแผลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ คนไข้ควรได้รับการตรวจค้นเชื้อซ้ำภายหลังจากได้รับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว โดยบางทีอาจเป็นการตรวจโดยการส่องกล้องกระเพาะอาหารอีกรอบเพื่อกระทำพิสูจน์ ชิ้นเนื้อซ้ำ หรือทดสอบโดยการรับประทานยาสำหรับทดสอบเชื้อแบคทีเรียโดยตรง รวมทั้งวัดสารที่ถูกปล่อยออกมาทางลมหายใจ
การผ่าตัด ซึ่งในขณะนี้ มียาหวานใจษาโรคกระเพาะของกินอย่างดีหลายชิ้นหากให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดอาจจะก่อให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน ดังเช่นว่า เลือดออกในกระเพาะรวมทั้งลำไส้เล็ก โดยไม่สามารถทำให้หยุด                เลือดออกได้          แผลกระเพาะอาหารและก็ลำไส้เล็กมีการทะลุ        กระเพาะอาหารมีการตัน

  • การติดต่อของโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคแผลในกระเพาะ ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร พึงรำลึกไว้เสมอว่า โรคแผลกระเพาะอาหารเป็นโรคเรื้อรัง เป็นๆหายๆมักไม่หายขาดตลอดชีวิต คนเจ็บจำเป็นต้องได้รับยารักษาต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หลังได้รับยา อาการปวดจะหายไปก่อน ใน 3-7 วัน แต่แผลจะยังไม่หาย จำนวนมากใช้เวลาถึง 4-8 สัปดาห์ แผลก็เลยหาย เมื่อหายแล้ว จะกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่ระวังประพฤติตัวให้ถูกต้อง เป็นต้นว่า  กินอาหารอ่อน ย่อยง่าย แล้วก็ทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ กินอาหารตรงตามเวลาทุกมื้อ  รับประทานอาหารปริมาณน้อยๆแต่ว่ารับประทานให้บ่อยครั้งมื้อ ไม่ควรกินกระทั่งอิ่มมากในแต่ละมื้อ  เลี่ยงอาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ งดดูดบุหรี่  งดเว้นการใช้ยาพารา แอสไพริน และยาแก้โรคกระดูกแล้วก็ข้ออักเสบทุกชนิด รวมถึงยาชุดต่างๆความเครียดลดลง วิตกกังวล พักผ่อนให้เพียงพอ กินยาลดกรด หรือยารักษาแผลกระเพาะต่อเนื่องกันขั้นต่ำ 4-8 อาทิตย์ หรือตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ถ้ามีลักษณะของภาวะแทรกซ้อน จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์ ควรจะบริหารร่างกายให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
  • การปกป้องตนเองจากโรคแผลในกระเพาะ รักษาสุขลักษณะ เพื่อลดโอกาสติดโรคต่างๆโดย เฉพาะการใช้ช้อนกลาง และก็การล้างมือบ่อยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเข้าสุขา และก็ก่อนที่จะกินอาหาร เมื่อมีอาการปวดท้องรอบๆลิ้นปี่เป็นประจำเป็นๆหายๆหรือเรื้อรัง อาการกำเริบข้างหลังดูแลตนเองในเบื้องต้น ควรเจอแพทย์เสมอ เพื่อการวิเคราะห์หาต้นเหตุและให้การรักษาแต่เนิ่นๆก่อนโรคขยายเป็นแผลเปบติเตียนค หรือบางทีอาจเป็นอาการโรคโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ หลบหลีกการใช้ยาโดยไม่ จำเป็นต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยาต่อต้านอักเสบ ที่ไม่ใช่สตีรอยด์ที่ใช้แก้ปวดข้อปวดเส้นเอ็นรวมทั้งกล้ามเนื้อ และยาอื่นๆที่เป็นเหตุกระตุ้นให้โรคกำเริบ รับประทานอาหารสุก อย่ารับประทานอาหารดิบๆสุกๆหรือมีแมลงวันตอม เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อเอชไพโรไล หลบหลีกการกินเหล้า เบียร์สด กาแฟ ยาดอง และงดเว้นดูดบุหรี่ พักผ่อนให้มากเพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงบรรเทาเครียดวิตก และไม่อารมณ์เสียโมโหง่าย
  • สมุนไพรซึ่งสามารถช่วยทุเลา/รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ขมิ้นชัน ในขมิ้นชันจะมีสารชื่อ เคอคิวมินอยด์ เป็นตัวป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการขับน้ำดี ทำให้ระบบการย่อยของอาหารดียิ่งขึ้น จึงช่วยคลายความจุกเสียด แล้วก็สารเคอคิวไม่นอยด์ ยังไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารฉาบกระเพาะอาหารก็เลยช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารให้ วิธีการใช้ เพียงนำเหง้าของขมิ้นชันมาล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆผึ่งแดดประมาณ 1 – 2 วันแล้วบดอย่างระมัดระวัง ผสมกับน้ำผึ้งรับประทานเป็นลูกกลอน กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม หลังอาหารและก็ก่อนนอน 4 เวลา ว่านหางจระเข้  ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการรักษาโรคกระเพาะ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษารอยแผลในกระเพาะอาหารแล้วก็ล้างพิษ  โดยให้ใช้ใบสดที่เพิ่งจะตัดทิ้งมาจากต้น ล้างน้ำให้สะอาดแล้วปอกเปลือกให้เหลือแต่วุ้นใสๆแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆรับประทานทุกเมื่อเชื่อวัน ก่อนรับประทานอาหาร กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณสำหรับในการรักษาโรคกระเพาะอาหารแล้วก็ลำไส้ เนื่องด้วยในฝักกระเจี๊ยบนั้นจะมีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า แพ็คว่ากล่าวน และคัม ที่จะช่วยฉาบแผลในกระเพาะอาหารและก็ลำไส้ วิธีการใช้ เพียงนำมาลวกแล้วกินทุกวี่วันตรงเวลาต่อเนื่องขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ แผลในกระเพาะก็จะดียิ่งขึ้นเนื่องด้วยมูกลื่นๆในผลของกระเจี๊ยบเขียวช่วยฉาบแผลในกระเพาะอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคกระเพาะอาหาร.หน่วยโรคทางเดินอาหารฯ.สาขาวิชาอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคกระเพาะ.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 288 .คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.เมษายน.2546
  • ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร.โรคกระเพาะอาหาร.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
  • สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ,(2543).ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 2).กรุงเทพฯ:อุษาการพิมพ์.
  • แผลเปปติค(Pept:c ulcer)/แผลในกระเพาะอาหาร(Gastric ulcer)http://www.disthai.com/[/b]
  • วันทนีย์ เกรียงสินยศ,(2548).กินอย่างไรเมื่อเป็นโรคกระเพาะ.หมอชาวบ้าน.(ปีที่ 26 ฉบับที่ 311หน้า52-54).
  • El-Omer E, Penman I, Ardill JE, McColl KE. A substantial proportion of non-ulcer dyspepsia patients have the same abnormality of acid secretion as duodenal ulcer patients. Gut 1995;36:534-8.
  • พิศาล ไม้เรียง.(2536).โรคทางเดินอาหาร การวินิจฉัยและการรักษา.(พิมพ์ครั้งที่ 2).ขอนแก่น:โรงพิมพืคลังนานาวิทยา.
  • กลุ่มวิจัยโรคกระเพาะอาหาร.สมาคมแพทย์ระบบทางเดินแห่งประเทศไทย.แนวทางเวชปฏิบัติในการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยดิสเปปเซียและผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพลอไร ในประเทศไทย พ.ศ.2553.สำนักพิมพ์กรุงเทพเวชสาร,2010.
  • เฟื่องเพชร เกียรติเสรี.(2541).โรคระบบทางเดินอาหาร.(พิมพ์ครั้งที่1).กรุงเทพฯ:เรือนแก้ว การพิมพ์.

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : โรคหัวใจขาดเลือด

Tags : โรคหัวใจขาดเลือด
37  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 24, 2018, 11:33:36 am

โรคอาหารเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นอย่างไร โรคของกินเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้อธิบายถึงลักษณะการป่วยที่เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการแปดเปื้อน มูลเหตุอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการปนเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก ยกตัวอย่างเช่น ตะกั่ว ฯลฯ   ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ คลื่นไส้ ท้องเดิน เจ็บท้อง ซึ่งอาการโดยมากมักไม่รุนแรง แม้กระนั้นถ้าหากเกิดอาการรุนแรงขึ้นอาจก่อให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำและก็เกลือแร่จนกระทั่งเป็นอันตรายได้ อาหารเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศเขตร้อน  โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้มากในประเทศที่กำลังปรับปรุง แม้กระนั้นเจอได้เรี่ยรายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว จังหวะการเกิดโรคในสตรีและก็ผู้ชายเสมอกัน แต่บางทีอาจเจอในเด็กได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าวัยอื่นๆเนื่องจากแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญเป็นอาหารในสถานศึกษา ดังนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กเกิดอาหารเป็นพิษได้มากถึงโดยประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษจำนวนมากมีต้นเหตุจากทานอาหาร และก็/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปหมายถึงเชื้อไวรัส ยิ่งไปกว่านั้นที่พบได้บ้าง คือ การแปดเปื้อนปรสิต (Parasite) ได้แก่ บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนของสารพิษ ที่พบมากเป็นจากเห็ดพิษ พิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู รวมทั้งสารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายชนิดที่สามารถปลดปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนในของกินต่างๆยกตัวอย่างเช่น น้ำดื่ม เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล และก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อมนุษย์เรารับประทานอาหารที่แปดเปื้อนพิษดังกล่าว ก็จะมีผลให้กำเนิดอาการปวดท้อง อ้วก ท้องร่วง  สารพิษหลายประเภททนต่อความร้อน แม้จะทำกับข้าวให้สุกแล้ว สารพิษก็ยังคงอยู่แล้วก็นำไปสู่โรคได้  ระยะฟักตัวสังกัดประเภทของเชื้อโรค บางจำพวกมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางชนิด 8-16 ชั่วโมง บางประเภท 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคของกินเป็นพิษที่พบได้มากในของกิน คือ
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่เจอได้ในดินแล้วก็น้ำในสภาพแวดล้อมทั่วไป ชนิดซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้

  • Proteolytic strain มี type A ทั้งปวง และเล็กน้อยของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยของกินได้ และก็ทำให้อาหารมีลักษณะถูกแปดเปื้อน
  • Non-proteolytic strain ประกอบด้วย type E ทั้งสิ้น และบางส่วนของ type B และก็ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเปลี่ยน

เชื้อนี้เจริญเติบโตก้าวหน้าในสถานการณ์โอบล้อมที่มีออกซิเจนน้อย ก็เลยพบได้ทั่วไปในของกินบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยยิ่งไปกว่านั้นสินค้าบรรจุกระป๋องที่ผ่านขั้นตอนการผลิตผิดความถูกอนามัย อาทิเช่น หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง รวมถึงสินค้าเนื้อสัตว์ดัดแปลง สารพิษที่ผลิตจากเชื้อจำพวกนี้ทำให้เกิดอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตามัวมัว มองเห็นภาพซ้อน กล้ามอ่อนแรง และก็บางคราวร้ายแรงจนบางทีอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและก็เสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ถูกใจเกลือเข้มข้นสูงสำหรับเพื่อการเจริญเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) แตกต่างกัน 12 จำพวก และก็มีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วขณะนี้มี 60 จำพวก พบบ่อยในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการที่จะอยากออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีสารพิษ 2 ชนิดเป็น จำพวกที่ทนต่อความร้อนได้ นำไปสู่อ้วก แล้วก็ประเภทที่ทนความร้อนไม่ได้ส่งผลให้เกิดอาการ อุจจาระร่วงโดยมากเจอเกี่ยวข้องกับข้าว (เช่น ข้าวผัดในร้านค้าแบบบริการตัวเอง) ผักแล้วก็อาหารและเนื้อที่รักษาผิดจำต้อง ณ.อุณหภูมิห้องภายหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายอย่างที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อชอบแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในของกินและก็สร้าง toxin ขึ้น อาหารที่มี enterotoxin ส่วนมากเป็นอาหารที่ปรุงแล้วก็สัมผัสกับมือของผู้ประกอบอาหาร และไม่ได้กระทำการอุ่นของกินด้วยอุณหภูมิที่สมควรก่อนอาหาร หรือแช่ตู้เย็น เป็นต้นว่า ขนมจีน ขนมเอ แคลร์ เนื้อ เมื่อของกินเหล่านี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิห้องหลายชั่วโมงติดต่อกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวแล้วก็สร้างสารพิษที่คงทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และสินค้าที่ทำมาจากนม กระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายมีมูก คลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้ ด้านใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีพิษกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเดิน  อี.โคไลมีพิษ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่รวมทั้งถูกทำลายให้หมดไปด้วยแนวทางการทำให้อาหารสุก แต่อีกที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กมากยิ่งกว่า รวมทั้งเป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน พิษทั้งสองแบบส่งผลทำให้ท้องร่วงด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้นหากอาหารปนเปื้อนพิษนี้แล้วไม่ว่าจะมีผลให้สุกก่อนหรือไม่ ก็จะเป็นไปไม่ได้ทำลายพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) พบการแปดเปื้อนทั้งยังในสินค้าอาหารสดและก็น้ำที่ไม่สะอาด รวมไปถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เพราะว่าเชื้อประเภทนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อ้วก ปวดมวนท้อง ตอนหลังการทานอาหารด้านใน 7 วัน
เชื้อไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) มีไวรัสหลากหลายชนิด ตัวอย่างเช่น ไวรัสโนโร (Norovirus) ที่ชอบปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำชนิดมีเปลือก รวมทั้งน้ำดื่มที่ไม่สะอาด แสดงอาการภายใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ภายใน 2-3 อาทิตย์

  • ลักษณะโรคของกินเป็นพิษ อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะอาการคล้ายๆกันหมายถึงปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นตอนๆคลื่นไส้ (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นต้นเหตุออกมาด้วย) รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำบ่อยมาก บางรายอาจมีไข้รวมทั้งอ่อนแรงร่วมด้วย โดยธรรมดา 80 – 90 % ของโรคอาหารเป็นพิษมักจะไม่รุนแรง อาการต่างๆชอบหายได้เองด้านใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางประเภทบางทีอาจนานถึงสัปดาห์ ในรายที่เป็นรุนแรง อาจอ้วกรวมทั้งท้องเสียรุนแรง จนกระทั่งร่างกายขาดน้ำแล้วก็เกลือแร่อย่างหนักได้  อาจพบว่า คนที่กินอาหารด้วยกันกับคนไข้ (เป็นต้นว่า งานกินเลี้ยง คนในบ้านที่ทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีลักษณะอาการชนิดเดียวกันกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ พิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นอยู่กับจำพวก และจำนวนของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งเจอกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงข้างหลังทานอาหาร/กินน้ำ ไปกระทั่งเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (เป็นต้นว่า ในเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยทั่วไป มักพบกำเนิดอาการข้างใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยทั่วไปที่พบมาก จากโรคอาหารเป็นพิษ ดังเช่นว่า ท้องเดิน อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด เจ็บท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นกับความร้ายแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เนื่องด้วยการบีบตัวของลำไส้ อ้วก อาเจียน ในบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง บางทีอาจหนาวสั่น แม้กระนั้นบางครั้งบางคราวมีไข้ต่ำได้  ปวดศีรษะ เมื่อยร่างกาย บางทีอาจปวดข้อ ขึ้นกับจำพวกของเชื้อหรือ สารพิษดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามร่างกาย  อาจมีกล้ามเนื้อเมื่อยล้า ดังที่กล่าวมาแล้วแล้วเช่นเดียวกัน  มีอาการของการสูญเสียน้ำภายในร่างกาย  ดังเช่นว่า อ่อนแรง  อ่อนล้าง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  ฉี่บ่อยครั้ง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคของกินเป็นพิษ
  • มีพฤติกรรมการดูแลรักษาสุขอนามัยไม่ถูกจำเป็นต้อง อย่างเช่น ก่อนที่จะกินอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ตัวอย่างเช่น บริโภคอาหารดิบๆสุกๆบริโภคของกินที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการกินอาหารที่พักแรมและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่เหมาะสม
  • การจัดเก็บและก็เตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด เช่นการเก็บเนื้อสัตว์แล้วก็ผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างชำระล้างผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยากำจัดศัตรูพืชเหลืออยู่ที่ผัก
  • การเก็บรักษาของกินที่บูดเสียง่ายไม่ดีเพียงพอ ตัวอย่างเช่น อาหารพวกที่ทำมาจากการแกงน้ำกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรที่จะเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิที่สมควร มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารบรรจุกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน อาทิเช่น อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุบ รอยบุบ  อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยเปื้อนสนิมบริเวณฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง เป็นต้น
  • วิธีการรักษาโรคของกินเป็นพิษ หมอจะวิเคราะห์จากอาการแสดงของผู้ป่วยเป็นหลัก ได้แก่ ลักษณะของการปวดท้อง คลื่นไส้ ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลัน อาจมีความเป็นมาว่าคนที่รับประทานอาหารร่วมกันบางคนหรือคนจำนวนไม่น้อย (ได้แก่ งานสังสรรค์ คนในบ้าน) มีลักษณะอาการท้องเสียในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะรุนแรง เป็นไข้สูง หรือสงสัยว่ามีเหตุที่เกิดจากสาเหตุอื่น หมออาจกระทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอีกตัวอย่างเช่น  การพิสูจน์เลือด ใช้ในเรื่องที่คนไข้มีลักษณะรุนแรงมากกว่าอาการคลื่นไส้รวมทั้งท้องเสีย หรือมีภาวะการขาดน้ำและเกลือแร่ เพื่อตรวจหาปริมาณเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดแล้วก็การทำงานของไต หรือในกรณีเสี่ยงต่อการติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการดำเนินงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาประเภทของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อผู้ป่วยมีการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร ดังเช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่นำมาซึ่งอาการถ่ายเป็นเลือด

ดังนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาที่มาของของกินเป็นพิษยังทำได้ด้วยกรรมวิธีการตรวจจำนวนแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือวิธีอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นกับอาการของคนไข้แล้วก็ดุลยพินิจของหมอ เพื่อทำงานรักษาอย่างถูกต้องในขั้นตอนต่อไป   
กรรมวิธีรักษาโรคของกินเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น คุ้มครองปกป้องภาวะขาดน้ำแล้วก็ขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการดูแลและรักษาโดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดเมื่อท้องร่วงมาก ยาพารา ยาบรรเทาอาการอ้วก อาเจียน และยาลดไข้ นอกจากนี้หมายถึงการดูแลและรักษาตามมูลเหตุ อย่างเช่นพินิจให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อมีสาเหตุจากติดโรคแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านสารพิษถ้าเกิดเป็นจำพวกมียาต้าน แต่คนเจ็บโดยมากมักมีลักษณะอาการที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการดูแลตัวเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุด คือ จำเป็นต้องพากเพียรอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรจะกินน้ำเปล่ามากมายๆหรือจิบน้ำเป็นประจำเพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากอาการท้องเดินแล้วก็อ้วกมากจนเกินไป

  • การติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการกินอาหารที่มีการแปดเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีเชื้อไวรัสบางชนิดเท่านั้น ที่สามารถเป็นต้นเหตุของการติดต่อของโรคของกินเป็นพิษได้ ได้แก่ เชื้อไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราว 2 – 3 อาทิตย์ แล้วลักษณะของโรคจะปรากฏขึ้น
  • การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษในผู้ใหญ่และก็เด็กโต
  • หากปวดท้องรุนแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำทีละมากมายๆ) อาเจียนร้ายแรง (จนกระทั่งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มมิได้) เมื่อลุกขึ้นนั่งมีอาการหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้ง หรือมีภาวะขาดน้ำร้ายแรง (ปากแห้ง คอแห้งผาก ตาโบ๋ เยี่ยวออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จำเป็นต้องไปพบหมอโดยด่วนที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ บางทีอาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ จำพวกสำเร็จรูปที่มีขายในท้องตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มล.) ใส่น้ำตาล 30 มล. (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนรับประทานข้าวชนิดสั้น 3 ช้อน) และก็เกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (พอๆกับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมครึ่งช้อน)พากเพียรดื่มบ่อยๆครั้งละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากกระทั่งอาเจียน) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยสังเกตปัสสาวะให้ออกมากมายและใส
  • ถ้าหากมีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้ทานอาหารอ่อน ได้แก่ ข้าวต้ม โจ๊ก งดของกินรสเผ็ดและก็ย่อยยาก งดเว้นผักแล้วก็ผลไม้ จนกว่าอาการจะหายดีแล้ว
  • ห้ามกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ เพราะเหตุว่าอาการท้องร่วงจะช่วยขับเชื้อหรือพิษออกจากร่างกาย

ในขณะปวดท้อง หรือ อ้วกอ้วก ไม่สมควรกินอาหาร หรือ กินน้ำเนื่องจากอาการจะร้ายแรงขึ้น   ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากๆอย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำดื่ม  พักให้มากๆรักษาสุขลักษณะฐานราก เพื่อคุ้มครองปกป้องการแพร่ไปเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญหมายถึงการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะหลังการขับ ถ่าย และก่อนรับประทานอาหาร

  • ควรจะรีบไปหาหมอ ถ้าเกิดมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อแต่นี้ไป                อ้วกมากมาย ถ่ายท้องมากมาย รับประทานไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนถึงมีสภาวะขาดน้ำค่อนข้างจะรุนแรง                มีอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกคละเคล้าเลือดตามมา             มีลักษณะหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาเมื่อยล้า หรือหายใจลำบาก          อาการไม่ดีขึ้นภายใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยมีเหตุที่เกิดจากพิษ เป็นต้นว่า สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยมีสาเหตุมาจากอหิวาตกโรค เช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กตัวเล็กๆ (อายุน้อยกว่า ๕ ขวบ)
  • ถ้าเกิดดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ต่อไป (ถ้าหากดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและดื่มถัดไป) รวมทั้งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่มเติม เมื่อมีอาการดียิ่งขึ้น ให้กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (ได้แก่ ข่าวสารต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องร่วงประเภทใดทั้งนั้น
  • ถ้าเกิดถ่ายท้องร้ายแรง อาเจียนร้ายแรง ดื่มนมหรือน้ำมิได้ ซึม เร่าร้อนใจ ตาโบ๋ กระหม่อมบุ๋มมากมาย (ในเด็กตัวเล็กๆ) หายใจหอบแรง หรืออาการแย่ลงใน ๒๔ ชั่วโมง จำเป็นต้องไปหาหมอโดยด่วน
  • การป้องกันตัวเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การปกป้องคุ้มครองและก็ควบคุโรคอาหารเป็นพิษ[/url]ทุกต้นเหตุมีมาตรการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการในการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังต่อไปนี้


  • เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมอย่างดีเยี่ยม
  • ทำอาหารที่สุก
  • ควรกินอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • รอบคอบของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
  • อาหารที่ค้างมื้อต้องทำให้สุกใหม่ก่อนกิน
  • แยกอาหารดิบแล้วก็ของกินสุก ให้รอบคอบการแปดเปื้อน
  • ล้างมือก่อนสัมผัสอาหารไปสู่ปาก
  • ให้ละเอียดลออเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บของกินให้ไม่เป็นอันตรายและก็ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำที่สะอาด
  • ไม่รับประทานครึ่งดิบครึ่งสุกระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่ไม่เคยรู้ ระแวดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด ไว้ใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น ต้องเก็บแยกจากอาหารอื่นๆทุกประเภท รวมทั้งจำต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด ด้วยเหตุว่าเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก จะอยู่ในอาหารสดเหล่านี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งไว้ หรือ แช่น้ำ เพราะเหตุว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่สมควรต่อการเติบโตของเชื้อโรค ควรละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด เช่น ถั่วงอก สลัด และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การรักษาอาหารอย่างแม่นยำ ทำให้อาหารเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงและก็นานพอเพียงเพื่อทำลาย toxin รวมทั้งการแช่แข็งเพื่อถนอมอาหารเป็นระยะเวลานาน
  • ถ้าของกินมีลักษณะแตกต่างจากปกติดังเช่นว่า กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสไม่ดีเหมือนปกติ อาจมี fermentation เป็นความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารบรรจุกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกหน
  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/บรรเทาอาการโรคอาหารเป็นพิษ
ขิง  ในขิงนั้นจะมีประโยชน์สำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีคุณประโยชน์ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ สามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพในคุณแม่ที่ให้นมบุตรได้ดีรวมทั้งไม่เป็นอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    นอกเหนือจากนี้ในเรื่องที่ท้องเสีย การกินน้ำขิงจะช่วยให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดน้อยลง แล้วก็ยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แม้กระนั้นแม้กระนั้น แม้ว่าอาการท้องเดินมีความรุนแรงก็ควรจะรีบไปพบหมอ
กระชา[/b]  สรรพคุณ  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้เจ็บท้อง  เหง้าแล้วก็ราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ฉี่ทุพพลภาพ
มังคุด  คุณประโยชน์  รักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และโรคลำไส้  ยาแก้ท้องเดิน ท้องเสียยาแก้บิด (ปวดเบ่งรวมทั้งมีมูก แล้วก็อาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมกำเนิดธาตุ  ยาแก้อาการท้องเดิน ท้องร่วง  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งรวมทั้งมีมูกและก็อาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ ½ ผล (4 กรัม) ปิ้งไฟให้ไหม้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสโดยประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผุยผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง

38  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 21, 2018, 02:22:15 pm

โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
1.โรคไข้หวัดใหญ[/color]เป็นอย่างไร  ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza , Flu) เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่ระบบทางเท้าหายใจเช่นเดียวกับโรคไข้หวัด แต่ว่าเกิดจากไวรัสคนละชนิดแล้วก็มีความร้ายแรงสูงยิ่งกว่าโรคไข้หวัดธรรมดามาก แล้วก็เป็นอีกโรคหนึ่งพบบ่อยในทุกกลุ่มวัยอีกทั้งในเด็กจนกระทั่ง ถึงคนวัยชรา และได้โอกาสเกิดโรคใกล้เคียงกันทั้งยังในเพศหญิงและในเพศชาย  โดยมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญเป็น เป็นไข้สูงแบบทันที ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้าม เหน็ดเหนื่อย ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งในกรุ๊ปโรคติดเชื้ออุบัติใหม่รวมทั้งโรคติดเชื้อเกิดซ้ำ เนื่องมาจากมีการระบาดใหญ่ทั่วทั้งโลก (pandemic) มาแล้วบ่อย แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางดูเหมือนจะทุกทวีป ทำให้มีคนป่วยแล้วก็เสียชีวิตนับล้านคน

  • สาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดใหญ่มีเหตุที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกว่า อินฟลูเอนซาเชื้อไวรัส (Influenza virus) เป็น RNA เชื้อไวรัส อยู่ในเครือญาติ Orthomyxoviridae ที่เจออยู่ในสารคัดหลั่งของคนเจ็บ ดังเช่น น้ำมูก น้ำลาย และก็เสลด ฯลฯ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีทั้งสิ้น 3 ชนิดเป็นเชื้อ influenza A, B และก็ C และ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จำพวก A เป็นชนิดที่ท้าทายให้มีการระบาดอย่าง กว้างใหญ่ทั่วโลก จำพวก B ท้าทายให้มีการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค ส่วนจำพวก C มักเป็นการติดโรคที่ออกอาการ น้อยหรือเปล่าออกอาการ และไม่ท้าให้มีการระบาด เชื้อไวรัสประเภท A แบ่งเป็นชนิดย่อย (subtype) ตามความไม่เหมือนของโปรตีนของเชื้อไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) และ neuraminidase (N) ประเภทย่อยของเชื้อไวรัส A ที่ค้นพบว่าเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อในคนที่เจอในขณะนี้อย่างเช่น A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และ A(H9N2) ส่วนไวรัสชนิด B รวมทั้ง C ไม่มีแบ่งเป็นชนิดย่อย
  • อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มข้างหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน คนเจ็บจะเป็นไข้สูงแบบฉับพลัน ( 38 ซ ในคนแก่ ส่วนในเด็กมักจะสูงขึ้นมากยิ่งกว่านี้) ปวดหัว หนาวสั่น เมื่อยกล้ามเนื้อ เหน็ดเหนื่อยมาก ปวดกระบอกตาเวลาตาขยับเขยื้อน มีน้ำตาไหลเมื่อมีแสงสว่าง แล้วก็อาจเจออาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้ามีอาการป่วยเป็นระยะเวลานานอาจจะมีอาการไอจากหลอดลมอักเสบ (post viral bronchitis) อาการจะรุนแรงแล้วก็ป่วยไข้นานกว่าหวัดปกติ (common cold) ผู้เจ็บป่วยจำนวนมากจะหายปกติภายใน 1-2 อาทิตย์ แต่มีบางรายที่มีอาการรุนแรง เนื่องมาจากมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญเป็น ปอดบวม ซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตได้
  • กรุ๊ปบุคคลเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่

           บุคลากรด้านการแพทย์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวพันกับผู้เจ็บป่วยไข้หวัดใหญ่
           ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหมายถึงปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ เส้นโลหิตสมอง ไตวาย มะเร็งที่กำลังให้เคมี บำบัดรักษา เบาหวาน ธาลัสซีภรรยา ภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง (รวมทั้งผู้ติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องที่มีลักษณะ)
           บุคคลที่แก่ 65 ปีขึ้นไป
           หญิงท้อง อายุครรภ์ 4 ข้างขึ้นไป
           ผู้ที่มีน้ำหนักมากยิ่งกว่า 100 กิโลขึ้นไป
           ผู้ทุพพลภาพทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองมิได้
           เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี

  • วิถีทางอาการรักษโรคไข้หวัดใหญ่ การวิเคราะห์โรคโดยอาการทางสถานพยาบาลยังมีข้อกำหนด เนื่องจากว่าอาการคล้ายโรคติดเชื้อทางเดิน หายใจจากไวรัสประเภทอื่น การวินิจฉัยควรใช้ การตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรค อาทิเช่นตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในเสมหะที่ป้ายหรือดูดจากจมูกหรือลำคอ หรือ ตรวจพบแอนติเจนของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ใน epithelial cell จาก nasopharyngeal secretion โดยแนวทาง fluorescent antibody หรือ ตรวจเจอว่ามีการเพิ่มขึ้นของระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อในซีรั่มอย่างน้อย 4 เท่าในระยะเฉียบพลันรวมทั้งระยะพักฟื้น โดยแนวทาง haemaglutination inhibition (HI) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน หรือ complement fixation (CF) หรือ Enzyme - linked immunosorbent assay (ELISA)และการใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยาช่วย ตัวอย่างเช่น ขณะที่มีการแพร่ระบาดของโรค ไข้หวัดใหญ่ คนเจ็บที่มีลักษณะน้อย ให้การรักษาตามอาการ ดังเช่นว่า ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาละลายเสมหะ ฯลฯ การให้ยาต่อต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โดยทันทีหลังจากที่มีลักษณะอาการช่วยลดความร้ายแรงแล้วก็อัตราตายในผู้เจ็บป่วย ยาต่อต้านเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ ดังเช่นว่า ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และก็ซานาไม่เวียร์ (Zanamivir) การพินิจพิเคราะห์เลือกใช้ตัวไหน ขึ้นกับข้อมูลความไวของยาต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในแต่ละประเทศส่วนการให้ยาต้านทานไวรัส amantadine hydrochloride หรือยา rimantidine hydrochloride ด้านใน 48 ชั่วโมง นาน 3-5 วัน จะช่วยลดอาการและก็จำนวนเชื้อไวรัสประเภท A ในสารคัดเลือกหลั่งที่ทางเดินหายใจได้ ขนาดยาที่ใช้ในเด็กอายุ 1-9 ปี ให้ขนาด 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ 2 ครั้ง สำหรับคนเจ็บอายุ 9 ปีขึ้นไปให้ขนาด 100 มก. วันละ 2 ครั้ง (แต่ถ้าหากคนไข้น้ำหนักน้อยกว่า 45 กก. ให้ใช้ขนาดเดียวกับเด็กอายุ 1-9 ปี) นาน 2-5 วัน สำหรับผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือคนที่ลักษณะการทำงานของตับแล้วก็ไตแตกต่างจากปกติ จำเป็นต้องลดปริมาณยาลง ในพักหลังๆของการดูแลและรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส อาจพบการดื้อยาตามด้วยการแพร่โรคไปยังบุคคลอื่นได้ กรณีนี้บางทีอาจต้องให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสแก่ผู้เสี่ยงโรคสูงที่อยู่รวมกันเป็นกรุ๊ป ถ้ามีลักษณะอาการแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียจำต้องให้ยาปฏิชีวนะด้วย และควรหลบหลีกยาลดไข้พวก salicylates เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค Reye's syndrome


    6.การติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่ ระยะฟักตัวของโรค ระยะฟักตัวของโรคมักจะสั้น 1 - 4 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วโดยประมาณ เฉลี่ย 2 วัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจำนวนของไวรัสที่ ได้รับ การติดต่อ เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้เจ็บป่วยแพร่ติดต่อไปยังคนอื่นๆโดยการไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไปแม้อยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือ สิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก  และผู้เจ็บป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงก่อนมีอาการรวมทั้งจะแพร่ระบาดต่อไปอีก 3-5 คราวหน้ามีลักษณะอาการในคนแก่ ส่วนในเด็กบางทีอาจแพร่เชื้อได้เป็นเวลายาวนานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่ระบาดตอนนั้นได้เช่นเดียวกัน ในช่วงศตวรรษก่อนหน้านี้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั้งโลก 4 ครั้งคือ

  • พ.ศ. 2461 - 2462 Spanish flu จากเชื้อไวรัส A(H1N1) เป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุด สามัญชนทั้งโลกเจ็บป่วยจำนวนร้อยละ 50 และก็ตายสูงถึง 20 ล้านคน
  • พ.ศ. 2500 - 2501 Asian flu จากไวรัส A(H2N2) โดยเริ่มตรวจเจอในประเทศจีน
  • พ.ศ. 2511 - 2512 Hong Kong flu จากไวรัส A(H3N2) เริ่มตรวจพบในประเทศฮ่องกง
  • พุทธศักราช 2520 - 2521 Influenza A (H1N1) กลับมาระบาดใหญ่อีกครั้ง แยกได้จากผู้ป่วยในสหภาพโซเวียต จึงเรียก Russian flu แต่มีบ้านเกิดจากจีน

7.การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ การดูแลตนเอง เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่เป็นเมื่อเป็นไข้ ควรจะหยุดโรงเรียนหรือหยุดงาน แยกตัวรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้จากคนอื่น เพื่อพักผ่อนและก็คุ้มครองการแพร่ระบาดสู่คนอื่น พักให้มากมายๆรักษาสุขอนามัยฐานราก  เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ลดโอกาสกำเนิดโรคข้างเคียงหรือแทรกซ้อน พยายามกินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ในทุกเมื่อเชื่อวันกินน้ำสะอาดให้มากมายๆอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจะต้องจำกัดน้ำ กินยาลดไข้พาราเซตามอล หรือตามหมอเสนอแนะ ไม่ควรรับประทานยาแอสไพรินเพราะว่าอาจมีการแพ้ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆแล้วก็ทุกคราวก่อนที่จะรับประทานอาหารและข้างหลังเข้าห้องสุขา  ใช้ทิชชู่สำหรับในการสั่งน้ำมูกหรือขัดปาก ไม่ควรใช้ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้า ต่อไปทิ้งทิชชู่ให้ถูกสุขลักษณะ  รู้จักใช้หน้ากากอนามัย งดบุหรี่ หลบหลีกควันจากบุหรี่ เพราะว่าเป็นต้นเหตุให้อาการรุนแรงขึ้น ควรรีบพบหมอเมื่อ ไข้สูงเกิน 39 - 40 องศาเซียลเซียส และไข้ไม่ต่ำลงข้างหลังได้ยาลดไข้ภายใน 1 - 2 วัน  กินน้ำได้น้อยหรือทานอาหารได้น้อย ไอมาก มีเสลด รวมทั้ง/หรือ เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งแปลว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียสอดแทรก เป็นโรคหืด ด้วยเหตุว่าโรคหืดมักกำเริบและก็ควบคุมเองมิได้ อาการต่างๆชั่วช้าลง หอบเหน็ดเหนื่อยร่วมกับไอมาก บางทีอาจร่วมกับนอนราบไม่ได้ เนื่องจากว่าเป็นอาการแทรกซ้อนจากปอดอักเสบ เจ็บทรวงอกมากมายร่วมกับหายใจขัด เหนื่อย เพราะเหตุว่าเป็นอาการจากอาการแทรกจากเยื่อห่อหุ้มหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ชัก ซึม งงมาก แขน/ขาอ่อนแรง บางทีอาจร่วมกับปวดศีรษะร้ายแรง และคอแข็ง เนื่องจากเป็นอาการเข้าแทรกจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ  หรือ สมองอักเสบ

  • การคุ้มครองป้องกันเองจากไข้หวัดใหญ่ รักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้ดิบได้ดี โดยการบริหารร่างกาย บ่อยรวมทั้งพักให้เพียงพอ อยู่ในที่ที่อากาศระบายได้ดี เลี่ยงความเคร่งเครียด บุหรี่ สุรารวมทั้งยาเสพติด และก็ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นในตอนอากาศหนาวเย็น หรืออากาศเปลี่ยน กินอาหารที่เป็นประโยชน์ ผัก และผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและก็วิตามินพอเพียง ในช่วงที่มีการระบาดของโรค ควรจะเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด ยกตัวอย่างเช่น ห้าง สถานบันเทิง งานมหรสพ รวมทั้งการใช้โทรศัพท์สาธารณะหรือลูกบิดประตู เป็นต้น แต่หากหลบหลีกไม่ได้ ควรจะสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือทามือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสลดของคนไข้ แล้วก็อย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้ายังมิได้ล้างมือให้สะอาด คนเจ็บควรจะแยกตัวออกห่างจากคนอื่น อย่านอนปนเปหรือคลุกคลีสนิทสนมกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรจะใช้ผ้าปิดปากรวมทั้งจมูกเสมอ เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมากมายๆควรสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกคราว ส่วนการฉีดยาคุ้มครองปกป้องโรคไข้หวัดใหญ่นั้น โดยธรรมดาถ้าไม่มีการระบาดโรค แพทย์จะไม่ชี้แนะให้ฉีดวัคซีนแก่ราษฎรทั่วไป ยกเว้นในคนที่อยู่ในกลุ่มมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังที่กล่าวมาข้างต้น คนแก่ (แก่กว่า 65 ปี) ผู้ที่มีอายุต่ำยิ่งกว่า 19 ปีที่จำต้องรับประทานยาแอสไพรินเสมอๆ สตรีท้องที่คาดว่าอายุท้องปิ้งเข้าไตรมาสที่ 2 ขึ้นไปในตอนที่มีการระบาดของโรค คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ที่จำต้องเดินไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค ผู้ที่มีกิจกรรมจำเป็นที่ไม่สามารถหยุดงานได้ (อย่างเช่น ดารา นักกีฬา นักทัศนาจร ตำรวจ ข้าราชการบริการสังคม เด็กนักเรียนหรือนิสิตที่อยู่รวมกัน รวมถึงคนที่อาศัยอยู่ในสถานพักฟื้น สถานสงเคราะห์คนแก่) ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ (ได้แก่ ผู้เจ็บป่วยเอดส์ ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยรังสีรักษาหรือเคมีบรรเทา) คนป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคหอบหืด โรคตับ โรคไต โรคเลือด) ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการฉีดยาคุ้มครองป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • สมุนไพรประเภทไหนที่สามารถช่วยทุเลา/รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้
สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Herbs with anti-influenza activity) มีสมุนไพร        
                พลูคาว / ผักคาวตอง (Houttuynia cordata) จากการศึกษาเล่าเรียนในหลอดทดลอง น้ำมันระเหยผู้กระทำลั่นพลูคาวสดมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ เริม (Herpes simplex virus type 1) ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง (HIV-1) โดยสารสำคัญในน้ำมันระเหยจากพลูคาวที่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสดังกล่าว ดังเช่น methyl n-nonyl ketone, laurly aldehyde, capryl aldehyde
                Epigallocatechin (EGCG) ในชาเขียว EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสูงที่สุดในชาเขียว EGCG ขนาดต่ำในหลอดทดสอบมีฤทธิ์ ยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งยังจำพวก A และ B เข้าเซลล์& ลดการต่อว่าดเชื้อของเซลล์เพาะเลี้ยงจากไตหมาได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง
                ใบเตย (Pandanus amaryllifolius) ใบเตยมีสารจำพวกเลกติน (lectin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโปรตีน ชื่อ Pandanin ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งเชื้อได้ 50% (EC50) เท่ากับ15.63 microM
                สาร Aloe emodin Aloe emodin = สารแอนทราควิโนน (anthraquinone) ที่เจอได้ในยางว่านหางจระเข้ เมื่อนำสาร Aloe emodin มาผสมกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในหลอดทดลองนาน 15 นาที ที่ 37 องศาเซลเซียส สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ นอกจากนั้น สาร aloe emodin ยังยั้งเชื้อไวรัสที่ก่อโรคเริม แล้วก็งูสวัดได้อีกด้วย
สมุนไพรกระตุ้นภูมิต้านทาน (Immunomodulator / Immunostimulant)
                กระเทียม  Aged Garlic Extract (AGE) มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน AGEเป็นผลิตภัณฑ์กระเทียมจัดเตรียมโดยการแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20% แอลกอฮอล์แล้วทิ้งเอาไว้เป็นเวลายาวนานมากกว่า 10 เดือน ที่อุณหภูมิปกติแล้วนำมาทำให้เข้มข้น เมื่อให้ AGE ทางปากแก่หนูถีบจักร 10 วันก่อนให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แก่หนูโดยการหยอดทางจมูก มีประสิทธิผลสำหรับเพื่อการปกป้องไข้หวัดใหญ่ได้ดิบได้ดีเท่าการให้วัคซีน
                สินค้าเสริมของกินกระเทียมที่มีสาร allicin มีการทำการค้นคว้าในอาสาสมัคร 146 คน โดยให้กลุ่มควบคุมได้รับยาหลอก รวมทั้งกลุ่มทดลองได้รับกระเทียมกินวันละ 1 แคปซูล นาน 12 อาทิตย์ ระหว่างฤดูหนาว (พฤศจิกายน - ก.พ.) แล้วก็ให้คะแนนสุขภาพ แล้วก็อาการหวัดแต่ละวัน พบว่า กลุ่มที่ได้รับกระเทียมได้โอกาสเป็นหวัดน้อยกว่ากรุ๊ปยาหลอก รวมทั้งเมื่อเป็นหวัดแล้วหายเร็วกว่า
                โสม (Ginseng)    สารสกัดโสมอเมริกันที่จดสิทธิบัตรแล้ว (CVT-E002) โดยทดสอบให้สารสกัดนี้ ขนาด 200 มก. วันละ 2 ครั้งหรือยาหลอกแก่คนแก่ที่อาศัยอยู่รวมกันคนไม่ใช่น้อย (institutional setting) ปริมาณรวม 198 คน ระหว่างฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่ (หน้าหนาวปี 2543 -44) เพื่อศึกษาเล่าเรียนประสิทธิผลสำหรับการคุ้มครองปกป้องการป่วยด้วยโรคฟุตบาทหายใจอย่างเฉียบพลัน (Acute Respiratory Illness, ARI) พบว่า อุบัติการณ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการตรวจรับรองทางห้องทดลองของกลุ่ม ยาหลอกสูงยิ่งกว่ากรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดโสมอย่างมีนัยสำคัญ (7/101 แล้วก็ 1/97) แล้วก็การต่ำลงของการเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรค ARI ในกรุ๊ปที่ได้รับยา CVT-E002 เท่ากับ 89%
เอกสารอ้างอิง

  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’ s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill. http://www.disthai.com/[/b]
  • ”สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่-H1n1 (1 มกราคม – 26 ธันวาคม 2558)” สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
  • ดร.ภก.อัญชลี จูฑะพุทธิ.สรุปการบรรยายประชุมวิชาการกรมพัฒน์เรื่อง”สมุนไพร:ไข้หวัดใหญ่-ไข้หวัดนก.”ณ.ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.วันที่ 28 ธันวาคม 2548
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).”ไข้หวัดใหญ่(lnfluenza/Flu).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป2.หน้า 393-396
  • “ไข้หวัดใหญ่”คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก
  • ไข้หวัดใหญ่.กลุ่มระบาดวิทยา/โรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
  • โรคไข้หวัดใหญ่แนวทางการดำเนินการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี2559.แนวทางการเฝ้าระวังโรคติดต่อในสถานศึกษา 2559 กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
39  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: มีนาคม 21, 2018, 08:13:59 am

โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง[/u],โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)

  • โรค SLE เป็นยังไง โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease)  เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานขัดขวาง หรืออิมมูน (Immune) ไม่ปกติ โดยจะต้านทานเยื่อเกี่ยวเนื่องของเนื้อเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ เป็นผลให้มีการอักเสบเรื้อรัง (จำพวกไม่ใช่จากการต่อว่าดเชื้อ) ของเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้หลายครั้งดังเช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะเหนือกว่าเนื่องจนกระทั่งเป็น โรคเรื้อรังประเภทหนึ่ง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกกล้วยๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มโรคภูมิต้านทานสติไม่ดี มีสาเหตุจากการที่ร่างกายคนเจ็บผลิตโปรตีนของภูมิต้านทานในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินธรรมดา ก่อปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตัวอย่างเช่น จากปกติภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะต้านทานเชื้อโรคและสิ่งเจือปน ดังเช่น แบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสจากด้านนอกร่างกาย กลับต้านทานร่างกายของตนเอง กระทั่งส่งผลให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆและก็กำเนิดเป็นโรค SLE ท้ายที่สุด
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า สุนัขป่า ซึ่งคาดคะเนว่า มาจากการที่ผื่นที่ใบหน้าที่เกิดขึ้นจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งเหมือนลักษณะขนบนบริเวณใบหน้าของหมาป่า หรือเหมือนถูกสุนัขป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่ผู้หญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/สุนัขป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune disease) ที่พบมากในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (ร้อยละ 90) โดยพบได้มากในสตรีอายุตอน 20-30 ปี เจอในสตรีเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยครั้งที่สุด รองลงไปตามลำดับหมายถึงสตรีทวีปเอเชีย และก็เพศหญิงผิวขาว

  • สาเหตุของโรค SLE พยาธิเกิดยังไม่ทราบแจ้งชัด แม้กระนั้นสันนิษฐานว่าเกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีการสนองตอบอย่างไม่ปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่งบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่างๆจึงจัดเป็นโรคภูเขามิต่อต้านตัวเอง (autoimmune) ชนิดหนึ่ง อาจเจอต้นสายปลายเหตุที่กระตุ้นให้อาการไม่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ยาบางจำพวก (เป็นต้นว่า ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราซิล) การเช็ดกแดด การกระทบกระเทือนด้านจิตใจ สภาวะมีครรภ์ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านี้  ยังสันนิษฐานว่า บางทีอาจเกี่ยวโยงกับฮอร์โมนผู้หญิง (เนื่องจากว่าพบได้ทั่วไปในหญิงวัยข้างหลังมีระดูแล้วก็ก่อนวัยหมดประจำเดือนรวมทั้งพบมากกว่าเพศ 7-10 เท่า)   และก็พันธุกรรม (พบมากในคนที่มีพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคเกิดจากมีความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน เกิดภาวะภูมิไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวประเภท T แล้วก็ B lymphocyte ทำให้เกิดการผลิต autoantibodies ยับยั้งเนื้อเยื่อของตนเองและก็เกิด immune complex ลอยละล่องไปตามกระแสโลหิตไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกเหนือจากนั้นยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex นำไปสู่การอักเสบของอวัยวะรวมทั้งเส้นโลหิตก่อให้เกิดการเกิดพยาธิสภาพในหลายอวัยวะ

  • อาการโรค SLE โรคนี้พบมากในวัยหนุ่มสาว อายุ 15-40 ปี ผู้หญิงมากยิ่งกว่าเพศชาย อาการรวมทั้งอาการแสดงบางทีอาจต่างกันได้มาก คนไข้บางรายอาจมีอาการน้อยอาทิเช่น เป็นไข้ อ่อนแรง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมหล่น มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีดเซียว ติดเชื้อโรคง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ นิ้วซีดเซียวเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม ฉี่ไม่ดีเหมือนปกติ มีความผิดธรรมดาทางไต เหนื่อย เจ็บหน้าอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ แล้วก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมเพียงกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งครั้งละระบบ

ซึ่งจะมีลักษณะที่เกิดขึ้นอยู่กับอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนเจ็บมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และก็โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปเหมือนผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแสงอาทิตย์ หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามบริเวณใบหน้า หนังหัว หรือรอบๆใบหู มีแผลในปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆเพดานปาก นอกเหนือจากนั้นยังมีผมตกมากยิ่งขึ้น
อาการทางข้อแล้วก็กล้ามเนื้อ คนป่วยโดยมากจะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งบางคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต ผู้ป่วยมักมีอาการบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เนื่องจากว่ามีลักษณะอักเสบที่ไต รายที่มีลักษณะรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดน้อยลง ทำให้มีลักษณะเมื่อยล้า มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกเรียกตัวได้
อาการทางระบบประสาท คนป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดเรื่อยเปื่อยไม่รู้เรื่อง หรือเหมือนคนโรคจิตจำวงศาคณาญาติมิได้ เนื่องจากมีการอักเสบของสมองหรือเส้นโลหิตในสมอง
นอกนั้น ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย เป็นต้นว่า มีไข้ อ่อนล้า ไม่อยากกินอาหาร เมื่อยกล้าม ปวดศรีษะ จิตใจเศร้า ร่วมได้ ลักษณะของโรคชอบแสดงความร้ายแรงมากมายหรือน้อยภายในช่วงเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีลักษณะอาการ ต่อจากนั้นชอบเบาลงเรื่อยแต่ว่าอาจมีอาการไม่ดีขึ้นรุนแรงได้เป็นครั้งๆ  ในขณะนี้โรคเอสแอลอียังมีวิธีที่ไม่อาจจะรักษาให้หายสนิทได้ แต่สามารถควบคุมลักษณะของโรคให้สงบ รวมทั้งดำรงชีพได้ตามปกติแม้รักษาได้ทันเวลา

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค SLE
  • เพศ เพราะเจอโรคได้สูงในเพศหญิง ซึ่งพบมากกว่าเพศชายถึง 7 เท่า
  • การติดเชื้อบางชนิดจากแบคทีเรีย รวมทั้งไวรัส บางชนิด
  • การถูกแสงอาทิตย์จัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆและอาหารบางจำพวก
  • การสูบยาสูบ
  • ฮอร์โมนเพศหญิง (เพราะโรคนี้กำเนิดในเพศหญิงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าในผู้ชาย ถึงประมาณ 7-10 เท่า) แล้วก็การมีท้อง
  • จากผลข้างเคียงของยาบางประเภท เป็นต้นว่า ยาป้องกันการชัก ยาคุม และก็ยาลดน้ำหนักบางจำพวก ซึ่งเมื่อมีสาเหตุมาจากยา ข้างหลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก และ การบริหารร่างกายเกินไป
  • พันธุ์บาป โดยเฉพาะคนที่ครอบครัวมีประวัติมีอาการป่วยด้วยโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์)

  • มีไข้ต่ำๆไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • มีลักษณะอาการปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นใบหน้า หรือมีผื่นคันรอบๆที่ถูกแดด
  • มีผมตกมากไม่ดีเหมือนปกติ
  • มีลักษณะอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • แนวทางอาการรักษาโรค SLE

การวิเคราะห์โรค เหตุเพราะโรค SLE มีความหลากหลายในอาการและอาการแสดงโดยเหตุนี้จึงมีการตั้งมาตรฐานสำหรับเพื่อการวินิจฉัย ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจพบ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย ต้องอาศัยอาการทางสถานพยาบาลร่วมกับการตรวจทางห้องทดลอง การวินิจฉัยมักไม่เป็นปัญหาด้วยเหตุว่าคนเจ็บจำนวนมากจะมีอาการแน่ชัด ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ เมื่อยล้า มีไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แม้กระนั้นการวิเคราะห์จะมีความทุกข์ยากในคนเจ็บบางกรณีอย่างเช่น เพศชาย, ผู้สูงวัยหรือผู้เจ็บป่วย ที่มีอาการแสดงเพียงระบบเดียวจำเป็นต้อง อาศัยการตรวจทางห้องทดลองซึ่งตัวอย่างเช่น CBC, UA, CXR แล้วก็ ANA ช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดขึ้นจากโรคอื่น
นอกเหนือจากนั้นแพทย์จะกระทำวิเคราะห์โดยอาศัยผลการตรวจทางห้องทดลองอื่นๆอีกเป็นต้นว่า ตรวจเลือด พบแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) และแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจปัสสาวะอาจเจอสารไข่ขาวแล้วก็เม็ดเลือดแดง  นอกจากนั้น บางทีอาจจำต้องกระทำตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจแล้วก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  ปัจจุบันยังไม่มียา หรือแนวทางการรักษาโรคนี้ให้หายสนิทได้ แต่เป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นช่วงและการรักษาเกื้อกูลตามอาการ   การรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องตัวโรคของผู้เจ็บป่วย การกระทำตัวอย่างถูกต้องของคนไข้  รวมทั้งการดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอผู้ทำการดูแลและรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่รุนแรง (ดังเช่นว่า มีเพียงไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) หมออาจจะเริ่มให้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าเกิดไม่ได้ผลอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการพวกนี้
ในรายที่เป็นร้ายแรง หมอจะให้สตีรอยด์ (เป็นต้นว่า เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นอาทิตย์หรือหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดียิ่งขึ้นจึงค่อยๆลดขนาดยาลง แล้วก็ให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยๆบางทีอาจนานเป็นนานแรมปีหรือกระทั่งจะเห็นว่าไม่มีอันตราย หากให้ยาดังที่กล่าวมาแล้วแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะให้ยากดภูมิต้านทาน ดังเช่นว่า ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) ฯลฯ
ในรายที่มีลักษณะอาการรุนแรง อย่างเช่น บวม หายใจหอบ มีอาการเปลี่ยนไปจากปกติทางสมอง ฯลฯ จึงควรรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล จนกระทั่งจะไม่เป็นอันตราย จึงให้คนเจ็บกลับบ้านและก็นัดมาตรวจกับแพทย์เป็นช่วงๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความไม่ดีเหมือนปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อของตน ก็เลยก่อให้เกิดอาการต่างๆของโรค SLE ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แต่มีแถลงการณ์ว่าอาจเจอการถ่ายทอดด้านกรรมพันธุ์ได้)
  • การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรค SLE
  • คนไข้ควรจะรู้ดีว่า โรคนี้มีความร้ายแรงไม่เหมือนกัน บางบุคคลอาจมีอาการนิดหน่อย แต่บางคนอาจมีอาการร้ายแรงได้ แม้ว่าคนป่วยมีลักษณะนิดหน่อย หากมิได้รับการดูแลและรักษา อาการบางทีอาจร้ายแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะกำเริบแล้วก็สงบสลับกันไป ด้วยเหตุนี้ควรจะมารับการตรวจรักษาจากหมอโดยสม่ำเสมอ รับประทานยาตามสั่งโดยเข้มงวด ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เวลาป่วยไม่ควรซื้อยากินเอง ควรพบหมอและก็บอกแพทย์เหตุว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการดูแลและรักษาที่เหมาะสม และหมอจะได้เลี่ยงยาบางตัวที่อาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • หลบหลีกการสนิทสนมกับคนเจ็บที่เป็นโรคติดเชื้อโรค เหตุเพราะคนไข้โรคเอสแอลอีบางทีอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย และก็โรคเอสแอลอีบางทีอาจกำเริบเสิบสานขึ้นได้
  • หากมีอาการที่บ่งถึงการตำหนิดเชื้อ เป็นต้นว่า ไข้สูง ไอ
  • ควรจะตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการทำฟัน ถอนฟัน ควรจะกินยาปฏิชีวนะก่อนแล้วก็หลังทำ เพื่อคุ้มครองป้องกันการติดเชื้อ ดังนี้จะต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของหมอ
  • ถ้ามีลักษณะอาการแตกต่างจากปกติ ที่บางทีอาจบ่งว่าโรคกำเริบเสิบสาน เป็นต้นว่า ไข้ อ่อนล้า ผมร่วง ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรจะมาพบหมอก่อนนัดหมายได้
  • เลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะระหว่าง 10.00-16.00 น. เพราะเหตุว่าแสงแดดจะทำให้โรคกำเริบได้ ผู้ป่วยที่แพ้แสงสว่างมากมาย ควรที่จะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าเกิดจะต้องออกไปถูกแสงอาทิตย์
  • เลี่ยงภาวะเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ควรจะพักให้พอเพียง บริหารร่างกายบ่อย
  • ไม่รับประทานของกินครึ่งดิบครึ่งสุกหรือเปล่าสะอาด สถานที่แออัด เนื่องจากว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ถ้าหากโรคยังไม่สงบ ไม่ควรมีครรภ์ เนื่องด้วยโรคอาจกำเริบขณะท้องได้ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยและเด็กแรกคลอด นอกจากนี้ยาที่กินเพื่อควบคุมโรคในคนไข้บางรายอาจมีผลต่อลูกในท้อง ถ้าหากโรคสงบแล้ว สามารถมีท้องได้แม้กระนั้นควรจะขอความเห็นแพทย์ก่อน แล้วก็ขณะมีครรภ์ควรมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะบางครั้งบางคราวโรคอาจกำเริบเสิบสาน
  • การคุมกำเนิด ควรจะเลี่ยงการใช้ยาคุม ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบเสิบสาน ในการใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการต่อว่าดเชื้อ ชี้แนะว่าให้ใช้ถุงยาง
  • คนป่วยที่ได้รับยาลดอาการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้าเกิดมีลักษณะปวดท้อง ควรแจ้งให้หมอทราบ
  • ดื่มนมสด หรือกินอาหารที่มีแคลเซียมสูงปกป้องกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE

พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
40  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เม็ก เป็นสมุนไพรที่มี สรรพคุณ-ประโยชน๋ ที่สามารถรักอาการ ป่วย ได้ดี เมื่อ: มีนาคม 12, 2018, 10:34:26 pm

สมุนไพรเม็ก
เม็ก Macaranga tanarius (Linn.) Muell. Arg.
ชื่อพ้อง M. tomentosa Bl.
บางถิ่นเรียก เม็ก (ใต้) กะลอ บาเหลวมี สะลอ (มลายู-จังหวัดยะลา) ต้องดำ (จังหวัดปัตตานี) ป้าง หูช้าง (เมืองจันท์) รังขาว (สงขลา) ล่อ ล่อขาว (นครศรีธรรมราช) ล้อหูฉีด (จังหวัดพังงา).
ไม้ต้น ขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 6 มัธยม กิ่งใหญ่ สีนวล ตามยอดอ่อน รวมทั้งใบอ่อนมีขนนุ่ม. ใบ โดดเดี่ยว เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ค่อนข้างจะกลม กว้าง 5-28 ซม. ยาว 8-32 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมเป็นหางยาว ขอบใบออกจะเรียบ หรือ หยักตื้นๆโคนใบกลม หรือ เว้าเป็นรูปหัวใจ เนื้อใบบาง ด้านบนสะอาด หรือ มีขนนิดหน่อย ข้างล่างมีขนนุ่ม ก้านใบติดแบบใบบัว ยาว 10-27 ซม. สีขาวนวล สะอาด หรือ มีขน หูใบรูปไข่ป้อมปนขอบขนาน ปลายแหลม ยาวประมาณ 12 มิลลิเมตร มีขนห่างๆ.สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ ช่อยาว 10-30 เซนติเมตร แตกแขนงมาก ดอกมีใบประดับรองรับ ใบประดับประดารูปไข่ป้อม ยาว 5-10 มม. ขอบหยักเป็นแฉกเล็กๆแหลมๆกลีบรองกลีบดอกไม้มี 3-4 กลีบ เกลี้ยง เกสรผู้ 5-6 อัน. ดอกเพศภรรยา ช่อยาว 6-12 เซนติเมตร ไม่ค่อยแตกกิ่ง รังไข่มีขน ด้านในมี 2 ช่อง ท่อรังไข่ใหญ่. ผล กลม แฝด เส้นผ่าศูนย์กลาง 7-12 มิลลิเมตร มีนอนูน 2-3 นอ มีเม็ดสีเหลืองๆเหนียวๆปกคลุม. เม็ด กลม ผิวหยาบคาย.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 150 มัธยม
สรรพคุณ : ราก น้ำสุกราก รับประทานเป็นยาลดไข้ แก้ไอเป็นเลือด กินผงรากเพื่อช่วยทำให้อ้วก สำหรับคนไม่สบาย ต้น น้ำสุกเปลือกต้น รับประทานแก้บิด ใช้เข้าเครื่องยาสำหรับสตรีกินเพื่อช่วยสำหรับในการคลอดลูก ใบ ตำพอกแก้รอยแผลอักเสบ สารสกัดใบมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะต่อเชื้อ Staphylococcus
41  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเต้าหลวง มีประโยชน์-สรรพคุณ ที่่สามารถเเก้อาการท้องร่วงได้ดี เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2018, 08:16:35 pm

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรเต้าหลว
เต้าหลวง Macaranga gigantean Muell. Arg.
ชื่อพ้อง M. megatophylla Muell. Arg.
บางถิ่นเรียก เต้าหลวง (กำแพงเพชร) ทะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) มะหัง (จังหวัดปัตตานี) หูช้าง (จันทบุรี).
ไม้ต้น สูงได้ถึง 20 ม. ลำต้นใหญ่ ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล แผลใบกลม หูใบใหญ่มาก ยาวได้ถึง 5 เซนติเมตร ใบ โดดเดี่ยว เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ป้อม หรือ ออกจะกลม มี 3 แฉก กว้าง รวมทั้งยาว 25-75 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบของใบเรียบ หรือ หยักตื้น และก็ห่าง โคนใบกลม เส้นใบมีลักษณะเหมือนใยแมงมุม เห็นได้ชัดทางด้านล่าง ข้างบนมีขนรูปดาวกระจาย ด้านล่างมีขนหนาแน่น ก้านใบติดแบบใบบัวยาว 15-50 ซม. มีขน.สมุนไพร  ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศภรรยาอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ เป็นช่อแบบกระจัดกระจาย ยาว 20-37 ซม. ดอกเล็ก ติดเป็นกลุ่มๆกลีบรองกลีบดอกไม้ 3-4 กลีบ เกสรผู้ 1 อัน สั้น. ดอกเพศภรรยา เป็นช่อยาว 12-20 ซม. สีออกฟ้า ติดเดี่ยวๆมีกลีบรองกลีบดอก 4 กลีบ ไม่มีกลีบดอกไม้ รังไข่มี 2 ช่อง ท่อรังไข่สั้น. ผล มี 2 พู กว้างราว 8 มิลลิเมตร ยาวโดยประมาณ 5 มิลลิเมตร ผิวมีต่อมทั่วไป แก่จะแตกเป็น 2 ด้าน ภายในมี 2 ช่อง มีเม็ดช่องละ 1 เมล็ด.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าเขาดิบ ป่าโปร่ง และตามที่ลุ่ม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มราก รับประทานแก้อาการท้องเสีย

Tags : สมุนไพร
42  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สบู่เเดงเป็นสมุนไพรที่มี สรรพคุณ-ประโยชน์ มากมาย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2018, 08:13:39 am

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรสบู่แด[/b]
สบู่แดง Jatropha gossypifolia Linn.
บางถิ่นเรียกว่า สบู่แดง ละหุ่งแดง (กึ่งกลาง) สบู่เลือด สลอดแดง สีลอด หงส์เทศ (จังหวัดปัตตานี).
ไม้พุ่ม สูง 1-2 ม. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับกัน มีขนาดกว้าง รวมทั้งยาวใกล้เคียงกัน ราว 12-15 เซนติเมตร มี 3-5 แฉก ปลายแฉกแหลมเป็นติ่งสั้นๆขอบมีขน ปลายขนมีต่อมกลมๆโคนใบเว้านิดหน่อย เนื้อใบบาง เกลี้ยงทั้ง 2 ด้าน เส้นใบออกมาจากโคนใบ มีจำนวนเท่ากับปริมาณแฉก ก้านใบยาว 5-10 เซนติเมตร ด้านบนมีขนซึ่งแตกแขนง และก็ปลายขนมีต่อมกลมๆหูใบเป็นขนชนิดปลายขนมีต่อมเช่นกัน. สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่บนต้นเดียวกัน ก้านช่อยาวประมาณ 4-5 ซม. มีขนนิดหน่อย ใบประดับประดารูปยาวรี ยาว 6-12 มม. ขอบมีขน ปลายขนมีต่อมกลม. ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอกไม้ 5 กลีบ รูปไข่ปนรูปหอก ปลายแหลม ยาว 4-5 มม. ขอบมีขน ปลายขนมีต่อมกลม กลีบดอกไม้ยาว 4-5 มิลลิเมตร สีแดง เกลี้ยว เกสรผู้ 10-12 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกัน อับเรณูรูปออกจะกลม. ดอกเพศภรรยา กลีบรองกลีบดอกไม้ยาวกว่าดอกเพศผู้ แต่ว่ากลีบดอกไม้เสมือนดอกเพศผู้ รังไข่มีขน. ผล รูปไข่ มี 3 พู ยาวประมาณ 1 ซม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในประเทศไทย บ้านเกิดเมืองนอนอยู่ในทวีปอเมริกากึ่งกลาง.
คุณประโยชน์ : ใบ ต้มใบ ปริมาณ 7-21 ใบ (โดยรับประทานใบด้วย) กินแก้ปวดท้อง ลดไข้และเป็นยาถ่าย ตำเป็นยาพอกแก้ผื่นคัน พอกฝี  เม็ด ปิ้งเพียงพอสุก กินเป็นยาระบาย น้ำมันเมล็ด, กินทำให้อาเจียน และใช้ทาแผลโรคเรื้อน
43  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรเปล้าใหญ่ สรรพคุณสามารถนำมาใช้เป็นยา ใช้ล้างเเผลได้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2018, 04:26:28 pm

สมุนไพรเปล้าใหญ[/size][/b]
เปล้าใหญ่ Mallotus macrostachyus Muell. Arg.
ชื่อพ้อง M. albus Muell. Arg.
บางถิ่นเรียกว่า เปล้าใหญ่ ลัว (นครศรีธรรมราช) ฝามี หลอขน (ตรัง) หลอ (จังหวัดนราธิวาส).
ไม้พุ่ม หรือ  ต้นไม้ ขนาดเล็ก มีขนสีน้ำตาล หรือ น้ำตาลอ่อน ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุมทั้งคู่ด้าน. ใบ เดี่ยว เรียงสลับกัน หรือ เป็นคู่ตรงกันข้ามกัน รูปออกจะกลม หรือ รูปไข่ค่อนข้างจะกว้างแกมสามเหลี่ยม กว้างรวมทั้งยาว 7-20 ซม. ปลายใบเรียวแหลมเป็นหางยาว ขอบใบเรียบ หรือ หยักห่าง แล้วก็แหลมไม่สม่ำเสมอกัน โคนใบมนป้าน มีต่อม 2 ต่อม เส้นใบนูนเด่นทางด้านล่าง ด้านบนเกลี้ยง ข้างล่างมีขนสั้นๆปกคลุมหนาแน่น ก้านใบยาว 3-20 ซม. ติดค่อนข้างจะติดขอบใบ. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ. ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ช่อยาวราว 20 เซนติเมตร แตกสาขามาก ดอกกลมๆเล็กๆชิดกันแน่น กลีบรองกลีบดอกไม้ 4 กลีบ รูปไข่ปนขอบขนาน ยาวราวๆ 2 มิลลิเมตร ภายนอกมีขน เกสรผู้ไม่น้อยเลยทีเดียว. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกเพศเมีย ช่อยาว 30-40 ดอกคล้ายกาบ รังไข่มี 3 ช่อง. ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2-1.6 เซนติเมตร มีขนคล้ายสัตว์ปกคลุมหนาแน่น ติดเป็นช่อแขวนยาว ข้างในมี 3 ช่องๆละหนึ่งเมล็ด. เมล็ด ค่อนข้างกลม ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร สีดำเป็นเงา.
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/DSC03261.jpg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบ และป่าเขาดงดิบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 400 ม.
คุณประโยชน์ : ใบ น้ำสุกใบ ใช้ชำระล้างบาดแผล
44  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรสอยดาว สรรพคุณ-ประโยชน์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2018, 01:37:47 pm

สมุนไพรสอยดา[/size][/b]
สอยดาว Mallotus paniculatus (Lam.) Muell. Arg.
ชื่อพ้อง M. cochinchinensis Lour.
บางถิ่นเรียกว่า สอยดาว สลัดป้าง (จันทบุรี จังหวัดตราด) สตีตัน (เลย) แสด (ใต้).
ไม้พุ่ม หรือ  ไม้ต้น สูงได้ถึง 20 ม. ยอดอ่อนมีขนสีขาว น้ำตาลอ่อน หรือ น้ำตาล. ใบ ผู้เดียว เรียงแบบบันไดเวียนห่างๆรูปไข่ รูปไข่แกมข้าวหลามตัด หรือ สามเหลี่ยม กว้าง 3-22 ซม. ยาว 5-24 ซม. ปลายใบเรียวแหลมเป็นหางยาว บางคราวเป็นแฉกแหลม 3 แฉก ขอบใบเรียบ หรือ หยักเป็นคลื่นห่างๆโคนใบกลม สอบมนๆโคนสุดมีต่อมใหญ่ 1 คู่ อยู่ด้านบน ด้านล่างมีขนรูปดาวสั้นๆหนาแน่น เส้นกิ้งก้านใบมี 5-8 คู่ เส้นใบย่อยเรียงเป็นขั้นบันได ตามเส้นใบ รวมทั้งก้านใบ มีขนสีน้ำตาลอ่อน ก้านใบยาว 3-18 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด และตามง่ามใบ ยาว 7-35 เซนติเมตร มีขนสีน้ำตาลปกคลุม มีทั้งยังดอกเพศผู้ ดอกเพศภรรยา และก็ดอกบริบูรณ์เพศ. ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 1.5-2.5 มิลลิเมตร [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกกลม เล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มม. กลีบ รูปไข่ 3-4 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน ยาว 2.5-2.7 มม. เกสรผู้มี 50-60 อัน. ดอกเพศเมีย ก้านดอกยาว 0.5-1 มิลลิเมตร กลีบชิดกันเหมือนรูประฆัง ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ยาว 2.5-2.7 มิลลิเมตร รังไข่มี 3 ช่อง ปลายท่อรังไข่เป็นรูปยาว 2-3 มม. ผล มี 3 พู กว้างราว 7.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 4.5 มม. มีขนยาว นุ่มปกคลุม. เมล็ด รูปไข่ค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 3 มม. สีดำ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วๆไปในป่าดงดิบ หรือ ป่าผลัดใบ.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกราก รับประทานเป็นยาบำรุง หลังการคลอดลูก ตำเป็นยาพอกรวมกัสมุนไพร[/url]อื่นๆพอกหัวแก้ปวด ต้น น้ำสุกต้น ใช้เป็นยาล้างแผล

Tags : สมุนไพร
45  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรมะฝ่อ สามารถนำมาเป็นชาได้ด้วย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2018, 03:59:28 pm

สมุนไพรมะฝ่[/size][/b]
มะฝ่อ Trewia nudiflora Linn.
บางถิ่นเรียกว่า มะฝ่อ (ทั่วไป) ม่อแน่ะ เส่โทคลึ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะปอบ (เหนือ) หม่าทิ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี).
ไม้ใหญ่ ผลัดใบ ขนาดใหญ่ โคนต้นมีพอนแผ่ออกเป็นปีก ต้นเพศผู้ทรงสูงชะลูด ต้นเพศเมียไม่สูงเท่า แต่แผ่กิ่งก้านสาขามากยิ่งกว่า ตามยอดอ่อน ด้านล่างของใบ แล้วก็ช่อดอกมีขน. ใบ เดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน รูปไข่ออกจะกว้าง รูปกลมปนรูปหัวใจ หรือ สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน กว้าง 8-13 เซนติเมตร ยาว 10-22 เซนติเมตร โคนใบมนแหลม หรือ เว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ปลายแหลมเป็นหาง ยาวโดยประมาณ 1 เซนติเมตร เส้นใบออกมาจากโคนใบ 3 เส้น เส้นกิ้งก้านใบข้างละ 3-5 เส้น ข้างบนสะอาด แต่เฉพาะตามเส้นใบมีขน ด้านล่างมีขนปกคลุมทั่วไป ก้านใบยาว 2.5-8.5 ซม. ดอก [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
  ดอกเพศผู้ และก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ไม่มีกลีบดอกไม้. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อยาว 15-22 เซนติเมตร ดอกอยู่ไกลๆกัน บานทยอยจากโคนช่อไปสู่ปลายช่อ กลีบรองกลีบดอก 3-4 กลีบ กลม หรือ รูปไข่ เวลาบานจะผายไปทางด้านหลัง เกสรผู้จำนวนไม่น้อย ตั้งอยู่บนฐานดอกนูนๆก้านเกสรไม่ติดกัน. ดอกเพศภรรยา ออกลำพังๆหรือ เป็นช่อ ก้านดอกยาว กลีบรองกลีบดอกไม้ 3-5 กลีบ ร่วงง่าย รังไข่มี 2-4 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่ยาว โคนเชื่อมติดกัน มีตุ่มอยู่ทั่วๆไป. ผล กลม แข็ง รสหวาน กินได้ มีเม็ดเดียว. เม็ด รูปไข่ เปลือกแข็ง.
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/mafo-002.jpg" alt="" border="0" />
นิเวศน์วิทยา
: ชอบขึ้นในป่าชุ่มชื้น หรือ ขึ้นตามริมสายธาร
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรากกินเป็นยาขับลม แก้ท้องขึ้น ใช้ทาถูนวดแก้ปวดตามข้อ  ต้น น้ำต้มเปลือกเป็นยาเย็น บำรุงร่างกาย แก้อาการบวมน้ำ ท่อน้ำดีอักเสบ และก็ขับเสลด เนื้อไม้ ใช้ทำหีบ รวมทั้งลังใส่ของ ในประเทศอินเดียใช้ทำหีบใส่ใบชาส่งไปขายเมืองนอก แล้วก็ใช้ทำก้านไม้ขีด
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย