กระทู้ล่าสุดของ: watamon

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 44
106  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2018, 02:14:21 pm

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน คืออะไร โรคกระดูกพรุนโดยธรรมดา เป็นภาวการณ์ที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญเป็นแคลเซียม) ในกระดูกน้อยลง ร่วมกับความเสื่อมโทรมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นองค์ประกอบด้านในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้หลายครั้ง เช่น ข้อมือ สะโพก รวมทั้งสันหลัง  ส่วนคำอธิบายศัพท์ของภาวการณ์กระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ต่ำลงซึ่งส่งผลให้กระดูกบอบบาง รวมทั้งมีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นเกณฑ์สำหรับเพื่อการวินิจฉัยสภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 โดยเทียบเทียงค่า BMD ของคนป่วยกับของวัยหนุ่มวัยสาวที่มีร่างกายแข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นมาตรฐาน ผู้ที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำยิ่งกว่า -2.5 วินิจฉัยว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ในตอนที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 นับว่ามีภาวการณ์กระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้สูงวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและก็คนวัยหนุ่มสาว นอกจากในเรื่องที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยผู้หญิงได้โอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงจำนวนร้อยละ 30-40 ขณะที่ผู้ชายได้โอกาสร้อยละ 13 โดย สตรีช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดเมนส์ กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังมีต้นเหตุจากความเสื่อมโทรมตามวัยซึ่งเจอได้ทั้งในผู้ชายและสตรี  และก็เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรก(การหักของกระดูกต่างๆยกตัวอย่างเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนจำนวนมากไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันทีทันควันกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะกระดูกสะโพก)
                จากการคาดประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้ป่วยเพราะเหตุว่ากระดูกบั้นท้ายหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 1990 ที่มีปริมาณผู้ป่วยเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เนื่องจากว่าสภาวะกระดูกพรุนมีความเกี่ยวเนื่องกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีภาวการณ์กระดูกพรุนที่จะมากขึ้นอย่างรวดเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกรุ๊ปทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในจำนวนมวลชน
กระดูกสะโพกหักทั่วทั้งโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและก็ในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะราษฎรผู้เจ็บป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงปริมาณร้อยละ 50 ของประชาชนโลกทั้งหมดทั้งปวง
สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไร้การศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่ว่าจากสถิติปริมาณประชาชนคนแก่ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในคนที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยเจอภาวะกระดูกพรุนบริเวณสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในเพศหญิงวัยหมดระดูที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อมวลชน 1 แสนรายต่อปี
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน และก็แคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา พูดอีกนัยหนึ่ง ในเวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและก็ถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ปกติในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราว ๓๐-๓๕ ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีตอนหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนจำพวกนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว จนถึงเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่ๆยังไม่ทราบ แต่ในพื้นฐานพบว่ามีต้นเหตุจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และเซลล์ซึมซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรจะมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลกำเนิดได้จากหลายสาเหตุคือ

  • อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆก็เลยเสื่อมลงรวมถึงเซลล์สร้างกระดูก การผลิตกระดูกจึงลดน้อยลง แม้กระนั้นเซลล์ทำลายกระดูกยังทำงานได้ตามปกติหรือบางทีอาจทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนแล้วก็บอบบางลง ส่วนในผู้ชายจะมีความเสี่ยงกำเนิโรคกระดูกพรุน[/url]เมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
  • กรรมพันธุ์ - ผู้ที่มีญาติสนิทสนมทางเชื้อสายที่มีประวัติป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับพันธุกรรมโรคดังที่กล่าวถึงมาแล้วไปด้วย
  • ความแตกต่างจากปกติสำหรับในการดำเนินการของต่อมรวมทั้งอวัยวะต่างๆ- ดังเช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตแล้วก็ตับทำงานแตกต่างจากปกติ
  • โรคแล้วก็การเจ็บป่วย - คนเจ็บที่มีสภาวะกระดูกพรุนอาจเป็นเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆตัวอย่างเช่น โรคที่เกี่ยวโยงกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความเปลี่ยนไปจากปกติทางการกิน โรคภูมิแพ้ตนเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
  • การบริโภค - ทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่พอต่อความจำเป็นของร่างกายสำหรับการสร้างกระดูกและการเติบโต กินอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างอาหารชนิดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และก็สูบบุหรี่
  • การใช้ยา - ผู้ที่ป่วยแล้วก็จำต้องรักษาด้วยการใช้ยาบางประเภทต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ เช่น กรุ๊ปยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน ด้วยเหตุว่าตัวยาบางจำพวกจะออกฤทธิ์ไปรบกวนขั้นตอนการสร้างกระดูก ยกตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
  • การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในอิริยาบถท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน หรือการขาดการออกกำลังกายอย่างพอเพียง

อาการโรคกระดูกพรุน จำนวนมากชอบไม่มีอาการแสดง จนกว่ากำเนิดไม่ดีเหมือนปกติขององค์ประกอบกระดูก เป็นต้นว่า ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (ด้วยเหตุว่ากระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงลดน้อยลงจากเดิม (ด้วยเหตุว่าการหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว เป็นต้น) ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ
ทั้งผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักพบชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยยิ่งไปกว่านั้นกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ ซึ่งส่งผลเสียต่อการ
สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศชาติแล้วก็คุณภาพชีวิตของคนเจ็บ และก็โดยส่วนใหญ่จะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนถึงตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นชนกับพื้น เป็นต้น
ขั้นตอนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องมาจากภาวการณ์กระดูกพรุนโดยมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้แก่ ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจรวมทั้งวิเคราะห์การสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะเกิดการหักของกระดูกก็เลยเป็นเรื่องสำคัญ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากความเป็นมาอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย แล้วก็จะทำวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศและอายุช่วงเดียวกัน ถ้าเกิดกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

  • กระดูกธรรมดา (Normal bone)เป็นกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในตอน 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าถัวเฉลี่ย (-1 SD)
  • กระดูกบาง (Osteopenia)เป็นกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าถัวเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ กระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำกว่า -2.5 SD)
  • กระดูกพรุนอย่างรุนแรง (Severe or Established osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยมากกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก

การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องถูกต้องที่สุดสำหรับเพื่อการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแต่จำนวนร้อยละ  1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มแนวทางการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยหมอจะมีแนวทางการดูแลและรักษาผู้ที่มีสภาวะกระดุพรุน ดังนี้

  • สำหรับผู้เจ็บป่วยที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน หมอจะให้กินแคลเซียม ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต ครั้งละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มก. วันละ ๒ ครั้ง รวมทั้งอาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มิลลิกรัม ร่วมด้วยในรายที่อยู่แต่ว่าในร่ม (มิได้รับแสงแดด) ตลอดเวลา
  • สำหรับหญิงหลังวัยหมดระดู หมอบางทีอาจพิเคราะห์ให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนชดเชย ยกตัวอย่างเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อเชิงพาณิชย์ อย่างเช่น Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มิลลิกรัม หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มิลลิกรัม วันละครั้ง ในรายที่มีสิ่งที่ห้ามใช้หรือมีผลข้างๆมากมาย อาจให้ราล็อกสิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มิลลิกรัม ยานี้ออกฤทธิ์เหมือนเอสโทรเจน แม้กระนั้นส่งผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • สำหรับผู้ชายชราที่มีภาวการณ์ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย บางทีอาจจะต้องให้ฮอร์โมนจำพวกนี้เสริม
นอกจากนั้น อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้ง/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มอีกแก่ผู้ป่วยบางราย ยกตัวอย่างเช่น

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มิลลิกรัม ให้รับประทานวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มก. สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก แล้วก็เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก คุ้มครองป้องกันการแตกหักของกระดูกสันหลังรวมทั้งบั้นท้าย เหมาะสำหรับผู้ป่วยชาย ผู้เจ็บป่วยหญิงที่มิได้รับฮอร์โมนชดเชย รวมทั้งใช้ปกป้องภาวการณ์กระดูกพรุนในผู้ที่จำเป็นต้องรับประทานยาสตีรอยด์นานๆ
  • แคลซิโทนิน (calcitonin) มีอีกทั้งชนิดพ่นจมูกและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก รวมทั้งมีคุณประโยชน์สำหรับในการใช้ลดอาการปวด เพราะว่าการแตกหักรวมทั้งยุบของกระดูกสันหลังอีกด้วย

คนป่วยจำต้องใช้ยาเสมอๆ แพทย์จะนัดหมายมาตรวจเป็นระยะ อาจจำต้องกระทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมแล้วก็ปากมดลูก (สำหรับผู้ที่รับประทานเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ยกตัวอย่างเช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา อาทิเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด แนวทางการทำกายภาพบำบัด เป็นต้น
ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนประเภททุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมเพียงกัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อกำเนิดโรคกระดูกพรุนนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอยู่ 2 จำพวกเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ แล้วก็ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายปัจจัยก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน รวมทั้งจะได้โอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูกพรุน
ต้นเหตุที่ปรับปรุงไม่ได้            ต้นสายปลายเหตุที่ปรับแก้ได้

  • อายุ(คนชรา 65 ปีขึ้นไป)
  • เพศ (หญิง)
  • เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
  • กรรมพันธุ์ (ประวัติคนในครอบคัวโดยยิ่งไปกว่านั้นคุณแม่)
  • รูปร่างเล็ก ซูบผอม บาง
  • หมดประจำเดือน ก่อนอายุ 45
  • มีพยาธิสภาพที่จำเป็นต้องผ่าตัดเอารับไขทั้ง 2 ข้างออกก่อนหมดเมนส์
  • เคยกระดูกหักจากสภาวะกระดูกเปราะบาง •             ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
  • หมดระดู
  • กินแคลเซียมน้อย บริโภคเกลือสมุทรและเนื้อสัตว์สูง
  • สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดื่มกาแฟ
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ได้รับยาบางจำพวก ได้แก่ glucocorticosteroids และก็ thyroid hormone เป็นต้น
  • เป็นโรคบางชนิด ได้แก่ chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , แล้วก็ Cushing’s syndrome เป็นต้น
  • มี BMI (ดัชนีมวลกาย)ต่ำลงยิ่งกว่า 19 กิโล/ตารางเมตร

การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีเหตุมาจากกลไกการย่อยสลายของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีเยอะมากหลายกรณี แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน

  • กินวิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร หรือยาต่างๆตามแพทย์ชี้แนะ
  • การกินของกินมีสาระ 5 หมู่ครบถ้วนทุกวันในจำนวนเหมาะสมที่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำพอควรกับสุขภาพ
  • เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้
  • ไปพบหมอดังที่หมอนัดหมายเสมอๆ
  • หมั่นดูแลความเรียบร้อยในบ้าน รวมถึงไม่วางของขวางตามทางเดินที่อาจทำให้ลื่นล้มหรือมีการกระแทกจนกระทั่งทำให้กระดูกหักได้
การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคกระดูกพรุน

  • คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนตามที่กล่าวมา ควรขอคำแนะนำหมอเพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน เป็นต้นว่า หญิงวัยหมดประจำเดือน, คนแก่, คนที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆ, ผู้ที่มีโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น
  • รับประทานแคลเซียมให้พอเพียงแต่ละวันให้พอเพียงต่อสิ่งที่ต้องการของร่างกาย(ดังตารางดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น)

อายุปริมาณแคลเซียมที่ต้องการ (mg/day)
แรกเกิด – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
เพศชาย
25 ปี – 65 ปี
มากกว่า 65 ปี
ผู้หญิง
25 ปี – 50 ปี
มากยิ่งกว่า 50 ปี (หลังวัยหมดประจำเดือน)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
ปริมาณแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day)
  -ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen
  - ไม่ได้รับการรักษาด้วย estrogen
อายุมากกว่า 65 ปี
ระหว่ามีครรภ์ หรือให้นมลูก            1000
1500
1500
1200-1500
โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาทิเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (ตัวอย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (เป็นต้นว่า คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
ทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่รวมทั้งผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมปริมาณร้อยละ 50 ของจำนวนที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ
ผู้ใหญ่บางคนที่มีความจำกัดสำหรับเพื่อการดื่มนม (ได้แก่ มีสภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากเพิ่มขึ้น

  • ออกกำลังกายเสมอๆ โดยเฉพาะการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต่อต้านน้ำหนัก (weight bearing) ดังเช่นว่า การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ ฯลฯ ร่วมกับการกีฬายกน้ำหนัก จะช่วยให้มีมวลกระดูกมากขึ้น แล้วก็กระดูกมีความแข็งแรง อีกทั้งแขน ขา รวมทั้งกระดูกสันหลัง
  • รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้น้อยกว่ามาตรฐาน (ผอมเกินไป) เพราะคนซูบผอมจะมีมวลกระดูกน้อย มีโอกาสเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
  • รับแสงอาทิตย์ ช่วยทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็ความสงบกระตุ้นการผลิตกระดูก ในบ้านพวกเราคนส่วนมากจะได้รับแสงอาทิตย์พอเพียงอยู่แล้ว นอกเหนือจากในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดระยะเวลา ก็ควรจะออกไปรับแสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าหากอยู่แม้กระนั้นในที่ร่ม ไม่ถูกแสงอาทิตย์ อาจต้องกินวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มก.
  • เลี่ยงความประพฤติปฏิบัติที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน ตัวอย่างเช่น
  • ไม่กินอาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะว่าของกินเหล่านี้จะทำการกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางเยี่ยวมากเกินปกติ
  • ไม่กินอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากเกลือโซเดียมจะทำให้ไส้ซึมซับแคลเซียมได้น้อยลง แล้วก็เพิ่มการขับแคลเซียมทางไตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก เพราะเหตุว่ากรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมทำให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • หลบหลีกการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในจำนวนมาก ด้วยเหตุว่าแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในเครื่องดื่มกลุ่มนี้จะขวางการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่สมควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเทียบเท่าแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
  • งดเว้นการสูบบุหรี่ เพราะเหตุว่ายาสูบกระตุ้นให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากยิ่งขึ้น (เพราะเหตุว่าลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
  • ระวังการใช้ยาบางประเภท เป็นต้นว่า ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย
  • รักษาโรคหรือสภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน ดังเช่น ต่อมไทรอยด์ดำเนินการเกิน โรคลุกชชิง
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่สมัยก่อน ในพระหนังสือสรรพลักษณะ พูดถึงคุณประโยชน์ของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งปวงแล" ในตำราเรียนแพทย์แผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า "เพชรสังฆาต" มีสรรพคุณ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ท้องถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
เดี๋ยวนี้ได้มีงานศึกษาวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก รวมทั้งสารอนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารมิววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนสมานกระดูก นอกจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมตัวกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงแปลงเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักและก็มีความยืดหยุ่นในตัวเอง
ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. สกุล Convlvulaceae ในประเทศจีนรวมทั้งบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin รวมทั้ง kaempferol เมื่อเอามาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวชี้สำหรับการเพิ่มการสร้างเซลล์กระดูกของเซลล์เริ่ม รวมทั้งสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าวข้างต้น นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol แล้วก็ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านของการกระตุ้น ER จะมีเพียงสาร quercetin และ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen ประเภท ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่รอบๆกระดูก ไขมัน หัวใจรวมทั้งหลอดเลือด แม้กระนั้นออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่รอบๆเต้านมและก็มดลูก
ยิ่งกว่านั้นสาร quercetin และก็ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวกับการผลิตกระดูก เหมือนกันกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเมล็ดฝอยทองคำมีคุณภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และสารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกเป็น kaempferol และ hyperoside
เอกสารอ้างอิง

  • สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
  • Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
107  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้ เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2018, 05:50:57 pm

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร 
[url=http://www.disthai.com/16880091/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-gastroesophageal-reflux-disease-gerd]โรคกรดไหลย้อน[/url]” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งโดยธรรมดาร่างกายของพวกเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหารแต่ว่าคนที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากยิ่งขึ้นหรือย้อนบ่อยครั้งกว่าคนที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าปกติ ทำให้มีลักษณะระคายรอบๆลำคอ แล้วก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ รวมทั้งมีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนโดยมากหลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร รวมทั้งไปซื้อยาลดกรด (antacids)  ที่มีจัดจำหน่ายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ถูกจุด ก็เลยพบว่าในปัจจุบันมีคนเจ็บมาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น  รวมทั้งหากปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังรวมทั้งรักษาด้วยวิธีที่ผิดต้อง อาจนำมาซึ่งการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดของกิน หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้
นอกจากนั้นยังสามารถจัดประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ชนิด เป็น

  • โรคกรดไหลย้อนปกติ หรือ CLASSIC GERD ซึ่งกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่ภายในหลอดของกิน ไม่ไหลย้อนเกินกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดของกินส่วนบน ส่วนใหญ่จะมีลักษณะของหลอดของกินแค่นั้น
  • โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอรวมทั้งกล่องเสียง (Laryngopharyngeal Reflux : LPR) คือโรคที่มีอาการทางคอและก็กล่องเสียง ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไหลย้อนไปของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดของกินส่วนบนอย่างไม่ดีเหมือนปกติ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดลักษณะของคอแล้วก็กล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด

ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่เจอได้ราว 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็พบมากอีกทั้งในผู้หญิงรวมทั้งในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงคนวัยแก่ แม้กระนั้นเจออัตราเกิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และก็เจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของพลเมืองอย่างยิ่งจริงๆ
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุที่เกี่ยวโยงกับความไม่ดีเหมือนปกติ ของแนวทางการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนของกินหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนกระทั่งหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อปิดกั้นไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงข้างล่างของหลอด ของกินนี้หย่อนยานสมรรถภาพ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกินมากกว่าธรรมดา (คนทั่วไปข้างหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่ส่งผลให้เกิดอาการ) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเปลี่ยนไปจากปกติ แล้วก็การอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้
ส่วนมูลเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทำงานไม่ดีเหมือนปกติยังไม่ทราบเด่นชัด แม้กระนั้นมั่นใจว่าอาจเกิดขึ้นจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนอายุมากกว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังรุ่งโรจน์ไม่สุดกำลัง (พบในเด็กแบเบาะ) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด
นอกเหนือจากนั้นความประพฤติในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นแนวทางการทำงานของหลอดของกินให้เกิดความผิดแปลกได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น เป็นต้นว่า นอนหลังรับประทานอาหารทันที รับประทานอาหารจำนวนมากข้างในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ พฤติกรรมต่างๆพวกนี้ล้วนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวการณ์กรดไหลย้อนได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
อาการของโรคกรดไหลย้อน  ลักษณะของคนป่วยนั้นขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด เช่น

  • อาการทางคอหอยแล้วก็หลอดของกิน
  • อาการปวดแสบร้อนบริเวณทรวงอก แล้วก็ลิ้นปี่ (Heartburn) หลังทานอาหาร 30-60 นาที หรือข้างหลังกินอาหารแล้วล้มตัวนอนลงราบ นั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ รัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่ออาทิตย์และก็อาการเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมงและก็บางครั้งบางคราวบางทีอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่บริเวณคอได้
  • รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือแน่นคอ
  • กลืนลำบาก กลืนเจ็บ หรือกลืนติดๆขัดๆคล้ายสะดุดสิ่งปลอมปนในคอ
  • เจ็บคอ แสบคอหรือปาก หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเวลาเช้า
  • รู้สึกเสมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)
  • มีเสลดอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดระยะเวลา
  • เรอบ่อย อ้วก เหมือนมีของกิน หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก เหมือนของกินไม่ย่อย (dyspepsia)
  • มีน้ำลายมากไม่ปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
  • อาการทางกล่องเสียง และหลอดลม
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงเปลี่ยนไปจากปกติไปจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในกลางคืน
  • กระแอมไอบ่อยครั้ง
  • อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้าเกิดมี) ห่วยแตกลง หรือไม่จากการใช้ยา
  • เจ็บอก (non – cardiac chest pain)
  • เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ
  • อาการทางจมูก และหู
  • คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอ
  • หูอื้อเป็นๆหายๆหรือปวดหู
  • บางรายอาจมาเจอหมอด้วยภาวะแทรกซ้อน อาทิเช่น มีอาการกลืนของกินแข็งทุกข์ยากลำบาก เหตุเพราะปล่อยให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังจนกระทั่งตีบ
  • ส่วนในเด็กทารกอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่แรกกำเนิดได้ ด้วยเหตุว่าหูรูดด้านล่างของหลอดอาหารยังเจริญไม่เต็มกำลัง เด็กแบเบาะจึงมักมีลักษณะอาการงอแง ร้องกวน อ้วกบ่อยครั้ง ไอบ่อยครั้งตอนค่ำ เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด เบื่อข้าว น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กแรกเกิดบางรายบางทีอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งบางทีอาจกำเริบเสิบสานได้หลายครั้ง แม้กระนั้นอาการชอบหายไปเมื่ออายุได้ประมาณ 6-12 เดือน แต่ว่าบางรายก็อาจคอยจนถึงไปสู่วัยรุ่นอาการจึงจะดีขึ้น
กระบวนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้ รวมทั้งบางทีอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่เปลี่ยนไปจากปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร และอาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติมอีก ดังเช่นว่า วัดภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ดังนี้สังกัดดุลยพินิจของแพทย์ เป็นต้นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์ปรมาณู, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น
แต่ว่าโดยส่วนมากแล้ว แพทย์ชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบได้มาก ดังเช่นว่า อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวข้างหลังกินอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติที่เป็นเหตุกำเริบ แม้กระนั้นในรายที่ไม่ชัดแจ้งอาจจะต้องกระทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งเจอได้นานๆครั้ง)
ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน

  • การเปลี่ยนแปลงนิสัย และก็การดำรงชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) การรักษาแนวทางลักษณะนี้มีความหมายที่สุดสำหรับการทำให้คนไข้มีลักษณะลดน้อยลง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการ และก็ลดการกลับเป็นซ้ำ โดยลดจำนวนกรดในกระเพาะ แล้วก็ปกป้องไม่ให้กรดไหลถอยกลับขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอรวมทั้งกล่องเสียงมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุว่าโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายสนิท (ยกเว้นจะผ่าตัดปรับแก้) การรักษาแนวทางนี้ควรปฏิบัติไปทั้งชีวิต เพราะเหตุว่าเป็นการรักษาที่มูลเหตุ แม้ว่าคนป่วยจะมีอาการ หรือหายก็ดีโดยไม่ต้องรับประทานยาและก็ตาม ผู้เจ็บป่วยควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี้

             ควรจะอุตสาหะลดหุ่น
             มานะหลบหลีกความเครียด
             เลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป
             หากมีลักษณะท้องผูก ควรจะรักษา และก็หลบหลีกการเบ่ง
             ควรบริหารร่างกายบ่อย
             หลังจากกินอาหารในทันที อุตสาหะหลบหลีกการนอนราบ
             หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อดึก
             กินอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ
             เลี่ยงเครื่องดื่มบางชนิด อาทิเช่น กาแฟ น้ำอัดลม
             ถ้าเกิดจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรรอประมาณ 3 ชั่วโมง

  • การรักษาด้วยยา กรณีที่ปรับเปลี่ยนความประพฤติแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นจะต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรจะรับประทานยาตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และก็ถ้ามีคำถามควรขอความเห็นหมอหรือเภสัชกร

             ปัจจุบันยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด  คือ ยาลดกรดในกลุ่มยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) อาทิเช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีคุณภาพสูงมากสำหรับในการคุ้มครองลักษณะโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาติดต่อกันตรงเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรืออาจจำต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายเดือนขึ้นกับคนป่วยแต่ละราย อาทิเช่นในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นช่วงๆตามอาการที่มี  หรือกินอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
             บ้างครั้งอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อาทิเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรจะกินก่อนอาหารราว 30 นาที

  • การผ่าตัด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดของกิน คอและกล่องเสียง การรักษาวิธีแบบนี้จะทำใน

             ผู้ป่วยที่มีลักษณะร้ายแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น
             คนไข้ที่ไม่สามารถกินยาที่ใช้สำหรับในการรักษาสภาวะนี้ได้
             คนไข้ที่หลังจากการใช้ยา แต่ว่าไม่ได้อยากต้องการที่จะกินยาต่อ
             ผู้เจ็บป่วยที่กลับกลายซ้ำบ่อยหลังหยุดยา
ทั้งนี้คนไข้ที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายแนวทาง อย่างเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคกรดไหลย้อน

  • อายุ ยิ่งสูงมากขึ้น จังหวะกำเนิดโรคนี้ยิ่งสูงขึ้น
  • การกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณสูง โดยยิ่งไปกว่านั้นรับประทานมื้อเย็นก่อนนอน ด้วยเหตุว่าจำนวนของกินยังค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร รวมทั้งการนอนราบยังเพิ่มแรงกดดันในกระเพาะ อาหารและก็กรดจึงไหลย้อนกลับมาเข้าหลอดอาหารได้ง่าย
  • การกินอิ่มมากมายไป (รับประทานอาหารมื้อใหญ่หรือจำนวนมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามากมาย ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะทำให้หูรูดคลายตัวเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน (ยกตัวอย่างเช่น กาแฟ ยาชูกำลัง) นอกจากกระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย
  • การกินอาหารที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดแล้วก็อาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะขยับเขยื้อนช้าลง ทำให้ได้โอกาสกำเนิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
  • โรคหืด เชื่อว่ามีต้นเหตุมาจากการไอและก็หอบ ทำให้เพิ่มแรงกดดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อน
  • การสูบยาสูบ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินอาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (อย่างเช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางชนิด (อย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดความดันกรุ๊ปห้ามบีตาและกรุ๊ปต่อต้านแคลเซียม ยาทางจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน ฯลฯ) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งมากเพิ่มขึ้น
  • แผลเพ็ปติก และการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้อาหารขับเคลื่อนลงสู่ลำไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้
  • โรคอ้วน เนื่องจากว่าจะก่อให้มีความดันในช่องท้องสูงมากขึ้น ความดันในกระเพาะอาหารก็เลยสูงมากขึ้นตามไปด้วย
  • การมีครรภ์ เพราะจะเป็นการเพิ่มระดับความดันในกระเพาะอาหารจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
  • เบาหวาน เมื่อเป็นโรคนี้นานๆจะมีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะขับเคลื่อนช้า ก็เลยนำไปสู่กรดไหลย้อนได้
  • ความตึงเครียด ด้วยเหตุว่าความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • การมีโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal hernia, Diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ ทำให้หูรูดอ่อนแอเพิ่มมากขึ้น

การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกิดจากความไม่ปกติของกล้ามหูรูดส่วนล่างของหลอดของกิน ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารและเกิดการอักเสบและก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน

  • กินยาให้ครบรวมทั้งตลอดตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการเกิดขึ้นอีก แล้วอุตสาหะเลี่ยง เช่น อาหารมัน (รวมถึงข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) ของกินเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ ยาสูบ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน น้ำอัดลม     น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางจำพวก
  • หลบหลีกการกินอาหารจำนวนมาก (หรืออิ่มจัด) และก็เลี่ยงการดื่มน้ำมากมายๆระหว่างกินอาหาร ควรกินอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย และก็ทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง
  • หลังทานอาหารควรปลดสายรัดเอวและตะขอกางเกงให้หละหลวม ไม่สมควรนอนราบหรือนั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งตัวตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง เลี่ยงการยกของหนักและก็การออกกำลังกายหลังอาหารใหม่ๆ
  • หมั่นออกกำลังกายแล้วก็คลายเครียด เนื่องเพราะความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดเยอะขึ้น ทำให้อาการกำเริบได้
  • หากน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรหาทางลดความอ้วน
  • หากมีลักษณะอาการกำเริบตอนไปนอน หรือตื่นนอนตอนเช้า มีอาการเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรหนุนหัวสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านหัวให้สูง หรือใช้วัสดุอุปกรณ์พิเศษ (bed wedge pillow) ใส่ใต้ที่นอนให้เอียงลาดจากหัวลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่แนะนำให้ใช้วิธีหนุนหมอนหลายใบให้สูง ด้วยเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในท้องมากยิ่งขึ้น ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้
  • งด/เลิก ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ/สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง
  • พบหมอตามนัดเสมอ และรีบพบหมอก่อนนัดหมายเมื่ออาการต่างๆชั่วช้าสารเลวลงหรือผิดไปจากเดิม

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคกรดไหลย้อน การป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นหัวใจหลักที่จะสามารถคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำรงชีวิตของพวกเรา ตัวอย่างเช่น

  • เลือกรับประทานอาหารรวมทั้งเสี่ยงรับประทานอาหารโดยของกินที่ควรเลี่ยง เป็นต้นว่า

             ชา กาแฟ และก็น้ำอัดลมทุกชนิด
             อาหารทอด ของกินไขมันสูง
             ของกินรสจัด รสเผ็ด
             ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
             หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
             ช็อกโกแลต

  • ทานอาหารมื้อเล็กๆพออิ่ม การกินอิ่มเกินไปจะมีผลให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายขึ้นรวมทั้งก่อให้เกิดการย้อนของกรดง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  • ไม่สมควรนอนหรือเอนกายหลังอาหารโดยทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จควรรอคอยขั้นต่ำ 3 ชั่วโมงก็เลยเอนตัวนอน เพื่อของกินขับเคลื่อนออกมาจากกระเพาะอาหารซะก่อน
  • งดเว้นยาสูบและก็เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ สารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหารแล้วก็ทำให้หูรูดอ่อนแด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้ด้วยเหมือนกัน
  • ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร เสื้อผ้าแล้วก็เข็มขัดที่รัดแน่นรอบๆฝาผนังพุง การก้มตัวไปข้างหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นต้นเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะของกินและทำให้กรดไหลย้อนไป
  • ความเครียดลดลง ความเครียดที่มากเกินไปจะมีผลให้อาการแย่ลง จำเป็นจะต้องหาเวลาพักผ่อนแล้วก็ออกกำลังกายให้สมดุลกับตารางชีวิต
  • รักษาโรคประจำตัวที่เป็นต้นเหตุที่จะส่งผลให้เกิดโรคกรดไหลย้อน เป็นต้นว่า โรคเบาหวาน โรคหืด โรคอ้วน แผลเท็ปว่ากล่าวก อื่นๆอีกมากมาย
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง / รักษาโรคกรดไหลย้อน
ยอ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia สกุล Rubiaceae มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ผลลัพธ์ที่ดี เท่าๆกับยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษากรดไหลย้อนหมายถึงรานิติดีน (ranitidine) และก็แลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต่อต้านการเกิดแผล และก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับเพื่อการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาลักษณะของกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งจากการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยข้างต้น และการที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ของกินไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะ ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยทำให้กระเพาะบีบเคลื่อนได้ดีขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
ทั้งนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ร่วมกัน คือ ขมิ้นชัน เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับในการรักษาอาการท้องอืด รวมทั้งช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือในกระเพาะ รวมทั้งลำไส้เล็กนานเหลือเกิน ทั้งยังช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้กินขมิ้นชันก่อนที่จะรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ยามเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินคือ ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มิลลิกรัม
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์     Curcuma longa L. ตระกูล     Zingiberaceae ชื่อพ้อง  C. domestica Valeton  ชื่ออื่นๆ   ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์                curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากบาดแผลเจริญ การทดลองในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มก./กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดลองเทียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มก./กก. พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้กระนั้นถ้าสูงขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต้านการอักเสบจะต่ำลง แล้วก็ sodium curcuminate ยังสามารถยั้งการบีบตัวของไส้หนูในหลอดทดสอบที่เหนี่ยวนำจากนิโคติน อะซีว่ากล่าวลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนและก็ธาตุแบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้
ขมิ้นสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะ โดยกระตุ้นการหลั่งมิวซินมาเคลือบและก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับในการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กก. สามารถกระตุ้นการหลั่งไม่วซินออกมาเคลือบกระเพาะอาหาร แต่ว่าถ้าเกิดใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดแผลในกระเพาะอาหารได้
มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมาก พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนน้ำย่อยรวมทั้งกรดในกระเพาะอาหาร แต่ว่าเพิ่มส่วนประกอบของไม่วซิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีคุณประโยชน์และก็ถูกนำมาใช้สำหรับการรักษาโรคสูงที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนสูง นอกจากนี้ถูกจัดไว้ในตำราเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งคุณประโยช์จากใบย่านางสำหรับในการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ไส้อักเสบ   -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้          -ช่วยรักษาลักษณะของกรดไหลย้อน
รักษาและก็ป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง  -ช่วยคุ้มครองปกป้องแล้วก็บรรเทาการเกิดโรคหัวใจ  -ช่วยปกป้องและก็ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้  -ช่วยรักษาลักษณะโรคโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้น้อยลง
ระบบผิวหนัง  -ช่วยสำหรับในการรักษาโรคเริม งูสวัด   -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบสืบพันธุ์แล้วก็ฟุตบาทเยี่ยว  -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี   -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินฉี่
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยทำนุบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารภายในร่างกายและก็ช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมถึงโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง

  • Rao TS, Basu N, Siddiqui HH.  Anti-inflammatory activity of curcumin analogs.  Indian J Med Res 1982;75:574-8.
  • รศ.ดร.สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ.เกิร์ด (GERD)-โรคกรดไหลย้อน.ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคกรดไหลย้อน/เกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease/GERD)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  ห
108  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคอัไซเมอร์ มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2018, 09:46:14 am

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease)
โรคอัลไซเมอร์เป็นอย่างไร โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นเยี่ยมในโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด โรคนี้ศึกษาค้นพบคราวแรกโดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ Alois Alzheimer ในปี พ.ศ. 2499 ซึ่งมีสาเหตุจากการเสียชีวิตของเซลล์สมอง ทำให้รูปแบบการทำงานของโรคสมองเสื่อมลง จนกว่ามีผลเสียต่อกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย ในตอน 8 -10 ปี ภายหลังเริ่มมีลักษณะและไม่ได้รับการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะมีลักษณะโรคสมองเสื่อมรุนแรงยิ่งขึ้น
            โดยโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer,s disease, AD) นี้มีสัดส่วนคิดเป็นปริมาณร้อยละ 50 ของผู้เจ็บป่วยภาวการณ์สมองทั้งสิ้น จะมีลักษณะหลงๆลืมๆ โดยจะลืมเรื่องที่พึ่งจะเกิดขึ้นใหม่ๆในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ลืมว่าวันนี้ทานอาหารรุ่งเช้าหรือยัง ลืมว่าเคยพบคนไหนกันแน่ในวันนี้ ถูกใจพูดย้ำ ถามคำถามซ้ำ สติปัญญาความฉลาดเฉลียวน้อยลง ความสามารถต่างๆเริ่มสูญเสียไป การดำเนินของโรคจะค่อยๆเป็น ค่อยๆไป รวมทั้งทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆซึ่งเป็นโรคที่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้
            ในปี ค.ศ.2007 มีการรายงานว่าอเมริการมีคนเจ็บเป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer,s disease, AD) สูงถึง 5 ล้านคน แล้วก็จะมากเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านคน ในอีก 40 ปีด้านหน้า ในประเทศทางแถบซีกโลกตะวันตก พบว่าโรคอัลไซเมอร์จะเกิดกับคนสูงอายุเป็นส่วนมาก โดยอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากขึ้นตามอายุ จากบุคคลที่แก่ 60-64 ปี มีอัตราเสี่ยงราว 1-3% บุคคลที่มีอายุมากยิ่งกว่า 65 ปี มีอัตราเสี่ยง 6-8% และก็เพิ่มขึ้นเป็น 30-40% ในบุคคลที่แก่กว่า 85 ปี
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ ปัจจัยรวมทั้งการดำเนินโรคขอโรคอัลไซเมอร์[/url]ยังไม่เป็นที่รู้ดีนักในตอนนี้ งานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยชี้ว่าโรคนี้มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างคล้ายคราบเปื้อนในสมองที่เรียกว่า พลาก (plaque) แล้วก็แทงเกิล (tangle)  และความไม่ปกติที่ส่งผลโดยตรงต่อสมอง ซึ่งเป็นศูนย์การสื่อสารที่น่าประหลาดสำหรับเพื่อการควบคุมความรู้สึก และการโต้ตอบ การติดต่อสื่อสารที่สำคัญต่างๆภายในร่างกายจะถูกส่งผ่านสมอง โดยมีสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (NEURO-TRANMITTER) เป็นตัวติดต่อ สารนี้จะช่วยนำคำสั่งจากสมองไปยังอวัยวะจุดหมายเพื่อเกิดการดำเนินงานขึ้น สำหรับสารสื่อประสาทที่มีความสำคัญอย่าง  ยิ่งต่อความจำของคนเป็น สารอะเซติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าสารนี้ช่วยทำให้มนุษย์มีความรู้และความเข้าใจสำหรับเพื่อการจำ และถ้าในสมองมีสารนี้ลดลงมากจะก่อให้เซลล์สมองมีปัญหาในการติดต่อ แล้วก็พบว่าคนเจ็บโรคอัลไซเมอร์หรูหราของสารอะเซติลโคลีนน้อยลงอย่างยิ่ง ซึ่งมั่นใจว่าเป็นเหตุทำให้ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการจำและก็การใช้เหตุผลของคนไข้น้อยลงตามไปด้วย  และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกดังเช่น ผู้ป่วยโดยประมาณ 7% เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ แล้วก็สามารถถ่ายทอดสู่บุตรหลานได้ ตำแหน่งความเปลี่ยนไปจากปกติบนโครโมโซมที่เจอแจ่มชัดแล้วว่าก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์อยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 21, 14, 1, และ 19 คนที่มีความผิดปกติของกรรมพันธุ์กลุ่มนี้ จะมีอาการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่อายุน้อยกว่าไม่ได้มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ยิ่งกว่านั้นพบว่าในคนป่วยโรคกลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) ซึ่งมีความผิดธรรมดาเป็นมีสารพัดธุกรรมของโครโมโซมแท่งที่ 21 เกินมา ถ้าหากมีชีวิตอยู่เกิน 40 ปี จะมีอาการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ท้ายที่สุด

อาการของโรคอัลไซเมอร์
ในระยะก่อนโรคสมองเสื่อม (Predementia) อาการแรกสุดมักจะรู้ผิดว่าเกิดขึ้นเองจากความเฒ่า หรือเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาวะเครียด ความผิดพลาดที่เห็นกระจ่างเป็นการสูญเสียความจำ คือพากเพียรจำข้อมูลที่เรียนรู้เมื่อไม่นานมานี้มิได้และไม่สามารถรับข้อมูลใหม่ๆได้ ในระยะก่อนแสดงอาการทางคลินิกนี้อาจเรียกอีกอย่างว่า ความบกพร่องทางการทราบบางส่วน (mild cognitive impairment)
โรคสมองเสื่อมช่วงแรก (Early dementia) อาการเริ่มแรกมักเป็นการลืมเรื่องราวที่เพิ่มเกิดขึ้นใหม่ๆไม่นาน ในตอนที่ความจำเรื่องเก่าๆในสมัยก่อนจะยังดีอยู่ คนป่วยอาจถามซ้ำเรื่องที่เพิ่มบอกไปหรือกล่าวซ้ำเรื่องที่พึ่งเล่าให้ฟัง นอกนั้นยังอาจมีอาการอื่นๆดังเช่น วางของแล้วลืม ทำอะไรที่เคยทำประจำไม่ได้ งงมากเรื่อง วัน เวลา สถานที่ นึกคำบอกเล่าไม่ค่อยออกหรือใช้คำไม่ถูกๆแทน มีอารมณ์ การกระทำและก็บุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การตัดสินใจห่วยแตกลง ไม่อาจจะมีความคิดเริ่มใหม่ๆได้ อาการต่างๆเหล่านี้จะค่อยเริ่มเปลี่ยน จนกระทั่งสร้างปัญหาต่อการทำงานและกิจวัตรที่ทำเป็นประจำ
สมองเสื่อมระยะปานกลาง (Moderate dementia) เมื่ออาการของโรคเริ่มพัฒนาถึงขั้นถัดมา ผู้เจ็บป่วยจะยิ่งมีปัญหาด้านความทรงจำ คนเจ็บมักจำเป็นต้องได้รับความให้การช่วยเหลือสำหรับในการดำเนินชีวิตทุกวัน อาทิเช่น การทานอาหาร การอาบน้ำแต่งตัว รวมทั้งการเข้าห้องสุขาทำธุระส่วนตัว โดยอาการที่แสดงมากขึ้นอาจมีดังนี้
การจำชื่อของคนรู้จักกันกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นทุกครั้ง บากบั่นคิดชื่อเพื่อนพ้องแล้วก็ครอบครัวแม้กระนั้นคิดไม่ออก
เกิดภาวะงวยงงแล้วก็สูญเสียการรับรู้ด้านสถานที่ เวลา รวมทั้งบุคคล ยกตัวอย่างเช่น หลงทาง หรือเดินไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่เคยทราบวันเวลา
การทำกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันที่มีหลายกระบวนการเปลี่ยนเป็นเรื่องยากขึ้น ดังเช่น การแต่งตัว
มีพฤติกรรมหมกมุ่น ทำอะไรซ้ำๆหรือวู่วาม
ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจของใหม่ๆมีปัญหาสำหรับการจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย
มีอาการหลงทาง เชื่อในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงอย่างวางใจ รวมทั้งบางทีอาจรู้สึกหวาดระแวงหรือสงสัยในเพศผู้ดูแลหรือครอบครัวของตน
มีปัญหาเกี่ยวกับการพูดหรือการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร
มีปัญหาด้านการนอน
กำเนิดความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ตัวอย่างเช่น อารมณ์ไม่คงที่ ปรวนแปรบ่อยครั้ง มีภาวการณ์กลัดกลุ้ม หรือวิตกกังวล หงุดหงิด ใจไม่ดียิ่งขึ้นเรื่อย
ทำงานที่จำต้องใช้การกะระยะได้ทุกข์ยากลำบาก
มีลักษณะประสาทหลอน
สมองเสื่อมระยะท้ายที่สุด (Advanced dementioa) ระยะที่อาการของโรครุนแรงขึ้นอย่างยิ่งจนนำความเศร้าเสียใจและกังวลมาให้บุคคลสนิทสนม ในตอนนี้คนป่วยอาจต้องได้รับการดูแลและก็ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลตลอด ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร การเคลื่อนไหว หรือการเข้าส้วม
อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนที่เป็นๆหายๆกลับยิ่งห่วยแตกลงเรื่อยๆ
ผู้ป่วยอาจอาละวาด เรียกร้องความพอใจ และไม่ไว้เนื้อเชื่อใจผู้คนรอบข้าง
กลืนและก็รับประทานอาหารตรากตรำ
เปลี่ยนอิริยาบถหรือเคลื่อนตนเองทุกข์ยากลำบาก จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูล
น้ำหนักน้อยลงมากมาย แม้ว่าจะทานอาหารมากมายหรือพยายามเพิ่มน้ำหนักและตาม
มีลักษณะอาการชัก
กลั้นเยี่ยวหรืออุจจาระไม่อยู่
ค่อยๆสูญเสียความสามารถในการบอกลงไปทีละน้อยจนกระทั่งไม่สามารถที่จะติดต่อสื่อสารได้
มีปัญหาด้านความจำในระยะสั้นและระยะยาวอย่างร้ายแรง
ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรคอัลไซเมอร์
อายุ โดยภาวการณ์เสี่ยงจะเยอะขึ้น เมื่อมีอายุเยอะขึ้นโดยช่วงอายุระหว่าง 65-74 ปี พบว่าจะมีอัตราเสี่ยงโดยเฉลี่ย 3% ช่วงอายุระหว่าง 75-84 ปี พบว่ามีอัตราเสี่ยงสูงขึ้นเป็น 19%
กรรมพันธุ์ และ กรุ๊ปอาการ Down Syndrome จากการศึกษาพบว่าในฝาแฝดแม้ ถ้าคู่แฝดคนหนึ่งป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์แล้ว ฝาแฝดอีกคนหนึ่งจะมีภาวการณ์ความเสี่ยงมากถึง 40-50% และนอกจากนั้นหากว่ามีเครือญาติในครอบครัวมีอาการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ พบว่าก็จะจังหวะเสี่ยงสำหรับการเป็นเพิ่มสูงขึ้น ในเรื่องพันธุกรรมพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของยีนและก็ในผู้ที่เป็น Down Syndrome ถ้าเกิดแก่ยืนถึง 40-50 ปี จะพบว่ามีภาวการณ์โรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้
สาเหตุทางสิ่งแวดล้อม แม้ยีนจะเป็นสาเหตุที่บ่งถึงอัลไซเมอร์ในคู่แฝดแท้ แต่แม้กระนั้นสภาพแวดล้อมก็น่าจะเป็นอีกต้นเหตุหนึ่งที่เสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ เพราะว่าพบว่าแฝดนั้นบางทีอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ต่างกันถึง 15 ปี และก็คนแก่ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในฮาวายจะมีอัตราการเป็นอัลไซเมอร์สูงกว่าคนสูงอายุที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
การตรวจเจอโปรตีนในยีนที่อยู่ในโครโมโซมคู่ที่ 19 ผลจากหายๆการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยบอกว่า apolipoprotein E4 (APOE4) จะเพิ่มภาวะความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์อย่างไม่บ่อยนัก จากการเรียนพบว่าคนที่ใช้ยาในกลุ่ม NSAIDS บ่อยๆ เป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 2 ปี มีอัตราเสี่ยงลดลงถึง 30-60% ที่จะเป็นอัลไซเมอร์ งานศึกษาเรียนรู้อีกขั้นหนึ่งบอกว่าหลังจากที่มีการใช้ NSAIDS มากขึ้นพบว่า ภาวการณ์ความเคลื่อนไหวทางจิตใจรวมทั้งอารมณ์ลดน้อยลง
การใช้ไหมได้ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ระยะสั้นในวัยหมดประจำเดือนจากหลายๆกรณีการวิจัย พบว่าหญิงในวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนสามารถคุ้มครองปกป้องหรือ ชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้ ดังนั้นฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจมีผลต่อการช่วยรักษาโรคนี้ได้
สภาวะขาดสารอาหารที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นที่ชื่อกันว่า โมเลกุลออกสิเจน ภายในร่างกาย หรือ เรียกว่า Free radicles เป็นต้นต่อของการเกิดโรคมะเร็งโรคลำไส้และยังมีส่วนนำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ได้สารอาหารที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นส่วนประกอบ อาทิเช่น วิตามินเอ ซี อี ซีเลเนียม
ภาวะกำเนิดสมองกระทบกระเทือน มีหลักฐานที่แนะนำว่าการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนทำให้สลบ จะส่งผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิดช่องทางเป็นอัลไซเมอร์สูงขึ้น
โรคเส้นเลือดหัวใจ โรคนี้มีต้นเหตุการเกิดมาจากการกระทำการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ทางที่ดีควรปรับเปลี่ยนด้วยการเลิกดูดบุหรี่ กินอาหารเป็นประโยชน์ รักษาน้ำหนักให้ไม่มากเกิน ดื่มแอลกอฮอล์ให้ลดน้อยลง และก็ตรวจสุขภาพบ่อยๆ เพื่อปกป้องโรคเส้นเลือดหัวใจและก็โรคอัลไซเมอร์ไปในคราวเดียวกัน เพศ (SeX) จากรายงานการศึกษาเล่าเรียนทางระบาดวิทยา พบว่าเพศเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของความเจริญของสภาวะโรคสมองเสื่อมด้วยเหมือนกัน โดยพบว่าเพศหญิงได้โอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเพศชายถึง 3.5 เท่าการบริหารร่างกาย (Physical activity) จากรายงานการวิจัยหลายฉบับรับรองได้ว่า การออกกำลังกายในคนชราจะตอนเพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับในการทำความเข้าใจ (cognitive function)  ยิ่งกว่านั้นยังช่วยลดความถดถอยสำหรับเพื่อการศึกษา (cognitive decline) ลงได้ ดังนั้นผู้ที่ไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้มากกว่าคนที่ออกกำลังกาย
แนวทางการรักษาโรคอัลไซเมอร์  ในการตรวจพื้นฐานจะไตร่ตรองจากอาการที่คนป่วยหรือคนใกล้ชิดบอกกล่าว รวมทั้งถามครอบครัวหรือคนที่อยู่รอบข้างของผู้ป่วยเกี่ยวกับสุขภาพโดยรวม ความเป็นมาสุขภาพ ความสามารถสำหรับเพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน ความประพฤติแล้วก็ลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วย รวมถึงใช้การถามคำถามหรือทำข้อสอบความจำ การจัดการปัญหา การนับเลข หรือทักษะทางด้านภาษา เพื่อตรวจทานลักษณะการทำงานของสมองในแต่ละส่วนและก็พินิจพิเคราะห์ว่าควรจะรับการตรวจเพิ่มเติมหรือส่งให้ผู้ชำนาญเฉพาะทางตรวจรักษาถัดไปไหม
ฉะนั้นเมื่อวิเคราะห์จากอาการได้แล้วว่าคนป่วยมีภาวะของจำอะไรไม่ค่อยได้เกิดขึ้น ขั้นถัดไปหมอต้องตรวจค้นสาเหตุของความจำเสื่อมนั้น โดยอาศัยการตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องทดลองและการเอกซเรย์ต่างๆเพื่อให้การวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุของจำอะไรไม่ค่อยได้ รวมทั้งให้การรักษาที่ถูกต้องถัดไป ตัวอย่างเช่น การเจาะเลือดดูสภาวะไทรอยด์ฮอร์โมน การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองเพื่อมองว่ามีเนื้องอกในสมอง มีเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมองหรือเปล่า ฯลฯ   ถ้าหากการตรวจวิเคราะห์ไม่เจอต้นสายปลายเหตุอื่นๆประกอบกับอาการรวมทั้งการทดสอบทางสมองรวมทั้งภาวะจิต เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยของโรคอัลไซเมอร์ ก็เลยจะวินิจฉัยว่าคนเจ็บเป็นโรคอัลไซเมอร์    ในเรื่องที่มีปัญหาสำหรับการวิเคราะห์ บางทีอาจจำต้องอาศัยการตัดชิ้นเนื้อสมองเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
ตอนนี้ยังไม่มีแนวทางการรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาด การดูแลรักษาด้วยยาบางทีอาจช่วยรักษาอาการที่เป็นได้มากมายน้อยแตกต่างกันไป แต่ไม่มียาตัวไหนที่จะสามารถชะลอหรือหยุดการดำ เนินของโรคได้ แบ่งการดูแลรักษาออกได้เป็น3 รูปแบบ ดังเช่น
การดูแลและรักษาด้วยยา แบ่งเป็น
การรักษาอาการสูญเสียความจำ ปัจจุบันนี้มียาอยู่ 4 ประเภทที่ได้รับการยืนยันจากภาควิชา ผู้ตัดสินอาหารรวมทั้งยาที่อเมริกา ในการประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ คือ Donezpezil , Rivastigmin, Galantamine, และก็ Memantine มีการศึกษาเล่าเรียนพบว่า การใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba) ช่วยบรร เทาลักษณะของผู้ป่วยได้ แต่ก็ยังการศึกษาต่ำรับรองแจ่มแจ้ง บางการศึกษาพบว่าการให้วิตามินอี เสริมในขนาดสูงจะช่วยชะลอการตายได้ แต่ก็อาจมีผลกระทบต่อระบบหัวใจรวมทั้งเส้นเลือดได้
การดูแลและรักษาอารมณ์และก็พฤติกรรมที่รุนแรง รวมถึงอาการประสาทหลอน โดยการใช้ยารักษาโรคจิตมารักษาตามอาการที่ปรากฏ
การดูแลและรักษาทางด้านจิตสังคม อาทิเช่น
การดูแลและรักษาที่มุ่งเน้นการกระตุ้นสมอง ดังเช่น ศิลป์บำบัดรักษา ดนตรีบรรเทา การบำบัดโดยอาศัยสัตว์เลี้ยง
การบำบัดด้วยการรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต เช่น การจับกลุ่มทำกิจกรรมแลก แปลงประสบการณ์ในอดีตกาล การใช้รูปถ่าย สิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน ดนตรี ที่ผู้ป่วยรู้จักดีในอดีตมาช่วยฟื้นความจำ
การให้เข้าไปอยู่ภายในห้องที่เรียกว่า Snoezelen room ซึ่งเป็นห้องที่ดีไซน์ให้มีสิ่งแวดล้อมภายในที่เหมาะสมกับกรรมวิธีกระตุ้นการรับทราบและก็ความรู้สึกที่หลากหลาย ที่เรียกว่า Multisensory integration อันดังเช่นว่า การมองมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับสัมผัส และก็การเคลื่อนไหว
การให้การดูแลคนไข้ เป็นเรื่องจำเป็นที่สุด คนที่อยู่สนิทสนมต้องเข้าใจอาการโรคจะต้องทำใจ สารภาพ รวมทั้งทรหดอดทน ไม่ทอดทิ้งผู้เจ็บป่วยไว้ผู้เดียว และก็รู้เรื่องการดำเนินของโรคว่า คนป่วยต้องอาศัยความช่วยเหลือที่จะตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
การติดต่อของโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากโรคอัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในโรคของภาวการณ์โรคสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นมาจากความเปลี่ยนไปจากปกติของสมอง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คน

การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์
 ผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการของความจำไม่ดีควรหยุดขับรถด้วยตนเองคนเดียว ไม่สมควรไปยังสถานที่ไม่คุ้นเคยคนเดียวหรือไปทำธุระผู้เดียวโดยยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดเป็นสิ่งจำเป็น เช่น ธุรกรรมด้านการเงิน แล้วก็เมื่อมีอาการมากมายแล้วควรจะมีผู้ดูแลใกล้ชิดตลอดระยะเวลา
คนเจ็บจำต้องไปพบหมอหรือให้ผู้ดูแลพาไปพบแพยท์ตามนัดหมายบ่อย เพื่อประเมินอาการต่างๆติดตามการใช้ยา แล้วก็ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ผู้เจ็บป่วยควรจะพกป้ายประจำตัว หรือใส่สายข้อมือที่ระบุชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรติด ถึงแม้ว่าจะชัดแจ้ง เพื่อป้องกันการพลัดหลงหากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน หรือเกิดเดินหนีออกนอกบ้านไปคนเดียว
ควรมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในบ้าน เพื่อให้คนเจ็บมีความปลอดภัยและก็ลดภาระหน้าที่ต่อผู้ดูแลได้บ้าง ดังเช่นว่า การล็อกบ้านแล้วก็รั้วไม่ให้ผู้ป่วยออกนอกบ้านไปผู้เดียว การตำหนิดป้ายบนของใช้ต่างๆด้านในภายให้แจ้งชัดโดยกล่าวว่าเป็นยังไง ใช้งานอย่าง ไร การต่อว่าดป้ายหน้าห้องต่างๆให้แจ่มชัดว่าเป็นห้องอะไร ฯลฯ
คนป่วยควรจะหากิจกรรมทำ รวมทั้งควรเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับผู้ที่ดูแลและผู้ที่อยู่ในบ้าน เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้คนป่วยบ่อย
ผู้ป่วยควรจะบริหารร่างกายเท่าที่จะทำเป็นเพื่อให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงซึ่งส่งผลที่ดีไปถึงสมองได้
การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคอัลไซเมอร์ ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในการคุ้มครองป้องกันโรคนี้ แม้กระนั้นการกระทำตัวบางสิ่งบางอย่างอาจช่วยให้สมองมีความจำที่ดีได้ อาทิเช่น
เลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้ทำให้เป็นอันตรายแก่สมอง ดังเช่น การดื่มเหล้าจัด การสูบยาสูบ การรับประทานยาโดยไม่จำเป็น
การฝึกฝนสมอง เป็นต้นว่า การพยายามฝึกให้สมองได้คิดเสมอๆเป็นต้นว่า อ่านหนังสือ แต่งหนังสือเป็นประจำคิดเลข ดูเกมส์ตอบปัญหา ฝึกฝนการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆเป็นต้น
บริหารร่างกายเป็นประจำ อาทิตย์ละ 3-5 ครั้ง ได้แก่ เดินเที่ยว รำมวยจีน ฯลฯ
การพูดคุย พบปะสนทนาคนอื่นเสมอๆอย่างเช่น ไปวัด ไปปาร์ตี้ต่างๆหรือเข้าชมรมคนวัยแก่ ฯลฯ
ตรวจสุขภาพรายปี หรือหากมีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็จะต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ ตัวอย่างเช่น การตรวจหา ดูแลและก็รักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ฯลฯ
ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง ระวังการหกล้ม ฯลฯ
พยายามมีสติในสิ่งต่างๆที่กำลังทำและฝึกฝนสมาธิอยู่ตลอดเวลา
พากเพียรไม่คิดมาก ไม่เครียด หากิจกรรมต่างๆทำเพื่อเครียดลดลง เพราะว่าความเครียดและอาการกลัดกลุ้มอาจก่อให้จำอะไรได้ไม่ดี
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคอัลไซเมอร์
ขมิ้นชัน  หรือ  ขมิ้น  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa L. มีรายงานการวิจัยหลายฉบับยืนยันว่าสาร curcumin มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ สาร curcumin มีคุณลักษณะคุ้มครองปกป้องเซลประสาทในสมองของสัตว์ทดสอบจากการทำลายของสารเอทานอล (ethanol-induced brain injury) สารชนิดนี้ยังช่วยลดจำนวน lipid peroxide แล้วก็เพิ่มปริมาณ glutathione ในสมองหนูแรท สาร curcumin และ curcuminoids ที่ได้จากเหง้าขมิ้น มีฤทธิ์ชมรมกับการต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งการต้านการอักเสบ ที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์
บัวบก มีชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica L. มีรายงานการวิจัยพบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบบัวบก ซึ่งประกอบด้วยสารกรุ๊ป monoterpenes อาทิเช่น bornyl acetate, α-pinene, β-pinene, γ-terpinene มีฤทธิ์ยั้งการทำงานของเอ็นไซม์acetylcholinesterase  พบว่าสารสกัดประเภทนี้มีฤทธิ์กล่อมประสาท (tranquilizing) ซึ่งเกิดขึ้นจากสารสามเทอร์ตะกาย (triterpenes) ที่ชื่อว่า brahmoside สารสกัดจากใบบัวบกยังมีฤทธิ์กดประสาท (sedatvie) ต้านทานอาการหม่นหมอง (antidepressant) และก็มีฤทธิ์เป็น cholinomimetic ในสัตว์ทดลอง จากการค้นพบนีก็เลยบางทีอาจนำบัวบกไปใช้รักษาอาการไม่มีชีวิตชีวาแล้วก็อาการเป็นห่วงในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้ โดยส่งผลกระตุ้นระบบ cholinergic activity รวมทั้งทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นสำหรับการเรียนรู้ (cognitive function)
ถั่ว  นอกจากถั่วจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ก็ดีแล้ว ถั่วยังเป็นแหล่งของวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระระดับแม่ทัพตามธรรมชาติ รวมทั้งเป็นแหล่งของเกลือแร่ที่มีส่วนสำคัญในระบบลักษณะการทำงานของร่างกาย รวมทั้งระบบการนำประสาทต่างๆด้วย ดังเช่นว่า แมกนีเซียม สังกะสี ซีลีเนียม ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ใบติดก้วย (Ginkgo biloba) เป็นสมุนไพรจีนยอดนิยมไปทั่วโลกมีสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดเยี่ยม และมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการเพิ่มสมาธิและก็ความทรงจำ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.อารีย์ ตัณฑ์เจริญรัตน์. โรคอัลไซเมอร์  ALZHE1MER DISEASE. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.ปีที่ฉบับที่2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2553.หน้า 169-182.
  • ภก.ผศ.ชาญชัย สาดแสงจันทร์.ศักยภาพของพืชสมุนไพรไทยกับภาวะสมองเสื่อม.วารสารไทภษัชยนิพนธ์(ฉบับการศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์) มศก.ปีที่ฉบับเดือน มกราคม-เดือนธันวาคม 2555 หน้า 1-21
  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.(2544).เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ.กรุงเทพฯ.กรมการแพทย์.
  • อัลไซเมอร์ โรคอัลไซเมอร์ หาหมอ.com  (ออนไลน์)เข้าถึงได้จากhttp://haamor.com/th
  • Barnes DE,Yaffe K, Satariano WA, et al.A longitudinal study of cardiorespiratory fitness and cognitive function in older adults. Journal of the American Geriatric Society 2003;51:459-65.
  • ผศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล โรคสมองเสื่อม.ภาควิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Karp A, Paillard-Borg S, Wang HX, et al. Mental, physical and social components in leisure activities equally contribute to dementia  risk. Dementia Geriatric Cognitive Disorders 2006; 21: 65-73.
  • บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล.(2551).ตำราบำบัดโรคด้วยอาหารและสารเสริม.กรุงเทพฯ: บริษัท รวมทรรศน์ จำกัด  http://www.disthai.com/[/b]
  • อัลไซม์เมอร์-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://pobpad.com
  • พนัส ธัญญะกิจไพศาล.(2544).คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์.กรุงเทพฯ:โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา.
  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.(2544).ความรู้เรื่องอัลไซเมอร์.กรุงเทพฯ:ศูนย์สารนิเทศและประชาสัมพันธ์.
  • Alzheimer’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book)
  • Berchtold NC, Cotman CW (1998). "Evolution in the conceptualization of dementia and Alzheimer's disease: Greco-Roman period to the 1960s". Neurobiol. Aging 19 (3): 173–89. PMID 9661992. doi:10.1016/S0197-4580 (98) 00052-9
  • Tiraboschi P, Hansen LA, Thal LJ, Corey-Bloom J (June 2004). "The importance of neuritic plaques and tangles to the development and evolution of AD". Neurology 62 (11): 1984–9. PMID 15184601
  • Albert MS. Changing the trajectory of cognitive decline? The New England Journal

Medicine 2007; 357: 502-3.

  • Walsh DM, Selkoe DJ. Deciphering the molecular basis of memory failure in Alzheimer’s disease. Neuron 2004; 44: 181-93.
  • May AB, Adel B, Marwan S, et al, Sex differences in the association of the apolipoprotein E epsilon 4 allele with incidence of dementia, cognitive impairment, and decline. Neurobiology of Aging 2012; 33(4): 720-731.
  • Yaffe K, Barnes D, Nevitt M, et al. A prospective study of physical activity and cognitive decline in elderly women: women who walk. Archives International Medicine 2001; 161: 1703-8.
109  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2018, 08:34:51 am

โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella)
โรคอีสุกอีใส คืออะไร อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้ร่างกายเกิดผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใสๆทั่วร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เป็นโรคติดต่อที่มักพบในเด็ก โดยธรรมดาจะพบอัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มวัย 5-9 ปีรองลงมาเป็น 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี รวมทั้ง 25-34 ปี ตามลำดับ ส่วนในอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง
                 มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2552  มีคนเจ็บเป็นโรคอีสุกอีใสปริมาณ 89,246 รายทั่วราชอาณาจักรและเสียชีวิต 4 ราย รวมทั้งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมามีรายงานคนเสียชีวิตปีละ 1-3 ราย เมื่อพินิจพิเคราะห์ตามกลุ่มวัยพบว่ากลุ่มอายุ 5-9 ปี มีอัตราเจ็บป่วยสูงสุดพอๆกับ 578.95 ต่อประชากร 100,000 คน รองลงมาเป็นกลุ่มอายุต่ำยิ่งกว่า 5 ปี, 10-14 ปีแล้วก็กลุ่มอายุมากยิ่งกว่า 15 ปี โดยมีอัตราป่วยไข้เท่ากับ 487.13, 338.45 แล้วก็ 58.81 เป็นลำดับจากข้อมูล 10 ปีย้อนหลังพบว่าปริมาณคนเจ็บโรคอีสุกอีใสมีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้น และก็ในปี พุทธศักราช 2557-2559 มีอัตราการป่วย 129.57 ต่อแสนมวลชน 79.82 ต่อแสนประชาชน และก็ 66.57 ต่อแสนพลเมือง เป็นลำดับ
ที่มาของโรคอีสุกอีใส มีเหตุมาจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) (VZV) หรือ  human herpes virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่กระตุ้นให้เกิดงูสวัด ที่แพร่ไปได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสกับแผลของคนป่วยที่เป็นโรคโดยตรง หรือทางน้ำลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป โดยเชื้อนี้จะมีผลให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งจะติดโรคเป็นครั้งแรกรวมทั้งโรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิคุ้มกันทั้งชีวิต และก็คนเจ็บส่วนมากจะไม่เป็นซ้ำอีก แต่ว่าเชื้ออาจซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และมีโอกาสเป็นงูสวัดได้ในวันหลัง
อาการของโรคอีสุกอีใส เด็กจะเป็นไข้ต่ำๆหมดแรงและเบื่ออาหารน้อย ในผู้ใหญ่มักมีไข้สูง และปวดเมื่อยเรียกตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน คนเจ็บจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมๆกันกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ ๑ คราวหลังจากจับไข้ เริ่มต้นจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะแปลงเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆอยู่ภายใน แล้วก็มีลักษณะอาการคัน ถัดมาจะแปลงเป็นหนอง จากนั้น ๒-๔ วัน ก็จะตกสะเก็ด ผื่นและตุ่มจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลุกลามไปตามหน้า ลำตัว รวมทั้งแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นสุดกำลัง ภายใน ๔ วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากเปื่อยยุ่ย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ บางรายบางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่ผื่นและก็ตุ่มขึ้น ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเริมได้ ด้วยเหตุว่าผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆออกครั้งละระลอก (ชุด) ขึ้นไม่พร้อมกันทั่วร่างกาย ดังนั้นจะพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง และก็บางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ประชาชนจึงเรียกว่า อีสุกอีใส (มีทั้งตุ่มสุกตุ่มใส) แต่ว่าคนเจ็บบางรายบางทีอาจเป็นเวลานานกว่านั้นเป็น 2-3 อาทิตย์ โดยไม่เป็นแผลเป็น (นอกเหนือจากการที่จะมีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียแทรกซ้อน กระทั่งเปลี่ยนเป็นตุ่มหนองและก็เปลี่ยนเป็นแผล)
                เพราะว่าโรคอีสุกอีใสยังอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อีกตัวอย่างเช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือติดโรคแบคทีเรียในกระแสโลหิต ปอดอักเสบ แล้วก็ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
คนเจ็บที่มีความเสี่ยงที่จะมีลักษณะรุนแรง ตัวอย่างเช่น หญิงตั้งท้อง ทารกแรกเกิด ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ ดังเช่นว่า คนไข้เอดส์ คนเจ็บโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้รับประทานยากด ภูมิคุ้มกันต่างๆ
หญิงมีครรภ์ที่เป็นโรคนี้ในช่วง 20 อาทิตย์แรกของการตั้งครรภ์บางทีอาจท่าให้เด็กในครรภ์พิการแต่ กำเนิดได้แต่เจอไม่บ่อย(น้อยกว่าปริมาณร้อยละ 2) ถ้าหากเป็นตอนๆที่ครรภ์คุณแม่อาจมีอาการรุนแรง และก็มีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า ปอดอักเสบ ร่วมด้วย รวมทั้งหากมารดาเป็นโรคในช่วงใกล้คลอด (5 วันก่อนคลอดจนกระทั่ง 2 วันหลังคลอด) ทารกแรกเกิดบางทีอาจรับเชื้ออีสุกอีใสและก็มีอาการร้ายแรงถึงกับตายได้
เมื่อคนไข้หายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไปซ่อนอยู่ที่ปมประสาท และท่าให้กำเนิดโรค งูสวัดได้เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายน้อยลง
กรรมวิธีรักษาโรคอีสุกอีใส หมอจะวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสจากการดูลักษณะของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วไปแล้วก็อาการที่เกิดสังกัดผู้ป่วย เป็นต้นว่า เป็นไข้ขึ้น ไม่อยากอาหาร ปวดหัว แม้กระนั้นในบางครั้งที่บอกมิได้ชัดแจ้งว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือเปล่ารวมถึงในคนไข้ที่เกิดผลกระทบแทรกซ้อน หรือในกรณีจำเป็นจำต้องวินิจฉัยให้กระจ่าง หมอจะทำทดสอบน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ เนื่องด้วยโรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสการดูแลและรักษาก็เลยเป็นการรักษาแบบเกื้อหนุนตามอาการ
                ซึ่งโรคนี้สามารถหายเองได้การรักษาด้วยการใช้ยาต้านทานเชื้อไวรัสอาจท่าให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง ถ้าคนป่วยได้รับ ภายใน 1 วันข้างหลังผื่นขึ้น คนป่วยไม่จ่าเป็นจำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย หมอจะพิจารณาให้ในรายที่มีการเสี่ยง จะเกิดภาวะแทรกรุนแรงเพียงแค่นั้น ตัวอย่างเช่น

  • ถ้าเกิดพบว่าตุ่มมีการติดโรคแบคทีเรียเข้าแทรก (เปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง ฝี แผลพุพอง) หมอจะให้ยาปฏิชีวนะเสริมเติม หากเป็นเพียงไม่กี่จุดก็อาจให้ชนิดทา แต่ว่าหากเป็นมากก็จะให้จำพวกกิน
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการเข้าแทรกร้ายแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก ดังเช่นว่า ปอดอักเสบ (ไข้สูง หอบ) สมองอักเสบ (ไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้มาก ซึม ชัก ไม่ค่อยรู้ตัว) ตับอักเสบ (ดีซ่าน) หรือมีสภาวะเลือดออกง่ายก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ
  • ในรายที่มีภาวการณ์ภูมิต้านทานผิดพลาด (ยกตัวอย่างเช่น เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิคุมกันบกพร่อง รับประทานยาสตีรอยด์อยู่นานๆฯลฯ) หรือเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผื่นแพ้ประจำ โรคปอดเรื้อรัง สูดพ่นยาสตีรอยด์ (สำหรับคนที่เป็นโรคหืด) หรือรับประทานยาแอสไพรินอยู่ นอกเหนือจากให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์บางทีอาจให้ยาต้านไวรัส ที่มีชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) เพื่อทำลายเชื้ออีสุกอีใส คุ้มครองไม่ให้โรคแผ่ขยายร้ายแรง รวมทั้งช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น ควรจะให้ยานี้รักษาด้านใน 24 ชั่วโมง ข้างหลังแสดงอาการจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าให้ช่วงหลังๆของโรค

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส เนื่องจากโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่มีการติดต่อจากเชื้อไวรัสโดยการสัมผัสตุ่มหรือแผลของคนป่วย รวมถึงติดต่อผ่านทางสารคัดเลือกหลั่งของผู้ป่วย การสัมผัสหรือการหายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป ด้วยเหตุดังกล่าวปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส คือ การคลุกคลีกับผู้เจ็บป่วย การสัมผัสคนป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยโดยมิได้มีการปกป้องตนเองที่ดี รวมถึงการไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคอีสุกอีใสกระทั่งครบ ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งที่มีการเสี่ยงที่จะก่อกำเนิโรคอีสุกอีใส[/url]ได้เช่นเดียวกัน
การติดต่อของโรคอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อได้อย่างรวดเร็วมาก โรคอีสุกอีใสมีระยะฟักตัวราวๆ 10 - 21 วัน และก็คนเจ็บจะเริ่มกระจายเชื้อได้ในตอนโดยประมาณ 5 วันก่อนขึ้นผื่น ไปจนถึงเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว ฉะนั้นระยะกระจายเชื้อในโรคอีสุกอีใสก็เลยนานได้ถึง 7 - 10 วันหรือนานกว่านี้ในคนแก่ ก็เลยเป็นต้นเหตุให้เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้อย่างเร็ว
                ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีอยู่ในตุ่มน้ำของคนที่เป็นอีสุกอีใส ในน้ำลายและก็เสมหะของคนที่เป็นอีสุกอีใสสำหรับในการติดต่อสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกเครื่องใช้ เป็นต้นว่า ถ้วยน้ำ ผ้า เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าที่มีไว้สำหรับห่ม ที่พักผ่อน ที่เลอะ ถูกตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใส หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ หรือฝอยละอองจากทางเท้าหายใจของคนป่วยเข้าไป
โดยเหตุนั้นอีสุกอีใสจึงเป็นโรคที่ระบาดแพร่ไปได้ง่าย โดยเฉพาะในสถานศึกษา สถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วๆไป สามารถเจอได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน

การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส

  • ถ้าเป็นไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำกินน้ำมากๆห้ามอาบน้ำเย็น นอนพักให้มากๆและก็ให้ยาพาราเซตามอลทุเลาไข้ ไม่ควรให้ยาแอสไพรินลดไข้ เพราะว่ายานี้ อาจจะเป็นผลให้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's syndrome) ซึ่งจะมีภาวการณ์สมองอักเสบร่วมกับตับอักเสบ จัดว่าเป็นโรคอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการคัน ให้ทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) ถ้าหากคันมากมายให้รับประทานยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีนทุเลา ผู้เจ็บป่วยควรจะตัดเล็บให้สั้น รวมทั้งพยายามอย่าแกะหรือเกาตุ่มคัน อาจทำให้มีการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองแล้วก็เป็นแผลเป็นได้
  • ถ้าเกิดปากยุ่ย ลิ้นยุ่ย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้ว มานะกินอาหารที่เป็นของเหลวหรือเป็นน้ำแทนอาหารแข็ง
  • สำหรับของกิน ไม่มีของแสลงต่อโรคนี้ ให้ทานอาหารได้ตามเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบำรุงด้วยของกินพวกโปรตีน (ดังเช่นว่า เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ) ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
  • ควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อให้คนอื่นๆ ระยะแพร่ระบาดติดต่อให้คนอื่นๆ คือ ตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมง ก่อนมีตุ่มขึ้นกระทั่ง 6 วัน หลังตุ่มขึ้น
  • ควรจะเฝ้าดูอาการเปลี่ยนต่างๆโดยทั่วไปอาการ จะค่อยดีขึ้นกว่าเดิมได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แม้กระนั้นถ้าพบว่ามีลักษณะหายใจหอบ ซึม ชัก เดินเซ ตากระตุๆก โรคดีซ่าน (ตาเหลือง) มีเลือดออก ปวดหัวมากมาย คลื่นไส้มาก เจ็บหน้าอก หรือตุ่มแปลงเป็นหนอง ฝี หรือพุพอง ควรจะไปพบ แพทย์โดยเร็ว
  • ผู้เจ็บป่วยควรพักผ่อนและก็กินน้ำมากๆขั้นต่ำวันละ 8 แก้ว
  • คนป่วยควรแยกตัวออกไปอยู่ต่างหากกระทั่งพ้นระยะติดต่อ และแยกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า ถ้วยน้ำ ช้อน จาน จานชาม ฯลฯ เพื่อหลบหลีกการแพร่ขยายของเชื้อโรค
  • สำหรับยาเขียวที่ทำมาจากสมุนไพร (อาทิเช่น ยาเขียวหอม ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖) ไม่ถือเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตหรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดูแลรักษาโรคนี้ ผู้ป่วยสามารถใช้ร่วมกับการดูแลและรักษาปกติได้ แถมยาเขียวยังช่วยทำให้กินน้ำได้มากขึ้นอีกด้วย
  • รักษาสุขอนามัยเบื้องต้น (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพดีรวมทั้งช่วยลดช่องทางในการเป็นผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากการตำหนิดเชื้อโรค
การคุ้มครองตัวเองจากโรคอีสุกอีใส

  • ด้วยเหตุว่าโรคเปล่งปลั่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยทางการหายใจ จำเป็นจะต้องแยกผู้ป่วยออกมาจากเด็กเล็ก หญิงมีท้อง แล้วก็คนที่ไม่เคยติดเชื้อโรคมาก่อน
  • ควรให้ผู้เจ็บป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้านเพื่อป้องกันมิให้กระจายเชื้อให้ผู้อื่น
  • ไม่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับคนเจ็บโรคอีสุกอีใส ถ้าเกิดจำต้องมีการปกป้องตนเองอย่างดี อย่างเช่น สวมถุงมือ ใส่หน้ากากอนามัยและก็ควรรีบล้างมือหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วย เป็นต้น
  • เดี๋ยวนี้มีวัคซีนฉีดปกป้องโรคอีสุกอีใส ซึ่งราคาค่อนข้างแพง (ราวเข็มละ 800-1200 บาท) ควรจะฉีดในเด็กอายุ 12-18 เดือน ฉีดเพียงแค่ 1 เข็ม จะคุ้มครองปกป้องโรคได้ตลอดไป ถ้าฉีดตอนโต ถ้าอายุน้อยกว่า 13 ปี ก็ฉีดเพียงเข็มเดียว แต่ว่าถ้าอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ควรฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 อาทิตย์ ข้างหลังฉีดยา ควรเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินนาน 6 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อลดช่องทางเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรม วัคซีนชนิดนี้ห้ามฉีดในหญิงมีครรภ์ คนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันผิดพลาด ใช้ยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงมานาน บางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกรุนแรงได้ สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) หากยังไม่แน่ใจว่าเคยเป็นโรคนี้หรือยัง ควรจะหารือแพทย์ ตรวจตราว่ามีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้หรือยัง ถ้าเกิดยัง หมอบางทีอาจชี้แนะให้วัคซีนคุ้มครองป้องกันเพื่อไม่ให้มีอันตรายต่อทารกในท้องขณะมีครรภ์ รวมทั้งหลังฉีดวัคซีนจำพวกนี้ ควรคุมกำเนิดนาน 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งท้องได้อย่างปลอดภัย
  • ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน ขึ้นไป รวมทั้งฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปีหรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิคุ้มกันจะขึ้นดียิ่งกว่าการฉีด 1 เข็ม
  • จากการเล่าเรียนในเด็กอายุ 1-12 ปี ข้างหลังได้รับวัคซีนคราวแรก จะมีภูมิต้านทานในระดับที่ป้องกันโรคได้ปริมาณร้อยละ 85และก็มากขึ้นเป็นจำนวนร้อยละ 99.6 ข้างหลังได้รับวัคซีนครั้งที่ 2
  • สำหรับคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้เจ็บป่วยโรคนี้ การฉีดยาอาจไม่ทันกาล ถ้าจำเป็นแพทย์บางทีอาจชี้แนะให้ฉีดเซรุ่ม ที่มีชื่อว่า varicella-zoster immune globulin (VZIG) เป็นการฉีดภูมิต้านทานเข้าไปโดยตรง มักจะฉีดให้กับคนที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ คนที่มีสภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และเด็กแบเบาะที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 คราวหน้าคลอด
  • วัคซีนปกป้องโรคอีสุกอีใส ที่ใช้ในตอนนี้ทำมาจากเชื้ออีสุกอีใสที่มีชีวิตแล้วนำมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ในประเทศไทยมีจัดจำหน่าย 3 ประเภทเป็นVarilrix ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำกว่า 2,000 PFU, OKAVAX ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 1,000 PFU, รวมทั้ง Varicella Vaccine-GCC ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 1,400 PFU ทั้งยังปัจจุบันนี้ยังมีการผลิตวัคซีนคุ้มครองโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปวัคซีนรวม เป็นต้นว่า วัคซีนรวมหัด-โรคเหือด-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) ซึ่งจะรวมอยู่ในเข็มเดียวกันทำให้สบาย และไม่จะต้องเจ็บตัวเยอะขึ้น
สมุนไพรที่ช่วยรักษา/ทุเลา อาการของโรคอีสุกอีใส

  • เสลดพังพอนตัวเมีย Clinacanthus nutans (Burm.f) มีอีกชื่อหนึ่งคือ พญายอ ซึ่งเสมหะพังพอนตัวเมียแตกต่างจากเพศผู้เป็นตัวเมียไม่มีหนาม ใบตัวผู้มีสีเข้มกว่า ดอกตัวเมียมีสีแดง ดอกเพศผู้มีสีส้นสด ขั้นตอนการให้เด็ดใบเสลดพังพอนตัวเมียมาล้างให้สะอาด แล้วเอามาโขลกหรือปั่นให้ถี่ถ้วนผสมกับน้ำดินสอพอง ทาที่ตุ่มผ่องใสบ่อยๆจะช่วยทุเลาอาการคัน แล้วก็ทำให้ตุ่มแผลแห้งเร็ว ลดอาการบวมแดงของตุ่มได้
  • ผักชี Coriandrum sativum การอาบน้ำต้มผักชีจะช่วยให้อีสุกอีใสหายไวขึ้น ซึ่งตามตำรายาแผนโบราณพูดว่า คุณประโยชน์ของผักชีคือเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดง
  • สะเดา Azadiracta indica มีการเรียนรู้พบว่าสารเกดูนิน (Gedunin) แล้วก็ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบรวมทั้งเมล็ดสะเดามีประสิทธิภาพสำหรับการออกฤทธิ์ยั้งเชื้อรา แบคทีเรียรวมทั้งเชื้อไวรัสสูง เพราะฉะนั้น จึงสามารถทุเลาลักษณะของโรคที่เกิดจาก เชื้อไวรัส อย่างอีสุกอีใสได้
  • ใบมะยม Phyllanthus acidus ใช้ใบมะยมไม่อ่อนหรือแก่เหลือเกิน 2-3 กำมือ ใส่น้ำ 2-3 ลิตร ต้มให้เดือดราวๆ 20 นาที แล้วชูลงผสมน้ำเย็นให้อุ่นพอเพียงอาบได้ อาบวันละ 3 ครั้ง เช้า ตอนกลางวัน เย็น หลังอาบน้ำอาการจะเบาๆดีขึ้นกว่าเดิม
  • ย่านาง Tiliacora triandra เอาราก “ย่านาง” แบบสดประมาณขยุ้มมือต้มกับน้ำท่วมยาจนถึงเดือด ดื่มขณะอุ่นวันละครั้ง ครั้งละ 3 ส่วน 4 แก้ว ต้มดื่มเรื่อยๆต่อเนื่องกัน 3-5 วัน อาการที่เป็นจะดีขึ้นกว่าเดิม
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อีสุกอีใส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่296.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2546
  • อีสุกอีใส เป็นได้ก็หายได้.เกร็ดความรู้สู่ประชาชน.หน่วยข้อมูลคลังยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella)”. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 404-407.
  • Kuter B, Matthews H, Shinefield H, Black S, Dennehy P, Watson B, et al. Ten year follow-up of healthychildren who received one or two injections of varicellavaccine. Pediatr Infect Dis J. 2004; 23:132-7.
  • อ.พญ.เลลานี ไพฑูรย์พงษ์.สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.โรคอีสุกอีใส.สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย.
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC)..Prevention of Varicella Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP). MMVR 2007; 56:1-40.
  • อีสุกอีใส.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ http://www.disthai.com/[/b]
  • Heininger U, Seward JF. Varicella. Lancet. 2006; 368:1365-76.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • อ.พญ.จรัสศรี ฟี้ยาพรรณ,นางรษิกา ฤทธิ์เรืองเดช,พญ.พิชญา มณีประสพโชคและคณะ.โรคสุกใส(Chicken pox).ภาควิชาตจวิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สำนักระบาดวิทยา. โรคอีสุกอีใส. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค 2552. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. 2553; 55-6.
  • Krause PR, Klinman DM. Efficacy,immunogenicity,safety, and use of live attenuated chickenpox vaccine. J Pediatr. 1995; 127:518-25.
  • พญ.อารีย์ โอบอ้อมรัก.หนังสือเลี้ยงลูกด้วยสมุนไพร.หน้า 56.สำนักพิมพ์เอเชียบูรพา.
110  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial virus infec เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2018, 08:40:23 am

โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี[/b] (Respiratory Syncytial virus infection)[/color][/size][/b]
โรคอาร์เอสวี เป็นยังไง โรคอาร์เอสวี หรือโรคไวรัสอาร์เอสวี หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี(Respiratory syncytial virus infection ย่อว่า RSV infection) เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเท้าหายใจที่เกิดขึ้นจากไวรัสชื่อ Respiratory syncytial virus ซึ่งเป็นไวรัสที่ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายผลิตสารคัดหลั่งไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น เสมหะ เป็นต้น เชื้อไวรัสนี้แพร่ผ่านการไอหรือจาม โดยผู้ป่วยชอบมีอาการเบื้องต้นคล้ายเป็นหวัด คือ ปวดหัว เป็นไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล
                ในการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV, Respiratory Syncytial Virus) จะเจอการต่อว่าดเชื้อได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโรคนี้จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในเด็กเล็กที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง โดยมีการคาดหมายว่าในเด็กอายุสองขวบทุกคนจะต้องเคยติดโรคจำพวกนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง  อันที่จริงแล้วเชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ฟุตบาทหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แม้กระนั้นชอบพบได้ทั่วไปในเด็กตัวเล็กๆ
                ดังนี้ เชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus :RSV) เจอหนแรกเมื่อปี ค.ศ 1955(พุทธศักราช2498) ในลิงชิมแปนซีที่มีอาการป่วยด้วยอาการหวัดฝูง ทำให้มีชื่อเรียกว่า Chimpanzee Coryza Agent (CCA) ก่อนจุพบว่าสามารถติดต่อไปสู่คนได้ โดยสามารถแยกเชื้อได้จากเด็กเล็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 1 ปีที่มีลักษณะปอดบวมและก็เมื่อต้นปี พุทธศักราช 2553 แมกกาซีนแลนเซต ประเทศอังกฤษ รายงานผลวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัส RSV ว่า ทำให้เด็กเป็นปอดบวม หรือปอดอักเสบ เสียชีวิตปีละ 2 แสนราย ซึ่งร้อยละ 99 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วทั้งโลก ติดเชื้อโรคไวรัสดังที่กล่าวมาแล้ว 33.8 ล้านคน เชื้อไวรัสอาร์เอสวีเป็นสาเหตุการตายของเด็กเล็กชั้น 1 เฉพาะในอเมริกาเด็กเสียชีวิตปีละ 2,500 กว่าคน  สำหรับประเทศไทยนั้นมีแถลงการณ์ว่าเฉพาะปี พุทธศักราช 2552 มีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ราว 1 ใน 4 ติดไวรัสจำพวกนี้ รวมกว่า 1 หมื่นราย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคอาร์เอสวี  โรคอาร์เอสวี เป็นผลมาจากเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus  (RSV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในสกุล Pneumovirus และก็อยู่ในตระกูล Paramyxoviridae โดยเป็นเชื้อไวรัสที่พบในคน โดยมักพบอยู่ในโพรงข้างหลังจมูก รวมทั้งจากการเรียนพบว่าเชื้อไวรัสนี้สามารถก่อโรคได้ในสัตว์หลายหมวดหมู่ อย่างเช่น หนู แกะ ฯลฯ  โดยปกติไวรัสอาร์เอสวีแบ่งเป็น 2 จำพวกย่อย(Subtype)หมายถึงจำพวก เอ แล้วก็จำพวกบี โดยชนิดย่อย A, มักมีความรุนแรงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าจำพวกย่อย B   เชื้อไวรัสอาร์เอสวี ขณะอยู่ในผู้เจ็บป่วยที่มีภูมิต้านทานปกติ ไวรัสนี้สามารถแพร่สู่คนอื่นได้นานราว 1 อาทิตย์ นับจากวันที่คนป่วยเริ่มมีอาการ แต่ว่าถ้าอยู่ในมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำจะแพร่กระจายสู่คนอื่นๆได้นานถึง 4 สัปดาห์
อาการของโรคอาร์เอสวี  ไวรัส RSV  จำพวกนี้มีระยะฟักตัวโดยประมาณ 1 – 6 คราวหลังจากได้รับเชื้อ โดยส่วนมากมักไม่ค่อยออกอาการรุนแรงในผู้ใหญ่ อาการที่เจอในคนแก่โดยทั่วไปมักคล้ายกับอาการโรคหวัดหมายถึงปวดศีรษะ จับไข้ต่ำ เจ็บคอ ไอแบบไม่มีเสลด มีลักษณะคัดจมูก โดยอาการกลุ่มนี้มักหายได้เองใน 1–2 อาทิตย์  แม้กระนั้นในคนป่วยที่มีความเสี่ยงจะมีลักษณะอาการที่ร้ายแรงเป็นคนป่วยที่มีโรคเรื้อรังเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด หรือในคนไข้ที่มีสภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมักนำไปสู่อาการรุนแรง ยิ่งไปกว่านี้ผู้เจ็บป่วยอีกกลุ่มที่เจอการต่อว่าดเชื้อโรคนี้ได้บ่อยมากและมีอาการร้ายแรงคือ เด็กตัวเล็กๆที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ โดยเฉพาะในเด็กอ่อนจะมีอัตราการเสี่ยงที่จะมีการติดเชื้อโรคในทางเดินหายใจส่วนล่างและทำให้โรคมีความรุนแรงสูง
ในผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการรุนแรงอาจจะมีอาการเริ่มเช่นเดียวกับอาการติดโรคในทางเดินหายใจส่วนบนเป็น มีลักษณะอาการคล้ายหวัดปกติ แต่ว่าต่อไป 1–2 วันอาจจะมีอาการแสดงของการต่อว่าดเชื้อในทางเดินหายใจข้างล่างดังเช่น มีไข้ ไอรุนแรง หายใจติดขัดโดยอาจมีอาการหายใจเร็ว หรือมีเสียงวี๊ดขณะหายใจ
ในเด็กตัวเล็กๆซึ่งยังติดต่อสื่อสารไม่ได้ต้องบางทีอาจจะจำต้องอาศัยการสังเกตอาการ โดยในขั้นแรกจะมีลักษณะอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ซึมลง และกินอาหารได้น้อย ต่อจากนั้น 1–3 วัน จะมีอาการไอ เป็นไข้ หายใจไม่สะดวก หายใจตื้น สั้นๆเร็วๆและอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเสียงตอนหายใจด้วย ในรายที่อาการร้ายแรงมากอาจมีอาการตัวเขียวหรือสภาวะ cyanosis เกิดเนื่องมาจากการขาดออกสิเจนทำให้สีผิวออกม่วงๆโดยมักจะเริ่มมองเห็นจากริมฝีปากหรือที่เล็บ นอกจากนี้แล้วการต่อว่าดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีบางทีก็อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆที่มักพบคือ หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ (otitis media) หรือในภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการตำหนิดเชื้อในทางเดินหายใจด้านล่างอื่นๆได้แก่ หลอดลมอักเสบหรือปวดบวมได้

กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคอาร์เอสวี

  • คนที่มีภูมิคุ้นกันของร่างกายต่ำมาก
  • เด็กคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะอย่างยิ่งรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์
  • ผู้ที่มีโรคปอดเรื้อรัง
  • คนที่มีโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่มีความผิดธรรมดาสำหรับเพื่อการไหลเวียนเลือด ที่เรียกว่า Cyanotic heart disease
  • ผู้สูงวัยที่แก่ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
  • เด็กที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า 5 กิโลกรัม

กระบวนการรักษาโรคอาร์เอสวี โดยปกติ แพทย์วินิจฉัยคนเจ็บโรคอาร์เอสวีจากลักษณะทางคลินิก ยกตัวอย่างเช่น ใช้เครื่องที่ช่วยในการฟัง (Stethoscope) เพื่อฟังเสียงกรีดร้องในระบบทางเดินหายใจ เสียงแนวทางการทำงานของปอด หรือเสียงไม่ปกติจากส่วนอื่นๆในร่างกาย รวมทั้งอาศัยแนวทางซักประวัติคนป่วยโดยวิเคราะห์จาก อายุคนเจ็บ เรื่องราวลักษณะของโรค การระบาดในแหล่งที่พักที่อาศัย การระบาดในสถานที่เรียน เป็นต้น แม้กระนั้นบ้างครั้งหากผู้เจ็บป่วยมีลักษณะรุนแรง แพทย์อาจจำต้องวิเคราะห์แยกโรคที่มีต้นเหตุมากจากการตำหนิดเชื้อไวรัสประเภทอื่น หรือจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์ก็เลยจะมีการตรวจค้นเพิ่มเติม ได้แก่

  • วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximetry) เพื่อตรวจดูระดับออกสิเจน
  • ตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ตรวจค้นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งเจือปนอื่นๆ
  • เอกซ์เรย์ทรวงอก เพื่อตรวจหาโรคปอดอักเสบ
  • ตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดเลือกหลั่งในจมูก

ในขณะนี้บางโรงหมออาจจะมีการตรวจรับรองหาเชื้อด้วยแนวทาง RSV Rapid Ag-detection test ซึ่งได้ผลการทดสอบข้างในไม่กี่ชั่วโมง   เนื่องมาจากโรค อาร์เอสวี เป็นโรคติดเชื้อโรคที่เกิดขึ้นจากไวรัสจึงทำให้ไม่มียารักษาอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวการดูแลรักษาก็เลยเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาขยายหลอดลม ฯลฯ ส่วนในรายที่เริ่มมีลักษณะรุนแรง ดังเช่นว่า อิดโรย หอบ มีค่าออกสิเจนในเลือดลดน้อยลง อาจมีการให้ยาพ่นขยายหลอดลม ร่วมกับการให้ออกสิเจน ในรายที่มีอาการรุนแรงมากมาย บางทีอาจจะต้องมีการใส่ท่อช่วยหายใจหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ นอกเหนือจากนี้บางครั้งก็อาจจะต้องมีการให้สารน้ำทดแทนเพื่อคุ้มครองภาวการณ์ขาดน้ำโดยยิ่งไปกว่านั้นในเด็ก ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการตำหนิดเชื้ออื่นๆมักจะได้รับยาฆ่าเชื้ออื่นๆที่เหมาะสมตามอาการ
การติดต่อของโรคอาร์เอสวี การตำหนิดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเท้าหายใจยกตัวอย่างเช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ฯลฯ และเชื้อไวรัสจำพวกนี้สามารถทนอยู่นอกร่างกายได้หลายชั่วโมง ดังนั้นนอกจากการได้รับเชื้อผ่านการไอจามใส่กันแล้ว ยังสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสิ่งของที่แปดเปื้อนเชื้อไวรัสแล้วนำเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ปากรวมทั้งเยื่อบุดวงตาได้ ตอนหลังการได้รับเชื้อคนไข้สามารถแพร่ขยายเชื้อได้ตั้งแต่ข้างหลังติดโรค 2–3 วันไปจนกระทั่ง 2–3 สัปดาห์ ด้วยเหตุดังกล่าวในผู้ป่วยที่เริ่มมีลักษณะอาการแสดงควรลดการแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆโดยการใส่ผ้าปิดปาก ส่วนผู้ที่จะต้องคลุกคลี่กับคนป่วยก็ต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆรวมถึงสวมหน้ากากอนามัยทุกหนด้วยเหมือนกัน

การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรค อาร์เอสวี

  • พักผ่อนให้เต็มกำลัง หยุดงาน หยุดสถานศึกษา จวบจนกระทั่งไข้จะลงปกติแล้ว 48 ชั่วโมง
  • ล้างมือเสมอๆและก็ทุกครั้งก่อนอาหารรวมทั้งหลังเข้าห้องน้ำภ
  • แยกเครื่องใช้ต่างๆจากคนภายในบ้าน
  • ไม่ไปในที่คับแคบ/ที่ชุมชน
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
  • กินอาหารมีประโยชน์ครบทั้ง 5 กลุ่ม
  • ในกรณีที่เจอแพทย์แล้ว ให้กินยาต่างๆที่หมอสั่งให้ครบถ้วนบริบูรณ์
  • กินน้ำมากๆด้วยเหตุว่าน้ำจะช่วยให้สารคัดเลือกหลัง ดังเช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนถึงเกินความจำเป็น และไม่ไปกีดกั้นหลักการทำงานของระบบฟุตบาทหายใจ
  • นั่งหรือนอนในตำแหน่งที่หายใจได้สะดวก อาทิเช่น นั่งหลังตรง ไม่ห่อตัว ใช้หมอนที่ไม่นุ่มหรือแข็งเหลือเกิน
  • ใช้ยาหยอดจมูก เพื่อช่วยลดอาการบวมของจมูก บางทีอาจล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและดูดน้ำมูกเพื่อทำให้ฟุตบาทหายใจเตียนโล่งขึ้น
  • ถ้าหากอาการต่างๆเลวลง ให้รีบไปโรงพยาบาล อาทิเช่น ไข้สูงขึ้น ไอเยอะขึ้น มีเสลดมากเพิ่มขึ้น เสมหะกลายเป็นสีอื่น ดังเช่น เขียว น้ำตาล เทา

การปกป้องตัวเองจากโรคอาร์เอสวี เพราะในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV จึงทำให้มีการเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มาก ก็เลยควรจะมีการคุ้มครองป้องกันตนเองดังต่อไปนี้

  • ล้างมือให้สะอาด ล้างมือบ่อยๆเป็นต้นว่า ก่อนมื้อของกิน หลังเข้าห้องสุขา ฯลฯ
  • ทำความสะอาดบ้านอยู่เป็นประจำ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ โดยเฉพาะกระดาษชำระที่ใช้แล้ว ควรทิ้งลงถังสำหรับใส่ขยะที่ปิดมิดชิด
  • ไม่สมควรใช้แก้วน้ำร่วมกับคนอื่นๆ ควรที่จะใช้แก้วน้ำของตนเอง และหลบหลีกการใช้ถ้วยน้ำที่ผู้ป่วยใช้แล้ว
  • ไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกับคนไข้ที่เป็นหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียน หรือในที่ชุมชนที่มีคนหนาแน่น ในตอนระบาดของโรค
  • เมื่อต้องอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ

สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคอาร์เอสวี เพราะว่าโรคอาร์เอสวี เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วก็สามารถติดต่อได้ทางสารคัดเลือกหลั่งของร่างกายโดยการ ไอ จาม รดกัน ซึ่งจะมีการฟุ้งกระจายของละอองน้ำมูก น้ำลายของคนไข้ซึ่งหากคนที่อยู่ใกล้ชิด สูดเอาละอองนั้นไปก็จะมีการติดต่อกันรวมทั้งการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆที่ปนเปื้อนในสิ่งของต่างๆของผู้ป่วยด้วย ซึ่งเป็นโรคที่มีปัจจัย,อาการ รวมทั้งการติดต่อคล้ายกับโรคหวัดมากมาย นอกจากยังเป็นโรคในระบบทางเท้าหายใจเช่นเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นสมุนไพรที่จะช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคอาร์เอสวีนั้น จึงเป็นสมุนไพรชนิดเดียวกันกับโรคไข้หวัด (อ่านหัวข้อสมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคหวัดในเรื่องโรคไข้หวัด)
เอกสารอ้างอิง

  • อาจารย์ ดร.ภก.ปิยทิพย์ ขันตยาภรณ์.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ไวรัสร้ายของลูกน้อย.โรคอาร์เอสวี (RSV).ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล.ไวรัส RSV เชื้ออันตรายที่คล้ายไข้หวัด. Rama Channal. ภาควิชากุมรเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • Dawson-Caswell,M., and Muncle, JR, H. Am Fam Physician.2011;83(2):141-146
  • Mayo Foundation for Medical Education and Research. Respiratory syncytial virus (RSV). [Accessed on July 2016]
  • ไวรัสRSV-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • Krilov L.R. Respiratory Syncytial Virus Infection. [Accessed on July 2016]
  • Falsey,A. et al. NEJM.2005;352(17): 1749-1762


Tags : โรคอาร์เอสวี/โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี
111  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2018, 11:24:14 am

โรคหวัด (Common cold)
โรคหวัด เป็นยังไง โรคไข้หวัด หรือไข้หวัด ในที่นี้ หมายถึง โรคไข้หวัดปกติ (Common cold) ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu)   โรคไข้หวัด เป็น โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น ได้แก่ จมูก คอ ไซนัส และกล่องเสียง โดยเชื้อที่ก่อเกิดหวัดมักเป็นเชื้อไวรัสชนิดไม่รุนแรง แล้วก็สามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ หวัดเป็นโรคติดเชื้อโรคยอดฮิตพบได้ทั่วไปมาก อีกทั้งในคนแก่แล้วก็เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในปฐมวัย ซึ่งพบบ่อยเป็นหวัดได้บ่อยถึงปีละ 6-8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันขัดขวางโรคต่ำลงยิ่งกว่าคนแก่ ก็เลยมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่มาก และโรคไข้หวัดยังเป็นโรคเกิดได้ทั้งปี แต่มักพบในฤดูฝนและฤดูหนาว โรคไข้หวัดนับว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่ต้องมีเพียงแต่พาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อมีไข้สูงหรือปวดศีรษะ
ข้อบกพร่องในปัจจุบันเป็น มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างมากเกินไป ซึ่งมิได้คุณประโยชน์ เนื่องด้วยมิได้มีส่วนฆ่าเชื้อไวรัสหวัดที่เป็นสาเหตุยังอาจทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย และก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้  ด้วยเหตุผลดังกล่าว จำเป็นต้องศึกษาแนวทางดูแลไข้หวัดด้วยตัวเองและก็ปลอดภัย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคหวัด สาเหตุจำนวนมากของการเป็นโรคหวัดมีต้นเหตุที่เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสถานการณ์ที่ภูมิต้านทานของร่างกายน้อยลง อย่างเช่น เครียด พักน้อยเกินไป ส่วนเชื้อที่เป็นต้นเหตุ : มีต้นเหตุมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากกว่า 200 จำพวกจากกรุ๊ปไวรัสปริมาณ 8 กรุ๊ปร่วมกัน โดยกลุ่มไวรัสที่สำคัญ ดังเช่นว่า กรุ๊ปเชื้อไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด พบได้ทั่วไปที่สุดราวๆ 30-50% นอกจากนั้นก็มีกลุ่มเชื้อไวรัสวัวโรนา (Coronavirus) ที่เจอได้ราวๆ 10-15%,รวมทั้งกรุ๊ปไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ฯลฯ
                ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงแต่ประเภทเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสหวัดชนิดนั้น สำหรับในการป่วยหวัดครั้งใหม่ก็จะมีเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสหวัดจำพวกใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยด้วยเหตุนั้น คนเราก็เลยป่วยหวัดได้บ่อยครั้ง เด็กเล็กที่ยังไม่ค่อยได้ติดโรคหวัดมาก่อน ก็บางทีอาจจับไข้หวัดซ้ำๆซากๆได้ แล้วก็บางทีอาจจับไข้หวัดได้บ่อยมากถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกสัปดาห์
ลักษณะของโรคหวัด โดยปกติมักมีอาการไม่ร้ายแรง มีไข้ไม่สูง ปวดเหมื่อยตามตัวเป็นช่วงปวดหนักศีรษะนิดหน่อย เมื่อยล้าเล็กน้อย อาจมีอาการคอแห้ง แสบคอหรือเจ็บคอบางส่วนนำมาก่อน ต่อมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะใสหรือขาวๆคนป่วยส่วนมาก เดินเหิน ดำเนินงานได้ รวมทั้งจะทานอาหารได้ ในเด็กเล็ก อาจมีไข้สูงฉับพลัน ตัวร้อนเป็นช่วงๆเวลาไข้ขึ้นบางทีอาจซึมน้อย เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือหน้าตาแจ่มใสเหมือนปกติ ต่อมาจะมีน้ำมูกใส ไอน้อย ในผู้ใหญ่ อาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่อาการเจ็บคอนิดหน่อย น้ำมูกใส ไอบางส่วน ในเด็กแรกคลอดอาจมีอาการอ้วก หรือท้องเสีย ร่วมด้วย ลักษณะของการมีไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) แล้วหลังจากนั้นก็ดีขึ้นได้เอง
                อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ บางทีอาจไอนานเป็นสัปดาห์ หรือบางรายบางทีอาจไอนานเป็นนานเป็นเดือนๆ ภายหลังจากอาการอื่นๆหายดีแล้ว
ในรายที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะจับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน หรือไอมีเสลดสีเหลืองหรือเขียวทุกหน
ทั้งนี้ลักษณะของการมีไข้หวัดแล้วก็ไข้หวัดใหญ่ จะออกจะคล้ายกัน อาจงงได้ แต่คนเจ็บรวมทั้งผู้ดูแลสามารถดูความแตกต่างได้ตามตารางนี้




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมแพ้




ไข้


ไข้ต่ำๆหรือไม่มี


มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40
องศาเซลเซียส


ไม่มีไข้




ปวดหัว


ไม่ค่อยพบ


พบได้ปกติ


ไม่พบ




ปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย


อาจมีอาการเล็กน้อย


พบได้บ่อยและอาการรุนแรง


ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย)




น้ำมูกไหล คัดจมูก


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




จาม


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




เจ็บคอ


พบได้บ่อย


อาจพบได้บางครั้ง


อาจพบได้บางครั้ง




ไอ


พบได้บ่อย


พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า


อาจพบได้บางครั้ง




เจ็บหน้าอก


อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด)




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมิแพ้




สาเหตุการเกิด


เกิดจากไวรัส
(Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%)


เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B)


เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร




การดูและการรักษา


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้
-มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย)
-หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง


-หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น
-ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก
-หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก




การป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ไม่มีวัคซีนป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่


หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้




และก็ในขณะที่ป่วยด้วยไข้หวัด คนเจ็บหรือผู้ดูแล (ในเด็กตัวเล็กๆ) ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และควรจะรีบไปพบหมอโดยทันทีถ้าเกิดมีลักษณะดังต่อไปนี้
ผู้ใหญ่
           ไข้สูงเกินไปกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเกิน 5 วันขึ้นไป
           กลับมาเป็นไข้ซ้ำหลังจากอาการไข้หายแล้ว
           หายใจหอบอ่อนแรง แล้วก็หายใจมีเสียงหวีดร้อง
           เจ็บคออย่างหนัก ปวดหัว หรือมีลักษณะปวดรอบๆไซนัส
เด็ก
           จับไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ในเด็กแรกเกิด-12 อาทิตย์
           มีอาการไข้สูงต่อเนื่องกันมากกว่า 2 วัน
           อาการต่างๆของหวัดร้ายแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือรักษาแล้วอาการกำเริบ
           มีลักษณะอาการปวดศีรษะ หรือไออย่างหนัก
           หายใจมีเสียงหวีด
           เด็กมีลักษณะอาการงอแงอย่างรุนแรง
           ง่วงนอนมากแตกต่างจากปกติ
           ความต้องการของกินน้อยลง ไม่ยอมรับประทานของกิน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหวัด ผู้ที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังต่อไปนี้ มักจับไข้หวัดได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่าคนปกติ ยกตัวอย่างเช่น

  • อายุ เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี มีความเสี่ยงมีอาการป่วยเป็นหวัดสูง โดยเฉพาะเด็กที่ต้องอยู่ในสถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือเนอสเซอรี่
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือมีสภาวะสุขภาพที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานอ่อนแอมีลักษณะท่าทางที่จะป่วยเป็นหวัดได้ง่ายยิ่งกว่าปกติ
  • ระยะเวลา โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเด็ก หรือคนแก่ชอบเป็นไข้หวัดได้ง่ายในฤดูฝน รวมทั้งหรือหน้าหนาว
  • สูบบุหรี่ คนที่ดูดบุหรี่มีลัษณะทิศทางจะป่วยเป็นไข้หวัดได้ง่าย รวมทั้งถ้าเกิดเป็นก็จะอาการร้ายแรงกว่าปกติอีกด้วย
  • อยู่ในที่ที่ผู้คนพลุกพล่านคับแคบ สถานที่ที่มีคนคึกคก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อไวรัโรคไข้หวัด[/url]ได้ง่าย
  • ผู้ที่จะต้องดูแลคนเจ็บหวัด ซึ่งกรุ๊ปบุคคลกลุ่มนี้จะต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนป่วยอีกทั้งน้ำลาย น้ำมูก หรือละอองน้ำมูก น้ำลาย จากลมหายใจของผู้เจ็บป่วย

กรรมวิธีรักษาโรคหวัด โดยทั่วไปแล้วคนป่วย (คนแก่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แม้กระนั้นแม้ผู้ป่วยไปพบหมอ แพทย์จะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง ประวัติการระบาดของโรค ฤดูกาล รวมทั้งจากการตรวจร่างกาย ดังเช่น ลักษณะของการมีไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมรวมทั้งแดง คอแดงบางส่วน ส่วนในเด็กอาจเจอต่อมทอนซิลโต แม้กระนั้นไม่แดงมาก และไม่มีหนอง แต่ในคนป่วยที่มีลักษณะร้ายแรง เช่น ไข้สูง แพทย์อาจมีการวิเคราะห์เลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อแบคทีเรีย และก็อาจมีการตรวจค้นอื่นๆเพิ่มเติมอีกตามดุลพินิจของแพทย์ ได้แก่ การตรวจเลือดมองค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก ฯลฯ
         ด้วยเหตุว่าหวัดเป็นผลมาจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยยิ่งไปกว่านั้น เพียงให้การรักษาไปตามอาการเพียงแค่นั้น ซึ่งการปรับแก้อาการที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นหมอจะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อทุเลาอาการก่อน ตัวอย่างเช่นพาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก รวมทั้งจะแนะนำให้พักให้เพียงพอ กินน้ำอุ่นเพื่อละลายเสมหะ การกินน้ำมากๆและการเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้
       โดยธรรมดายาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เพราะเหตุว่าไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง รวมทั้งเมื่ออาการแล้วหลังจากนั้นก็สามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้

  • ยาลดไข้ โดยทั่วไปยาที่นิยมสำหรับลดไข้ คือ paracetamol สำหรับผู้ใหญ่ กินยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด สามารถกินซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ใช้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 วัน ด้วยเหตุว่าได้โอกาสเกิดพิษต่อตับ สำหรับเด็กควรจะมีการปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัว ด้วยเหตุดังกล่าวควรจะถามรายละเอียดอื่นๆจากหมอหรือเภสัชกร ยาอีกกลุ่มยอดนิยมสำหรับเพื่อการใช้ลดไข้หมายถึงยากลุ่มต่อต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) ได้แก่แอสไพริน (aspirin), ibuprofen ซึ่งการใช้ยาในกรุ๊ปหลังนี้ได้ผลสำหรับการลดไข้ได้อย่างรวดเร็ว แม้กระนั้นมีข้อควรพิจารณาสำหรับเพื่อการใช้สำหรับลดไข้ในกรณีของโรคไข้เลือดออก แต่ในเด็กที่แก่ต่ำลงยิ่งกว่า 18 ปี องค์กรอนามัยโลก (WHO) ชี้แนะว่าไม่ให้ใช้ยาแอสไพริน
  • ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก

ในกลุ่มของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ป เป็นยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบเส้นโลหิต ทำให้อาการคัดจมูกลดน้อยลง แบ่งเป็น

  • สำหรับรับประทาน อย่างเช่น phenylephrine, pseudoephedrine (pseudoephedrine ยอมรับได้จากสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่มีตามร้านค้ายา)
  • สำหรับหยดหรือพ่นรูจมูก เช่น oxymetazoline ซึ่งก่อนใช้ต้องสั่งน้ำมูกออกก่อน

ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดน้อยลง แต่จะสำเร็จน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กรุ๊ปเป็น

  • ยาลดน้ำมูกกรุ๊ปที่นำไปสู่อาการง่วงซึม เป็นต้นว่า chlorpheniramine, brompheniramine, hydroxyzine, cyproheptadine ฯลฯ ยากลุ่มนี้จะลดจำนวนสารคัดหลั่งในระบบทางเท้าหายใจ เช่น น้ำมูก เสมหะ แม้กระนั้นจะมีผลให้เกิดอาการง่วงซึมได้ เพราะมีฤทธิ์กดระบบประสาท อย่างไรก็แล้วแต่ ยาในกลุ่มนี้สามารถคุมอาการได้ดีมากยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับยาในกรุ๊ปที่ไม่ทำให้ง่วงซึม ถ้าคนป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้ควรเลี่ยงการขับรถยนต์แล้วก็การทำงานที่เกี่ยวโยงกับเครื่องจักร รวมทั้งอาจถือเป็นจังหวะที่ดีในการพัก
  • ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการง่วงซึม ได้แก่ cetirizine, loratadine, desloratadine, fexofenadine เป็นต้น ซึ่งจุดเด่นของยาในกลุ่มนี้ก็คือ ไม่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม หรืออาจมีอาการง่วงซึมได้บ้างเล็กน้อย ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงนิยมใช้ยาในกลุ่มนี้ในคนป่วยโรคภูมิแพ้ด้วย
  • ยาบรรเทาอาการไอ ในกลุ่มของยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ก็สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ปเช่นกัน คือ
  • ยาสำหรับอาการไอมีเสลด โดยสิ่งที่ทำให้เกิดอาการไอจำพวกนี้ เนื่องจากว่ามีเสลดเป็นตัวกระตุ้นส่งผลให้เกิดการไอ ด้วยเหตุดังกล่าวจำต้องใช้ยารักษาที่มูลเหตุซึ่งก็คือ การทำให้เสมหะเหลวหรือขับออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยาละลายเสลด อย่างเช่น acetylcysteine, carbocysteine, bromhexine, ambroxol ฯลฯ ยาขับเสมหะ ดังเช่นว่า glyceryl guaiacolate (guaifenesin) เป็นต้น ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้อาจจะส่งผลให้ผู้เจ็บป่วยมีอาการไอเพิ่มมากขึ้นในขั้นแรก เพื่อนำเสลดออกมาจากฟุตบาทหายใจ แม้กระนั้นภายหลังจากนั้นอาการไอจะน้อยลงเป็นลำดับ
  • ยาสำหรับอาการไอที่ไม่มีเสมหะ หรือ ไอแห้ง ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่นำมาซึ่งการไอ ซึ่งผู้กระทำดระบบประสาทนั้นอาจทำให้เพศผู้เจ็บไข้ง่วงซึมได้ แม้ผู้เจ็บป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้ควรต้องหลีกเลี่ยงการขับรถยนต์แล้วก็การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร ยาที่ออกฤทธิ์กดการไอดังเช่นว่า dextromethorphan, codeine, brown mixture เป็นต้น

โดยเหตุนี้จึงต้องหาต้นเหตุของการไอ และก็ปรับปรุงให้ถูกจุด ถ้าเกิดคนไข้ใช้ยาแก้ไอผิดกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการไอที่เป็นอยู่ อย่างเช่น ใช้ยากดการไอในกรณีที่การไอมีสาเหตุมาจากเสลด นอกเหนือจากเสลดจะขวางฟุตบาทหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่สามารถขับเสลดออกโดยการไอได้อีกด้วย

  • ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้พื้นฐาน (ในเรื่องที่พบว่ามีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียแทรกซ้อน ดังเช่น เป็นไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 4 ชั่วโมง
  • ยากลุ่มแพนิซิลิน (penicillins) อย่างเช่น amoxicillin ซึ่งส่วนประกอบของยาตัวนี้ทนต่อกรดในทางเดินอาหาร สามารถรับประทานหลังอาหารได้
  • ยากลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) ตัวอย่างเช่น erythromycin, roxithromycin เพราะว่าองค์ประกอบของยาในกลุ่มนี้โดยมากไม่ทนต่อกรดในทางเดินของกิน ควรต้องรับประทานก่อนอาหาร ยกเว้น erythromycin estolate รวมทั้ง erythromycin ethylsuccinate ที่มีการดัดแปลงองค์ประกอบของยาแล้ว ทำให้สามารถกินหลังรับประทานอาหารได้

แม้กระนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่บ่อยนัก และไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด เว้นแต่คนเจ็บจะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการส่งเสริมให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา และอาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาอาการของผู้ป่วยในอนาคต
การติดต่อของโรคหวัด หวัดเป็นโรคติดต่อในระบบฟุตบาทหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย แล้วก็เสลดของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่คนไข้ไอหรือจามรด ภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร
นอกจากนั้น เชื้อหวัดยังบางทีอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดบางทีอาจติดที่มือของผู้เจ็บป่วย สิ่งของ เครื่องใช้ เป็นต้นว่า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเด็กเล่น หนังสือ โทรศัพท์ หรือสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนธรรมดาสัมผัสถูกมือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้หรือสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น และเมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น จนกระทั่งแปลงเป็นไข้หวัดได้  ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนตราบเท่าออกอาการ) : ราวๆ 1-3 วัน โดยเฉลี่ย และก็มักมีอาการร้ายแรงที่สุดในช่วง 2-3 ครั้งหน้าเริ่มมีลักษณะ

การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นหวัด ข้อแนะนำการกระทำตัวของคนเจ็บมีดังนี้


  • พักผ่อนมากมายๆห้ามทุกข์ยากลำบากงานหนักหรือบริหารร่างกายมากจนเกินความจำเป็น
  • สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด และก็อย่าอาบน้ำเย็น
  • กินน้ำมากมายๆเพื่อช่วยลดไข้ แล้วก็ทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
  • ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
  • ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรจะใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกปกติ อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
  • ถ้าหากจับไข้สูง ให้พาราเซตามอล (คนที่แก่ต่ำลงยิ่งกว่า 18 ปี ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะเหตุว่าบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงได้) ควรจะให้ยาลดไข้เป็นบางครั้งบางคราวเฉพาะเวลามีไข้สูง หากเป็นไข้ต่ำๆ หรือไข้พอเพียงทนได้ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องกิน
  • ถ้ามีลักษณะน้ำมูกไหลมากมายกระทั่งสร้างความหงุดหงิด ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อดีขึ้นกว่าเดิมแล้วควรหยุดยา หรือในกรณีที่มีลักษณะไม่มากมาย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้ยานี้
  • หากมีลักษณะอาการไอ จิบน้ำอุ่นมากมายๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) ถ้าไอมากมายลักษณะไอแห้งๆไม่มีเสลดควรจะ ให้ยาแก้ไอ
  • หากมีลักษณะอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ขวบหายใจมากยิ่งกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ขวบหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือเป็นไข้นานเกิน 7 วัน ควรส่งโรงหมออย่างรวดเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบหรือสภาวะร้ายแรงอื่นๆได้ อาจจำเป็นต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสลด เป็นต้น
  • หากมีอาการเจ็บคอมาก ไข้สูงตลอดเวลา ซึม ไม่อยากกินอาหารมากมาย เมื่อยมากมาย ปวดหู หูอื้อ หรือสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดนก (มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่เจ็บป่วยหรือตายด้านใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของหวัดนกด้านใน 14 วัน) หรือจับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

การปกป้องคุ้มครองตนเองจากหวัด รักษาสุขอนามัยฐานราก เพื่อมีสุขภาพทางร่างกายแข็งแรง กินอาหารมีประโยชน์ห้ากลุ่มทุกวี่ทุกวัน เพื่อมีสุขภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกายแข็งแรง กินน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างต่ำ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำ พักให้พอเพียงเป็นประจำ ไม่ไปในที่คับแคบ ดังเช่นว่า ศูนย์การค้า ในช่วงที่มีการระบาดของหวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อจำต้องไปในย่านที่มีคนพลุลนลานหรือไปโรงหมอ  รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนไม่สมควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะตอนที่มีอากาศเย็น  อย่าใกล้หรือนอนรวมกับผู้เจ็บป่วย ถ้าควรต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะสวมหน้ากากอนามัยรวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่  อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (ยกตัวอย่างเช่น ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าขนหนู ถ้วยน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับคนเจ็บ และก็ควรจะเลี่ยงการสัมผัสมือคนไข้
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคหวัด

  • ฟ้าทะลายโจร สารสำคัญสำหรับในการออกฤทธิ์ คือ Andrographolide มีฤทธิ์รักษาอาการไอ เจ็บคอ ปกป้องแล้วก็ทุเลาหวัด จากการเล่าเรียนการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาลักษณะของการมีไข้แล้วก็เจ็บคอเปรียบเทียบกับยาลดไข้พาราเซตามอล พบว่ากลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรขนาด 6 กรัมต่อวัน จะมีลักษณะไข้แล้วก็การเจ็บคอต่ำลงในวันที่ 3 ซึ่งดียิ่งกว่ากรุ๊ปที่ได้รับฟ้าทะลายขโมย 3 กรัม/วัน หรือได้รับพาราเซตามอล  ในการศึกษาวิจัยเปรียบการใช้ฟ้าทะลายขโมยเพื่อคุ้มครองป้องกันหวัด ซึ่งทำในช่วงฤดูหนาว โดยให้นักเรียนกินยาเม็ดฟ้าทะลายโจรแห้ง ขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน ภายหลังจาก 3 เดือนของการทดลองพบว่าอุบัติการณ์การเป็นหวัดในกรุ๊ปที่ได้ฟ้าทะลายขโมยลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยอัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายขโมยพอๆกับจำนวนร้อยละ 20 ตอนที่กรุ๊ปควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดพอๆกับปริมาณร้อยละ 62  อาจสรุปได้ว่าฟ้าทะลายขโมยให้ผลป้องกันของยา เท่ากับปริมาณร้อยละ 33

ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายโจรแห้ง 250 มิลลิกรัม และก็ 500 มิลลิกรัม
o             ทุเลาลักษณะการเจ็บคอ รับประทานวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
o             บรรเทาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังรับประทานอาหารและก่อนนอน

  • กระเทียม มีฤทธิ์สำหรับการทำลายเชื้อไวรัส เชื้อรา ลดอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์เสมือนแอสไพริน ก็เลยทำให้ไข้ลด แล้วก็ยังปกป้องการไม่สบายหวัดได้
  • ใบกระเพรา ใบกระเพราช่วยขับเสลด ทำให้จมูกเตียน ฆ่าเชื้อโรคในทางเดินหายใจ
  • ชา ใบชามีสารโพลีฟีนนอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการตำหนิดเชื้อ ทำใหเยื้อบุโพรงจมูกเปียกชื้น หายใจสบาย
  • ขิง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นเฉพาะบุคคล สามารถช่วยลดอาการหวัด แก้ไอ ทำให้หายใจเตียนโล่งขึ้น ขับเหงื่อ
  • กระเจี๊ยบ อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง พบสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส ลดการตำหนิเชื้อ
เอกสารอ้างอิง

  • รับมือโรคหวัดอย่างไรให้เหมาะสม.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาสรีรวิทยา.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 389-392.
  • ฟ้าทะลายโจร.(ฉบับประชาชน).หน่วยปริการฐานข้อมูลสมุนไพร.สำนักงานสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
  • ผศ.ภก.ธีรวิชญ์ อัชฌาศัย.ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือแพ้อากาศ เป็นอะไรกันแน่? .บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • ไข้หวัด-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้หวัด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่389.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน.2554
  • Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information Handbook, 20th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.;
112  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคมือเท้าปาก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2018, 10:33:07 am

โรคมือเท้าปาก  (Hand Foot and Mouth  disease – HFMD)
โรคมือเท้าปาก คืออะไร โรคมือ-เท้า-ปาก เจ็บป่วยเป็นผื่นประเภทหนึ่งที่ต่อเนื่องกันง่าย แต่ว่ามักไม่รุนแรงรวมทั้งหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ซึ่งโรค มือเท้าปาก เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในเด็กเล็ก โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน มักมีเหตุที่เกิดจากไวรัสกลุ่ม Enterovirus  แต่ว่าในแถบร้อนเปียกชื้น พบได้ทั่วไปได้ทั้งปีโดยส่วนมากแล้ว มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแม้กระนั้นบางทีอาจเจอในเด็กอายุมากกว่านี้ก็ได้ รวมทั้งถ้าหากมีการกำเนิดโรคในสถานเลี้ยงเด็กหรือในโรงเรียนอนุบาล ก็จะเจอคนไข้เยอะแยะขึ้นเพราะว่าโรคนี้ระบาดได้ง่าย
                อนึ่งโรคนี้เป็นโรคคนละจำพวกกับโรคปากยุ่ยเท้าเปื่อยยุ่ยที่เจอได้ในสัตว์กีบคู่ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ติดต่อมาสู่คน นอกจากในกรณีที่คนไปสัมผัสคลุกคลีอยู่กับสัตว์ที่เจ็บไข้หรือผู้ที่ดำเนินงานในห้องแลปเกี่ยวกับโรคในสัตว์พวกนี้ ที่อาจมีรายงานการติดเชื้อได้บ้าง
                อันที่จริงแล้ว โรคมือ เท้า ปาก ว่าไม่ใช่โรคใหม่ แต่ว่ารู้จักกันมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว  โดยมีประวัติที่มาที่ไปของโรค ดังนี้

  • พุทธศักราช 2500 มีรายงานการระบาดของกรุ๊ปอาการไข้ซึ่งพบร่วมกับตุ่มน้ำใสในโพรงปาก มือแล้วก็เท้าในคนไข้เด็กที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยพบสาเหตุจากเชื้อ Coxsackie virus A16(Cox A16)1
  • พ.ศ. 2502 พบการระบาดของกรุ๊ปอาการเช่นเดียวกันในเมือง Bermingham ประเทศอังกฤษ และได้มีการเรียกกลุ่มอาการนี้ว่า Hand-Foot-and Mouth Disease (HFMD)

ต่อจากนั้นก็มีรายงานการระบาดจากประเทศต่างๆทั่วทั้งโลก ซึ่งไวรัสที่ก่อให้เกิดกลุ่มอาการมือ เท้า ปาก ไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวแม้กระนั้นมีมากกว่า 10 สายพันธุ์
สำหรับการระบาดใหญ่ของกลุ่มอาการโรคมือ เท้า ปาก พบว่ามีรายงานตั้งแต่ พ.ศ.2540-2555 มีดังนี้

  • พุทธศักราช2540 มาเลเซีย (เสียชีวิต 31 ราย) พุทธศักราช2541 ไต้หวัน (ผู้เจ็บป่วย 1.5 ล้านราย เสียชีวิต 78 ราย)
  • พ.ศ.2550 ประเทศอินเดีย (ผู้เจ็บป่วย 38 ราย) และ พุทธศักราช2551 ประเทศอินเดีย (ผู้เจ็บป่วย 25,000 ราย เสียชีวิต 42 ราย) ประเทศสิงคโปร์ (ผู้ป่วยมากยิ่งกว่า 2,600 ราย) เวียดนาม (คนป่วย 2,300 ราย เสียชีวิต 11 ราย) ดูโกเลีย (คนไข้ 2,600 ราย) และก็บรูไน (คนไข้ 1,053 ราย)
  • พุทธศักราช2552 จีน (ผู้ป่วย 115,000 ราย เสียชีวิต 85 ราย) และ พุทธศักราช2553 จีน (คนป่วย 1.6 ล้านราย เสียชีวิต 537 ราย)
  • พุทธศักราช2554 เวียดนาม (ผู้ป่วย 42,000 ราย เสียชีวิต 98 ราย) รวมทั้งจีน (ผู้เจ็บป่วย 1.3 ล้านราย เสียชีวิต 437 ราย)
  • พุทธศักราช2555 เขมร (เสียชีวิต 52 ราย) จีน (คนเจ็บ 460,000 ราย เสียชีวิต 112 ราย) ไทย (คนไข้ 168,60 ราย เสียชีวิต 1 ราย)

สำหรับเหตุการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย อ้างอิงข้อมูลที่ได้มาจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2558 มีผู้เจ็บป่วยทั้งปวง 40,417 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 62.21 ต่อราษฎร 1 แสนคน แล้วก็มีคนไข้เสียชีวิต 3 ราย ส่วนในปี 2559 ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 เดือนมีนาคม 2559 มีผู้เจ็บป่วย 8,973 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 13.78 ต่อประชาชน 1 แสนคน และยังไม่มีคนเสียชีวิต
ตั้งแต่เริ่มมีการตรวจเจอเชื้อ EV71 ในผู้ป่วยโรค HFMD ในปี2541 ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเฝ้าระวังรายงานรวมทั้งไต่สวนคนไข้สงสัยติดเชื้อ EV71 รวมทั้งคุ้มครองป้องกันควบคุมโรคหลังจากนั้นมา พบว่าคนป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 2 ปีและราวๆกึ่งหนึ่งติดโรค EV71 ที่มีอาการไม่รุนแรง
ส่วนในด้านรายงานการแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากจากสำนักระบาดวิทยา พบว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม ถึง 1 เมษายน 2559 มีการระบาดเป็นกลุ่มเป็นก้อนอีกทั้งตามโรงเรียนและในชุมชน 8 เรื่อง จากจำนวนคนป่วย 22 ราย ทั้งนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำให้โรงเรียนประพฤติตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคระบุ เพื่อคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคและการแพร่ระบาดของโรค
ที่มาของโรคมือเท้าปาก โรคมือเท้าปากเกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อกลุ่มเชื้อไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันนานัปการสาย ดังเช่นว่า ค็อกแซคกีเอและบี (Coxsackie A, B), เชื้อไวรัสเอนเทอโรจำพวก 71 (Enterovirus 71 – EV71) ต้นสายปลายเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการระบาดจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 (Coxsackievirus A 16) ซึ่งอาการชอบไม่ร้ายแรง แล้วก็คนป่วยมักจะหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมูลเหตุที่พบได้น้อยรวมทั้งมีลักษณะร้ายแรง คือ การตำหนิดเชื้อไวรัสเอนเทอโรจำพวก 71 ซึ่งอาจจะส่งผลให้คนป่วยเกิดภาวะสอดแทรกร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนั้นโรคมือเท้าปากยังอาจกำเนิดได้จากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 5, 7, 9, 10 แล้วก็เชื้อไวรัสค็อกแซคกีบีชนิด 2 และ 5 ได้บ้าง
                ซึ่งโรคนี้จำนวนมากชอบติดต่อกันที่เกิดจากการกินของกิน น้ำ การดูดเลียนิ้วมือ หรือของเล่นที่แปดเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละอองน้ำมูก น้ำลายของคนเจ็บ ส่วนน้อยที่ติดต่อโดยการสูดเอาฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายที่คนเจ็บไอหรือจามรด  ซึ่งเมื่อเชื้อไปสู่ร่างกายแล้ว ราวๆ 3-6 วัน คนไข้จึงจะมีลักษณะ
อาการโรคมือเท้าปาก  ภายหลังจากติดเชื้อ 3-7 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มออกอาการเริ่มหมายถึงจับไข้ตํ่าๆประมาณ 38-39o C และก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเวลานี้จะมีระยะเวลา ราว 1-2 วัน ต่อจากนั้นจะเริ่มมีลักษณะเจ็บปาก ตรวจร่างกายจะเจอมีรอยโรคในบริเวณปาก มือรวมทั้งเท้าได้ดังนี้

  • รอยโรครอบๆปาก เจอในคนป่วยจำนวนร้อยละ 100 มีรอยโรคจํานวน 5-10 แห้ง พบได้ทุกบริเวณในปากแต่ว่าที่พบได้ทั่วไป คือ เพดานปาก ลิ้น แล้วก็เยื่อบุกระพุ้งแก้ม รอยโรคระยะเริ่มต้น ลักษณะเป็นรอยสีแดงอาจนูนนิดหน่อยขนาด 2-8 มิลลิเมตรแล้วจะเปลี่ยนเป็นตุ่มนํ้าสีเทาขนาดเล็กขอบแดงช่วงที่รอยโรคเป็นตุ่มนํ้าจะสั้น ก็เลยมักตรวจไม่เจอ  รอยโรคในช่วงนี้แม้กระนั้นก็พบได้บ่อยลักษณะเป็นแผลตื้นๆสีเหลืองถึงเทาของแดงซึ่งบางทีอาจจะมารวมกันเป็นรอยโรคใหญ่ได้

ร้อยละ 80 ของคนป่วยลักษณะของการเจ็บปากจะไม่รุนแรงและหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาข้างใน 5-10 วัน

  • รอยโรคที่ผิวหนัง

อาจเกิดขึ้นพร้อมรอยโรคที่ปาก หรือจากนั้นบางส่วนจํานวนตั้งแต่ 2-3 แห้งไปจนกระทั่ง 100 ที่ พบ ที่มือบ่อยมากกว่าเท่า ลักษณะเป็นรอยแดงๆบางทีอาจนูนน้อยขนาด 2-10 มม. กึ่งกลางสีเทา บางรอยโรคมี ลักษณะเป็นตุ่มนํ้าใสขอบแดง มีกระจายขนานไปกับแนวของผิวหนังบางทีอาจเจ็บหรือไม่ก็ได้ต่อจากนั้น 2-3 วัน จะ เริ่มเป็นสะเก็ด และก็ค่อยๆหายไปภายใน 7-10 วัน โดยไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือ
บริเวณอื่นๆที่อาจเจอรอยโรคได้ด้วยเหมือนกัน คือ ตูด แขน ขา รวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ในทารกอาจพบ กระจัดกระจายทั่วตัวได้
โดยทั่วไปโรคมือเท้า ปากตลาดว่ามีลักษณะอาการน้อยส่วนมากมักมีเพียงแต่ไข้ปวดเหมื่อยตามตัวและก็เจ็บปาก แต่ว่า ในคนป่วยบางรายบางทีอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการต่อว่าดเชื้อ enterovirus 71 ปัจจัยเสี่ยงต่อ การพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง คือ

  • อายุในกรุ๊ปผู้เจ็บป่วยอายุน้อยจะพบอาการแทรกรุนแรงแล้วก็เสียชีวิตมากกว่าในกรุ๊ปคนเจ็บที่อายุมาก อย่างเช่นการระบาดในปีพุทธศักราช2541 ที่ประเทศไต้หวัน พบว่าอัตราการเสียชีวิตโดยรวมเป็น44.4/100,000 รายแม้กระนั้นกรุ๊ปที่อัตราการตายสูงสุดเป็น6-11 เดือนพอๆกับ 96.96/100,000 ราย
  • จับไข้สูงมากไปกว่า 39o C และนานเกิน 3 วัน
  • มีลักษณะอาการอาเจียนมากมายรับประทานอาหารไม่ได้

ซึ่งปัจจัยเสี่ยงในข้อ 2 แล้วก็ 3 จากการศึกษาวิจัยที่โรงหมอเด็ก Chang Gung ประเทศไต้หวัน พบว่า ชมรมกับการติดเชื้อ EV มากกว่า Cox A  โดยชอบทำให้เกิดภาวะเข้าแทรก/ทางระบบประสาท ระบบหัวใจ รวมทั้งปอดได้สูง ทำให้คนไข้เสียชีวิตอย่างเร็วจากภาวการณ์ปอดอักเสบน้ำ เลือดออกในปอด แล้วก็ภาวการณ์ช็อก
แม้กระนั้นเชื้อคอกแซคก็ไวรัส เอ 16 ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเป็น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อห่อหัวใจอักเสบ และก็ภาวะช็อกได้ แต่เจอได้น้อยกว่าจากเชื้อ เอนเทอโรไวรัส 71 มาก
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมากที่สุด เพราะมักพบการติดเชื้อและการระบาดของโรคใน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือศูนย์เด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่
  • การที่ผู้ดูแลเด็กไม่ได้ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของโรคมือเท้าปาก
  • สภาพที่อยู่อาศัย หรือโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็กไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น มีลักษณะอับ ทึบ แสงแดดส่องไม่ถึง
  • การใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน ร่วมกัน
  • การไอ จาม รดกัน หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
แนวทางการรักษาโรคมือ เท้าปาก การวินิจฉัยโรคมือเท้าปากโดยทั่วไปใช่อาการและอาการแสดงเป็นสําคัญ (clinical diagnosis) โดยแพทย์จะตรวจร่างกายหารอยโรคจําเพาะที่บริเวณมือเท้า ปากร่วมกับมีไข้ ได้แก่  ผู้ป่วยมีไข้ 38 – 39 องศาเซลเซียส  พบจุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือ แผลที่เยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก พบจุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และแก้มก้น
การตรวจรอยโรคที่ผิวหนัง (cutaneous lesion) ทางพยาธิวิทยา(histology) จะพบเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil และ lymphocyte เพิ่มขึ้น แต่จะไม้พบmultinucleated giant cell หรือ inclusion body 11 สําหรับในกรณีที่ต้องการทราบชนิดของเชื้อไวรัสที่ก้อโรค สามารถทําได้โดยการแยกเชื้อไวรัส หรือตรวจ ร่องรอยการติดเชื้อจากนํ้าเหลือง สําหรับประเทศไทยใช้วิธี micro-neutralization หากพบผู้ป่วยในข่ายสงสัยให้ เก็บตัวอย่างดังนี้

  • อุจจาระภายใน 14 วันของการป่วยโดยเก็บประมาณ 8 กรัม ใส่กล่องพลาสติกสะอาด
  • สวอบลําคอ (throat swab) โดยจุ่มปลายสวอบลงใน viral transport media ให้จมปลาย ตัวอย่างในข้อ 1 และ 2 ให้เก็บส่งโดยแช่เย็นในกระติกนํ้าแข็งอุณหภูมิ 4-8o C และส่งห้องปฏิบัติ การโดยเร็วที่สุด
  • เก็บเลือด 2 ครั้งประมาณ 3-5 มล.ต่อครั้ง ครั้งแรกที่สุดภายใน 3-5 วันหลังป่วยและครั้งที่ 2 หลัง จากครั้งแรก 14วัน โดยใส่ในหลอดแก้วปราศจากเชื้อพันพลาสเตอร์ให้แน่น เก็บตัวอย่างในตู้เย็น เพื่อรอส่งตรวจพร้อมกัน

โรคมือเท้าปากไม่มีวัคซีนหรือยาสำหรับรักษาโรคโดยตรง การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่นการให้ยาลดไข้ paracetamol หรือให้ยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดอาการเจ็บของแผลในช่องปาก ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองหรือพุพองก็จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น ถ้ามีภาวะขาดน้ำเนื่องจากกินและดื่มไม่ได้ ก็จะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ก็จำเป็นต้องรับเด็กไว้รักษาในโรงพยาบาลหรือส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2539 มีการศึกษาที่ Medical College of Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการทดลองใช้ acyclovir ในการรักษาผู้ป่วยโรคมือเท้า ปาก 13 รายซึ่ง 12 รายเป็นเด็กอายุ 1-5 ปีและอีก 1 รายเป็นผู้ใหญ่ โดยเริ่มใช้ยา acyclovir ภายใน 1-2 วัน หลังเริ่มมีรอยโรคพบว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้น และรอยโรคเปลี่ยนแปลงดี ขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มรักษา ได้ให้ acyclovir ต่ออีก 5 วันจนรอยโรคหายไปหมด ผู้ศึกษาเชื่อว่า acyclovir อาจไปยับยั้งเอนไซม์ thymidine kinase ของ Cox A16แต่ก็อาจมีประโยชน์ ด้านอื่นด้วยเช่น อาจทําให้ผู้ป่วยสร้าง interferon เพื่อยับยั้งไวรัสมากขึ้น15 อย่างไรก็ดียังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ acyclovir ในการ ลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
และหลังจากการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรค แต่อาจเกิดโรคมือเท้า ปากซํ้าได้จาก enterovirus ตัวอื่นๆ
การติดต่อของโรค มือ เท้า ปาก  โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากตุ่มน้ำใส หรือสารคัดหลั่งจากจมูกและปากอันได้แก่ น้ำมูก เสมหะ หรือน้ำลาย นอกจากนี้แล้วไวรัสยังสามารถพบได้ในอุจจาระ โดยไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ตั้งแต่ในระยะแรกที่แสดงอาการโดยช่วงที่มีการแพร่กระจายมากที่สุด คือ สัปดาห์แรกที่ผู้ป่วยมีอาการและอาจจะยังพบได้อีกหลายสัปดาห์ในอุจจาระของผู้ป่วยที่หายจากอาการของโรคแล้ว นอกจากนี้แล้วในผู้ใหญ่อาจจะสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้โดยไม่แสดงอาการใดๆ ซึ่งการได้รับไวรัสอาจเป็นการได้รับโดยตรงเช่นจากการไอหรือจาม หรืออาจจะได้รับไวรัสโดยอ้อมโดยการสัมผัสกับพื้นผิวหรือสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เช่นในสถานรับเลี้ยงเด็กซึ่งอาจมีของเล่นหรือของใช้เด็กที่ปนเปื้อนน้ำลายเนื่องจากเด็กเล็กมักชอบนำสิ่งของเข้าปาก  ดูดเลียนิ้วมือ รวมถึงจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ มือของผู้เลี้ยงดูเด็กที่ไม่สะอาด เป็นต้น  เนื่องจากโรคมือเท้าปากมักพบในเด็กเล็ก ดังนั้นการระบาดมักพบในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือตามโรงเรียนอนุบาล  เชื้อเอนเทอโรไวรัสสามารถทนสภาวะกรดในทางเดินอาหารมนุษย์ได้ และมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ 2-3วัน
โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเย็นหรือชื้นแฉะเชื้ออาจอยู่ได้เป็นเดือน  นอกจากนี้ การทำลายเชื้อต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม น้ำยาฆ่าเชื้อทั่วๆ ไปบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์และแอลกอฮอล์เจลใช้ป้องกันไวรัสไข้หวัดได้ แต่สำหรับเชื้อไวรัสเอนเทอโร แอลกอฮอล์ไม่มีผลโดยตรง
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องให้ยารักษาจำเพาะ เพียงแต่ให้การดูแลตามอาการ และเฝ้าติดตามอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้

  • ทานยาลดไข้ พาราเซตามอล เป็นครั้งคราวเวลา มีไข้สูง
  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยสังเกตดูว่ามีปัสสาวะออกมากและใส จึงนับว่าได้น้ำพอเพียง
  • ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้กินอาหารเหลวหรือของน้ำๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ น้ำหวาน เพื่อบรรเทาอาการเจ็บในปาก อาจใช้วิธีอมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็นๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ (ผสมเกลือป่นครึ่งช้อนชาในน้ำอุ่น ๑ แก้ว) วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแผลในปาก
  • แยกของใช้ไม่ใช้ร่วมกับคนอื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน-ส้อม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ขับถ่ายอุจจาระลงในในโถส้วม
  • ควรทำความสะอาดพื้นห้องและพื้นผิวอื่นๆ ที่สัมผัสบ่อยๆ รวมถึงห้องสุขาและห้องน้ำ โดยล้างด้วยน้ำและผงซักฟอก แล้วตามด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของคลอรีน เช่น ไฮเตอร์ ไฮยีน คลอร็อกซ์ โดยผสมตามฉลากปิดข้างขวด ทิ้งไว้ ๑๐ นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำให้สะอาดเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง
  • แยกเด็กที่ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับเด็กคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนบ้าน และพี่น้องที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น การกอดรัด การเล่นของเล่นที่เปื้อนน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีที่มีน้องเล็กๆ อายุ ๑-๒ ปีหรือน้อยกว่า เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการรุนแรง ไม่นำเด็กไปในที่ที่มีคนอยู่จำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด สระว่ายน้ำ ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี
  • ขอให้เด็กหยุดเรียนเป็นเวลา ๗ วันนับจากวันเริ่มมีอาการ (ถึงแม้ว่าเด็กอาจมีอาการดีขึ้นก่อนครบ ๗ วัน) หากเด็กมีอาการป่วยรุนแรงขึ้น เช่น ไข้สูง อาเจียน หอบเหนื่อย ซึม ชัก หรืออาการแย่ลง ต้องรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที ในกรณีผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ให้หยุดงานเป็นเวลา 7 วันเช่นกัน
  • ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
  • ตุ่มน้ำ กลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพองจากการเกาให้แพทย์พิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะรักษา
  • มีอาการเจ็บแผลในปาก จนกินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อย
  • มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบเหนื่อย ควรส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์

การปกป้องตัวเองจากโรคมือเท้าปาก

  • สำหรับเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกคราวข้างหลังการขับถ่าย ก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือเมื่อสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย
  • สำหรับผู้ที่คอยทำหน้าที่ดูแลเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและก็สบู่ทุกหนก่อนที่จะมีการเตรียมอาหาร ก่อนอาหาร และข้างหลังการขับถ่าย และข้างหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก ข้างหลังการช่วยล้างก้นให้แก่เด็กเล็กที่เพิ่งขับถ่าย หรือสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งของเด็ก ดังเช่น น้ำมูก น้ำลาย
  • ให้บุตรหลานหลีกเลี่ยงการเล่น หรือคลุกคลีกับเด็กที่ป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก
  • ไม่นำเด็กตัวเล็กๆไปในที่ที่มีคนอยู่เยอะมาก ได้แก่ ห้าง ตลาด สระว่ายน้ำ รวมทั้งควรให้อยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี ในช่วงที่มีการระบาดของโรคมือเท้าปากในพื้นที่
  • เลี่ยงการใช้ข้าวของ ได้แก่ แก้วน้ำ หลอดดูด ขวดที่เอาไว้ใส่สำหรับนม ช้อนชาม เสื้อผ้า ผ้าขนหนู ของเด็กเล่น เป็นต้น  ร่วมกับคนอื่นๆโดยเฉพาะในตอนที่มีการระบาดของโรคนี้
  • ฝึกฝนเด็กให้มีสุขนิสัยที่ดี รวมถึงหลบหลีกการใส่นิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก
  • ทําความสะอาดพื้น ของใช้เสื้อผ้าที่บางทีอาจแปดเปื้อนเชื้อ ด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อที่ใช้ทั่วไปข้างในบ้าน
  • บิดามารดาผู้ดูแลช่วยตรวจทานอาการของลูกหลานทุกวี่วัน ถ้ามีแผลในปากหลายแผล โดยยิ่งไปกว่านั้นหากเจ็บมากมายกระทั่งทำให้ไม่ค่อยทานอาหาร ให้ช่วยแจ้งแก่สถานศึกษาเพื่อมีการปฏิบัติการควบคุมโรคที่สมควร
  • สำหรับบิดามารดาผู้ดูแลที่จะพาลูกหลานที่เป็นเด็กเล็กไปยังต่างประเทศที่มีการระบาด สามารถเดินทางได้ตามธรรมดา โดยให้ปฏิบัติตัวตามความถูกอนามัยที่ดี หลีกเลี่ยงพาลูกหลานไปสถานที่ยัดเยียด แล้วก็หากบุตรหลานมีอาการเจ็บป่วยที่สงสัยโรคมือ เท้า ปาก ให้พาไปพบหมอ

สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาอาการของโรคมือเท้าปาก สมุนไพรซึ่งสามารถประยุกต์ใช้บรรเทาอาการของโรคมือเท้าปากนั้นมีดังนี้ ถ้าหากมีแผลในปากก็สามารถใช้กลีเซอรีนพญายอหยอดรอบๆแผลได้ เพราะในใบพญายอมีสารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็วขึ้นและไม่มีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียง
            สมุนไพรในโรค มือ-เท้า-ปากเป็นฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.F.) Nees.) เป็นงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่ทำในประเทศจีน โดยนักวิจัยได้สกัดสารสำคัญของฟ้าทลายขโมยและทำให้อยู่ในรูปแบบของยาฉีดเป็นAndrographolide Sulfonate injection
การวิจัยนี้ทำในเด็กที่เป็นโรค มือ-เท้า-ปาก อายุ 1-13 ปี จำนวน 230 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะได้รับการดูแลและรักษาแบบแผนเดิมร่วมกับ สารสกัดฟ้าทะลายขโมยในแบบบาฉีด (Andrographolide Sulfonate injection) อีกกรุ๊ปจะได้รับการดูแลรักษาแบบแผนเดิม โดยติดตามผล 7-10 วัน ผลการศึกษาพบว่า กรุ๊ปแรกจะเจออาการแทรกซ้อนแบบร้ายแรงน้อยกว่ากรุ๊ปลำดับที่สองอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นยังส่งผลให้ไข้ลดน้อยลงได้เร็วขึ้น ทำให้แผลที่ผิวหนังรวมทั้งแผลในปากหายมากยิ่งกว่ากลุ่มหวานใจษาแบบแผนเดิม และไม่พบการเสียชีวิตรวมถึงผลกระทบที่ร้ายแรงในกลุ่มทดลองอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ดร.ภก.ปิยทิพย์ ขันตยาภรณ์.โรคมือเท้าปากในเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Chang L, Lin T, Huang Y, et al. Comparison of enterovirus 71 and coxsackie-virus A16 clinical illnesses during the Taiwan enterovirus epidemic, 1998. Pediatr Infect Dis J 1999;18(12): 1092-6.
  • Abzug MJ. Hand-Foot-and-Mouth Disease. Kliegman: Nelson Textbook of Pediatrics, 19th ed.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคมือ-เท้า-ปาก.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 326.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.มิถุนายน.2549
  • โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-Food-and-Mouth Disease; HEMD) และโรคจากเชื้อ Enterovirus 71 (EV-71) .หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth-disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1121-1123. http://www.disthai.com/[/b]
  • Alsop J. Hand-foot-and-mouth disease in Birmingham in 1959. Br Med J 1960;2:1708.
  • Shelley WB, Hashin M, Shelley ED. Acyclovir in the treatment of hand-foot-and-mouth disease.Cutis 1996;57:232-4.
  • โรคมือ เท้า ปาก พ.ศ.2555. หมอชาวบ้าน(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Ho M, Chen E, Hsu K, et al. An epidemic of enterovirus 71 infection in Taiwan. N Engl J Med 1999; 341(13): 929-35.
  • Jennifer CH, Antoinette FH. Hand-food-and-mouth disease. In: Freedberg IM, Eisen AZ, editors. Fitzpatrick’s Dermatology in General Medicine. 5th ed. New York: McGraw-Hill; 1999. p. 2403-7.
  • สมุนไพรที่เคยมีการทำวิจัยในโรคมือเท้าปาก.อภัยภูเบศสาร.ปีที่ 12 .ฉบับที่133.กรกฎาคม.2557
  • Luan YC, Tzou YL, Yhu CH, Kou CT, Shin RS, Ming LK, et al. Comparison of enterovirus 71 and coxsackie virus A16 clinical illnesses during the Taiwan enterovirus epidemic, 1998.Pediatr Infect Dis J 1999;18:1092-6.
  • Robinson CR. Report on an outbreak of febrile illness with pharyngeal lesions and examthem. Toronto, Summer 1957-isolation group A Coxsackie virus. Can Med Assoc J 1958;79:615.
  • Theokiss Z, Joel DK. Enterovirus infection. Pediatrics in Review 1998;19:183-91.
  • พญ.ชนิกานต์ คีรีวิเชียร,พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคมือเท้าปาก (Hand-Food-and-Mouth-Disease).คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.กันยายน 2545.หน้า 1- 9
  • โรคมือเท้าปาก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
113  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคโปลิโอ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2018, 06:40:16 pm

โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)
โรคโปลิโอคืออะไร โรคโปลิโอศึกษาค้นพบหนแรกเมื่อ ค.ศ. 1840 โดย Jakob Heine ส่วนไวรัสโปลิโอซึ่งเป็นสาเหตุของโรคถูกพ้นเจอเมื่อ ค.ศ. 1908 โดย Karl Landsteiner โรคโปลิโอ หรือ ไข้ไขสันหลังอักเสบ  เป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวแก่เด็กทั่วโลก ซึ่งมีผู้ป่วยในอดีตกาลมากยิ่งกว่า 350,000 รายต่อปี เพราะนำมาซึ่งความพิกลพิการ ขา หรือ แขนลีบ และก็เสียชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยผู้ป่วยจำนวนมากมักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกรุ๊ปคนป่วยที่มีลักษณะอาการนั้นจำนวนมากจะมีอาการเพียงเล็กน้อยอย่างไม่เจาะจงแล้วก็หายได้เองภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่วัน แต่ว่าจะมีคนป่วยเพียงส่วนน้อยที่จะมีลักษณะของกล้ามเนื้อเมื่อยล้าและเมื่อผ่านไปหลายๆปีข้างหลังการรักษา ผู้ป่วยที่เคยมีอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยนี้อาจจะเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนกำลังซ้ำขึ้นมาอีก รวมทั้งอาจเกิดกล้ามฝ่อลีบและเกิดความพิการของข้อตามมาได้ ในขณะนี้โรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่มีวัคซีนที่ใช้ปกป้องโรคได้
โรคโปลิโอ นับเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากมายโรคหนึ่ง เพราะเชื้อ เชื้อไวรัสโปลิโอ จะก่อให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามเนื้อแขนขา ซึ่งในรายที่อาการร้ายแรงจะมีผลให้มีความพิกลพิการชั่วชีวิต และก็บางรายบางทีอาจถึงเสียชีวิตได้ ในปี พ.ศ. 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกำจัดโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั่วโลกลดน้อยลงไปๆมาๆกถึง 99% โดยต่ำลงจาก 350,000 ราย (จาก 125 ประเทศทั้งโลก) ในปี พุทธศักราช 2531 เหลือแค่ 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศ. 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังเจอโรคมากอยู่คือ ประเทศอินเดีย (400 กว่าราย) ปากีสถาน ไนจีเรีย แล้วก็อัฟกานิสถาน
ส่วนในประเทศไทยไม่เจอผู้ป่วยโรคโปลิโอมาตรงเวลายาวนานหลายปีแล้ว โดยพบรายสุดท้ายในปี พุทธศักราช 2540 ที่ จังหวัด เลย แม้กระนั้นเด็กทุกคนยังคงจะต้องได้เรื่องฉีดรับวัคซีนตามมาตรการกวาดล้างโรคโปลิโอร่วมกับนานาประเทศทั้งโลก เพราะว่าโปลิโอเป็นโรคร้ายแรงที่สร้างความสูญเสียอีกทั้งทางด้านร่างกายและก็เศรษฐกิจ รวมทั้งปัจจุบันนี้ถึงแม้ องค์การอนามัยโลก CWHO ได้ประกาศรับรองให้เป็นประเทศที่ปลอดโรคโปลิโอแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557 แต่ประเทศไทยยังที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคโปลิโออยู่ ด้วยเหตุว่ามีขอบเขตชิดกับประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโออย่างเมียนมาร์รวมทั้งลาวที่พึ่งเจอเชื้อโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2558
สาเหตุของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอ single-stranded RNA virus ไม่มีเปลือกจัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 รวมทั้ง 3 โดยแต่ละจำพวกอาจจะทำให้เกิดอัมพาตได้ พบว่า type 1 ส่งผลให้เกิดอัมพาตและก็เกิดการระบาดได้บ่อยครั้งกว่าทัยป์อื่นๆแล้วก็เมื่อติดเชื้อโรคแล้วจะมีภูมิต้านทานถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อทัยป์อื่น เพราะฉะนั้น ตามแนวความคิดนี้แล้ว คน 1 คน บางทีอาจติดโรคได้ถึง 3 ครั้ง รวมทั้งแต่ละทัยป์ของไวรัสโปลิโอ จะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ เป็น

  • สายพันธุ์รุนแรงก่อโรค (Wild strain) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังและกวาดล้าง โดยตอนนี้ยังเจอสายพันธุ์ร้ายแรงนี้ใน 2 ประเทศหมายถึงอัฟกานิสถานแล้วก็ปากีสถาน
  • สายพันธุ์วัคซีน (Vaccine strain หรือ Sabin strain) เป็นการทำให้เชื้อไวรัสโปลิโอ 3 ประเภทย่อยอ่อนฤทธิ์ลงจนกระทั่งไม่อาจจะก่อให้เกิดโรคได้ แล้วประยุกต์ใช้เป็นวัคซีนชนิดหยด หรือที่เรียกกันว่า OPV (Oral polio vaccine) เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย แต่แต่ ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนอาจมีความเคลื่อนไหวในระดับโมเลกุลจนสามารถส่งผลให้เกิดสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ และส่งผลให้เกิดโรคโปลิโอได้ ซึ่งการเกิดนี้ชอบกำเนิดในชุมชนที่หรูหราความครอบคลุมของวัคซีนโปลิโอออกจะต่ำเป็นระยะเวลานาน

โดยเชื้อโปลิโอนี้จะอยู่ในลำไส้ของคนเท่านั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในไส้ของคนที่ไม่มีภูมิต้านทานและอยู่ภายในลำไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกถ่ายออกมาข้างนอก จะไม่สามารถเพิ่มได้ แล้วก็เชื้อจะอยู่ภายนอกร่างกายในสภาพแวดล้อมมิได้นาน โดยเฉพาะในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของเชื้อไวรัสโปลิโอ (half life) โดยประมาณ 48 ชั่วโมง
อาการของโรคโปลิโอ  เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในบริเวณ pharynx และก็ไส้ สองสามวันต่อมาก็จะกระจัดกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองรอบๆคอที่ทอนซิล และก็ที่ไส้แล้วก็ไปสู่กระแสโลหิตทำให้มีลักษณะไข้เกิดขึ้น ส่วนน้อยของเชื้อไวรัสจะผ่านจากกระแสเลือดไปยังไขสันหลังแล้วก็สมองโดยตรง หรือบางส่วนบางทีอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วมักจะไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมลักษณะการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่    ติดโรคมีลักษณะอาการอักเสบมากจนถูกทำลายไป กล้ามที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตและฝ่อไปสุดท้าย
         ดังนี้สามารถแบ่งคนไข้โปลิโอตามกรุ๊ปอาการได้เป็น 4 กรุ๊ป คือ

  • กรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่ไม่มีอาการ คนไข้กลุ่มนี้มีราว 90 – 95% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งสิ้น มีความหมายทางด้านระบาดวิทยา เพราะเหตุว่าเชื้อไวรัสโปลิโอที่เข้าไปจะไปเพิ่มในลำไส้ รวมทั้งขับถ่ายออกมาตรงเวลา 1-2 เดือน นับเป็นแหล่งแพร่โรคที่สำคัญในชุมชน
  • กรุ๊ปคนไข้ที่มีลักษณะน้อยมาก (Abortive poliomyelitis) หรือที่เรียกว่า abortive case หรือ minor illness ซึ่งจะพบได้โดยประมาณ 5-10% ของผู้ติดเชื้อโรคโปลิโอทั้งสิ้น มักจะมีลักษณะไข้ต่ำๆเจ็บคอ อ้วก เจ็บท้อง เบื่ออาหาร และอ่อนแรง อาการจะเป็นอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอัมพาต ซึ่งจะวินิจฉัยโรคแยกจากโรคติดเชื้อเชื้อไวรัสอื่นมิได้
  • กรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสโปลิโอ (Nonparalytic poliomyelitis) กลุ่มนี้จะพบได้เพียงแค่ 1% ของผู้ติดเชื้อโปลิโอทั้งผอง จะมีอาการเหมือนกับที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะคล้าย abortive case แม้กระนั้นจะตรวจเจอคอแข็งกระจ่าง มีอาการปวดหัว ปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อตรวจน้ำไขสันหลังก็จะเจอแตกต่างจากปกติแบบการต่อว่าดเชื้อไวรัส มีเซลล์ขึ้นไม่มากมายจำนวนมากเป็นลิมโฟซัยท์ ระดับน้ำตาลรวมทั้งโปรตีนปกติ หรือเปลี่ยนแปลงเพียงนิดหน่อย
  • กลุ่มคนป่วยที่มีลักษณะกล้ามเหน็ดเหนื่อย (Paralytic poliomyelitis) เป็นอัมพาต กลุ่มนี้เจอได้น้อยมากจะมีลักษณะอาการแบ่งได้ 2 ระยะ ระยะแรกคล้ายกับใน abortive case หรือเป็น minor illness เป็นอยู่ 3-4 วัน หายไป 3-4 วัน เริ่มจับไข้กลับมาใหม่ พร้อมกับมีลักษณะปวดกล้ามเนื้ออาจมีการเกร็งตัวของกล้ามก่อนที่จะมีอัมพาตเกิดขึ้น กล้ามจะเริ่มมีอัมพาตและเพิ่มกล้ามเนื้อที่มีอัมพาตอย่างเร็ว จำนวนมากจะเกิดสุดกำลังภายใน 48 ชั่วโมง รวมทั้งจะไม่ขยายเพิ่มขึ้นตอนหลัง 4 วัน เมื่อตรวจสอบรีเฟลกซ์บางคราวจะพบว่าหายไปก่อนที่จะกล้ามเนื้อจะมีอัมพาตสุดกำลัง

          ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะเจอที่ขามากยิ่งกว่าแขนและก็จะเป็นข้างเดียวมากกว่า 2 ข้าง (asymmetry) ชอบเป็นกล้ามเนื้อต้นขา หรือต้นแขนมากกว่าส่วนปลาย เป็นแบบอ่อนปวกเปียก (flaccid) โดยไม่มีความเคลื่อนไหวในระบบความรู้สึก (sensory) ที่พบได้ทั่วไปคือเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามลำตัว ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามเนื้อส่วนลำตัวที่ทรวงอกและก็หน้าท้อง ซึ่งมีความสำคัญสำหรับในการหายใจ ทำให้หายใจเองมิได้ อาจจนตายได้ถ้าช่วยไม่ทัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคโปลิโอ โรคโปลิโอพบมากได้ในเด็กมากกว่าคนแก่ โดยทั้งเพศชายและเพศหญิงได้โอกาสติดโรคนี้ได้เสมอกัน และก็มีโอกาสติดโรคโปลิโอได้ง่าย แม้กระนั้นมีผู้เจ็บป่วยน้อยมากที่จะมีลักษณะกล้ามอ่อนเพลีย เชื้อไวรัสชนิดนี้จะเติบโตอยู่ในไส้ เชื้อก็เลยถูกขับออกจากร่างกายมาพร้อมกับอุจจาระรวมทั้งแพร่ไปสู่ผู้อื่นผ่านการกินของกินหรือดื่มน้ำที่แปดเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของคนเจ็บ ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากการขับถ่ายที่ผิดความถูกอนามัยและไม่ล้างมือก่อนอาหาร โรคนี้จึงพบได้บ่อยมากในประเทศที่ด้อยความเจริญแล้วก็กำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี
ทั้งคนที่มิได้รับการฉีดวัคซีนโปลิโอนั้น จะยิ่งเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อยิ่งขึ้นถ้าเกิดอยู่ในภายในกรุ๊ปเสี่ยงดังต่อไปนี้
           หญิงมีท้องรวมทั้งผู้ที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ ได้แก่ ผู้ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง และก็เด็กเล็กซึ่งจะมีความไวต่อการได้รับเชื้อโปลิโอ
           เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอหรือเพิ่งจะมีการระบาดของโรคเมื่อไม่นานมานี้
           เป็นผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่กับผู้ติดโรคโปลิโอ
           ดำเนินการในห้องทดลองที่สัมผัสใกล้ชิดกับเชื้อไวรัส
           คนที่ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกไป
กรรมวิธีการรักษาโรคโปลิโอ หมอจะวินิจฉัยโรคโปลิโอด้วยการถามไถ่อาการจากคนป่วยว่ารู้สึกเจ็บปวดรอบๆหลังและคอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือหายใจไหม ตรวจสอบปฏิกิริยาสะท้อนกลับของร่างกาย รวมทั้งการตรวจทางน้ำเหลือง โดยเก็บตัวอย่างในตอนระยะรุนแรงแล้วก็ระยะแอบแฝงของโรค ตรวจสารภูมิคุ้มกัน IgM หรือ IgG นอกจากนั้นเพื่อยืนยันให้มั่นใจอาจมีการตรวจค้นเชื้อไวรัสโปลิโอด้วยการเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างสารคัดเลือกหลั่งจากคอ อุจจาระ หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมองและก็ไขสันหลังส่งตรวจทางห้องทดลอง ในกรณีคนไข้ที่มีอาการกล้ามเนื้ออัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) แพทย์จะจัดการสอบสวนโรค พร้อมด้วยเก็บอุจจาระส่งตรวจเพื่อ    แยกเชื้อโปลิโอ การวินิจฉัยที่แน่นอนเป็น แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ และก็ทำการตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild strain หรือ vaccine strain (Sabin strain)
          การเก็บอุจจาระส่งไปทำการตรวจจะเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จะต้องเก็บให้เร็วข้างใน 1-2 สัปดาห์ภายหลังที่เจอมีลักษณะ AFP ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณเชื้อไวรัสในอุจจาระมากกว่าระยะอื่นๆการจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งไปตรวจจะต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8๐ ซ ตลอดระยะเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโออาจตายได้ ปัจจุบันนี้โรคโปลิโอยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายขาด หมอสามารถให้การดูแลรักษาคนป่วยตามอาการ  และขณะนี้ก็ยังไม่มียารักษาโรคโปลิโอโดยยิ่งไปกว่านั้น การดูแลรักษาจะเป็นแบบเกื้อกูล อาทิเช่น ให้ยาลดไข้ และลดอาการปวดของกล้าม ในรายที่มีลักษณะอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อแขน ขา วิธีการทำกายภาพ บำบัดรักษาจะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น
สำหรับเพื่อการรักษาผู้ป่วยกลุ่มอาการข้างหลังเกิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การรักษาหลักจะย้ำไปที่แนวทางการทำกายภาพบำบัดมากยิ่งกว่า อย่างเช่น การใส่เครื่องมือช่วยยึดลำตัว วัสดุอุปกรณ์ช่วยสำหรับเพื่อการเดิน เครื่องมือที่ช่วยคุ้มครองข้อบิดผิดรูปหรือบางทีอาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกหัดพูดและก็ฝึกกลืนในผู้ป่วยที่มีปัญหา การออกกำลังกายที่ย้ำการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้ข้อเสนอแนะที่ถูกต้องจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด การใช้เครื่องช่วยหายใจในขณะหลับแม้คนเจ็บมีปัญหาหัวข้อการหยุดหายใจในขณะหลับ รวมถึงการดูแลทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้เจ็บป่วยร่วมด้วย

การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคโปลิโอ

  • ถ้าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโปลิโอไม่ว่ามีอาการอยู่ในกรุ๊ปใด หากหมอให้กลับบ้านเครือญาติต้องระวังการแพร่เชื้อสู่บุคคลในบ้าน เพราะเหตุว่าคนเจ็บจะสามารถขับเชื้อออกมาทางอุจจาระได้นานถึงประมาณ 3 เดือนข้างหลังติดโรค และถ้าหากว่าผู้ป่วยมีสภาวะภูมิต้านทานต้าน ทานโรคขาดตกบกพร่องด้วยแล้วจะสามารถแพร่ระบาดได้นานถึงโดยประมาณ 1 ปี โดยให้ญาติดูแลประเด็นการขับ ถ่ายของคนป่วยให้ถูกสุขลักษณะ การล้างมือทุกคราวหลังเข้าส้วมแล้วก็ก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก การกินของกินปรุงสุกใหม่เสมอ การล้างผักผลไม้ให้สะอาดแล้วก็ปอกผลไม้ก่อนรับประทาน แล้วก็ถ้าบุคคลในบ้านคนไหนยังไม่เคยรับวัคซีนโปลิโอ ก็ให้ขอความเห็นหมอเพื่อรับวัคซีนให้ครบ
  • ให้คนไข้กินอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบทั้ง 5 กลุ่ม
  • ถ้าหากผู้เจ็บป่วยมีลักษณะอาการกล้ามเนื้อเมื่อยล้าให้เครือญาติช่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยเหลือทักษะการเคลื่อนไหว แล้วก็เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตามข้อแนะนำของนักกายภาพบำบัด
  • ญาติควรดูแลและก็ใส่ใจคนป่วย รวมทั้งดูแลทางด้านสภาพการณ์จิตใจ สภาพการณ์ทางอารมณ์ของผู้ป่วยและให้กำลังใจแก่คนไข้ด้วย
  • พี่น้องควรจะพาคนไข้ไปพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด หรือ แม้มีอาการไม่ดีเหมือนปกติที่เป็นอันตราย ก็ควรจะพาไปพบหมอโดยเร่งด่วน
การคุ้มครองโรคโปลิโอ

  • โรคโปลิโอสามารถปกป้องได้ด้วยวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่มีใช้ ทั่วโลกมี 2 ชนิดเป็น


  • วัคซีนโปลิโอจำพวกรับประทาน (Oral Poliomyelitis Vaccine: OPV, Sabin) การกวาดล้าง ในประเทศไทย โรคโปลิโอ H T กรุ๊ปโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน สำนักโรคติดต่อทั่วๆไป Albert Bruce Sabin M.D. Jonas Edward Salk M.D. เป็นวัคซีนประเภทเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (attenuated live oral poliomyelitis vaccine) สายพันธุ์ Sabin สร้างสรรค์โดย Albert Bruce Sabin ชาวอเมริกัน เมื่อปี พุทธศักราช 2504 วัคซีนมีเชื้อ ไวรัสโปลิโอ 3 ทัยป์หมายถึงทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 ให้วัคซีนโดยการกินเป็นการเลียนแบบการต่อว่าดเชื้อ ตามธรรมชาติ ที่สามารถกระตุ้นภูมิต้านทานที่เยื่อบุลำคอและก็ไส้ของผู้รับวัคซีน แล้วก็สามารถแพร่เชื้อ วัคซีนไปกระตุ้นภูมิต้านทานให้กับผู้สัมผัสสนิทสนมได้อีกด้วย ปัจจุบันนี้วัคซีนโปลิโอประเภทกินนี้ถือได้ว่าเป็น เครื่องมือสำคัญในการกวาดล้างโรคโปลิโออย่างมาก ด้วยเหตุว่าสามารถคุ้มครองรวมทั้งกำจัดเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ ก่อโรคได้อย่างดีเยี่ยม ราคาแพงถูกรวมทั้งมีวิธีการให้วัคซีนง่าย แต่ว่ามีข้อเสีย เป็นอาจจะก่อให้กำเนิดอาการข้างๆ เหมือนโรคโปลิโอ (Vaccine Associated Paralytic Polio: VAPP) ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก ราว 1 ใน 2.7 ล้านโด้ส หรือบางทีอาจมีการกลายพันธุ์ (Vaccine Derive Polio Virus: VDPV) จนก่อ โรคได้ในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนต่ำ
  • วัคซีนโปลิโอจำพวกฉีด (Inactivated Poliomyelitis Vaccine: IPV, Salk) เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแล้ว (kill vaccine) สร้างสรรค์โดย Jonas Edward Salk ชาว อเมริกัน เมื่อปี พุทธศักราช 2498 วัคซีนชนิดนี้มีเชื้อโปลิโอ 3 ทัยป์ ให้วัคซีนโดยการฉีด

ในขณะนี้ประเทศไทยมีการใช้วัคซีนโปลิโอในแผนงานเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค โดยให้วัคซีน OPV 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปีครึ่ง รวมทั้ง 4 ปี รวมทั้งให้วัคซีน IPV 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน

  • คุ้มครองป้องกันการตำหนิดเชื้อและการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอ ด้วยการรับประทานอาหารแล้วก็ดื่มน้ำสะอาดถูกสุขลักษณะ รวมถึงการอุจจาระลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกหน
  • คราวหลังเข้าไปคลุกคลีสนิทสนมผู้เจ็บป่วยโรคโปลิโอ หรอเข้าไปดูแลเปลี่ยนผ้าให้แก่คนเจ็บควรล้ามือด้วยสบู่ทุกคราว
  • เมื่ออยู่ภายในเขตพื้นที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ ควรจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงประพฤติตามหลักสุขข้อกำหนดให้ครัดเคร่ง

สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาโรคโปลิโอ เพราะว่าโรคโปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อได้ง่าย และก็ในผู้เจ็บป่วยที่มีความร้ายแรงของโรคนั้นอาจจะเป็นผลให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคโปลิโอให้หายได้ รวมทั้งยังไม่มีข้อมูลว่ามีสมุนไพรจำพวกไหนที่ใช้รักษาหรือบรรเทาอาการของโรคโปลิโอได้เหมือนกัน
เอกสารอ้างอิง

  • การกวาดล้างโรคโปลิโอในประเทศไทย.กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนสำนักโรคติดต่อทั่วไป.วารสาร ดร.สัมพันธ์.ปีที่ 3.ฉบับที่ 4.เมษายน-พฤษภาคม 2559.หน้า 2-3
  • โปลิโอ.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โปลิโอ (Poliomyelitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 571-572.
  • Paul JR (1971). A History of Poliomyelitis. Yale studies in the history of science and medicine. New Haven, Conn: Yale University Press. pp. 16– ISBN 0-300-01324-8. http://www.disthai.com/[/b]
  • Cohen JI (2004). "Chapter 175: Enteroviruses and Reoviruses". In Kasper DL, Braunwald E, Fauci AS, et al. (eds.). Harrison's Principles of Internal Medicine (16th ed.). McGraw-Hill Professional. p. ISBN 0-07-140235-7.
  • โรคโปลิโอ(Poliomyelitis).ความรู้เรื่องโรคติดต่อ.สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • Ryan KJ, Ray CG (eds.) (2004). "Enteroviruses". Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 535– ISBN 0-8385-8529-9.
  • Jeffrey I. Cohen, enteroviruses and reoviruses, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • โรคโปลิโอ(Polio).สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.
114  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2018, 05:56:03 pm

โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
โรคถุงลมโป่งพอ[/color]เป็นยังไง โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกรุ๊ปของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งถุงลมโป่งพอง โดยธรรมดาแล้วจะเจอลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แต่ถ้าหากตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิสภาพของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นจุดเด่น ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งก็คือ สภาวะพิการอย่างถาวรของถุงลมในปอด ซึ่งมีเหตุมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการเปลี่ยนอากาศ และผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองรวมทั้งทุพพลภาพ ส่งผลให้จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งหมดทั้งปวงลดน้อยลงกว่าธรรมดา รวมทั้งมีอากาศด้านในปอดมากยิ่งกว่าปกติได้ผลให้ออกสิเจนก็เลยไปสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง คนไข้จึงมีอาการหายใจตื้นและก็กำเนิดอาการหอบง่ายตามมา
โรคนี้ชอบเจอในคนแก่ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) เจอในเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง แล้วก็มักพบร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังรวมทั้งแยกออกจากกันยาก คนไข้โดยมากจะมีประวัติการสูบยาสูบจัด  มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลภาวะทางอากาศในปริมาณมากและก็ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นละออง ควัน หรือมีอาชีพดำเนินงานในโรงงานหรือเหมืองที่หายใจเอาสารระคายเข้าไปเป็นประจำ [url=http://www.disthai.com/16827806/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87-emphysema]โรคถุงลมโป่งพอง
เป็นโรคที่พบได้มากและก็เป็นต้นเหตุลำดับหนึ่งของการเสียชีวิตในประชาชนทั่วทั้งโลก โดยในประเทศอเมริกาพบเป็นลำดับที่ 4 ของต้นสายปลายเหตุการตายของมวลชน ถ้าหากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการเจอโรคเป็น18 คน ในประชากร 1,000 คน  ส่วนสถานการณ์ตอนนี้ของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก แล้วก็เป็นหนึ่งในสิบ สิ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต ของพลเมืองไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของเมืองไทยอีกโรคหนึ่ง
สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งถุงลมโป่งพอง เป็นการสูบบุหรี่ แต่ว่าจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ได้ดูดบุหรี่มากถึง 6 เท่า ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติดูดบุหรี่จัด (มากยิ่งกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป พิษในบุหรี่จะเบาๆทำลายเยื่อบุหลอดลมและก็ ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี จนถึงท้ายที่สุดถุงลมปอดพิการ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการแลกเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกจากร่างกาย แล้วก็นำออกซิเจนซึ่งเป็นอากาศดีเข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบฟุตบาทหายใจ) กำเนิดอาการหอบอิดโรยง่าย รวมทั้งเกิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก
เว้นเสียแต่ยาสูบซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้เจ็บป่วยส่วนน้อยยังอาจเป็นเพราะมูลเหตุอื่น ยกตัวอย่างเช่น มลภาวะในอากาศ การหายใจเอามลภาวะในอากาศ อาทิเช่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้กำเนิดถุงลมโป่งพอง เพราะว่าพบว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมทั้งโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด มลภาวะทางอากาศจึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากมายก็น้อย ควันพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือควันพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นจากไม้ ฝ้าย หรือวิธีการทำบ่อแร่ ถ้าหายใจเข้าไปในจำนวนที่มากแล้วก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ก็มีโอกาสในการเสี่ยงที่ก่อให้เกิดถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มช่องทางมากขึ้นไปอีกถ้าหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ ภาวการณ์พร่องสารต้านทริปสิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นเอนไซม์คุ้มครองป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่องจากสารต่างๆก็เลยช่วยปกป้องไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ ภาวการณ์นี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมประเภทนี้ส่วนมากจะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว มักเกิดอาการในกลุ่มผู้เจ็บป่วยที่แก่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 40-50 ปี แล้วก็ผู้ป่วยมักจะไม่สูบบุหรี่ แต่ ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง
อาการโรคถุงลมโป่งพอง ระยะเริ่มต้นจะมีลักษณะของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีอาการไอมีเสลดเรื้อรังเป็นนานนับเดือนนานแรมปี คนป่วยมักจะไอหรือขากเสลดในคอหลังจากตื่นนอนช่วงเช้าเสมอๆ กระทั่งนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ตั้งใจดูแล ถัดมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นทั้งวัน แล้วก็มีเสมหะเยอะมาก ในช่วงแรกเสมหะมีสีขาว ต่อมาบางครั้งอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว เป็นไข้ หรือหอบเหนื่อยเป็นบางครั้งบางคราวจากโรคติดเชื้อสอดแทรก เว้นเสียแต่อาการไอเรื้อรังดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว คนป่วยจะมีลักษณะอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาออกแรงมาก  อาการหอบอ่อนล้าจะค่อยๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลากล่าวหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกอิดโรยง่าย
                   แม้คนป่วยยังสูบบุหรี่ถัดไป สุดท้ายอาการจะรุนแรง กระทั่งแม้แต่อยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบเหนื่อย ทั้งนี้เนื่องจากว่าถุงลมปอดทุพพลภาพอย่างรุนแรง ไม่สามารถที่จะปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้กำเนิดพลังงาน ผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานหนักเป็นครั้งคราว เหตุเพราะมีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) เข้าแทรก ทำให้มีไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว กระทั่งต้องเข้ารักษาตัวในโรงหมอ  เมื่อเป็นถึงขั้นระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีลักษณะอาการเบื่อข้าว น้ำหนักลด รูปร่างผอมบาง มีลักษณะหอบเมื่อยล้า อยู่ตลอดเวลา มีลักษณะปวดร้าวทรมาณแสนสาหัสและก็บางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน
                ยิ่งไปกว่านั้น ในบางรายบางทีอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มเหตุเพราะขาดออกสิเจน หรือแม้มีอาการหายใจตื้นเป็นระยะเวลานานหลายเดือนแล้วก็มีลักษณะที่ห่วยแตกลงอีกด้วย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ปเป็น

  • เหตุด้านคนเจ็บ ดังเช่นว่า ลักษณะทางกรรมพันธุ์ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ (Enzyme) ชื่อ Alpha-one antitrypsin ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีคุ้มครองปกป้องการถูกทำลายของเยื่อเกี่ยวเนื่องจากสารต่างๆซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดไปสู่บุตรหลานได้
  • เหตุด้านสภาวะโอบล้อม มีความจำเป็นมากที่สุด ได้แก่
  • ควันที่เกิดจากบุหรี่ เป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของโรคนี้ พบว่ามากยิ่งกว่าร้อยละ 75.4 ของคนไข้ COPD มีต้นเหตุที่เกิดจากยาสูบ การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด ซึ่งรวมทั้งบุหรี่ยาเส้นท้องถิ่นด้วย ปริมาณและก็ช่วงเวลาที่สูบบุหรี่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ยิ่งสูบบุหรี่มากมายแล้วก็สูบมานานหลายปี ก็มีโอกาสกำเนิดโรคนี้ได้มาก นอกนั้นคนที่ไม่ได้ดูดบุหรี่เอง แต่ว่าได้รับควันของบุหรี่จากผู้อื่นติดต่อกันนานๆก็ได้โอกาสกำเนิดโรคนี้ได้ด้วยเหมือนกัน
  • มลพิษในรอบๆบ้าน สถานที่สำหรับทำงาน และที่ส่วนรวมที่สำคัญคือการเผาไหม้เชื้อเพลิงในการประกอบอาหาร (biomass fuel) และสำหรับเคลื่อนเครื่องจักรต่างๆ(diesel exhaust)

กรรมวิธีรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยองค์ประกอบหลายชนิด เช่น ประวัติความเป็นมาสัมผัสสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้ว ร่วมกับ อาการ ผลการตรวจร่างกาย ภาพรังสีหน้าอก แล้วก็ยืนยันการวิเคราะห์ด้วย spirometry ดังอาการดังกล่าวต่อไปนี้
อาการ จำนวนมากผู้เจ็บป่วยที่มาพบหมอจะมีลักษณะอาการเมื่อพยาธิสภาพแผ่ขยายไปๆมาๆกแล้ว อาการที่ตรวจพบ ได้แก่ หอบ อ่อนล้าซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยไอเรื้อรังหรือมีเสมหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช้า อาการอื่นที่พบได้เป็นแน่น หน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีด
การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีหน้าอกมีความไวน้อยสำหรับในการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แต่มี ความสำคัญสำหรับเพื่อการแยกโรคอื่น ในคนไข้ emphysema อาจพบลักษณะ hyperinflationหมายถึงกะบังลมแบน ราบรวมทั้งหัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าปกติ ในคนไข้ที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา แล้วก็ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking ต่ำลง
การตรวจสมรรถภาพปอด Spirometry มีความจำเป็นสำหรับในการวินิจฉัยโรคนี้มาก รวมทั้งสามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเมื่อคนเจ็บมีอาการคงเดิม (stable) และไม่มีลักษณะกำเริบเสิบสานของโรคอย่างต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ  โดยหมอจะให้คนป่วยหายใจเข้าให้สุดกำลัง แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดมองค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งหมายถึง ความจุอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกทั้งหมดจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะเจอรูปแบบของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าร้อยละ 70 รวมทั้งแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 หลังให้ยาขยายหลอดลม

การตรวจด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือด ซึ่งในคนไข้โรคถุงลมโป่งพองมักจะมีออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เพราะร่างกายไม่ได้รับออกสิเจนอย่างพอเพียง (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% หากต่ำกว่านี้คนเจ็บจะรู้สึกอ่อนล้าอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ)
การตรวจค้นระดับสารทริปซินในเลือด ถ้าหากคนไข้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองแก่น้อยกว่า 40-50 ปี ต้นเหตุอาจมาจากภาวะพร่องสารต่อต้านทริปสินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ ผู้ป่วยก็เลยจำเป็นต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด
การดูแลรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายปัจจุบันให้เยี่ยมที่สุด และก็เพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มี หลัก 4 ประการเป็น การหลบหลีกปัจจัยเสี่ยง  การดูแลรักษา stable COPD  การคาดการณ์และติดตามโรค  การรักษาภาวะกําเริบกะทันหันของโรค (acute exacerbation)

  • การเลี่ยงหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง สำหรับการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเป็นการช่วยเหลือให้ผู้เจ็บป่วยเลิกสูบบุหรี่อย่างถาวร โดยใช้พฤติกรรมบำบัด หรือร่วมกับยาที่ใช้ช่วยเลิกบุหรี่ แล้วก็หลบหลีกหรือลดมลพิษ ตัวอย่างเช่น เลี่ยงการใช้เตาถ่านในที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ฯลฯ
  • การรักษา stable COPD การดูแลและรักษาผู้เจ็บป่วยอาศัยการคาดการณ์ความร้ายแรงของโรคตามอาการแล้วก็ผล spirometry ส่วนสาเหตุอื่นที่ใช้ประกอบสำหรับการพินิจให้การรักษา อาทิเช่น ประวัติการเกิดภาวะกำเริบเสิบสานทันควันของโรค ภาวะแทรกซ้อน ภาวการณ์หายใจล้มเหลว โรคอื่นที่พบร่วม และก็สถานะสุขภาพ  (health status) โดยรวม

การให้ข้อมูลที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค แล้วก็แผนการรักษาแก่คนเจ็บรวมทั้งเครือญาติ จะช่วยทำให้การดูแลและรักษามีคุณภาพ คนไข้มีความชำนาญสำหรับเพื่อการศึกษาการใช้ชีวิตกับโรคนี้ แล้วก็สามารถคิดแผนชีวิตในเรื่องที่โรคดำเนินไปสู่ระยะในที่สุด  (end of life plan)
การดูแลรักษาด้วยยา การใช้ยามีเป้าหมายเพื่อทุเลาอาการ ลดการกำเริบ และเพิ่มคุณภาพชีวิต เดี๋ยวนี้ยังไม่มียาชนิดใดที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสามารถลดอัตราการตาย และก็ชะลออัตราการต่ำลงของสมรรถนะปอดได้ ซึ่งการดูแลรักษาดัวยยา จะประกอบด้วยยาต่างๆได้แก่
ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการและก็สมรรถภาพลักษณะการทำงานของผู้ป่วยดีขึ้น ลดความถี่และความรุนแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนป่วยดียิ่งขึ้น แม้ว่าคนไข้บางรายอาจจะมีการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม
ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ β2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative
การจัดการขยายหลอดลม ชี้แนะให้ใช้แนวทางสูดพ่น  (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นตอนแรกเนื่องด้วยมีประสิทธิภาพสูงและผลกระทบน้อย
ICS แม้ว่าการให้ยา ICS อย่างต่อเนื่องจะไม่สามารถที่จะชะลอการลดน้อยลงของค่า FEV แม้กระนั้นสามารถทำให้สถานะสุขภาพดีขึ้น และก็ลดการกำเริบของโรคในคนไข้กรุ๊ปที่มีลักษณะอาการร้ายแรงและที่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานบ่อยมาก
ยาผสม ICS และ LABA ประเภทสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีคุณภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS จำพวกสูดเดี่ยวๆโดยเฉพาะในผู้ป่วยขั้นรุนแรงและก็มีอาการกำเริบเป็นประจำแต่ว่าก็ยังมีความโน้มเอียงที่จะเกิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นเช่นกัน
Xanthine derivatives มีประโยชน์แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงได้ง่าย จำเป็นต้องพิจารณาเลือกยาขยายหลอดลมกรุ๊ปอื่นก่อน ดังนี้ สมรรถนะของยากลุ่มนี้ได้จากการเรียนรู้ยาประเภทที่เป็น sustained-release เพียงแค่นั้น
การรักษาอื่นๆวัคซีน แนะนำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ระยะเวลาที่สมควรคือ มี.ค. – ม.ย. แต่ว่าอาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด  (pulmonary rehabilitation) มีเป้าหมายเพื่อลดอาการโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการทำงานกิจวัตร ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ จะต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวโยงด้วย ดังเช่นว่า ภาวะของกล้ามเนื้อ สภาพอารมณ์และก็จิตใจ ภาวการณ์โภชนาการฯลฯ ให้การบำบัดด้วยออกซิเจนระยะยาว  การรักษาโรคการผ่าตัด แล้วก็/หรือ หัตถการพิเศษ ผู้เจ็บป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยยา และก็การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างเต็มที่แล้ว ยังควบคุมอาการมิได้ ควรจะส่งต่ออายุรเวชผู้ที่มีความเชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการดูแลรักษาโดยการผ่าตัด เช่น
           Bullectomy
           การผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรปอด  (lung volume reduction surgery)
           การใส่อุปกรณ์ในหลอดลม (endobronchial valve)
           การผ่าตัดเปลี่ยนปอด
การคาดการณ์และก็ติดตามโรค สำหรับการวัดผลการดูแลรักษาควรมีการประมาณทั้ง อาการผู้เจ็บป่วย  (subjective) แล้วก็ผลของการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามสมควร ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของโรครวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐสังคม
ครั้งใดก็ตามเจอหมอ ควรจะติดตามอาการ อาการหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจไม่สะดวก แล้วก็การคาดคะเนวิธีการใช้ยาสูด
ทุก 1 ปี ควรวัด  spirometry ในผู้ป่วยที่มีอาการเมื่อยล้าคุกคามกิจวัตรประจำวันประจําวัน ควรจะวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases
การดูแลและรักษาภาวะกำเริบทันควันของโรค  (acute exacerbation) การกำเริบกะทันหันของโรค หมายถึง สภาวะที่มีลักษณะอ่อนแรงมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงอาทิตย์) แล้วก็/หรือ มีจำนวนเสมหะเพิ่มขึ้น หรือมีเสลดเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจะต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆอาทิเช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax
การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดจาก เยื่อบุหลอดลมและถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆอย่างเช่น สารพิษในควันของบุหรี่ , มลพิษที่เกิดจากอาการรวมทั้งสารเคมี ที่เราดมกลิ่นเข้าไป เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแล้วก็ในปริมาณที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นบางทีอาจเจอได้ว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากพันธุกรรม (สภาวะขาดตกบกพร่องสารต้านทริปซีน (a1-antitrypsin)) แม้กระนั้นเจอได้น้อยมาก ราว 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

  • ติดตามการดูแลรักษากับหมออย่างสม่ำเสมอและก็ใช้ยารักษาให้ครบสมบูรณ์ตามที่แพทย์กำหนด
  • เลิกยาสูบอย่างเด็ดขาด
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลภาวะ ตัวอย่างเช่น ฝุ่น ควัน
  • กินน้ำมากมายๆวันละ 10-15 แก้ว เพื่อช่วยขับเสมหะ
  • ในรายที่เป็นระยะร้ายแรง มีลักษณะอาการไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลด ควรหาทางบำรุงของกินให้สุขภาพแข็งแรง
  • ถ้าเกิดจำเป็นจะต้องจะต้องมีถังออกซิเจนไว้ประจำบ้าน เพื่อใช้ช่วยหายใจ ทุเลาอาการหอบเหนื่อย
  • ถ้ามีอาการสอดแทรก อย่างเช่น จับไข้ หายใจหอบ ก็ควรจะรีบพาไปรักษาที่โรงหมอในทันที
  • รับประทานอาการที่มีประโยชน์ครบ อีกทั้ง 5 กลุ่ม
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัด
การปกป้องตัวเองจากโรคถุงลมโป่งพอง

  • การปกป้องที่สำคัญที่สุดเป็นการไม่สูบบุหรี่ (รวมทั้งยาเส้น) แล้วก็หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ดูดบุหรี่หรือสถานที่ที่มีควันบุหรี่
  • คนที่สูบบุหรี่จัด ถ้าหากเลิกดูดมิได้ ควรจะหมั่นไปพบหมอเพื่อรับการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเริ่มมีลักษณะอาการไอบ่อยมากแต่ละวันโดยไม่มีสาเหตุที่แจ่มกระจ่าง
  • เลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลภาวะกลางอากาศ และก็รู้จักใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองจากควันแล้วก็สารพิษที่เป็นโทษต่างๆส่วนผู้ที่จำต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ
  • หลบหลีกการใช้ฟืนหุงหาอาหารหรือก่อไฟข้างในที่ขาดการถ่ายเทอากาศ
  • ถ้าเกิดเป็นโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งโรคหืด จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจังและก็กินยาอย่างเคร่งครัด
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการโรคถุงลมโป่งพอง

เอกสารอ้างอิง




 

Tags
115  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / โรคไข้สมองอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2018, 09:35:46 am

โรคไข้สมองอักเสบ เจอี (Japanese Encephalitis)
โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี เป็นอย่างไร ไข้สมองอักเสบ (encephalitis) หมายถึง การอักเสบของเนื้อสมอง หรือเฉพาะที่บางส่วน เนื่องจากว่าเนื้อสมองอยู่ใกล้กับเยื่อหุ้มสมอง จึงบางทีอาจเจอการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองร่วมกับการอักเสบของสมองได้ด้วย  โดยโรคไข้สมองอักเสบบางทีอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุส่วนมากชอบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อจากเชื้อไวรัส โดยสามารถกำเนิดได้จากเชื้อไวรัสหลายอย่างหรือบางเวลาอาจพบเป็นโรคแทรกซ้อนของโรคฝึก คางทูม ไข้สุกใส แต่ไข้สมองอักเสบชนิดที่อันตราย/รุนแรงที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้เป็นโรคไข้สมองอักเสบ เจอี(Japaneseencephalitis, JE) พบบ่อยที่สุดในทวีปเอเชียรวมถึงเมืองไทยและเล็กน้อยของแปซิฟิกตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเจอการเกิดโรคในฤดูฝน แม้กระนั้นในแม้กระนั้นล่ะประเทศจะพบช่วงเวลาที่มีการกำเนิดโรคได้แตกต่างกันซึ่งเจอได้ตลอดทั้งปี โดยในบริเวณแหล่งระบาดมักจะเจอในผู้เจ็บป่วยอายุน้อยกว่า 15 ปี เพราะในคนแก่จะมีภูมิต้านทานอยู่ก่อนแล้ว  แต่แม้เป็นรอบๆที่ไม่เคยเกิดโรคมาก่อนก็จะพบในกลุ่มของคนที่แก่สูงมากขึ้นได้
โรคไข้สมองอักเสบเจอี เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตและก็เป็นโรคที่รักษายาก ที่สำคัญเมื่อเป็นแล้วมีอัตราการตายสูง แม้รอดตายมักมีความพิการหรือเปลี่ยนไปจากปกติทางสมองตามมา อัตราป่วยตายอยู่ระหว่างจำนวนร้อยละ 20-30 โดยประมาณสองในสามของผู้มีชีวิตรอด จะมีความพิกลพิการหลงเหลืออยู่ ในทวีปเอเชียพบคนป่วยโรคนี้ราวๆปีละ 30,000-50,000 ราย โรคนี้เรียกว่า Japanese ด้วยเหตุว่าสามารถแยกเชื้อได้จากผู้ป่วยในญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2468
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี ด้วยโรคไขสมองอักเสบเจอีเปนโรคที่มีอัตราตาย และความพิกลพิการตามมาสูง ซึ่งสวนใหญมักจะเปนในเด็ก ส่วนเชื้อที่กอโรคไดเอ็ง Japanese encephalitis virus (JEV) ซึ่งเปน arbovirus จัดอยูใน family Flaviviridae, genus Flavivirus โดยมียุงรําติดอยู่ญ Culex tritaeniorhynchus เปนพาหะนําโรค โรคนี้พบในเขตเมืองนอชูวาชนบท มีอัตราตายรอยละ 10-35 แล้วก็มีอัตราการเกิดความพิการ ตามมาสูงถึงรอยละ 30-50 โดยไวรัสจำพวกนี้ถูกศึกษาและทำการค้นพบทีแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นแล้วก็ได้กระจัดกระจายทั่วๆไปทุกภาคและทุกฤดู ซึ่งประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี อาทิเช่น รอบๆเอเชียใต้ ประเทศอินเดียรวมทั้งศรีลังกา ตลอดจนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในภาคทิศตะวันออกของประเทศจีน และก็พบได้ในประเทศ ไต้หวัน ประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น
ปลายคริสตศตวรรษที่ 18 มีการระบาดใหญ่ของโรคไขสมองอักเสบเจอีในประเทศญี่ปุน โดย ในป พุทธศักราช 2468 สามารถแยกเชื้อไวรัสเจอีไดเปนครั้งแรกจากสมองของผูปวยชายอายุ 19 ปที่มี อาการสมองอักเสบและเสียชีวิตในกรุงโตเกียว ต่อมาสามารถแยกเชื้อไวรัสไดจากยุงหงุดหงิดรำคาญ Culex รวมทั้งมีรายงาน การระบาดของโรคไขสมองอักเสบเจอีในประเทศต่างๆในทวีปเอเชียตามมา ซึ่งนับคือปัญหาที่สําคัญที่สุดในบรรดาโรค สำหรับเมืองไทยเจอการระบาดคราวแรกในป พ.ศ. 2512 ที่จังหวัดเชียงใหมจากนั้นมีการพบผูปวยเรื่อยๆมาและก็มีการระบาดใหญ่เปนครั้งคราว ผู้ปวยโรคนี้สามารถพบไดบอยทางภาคเหนือและก็ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาไดแก ภาคกึ่งกลาง แล้วก็ภาคใต
ปจจุบันพบผูปวยโรคไขสมองอักเสบ เจ อี นอยลง เนื่องด้วยมีการฉีดวัคซีนปองกันโรคไขสมอง อักเสบเจอีในเด็กทั้งประเทศ ในป พุทธศักราช 2552 สํานักระบาดวิทยาไดรับรายงานผูปวยโรคไขสมองอักเสบรวมทั้งสิ้น 543 ราย คิดเปนอัตราปวย 0.86 ตอแสนสามัญชน จําแนกเปนโรคไขสมองอักเสบเจอีจํานวน 106 ราย (รอยละ 19.52) คิดเปนอัยี่ห้อปวย 0.17 ตอแสน ราษฎร ไมมีรายงานผูเสียชีวิต  สวนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุนอชูวา 15 ป เจอผูปวยสูงสุดในกลุมอายุ 0-4 ป คิด เปนอัยี่ห้อปวย 1.1       ตอแสนประชาชน รองลงมาเป็น กลุมอายุยง 5-9 ป มากกวา 15 ป รวมทั้ง 10-14 ป โดยมี อัตราปวย 0.3, 0.09 และ 0.08 ตอแสนพลเมืองตามลําดับ กระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
อาการโรคไขสมองอักเสบ เจ อี   เชื้อไวรัสเจอีนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะแพร่ไปสู่สมองและก็จะทำลายเนื้อสมองตั้งแต่เล็กน้อยไปตราบจนกระทั่งอย่างมากแตกต่างกันไปในแต่ละคน (Japanese encephalitis virus)  โดยส่วนมากผู้ติดโรคจะไม่มีอาการ มีเพียง 1 ใน 300 คนเท่านั้น ที่จะแสดงอาการ โดยในรายที่ร้ายแรงจะแสดงอาการแบบสมองอักเสบ (encephalitis) โดยมีลักษณะอาการแบงเปน 3 ระยะดังนี้ 1. Prodromal stage ในระยะนี้ผู้ปวยจะมีลักษณะไขสูงรวมกับอาการออนเพลีย ปวดหัว คลื่นไสอาเจียน ตอนนี้จะกินเวลาราว 1-6 วัน 2. Acute encephalitic stage ผูปวยยังคงมี ไข้แล้วก็เริ่มมีอาการเคืองของเยื่อหุมสมอง มีการเปลี่ยนของระดับความรูสึกตัว มีอาการชักเกร็ง สามารถตรวจเจอ pyramidal tract signs, flaccid paralysis รวมทั้งพบ deep tendon reflex ลดลงไดรอยละ 10 อาจพบอัมพาตครึ่งส่วนแล้วก็ความไม่ปกติของเสน ประสาทสมองได ระยะที่ 1 และก็ 2 ของโรคมักกินเวลา ไมเกิน 2 สัปดาห ผูปวยที่มีอาการร้ายแรงมักเสียชีวิต ในช่วงนี้ 3. Late stage and sequele ในระยะนี้ไข้จะลดลง อาการทางสมองจะคงเดิมหรือดียิ่งขึ้น ผูปวยที่เสียชีวิตในตอนนี้มักมีสาเหตุจากโรคแทรกซ้อนซอนที่ตามมา ยกตัวอย่างเช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อทางเดินเยี่ยว ติดโรคในกระแสโลหิต ฯลฯ ซึ่งผู้เจ็บป่วยโรคไข้สมองอักเสบ บางรายอาจมีอาการ ความประพฤติเปลี่ยนหรือเป็นอาการทางใจได้ อาการชักมักเป็น แบบชักเกร็งกระตุกทั่วตัว ซึ่งพบได้ทั่วไปมากมายโดย เฉพาะเด็กเล็ก อาจจะมาด้วยนิ้วกระตุก, ตาเข, หรือหายใจผิดจังหวะได้หรืออาจจะมีอาการเหมือน โรคพาร์กินสัน คือมีอาการตัวเกร็ง, หน้าไม่แสดง อารมณ์,มือสั่นและก็เคลื่อนไหวลำบาก
กระบวนการรักษาโรคไข้สมองอักเสบ การวิเคราะห์ การวินิจฉัยอาศัยความเป็นมา การตรวจรางกายแล้วก็การ ตรวจทางหองดำเนินการ การตรวจนับเม็ดเลือดพบได้บ่อยวาจํานวนเม็ดเลือดขาวรวมทั้งคารอยละของนิวโตรฟล มากขึ้นในระดับปานกลางถึงสูงมาก การตรวจน้ำไขสันหลัง สวนใหญจะเจอวาน้ำไขสันหลังมีลักษณะใส ไมมี สีความดันของน้ำไขสันหลังอยูในเกณฑปกติมีเซลล เม็ดเลือดขาวไดตั้งแต 10-1,000 เซลล/ลบ.มิลลิเมตร ซึ่งส่วนใหญเปนชนิดโมโนนิวเคลียรเซลล ในช่วงแรกของโรคบางทีอาจไมเจอเซลลในน้ำไขสันหลังหรืออาจเจอนิวโตรฟลเดนได โปรตีนมักสูงกวาธรรมดาเล็กนอย ระดับน้ำตาลมักอยูในเกณฑปกติเมื่อเทียบกับระดับน้ำตาลในเลือด
การส่งไปเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะมีประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่าการตรวจด้วยเครื่อง เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์โดยจะเห็นความไม่ดีเหมือนปกติใน ตำแหน่ง thalamus,basalganglia, midbrain, pons, และก็ medullaตามหน้าที่ที่พบร่วมมากมาย ที่สุดเป็นตำแหน่ง thalamus การส่งไปทำการตรวจแยกเชื้อ (serology) ซึ่ง เป็นการวินิจฉัยที่ใช้อยู่ในขณะนี้คือตรวจหาIgM antibodyเฉพาะต่อไวรัสเจอีในนํ้าไขสันหลังและก็ ในเลือด โดยการตรวจพบ JEV-specific IgM antibody ในนํ้าไขสันหลังสามารถช่วยยืนยันการ ติดเชื้อโรคในคราวนี้ได้แต่ว่าหากตรวจเจอJEV-specific IgMantibodyในเลือดอาจเป็นการติดเชื้อหรือขึ้น จากการได้วัคซีนก็ได้ การตรวจหา antibody ในนํ้าไขสันหลัง จะสามารถตรวจพบได้จำนวนร้อยละ 70-90 ในผู้ป่วยที่ ติดเชื้อโรค โดยจะสามารถตรวจเจอได้เมื่อประมาณ วันที่5-8หลังจากเริ่มมีลักษณะ การตรวจหาantibodyในเลือดจะสามารถ ตรวจพบได้ปริมาณร้อยละ60-70 ในคนไข้ที่ติดเชื้อโดย จะสามารถตรวจเจอได้ขั้นต่ำ 9 วันหน้าจาก เริ่มมีลักษณะอาการ ในขณะนี้ยังไม่มีการดูแลรักษาที่จำเพาะ  การดูแลรักษา    เปนเพียงแต่การรักษาตามอาการ ที่สําคัญ คือ ลดอาการบวมของสมอง ดูแลระบบฟุตบาทหายใจ ใหยายับยั้งชัก บางรายบางทีอาจจําเปนตองให mannitol เพื่อควบคุมความดันในกะโหลกศีรษะ และก็คุ้มครองอาการเข้าแทรกตามมา การใช dexamethasone ในขนาดสูงเพื่อลดการบวมของสมองในผูปวยไขสมองอักเสบเจอี พบวาไมสามารถลดอัตราการตายแล้วก็อัตราการฟนจากโรคได มีรายงานจากการศึกษาแบบ controlled clinical trials ขนาดเล็กเกี่ยวกับ Neutralizing murine monoclonal antibodies ซึ่งผลิตในประเทศจีน นํามาใชรักษาผูปวย ไขสมองอักเสบเจอี เจอวาการดูแลและรักษาดังกลาวใหผลของการ รักษาที่  บางรายงายการศึกษาพบว่าได้มีการทดสอบการใช้ยาต้านทาน เชื้อไวรัส ribavirin แต่ว่าไม่เจอความแตกต่างของผล การรักษาของการใช้ยาต้านไวรัสกับยาหลอกและ พบว่าcorticosteroidsแล้วก็interferonalpha2a ไม่ช่วยในเรื่องของการควบคุมอาการและไม่ช่วย ในเรื่องของผลของการรักษา
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อกำเนิดโรคไข้สมองอักเสบ เนื่องด้วยเชื้อไวรัส Japanese encephalitis ที่เป็นตัวการของโรคไข้สมองอักเสบ เจอี จะอยู่ในสัตว์เลือดอุ่นหลายแบบ อย่างเช่น หมู แล้วก็ยุงจะเป็นพาหะนำเชื้อจำพวกนี้มาสู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูที่แก่ที่มากขึ้น ตัวสัตว์เองก็จะมีภูมิต้านทานพอควร ฉะนั้น ถ้ามีไวรัสอยู่ในตัวก็จะโดนควบคุมไม่ให้มีจำนวนมาก ส่วนลูกหมูชอบมีภูมิต้านทานไม่ค่อยดี เมื่อโดนยุงกัด แล้วมีเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเร็ว ก็จะเป็นแหล่งแพร่ระบาดมาสู่ยุงไปสู่คน  ด้วยเหตุผลดังกล่าวไข้สมองอักเสบเจอี จึงพบได้บ่อยในแหล่งที่มีการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีการเลี้ยงหมูมากไม่น้อยเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในต่างจังหวัด และก็รอบๆชานเมือง รวมทั้งมักพบในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม แต่ว่าก็บางทีอาจเจอเล็กน้อยได้ตลอดทั้งปี ผู้ที่มีการเสี่ยงที่จะเป็นโรคไข้สมองอักเสบเจอี ดังเช่นว่า เกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงหมู ผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัดในท้องถิ่นที่มีการระบาด ทหารที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติการในแคว้นที่มีการระบาดของโรค ผู้ย้ายที่อยู่ไปอาศัยอยู่ในเมืองนอกที่มีการระบาด
การติดต่อของโรคไข้สมองอักเสบ เจอี เชื้อ JEV (Japanese encephalitis Virus) จัดอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (family flaviviridae) สกุลฟลาวิไวรัส (genus flavivirus)อยู่ในกรุ๊ปเดียวกับไวรัสเด็งกี่(Dengue virus)และโรคไข้เหลือง(yellowfever) ด้วยเหตุดังกล่าวเชื้อไวรัสเจอี จึงมีคุณลักษณะเหมือนกับฟลาวิเชื้อไวรัสตัวอื่นๆซึ่งเป็น เชื้อไวรัสที่มีแมลงรับประทานเลือดเป็นพาหะนำ โรคจะติดต่อ ในวงจรจากสัตว์สู่คน โดยมียุงเป็นตัวพาหะนำ เชื้อโรค โดยมีหมูเป็นรังโรคที่สำคัญ หมูที่ติดเชื้อ JE จะไม่มีอาการ แต่มีเชื้อ JE ในเลือด เมื่อยุงไปกัด หมูในระยะนี้เชื้อจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในยุง เมื่อ มากัดคนจะแพร่เชื้อไปสู่คน ส่วนสัตว์อื่นๆที่จะติด เชื้อ JEเป็นต้นว่าม้า วัวควายนก แต่สัตว์เหล่านี้เมื่อติดโรคแล้วจะไม่มีอาการมีแต่ว่าม้าและคนเพียงแค่นั้นที่มีลักษณะอาการ เมื่อได้รับเชื้อ แล้วโดยประมาณ 1 ใน 300-500 ของผู้ติดเชื้อโรคจะมี อาการสมองอักเสบ หมูมีความจำเป็นในวงจรการ แพร่ของโรค ด้วยเหตุว่าจะมีเชื้ออยู่ในกระแส เลือดได้เป็นเวลานานกว่าสัตว์อื่นๆจึงจัดว่าเป็นamplifier ที่เป็นรังโรคที่สำคัญ ยุงที่เป็นพาหะเป็นประเภท Culex tritaeniorhynchus  Culex golidus , Culex fascocephalus ยุงเหล่านี้เพาะพันธุ์ใน ท้องทุ่งที่มีนํ้าขัง จำนวนยุงจะเพิ่มมากในฤดูฝน ยุงตัวเมียสามารถถ่ายทอดเชื้อผ่านรังไข่ไปสู่ลูกยุงได้ ซึ่งมีระยะฟักตัวในยุงโดยประมาณ 9-12 วัน ยุงเหล่านี้จะออกมากัดกินเลือดในช่วงเย็นหรือ ช่วงคํ่า หมูรวมทั้งนกนํ้า อย่างเช่น นกกระสา นกกระยาง เป็นรังโรคที่สำ คัญเนื่องด้วยจะมีเชื้อในการแส เลือดได้นานแล้วก็มีการเพิ่มจำนวนเชื้อได้สูง ซึ่งใน ประเทศไทยประชากรจำนวนมาก ดำรงชีพเกษตรกรรมและมีปริมาณของการ เลี้ยงหมูปริมาณมากดังนั้นจึงเพิ่มความเสี่ยงสำหรัโรคไข้สมองอักเสบ[/url]มากตามมา
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคไข้สมองอักเสบ เจอี

  • กินยาตามแพทย์สั่ง แล้วก็ประพฤติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพของร่างกายให้สะอาดอยู่เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน
  • ไปพบหมอดังที่หมอนัดหมายให้ตามกำหนด
  • เมื่อพบว่าอาการไม่ดีขึ้นหรืออาการทรุดลง ภายหลังจากรับประทานยาที่หมอสั่งให้รีบไปพบหมอโดยด่วน
  • ใช้ยาทากันยุงแล้วก็นอนในมุ้งเพื่อปกป้องการกระจายเชื้อให้กับคนที่อยู่รอบตัว
  • ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบ 5 หมู่ รวมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคไข้สมองอักเสบ เจอี

  • ผู้ที่มีไข้ตัวร้อนควรจะไปพบหมอโดยทันที เมื่อมีลักษณะอาการกลุ่มนี้ร่วมด้วย อาทิเช่น ปวดศีรษะร้ายแรง รับประทานยาพาราแล้วไม่ทุเลา คลื่นไส้มาก มีลักษณะชักร่วมด้วย ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือสลบ แขนขาเป็นอัมพาต ปากเบี้ยว กลืนทุกข์ยากลำบาก หรืออ้าปากตรากตรำ (ขากรรไกรแข็ง) หรือก้มคอไม่ลง (คอแข็ง)
  • ควรกำจัดยุงรวมทั้งแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง
  • เมื่อมีการระบาดของโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ควรยินยอมให้เจ้าหน้าที่ฉีดยาทำลายยุงในบริเวณพื้นที่ เกิดการระบาดของโรคโดยการพ่นสารเคมีเพื่อฆ่ายุงตัวแก่
  • ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนกางมุ้ง หรือติดมุ้งลวดในบ้านและก็ตามห้องต่างๆ
  • ย้ายคอกสัตว์ เป็นต้นว่า หมู โค ควาย ให้ห่างจากแหล่งที่อยู่ที่อาศัย เพื่อลดการเสี่ยงของรังโรค
  • ฉีดวัคซีนคุ้มครองโรคไข้สมองอักเสบ
  • แนวทางที่ดีที่สุดเวลานี้ เช่นการฉีดวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคนี้ให้แก่เด็กๆของเราก่อนที่จะติดเชื้อเองตามธรรมชาติ
  • วัคซีนคุ้มครองโรคไข้สมองอักเสบเจอี (JEV) เริ่มมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 ในประเทศรัสเซียแล้วก็ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาได้เพิ่มวิธีการทำให้วัคซีนบริสุทธิ์ขึ้นเพื่อคุ้มครองป้องกันผลเข้าแทรกจากการแปดเปื้อนของเนื้อเยื่อสมองหนู แล้วก็ได้รับการพัฒนาต่อเรื่อยมาจนกระทั่งมีใช้กันอย่างมากมายในตอนนี้
  • ส่วนในประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งระบาดของ เชื้อนั้น มีการฉีดยาเพื่อคุ้มครองปกป้องโรค ตั้งแต่ปี 2533 โดยเริ่มต้นในภาคเหนือ รวมทั้งค่อยๆขยาย ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 โดย ให้วัคซีนแก่เด็กอายุ 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปีคนละ 2 ครั้งแล้วก็กระตุ้น 1 ครั้ง เมื่ออายุ2 ปีครึ่ง ถึง 3 ปี วัคซีนที่ใช้เป็นประเภทเชื้อตาย (JE SMBV: mouse brain-derivedinactivatedJEvaccine)วัคซีน คุ้มครองป้องกันไข้สมองอักเสบเจอีที่จดทะเบียนและก็ ในประเทศไทยปัจจุบันมี2ชนิดอย่างเช่น (1.) วัคซีนชนิดเชื้อตายที่เพาะเชื้อในสมอง หนู(suckling mouse brain vaccine หรือ SMBV) (2.) วัคซีนจำพวกเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ (SA 14–14–2) ที่เพาะเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นวัคซีน ใหม่ที่เพิ่งจะขึ้นทะเบียนในประเทศไทยปีพุทธศักราช2550

สมุนไพรที่ใช้ปกป้องตนเองจากโรคไข้สมองอักเสบ เอจี โรคไข้สมองอักเสบ เจอี เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาเฉพาะการรักษายังต้องใช้การรักษาแบบประคับประคอง รักษาตามอาการ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีสมุนไพรชนิดไหนที่สามารถรักษาได้ เพียงแค่มีสมุนไพรซึ่งสามารถช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ได้ไพเราะเพราะพริ้งไข้สมองอักเสบ เจอี นั้นมียุงเป็นพาหนะนำเชื้อ เพราะฉะนั้นสมุนไพรที่ช่วยปกป้องโรคจำพวกนี้นั้น จึงเป็นสมุนไพรที่ใช้ไล่ยุงต่างๆได้แก่
พืชกรุ๊ปสกุล (genus) Cymbopogon
ตะไคร้หอม (Cymbopogon nardus (L.) Rendle) มีการเรียนรู้ฤทธิ์ไล่ยุงของตำรับน้ำมันตะไคร้หอม (citronella oil) ที่มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ citronella, geraniol รวมทั้ง citronellol ในรูปแบบของครีม พบว่าตำรับที่มีน้ำมันตะไคร้หอม 17% ป้องกันยุงลายได้นานโดยประมาณ 3 ชั่วโมง ครีมที่มีน้ำมันตะไคร้หอม 14% ลดจำนวนยุงหงุดหงิดรำคาญที่มาเกาะด้านใน 1 ชั่วโมงข้างหลังทาครีม ยิ่งกว่านั้นสารสกัดเอทานอลของตะไคร้หอมผสมกับน้ำมันที่สกัดจากมะกอกสามารถไล่ยุงลายและก็ยุงหงุดหงิดได้นาน 2 ชั่วโมง ครีมที่มีน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้หอมที่ความเข้มข้น 1.25, 2.5 และก็ 5.0% คุ้มครองปกป้องยุงก้นปล่องได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ในตอนที่ความเข้มข้น 10% ให้ผลได้ยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง
ตะไคร้ (Cymbopogon citratus (DC.) Stapf) น้ำมันตะไคร้ (lemongrass oil) ใน liquid paraffin ความเข้มข้น 20 แล้วก็ 25% มีผลคุ้มครองยุงลายได้ 100% ใน 1 ชั่วโมงแรก รวมทั้งน้อยลงเหลือเกิน 95% ด้านใน 3 ชั่วโมง การเตรียมผลิตภัณฑ์น้ำมันตะไคร้ 15% ในรูปของครีมรวมทั้งขี้ผึ้งพบว่าให้ผลป้องกันยุงกัดได้ โดยคุณสมบัติขององค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มีผลต่อการปลดปล่อยน้ำมันหอมระเหย รวมทั้งส่งผลต่อคุณภาพสำหรับการป้องกันยุงด้วย น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่มี geraniol จำนวน 0.2 มิลลิกรัม/ซึม2 สามารถลดอัตราการกัดจากยุงอารมณ์เสีย เป็น 10, 15 รวมทั้ง 18% ที่เวลา 1, 2 และก็ 3 ชั่วโมงตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ได้ทาน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สบู่อาบน้ำที่มีส่วนประกอบของน้ำมันตะไคร้หอม 0.1% น้ำมันตะไคร้ 0.5% และก็น้ำมันสะเดา 1% สามารถไล่ยุงได้ในตอน 8 ชั่วโมง
พืชกรุ๊ปสกุล (genus) Ocimum
น้ำมันหอมระเหยจากพืชกลุ่มนี้ 5 ประเภท ดังเช่น แมงกะแซง (O. americanum L.) โหระพา (O. basilicum L.) แมงลัก (O. africanum Lour. ExH) ยี่หร่าหรือโหระพาช้าง (O. gratissimum L.) รวมทั้งกะเพรา (O. tenuiflorum L.) พบว่ามีฤทธิ์ทั้งฆ่าลูกน้ำและไล่ยุงลายได้ ฤทธิ์ฆ่าลูกน้ำยุงลายของน้ำมันหอมระเหย เรียงลำดับดังนี้ โหระพา > ยี่หร่า> กะเพรา > แมงลัก = แมงกะแซง โดยมีค่าความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยที่ได้ผลปกป้องยุงได้ 90% (EC90) เท่ากับ 113, 184, 240, 279 และ 283 ppm ตามลำดับ สำหรับฤทธิ์ไล่ยุงของน้ำมันหอมระเหยที่ความเข้มข้น 10% พบว่า โหระพาช้างมีฤทธิ์แรงที่สุด ปกป้องยุงกัดได้นาน 135 นาที รองลงมาเป็น ใบกะเพรา และก็แมงลัก ที่คุ้มครองป้องกันยุงกัดได้นาน 105 และ 75 นาที ตามลำดับ ในตอนที่แมงกะแซง และก็โหระพาให้ผลน้อยที่สุดเพียงแต่ 15 นาที
พืชกรุ๊ปสกุล (genus) Citrus
มะกรูด (Citrus hystrix DC.) น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดมีฤทธิ์คุ้มครองยุงได้นาน 95 นาที และก็ตำรับยาใช้ภายนอกกันยุงที่มีน้ำมันมะกรูดความเข้มข้น 25 รวมทั้ง 50% สามารถไล่ยุงได้นาน 30 รวมทั้ง 60 นาที ตามลำดับ น้ำมันหอมระเหยผสมจากมะกรูด 5% และจากดอกชิงเฮา (Artemisia annua L.) 1% คุ้มครองป้องกันยุงลาย ยุงก้นปล่อง และยุงหงุดหงิดรำคาญได้นาน 180 นาที ในห้องทดลอง ในความเข้มข้นเดียวกันสามารถคุ้มครองปกป้องยุงลาย แล้วก็ยุงเสือ ได้ 180 นาที รวมทั้งยุงหงุดหงิดได้นานถึง 240 นาทีในภาคสนาม
มะนาวฝรั่ง (Citrus limon (L.) Burm.f.) น้ำมันหอมระเหยจากมะนาวฝรั่งมีฤทธิ์ไล่ยุงก้นปล่องได้ 0.88 เท่าของสารเคมีสังเคราะห์ N,N-diethyl-3-methylbenzamide
เว้นเสียแต่สมุนไพรที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีสมุนไพรอื่นๆที่มีการเรียนรู้ฤทธิ์สำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันยุง ดังเช่น ข่า ไพล ขึ้นฉ่าย ว่านน้ำ กานพลู หนอนตายหยาก ดอกกระดังงาไทย สารปรปักษ์ทรัม (pyrethrum) แล้วก็ไพรินทริน (pyrethrins) ที่เจอได้ในพืชเครือญาติดอกเบญจมาศ (chrysanthemum flowers) ฯลฯ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้สมองอักเสบ จากเชื้อไวรัส เจอี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 174.คอลัมน์ แนะยา-แจงโรค.ตุลาคม.2536
  • Halstead SB, Jacobson J. Japanese encephalitis vaccines. In: Plotkin SA, Orenstein WA, Offit PA, editors. Vaccines. 5th ed. Elsevier Inc.; 2008. p.311-52. http://www.disthai.com/[/b]
  • Thisyakorn U, Thisyakorn C. Japanese encephalitis. In: Dupont HL, Steffen R, editors. Textbook of Travel Medicine and Health. 2nd ed. Hamilton: B.C. Decker Inc.; 2001. p.312-4.
  • นศ.พ.เฉลิมเกียรติ สุวรรณเทน.รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า. Japanese Encephalitis. วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่ 6.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม 2554.หน้า 93-100
  • Thisyakorn U, Thisyakorn C. Diseases caused by arboviruses: dengue haemorrhagic fever and Japanese B encephalitis. Med J Aust. 1994;160:22-6.
  • โอฬาร พรหมาลิขิต.วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย.หน้า 127-135
  • Thisyakorn U, Nimmannitya S. Japanese encephalitis in Thai children, Bangkok, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health. 1985;16:93-7.
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โครงการเสริมภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนไข้ สมองอักเสบเจอีในประเทศไทย. ประจำปี Available from:
  • Thisyakorn U, Thisyakorn C. Studies on Flaviviruses in Thailand. In: Miyai K, Ishikawa E, editors. Progress in Clinical Biochemistry: Proceedings of the 5th Asian-Pacific Congress of Clinical Biochemistry; 1991 Sept 29-Oct 4; Kobe, Japan. Amsterdam: Excerpta Medica; 1992. p.985-7.
  • อุษา ทิสยากร, สุจิตรา นิมมานนิตย. Viral meningitis และ encephalitis ในเด็ก. วารสารโรคติดเชื้อ และยาตานจุลชีพ. 2528;2:6-10.
  • สุจิตรา นิมมานนิตย, อุษา ทิสยากร, อนันต นิสาลักษณ, Hoke CH, Gingrich J, Leake E. Outbreak of Japanese encephalitis-Bangkok Metropolis. รายงาน การเฝาระวังโรคประจําสัปดาห. 2527;15:573-6.
  • นพ.คำนวน อึ้งชูศักดิ์.โรคไข้สมองอักเสบจากไวรัสเจอี ถึงจะร้ายแต่ก็ป้องกันได้.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่108.คอลัมน์กันไว้ดีกว่าแก้.เมษายน.2531
  • สำนักระบาดวิทยา.สรุปรายงานการเฝ้าระวัง โรคประจำปีนนทบุรี:สำนักระบาดวิทยา กองควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; รายปี2552: 21-23.
  • สมบุญ เสนาะเสียง, อัญชนา วากัส, ฐิติพงษ์ ยิ่งยง. Situation of encephalitis and Japanese B Encephalitis, Thailand, 2009. Weekly Epidemiological Surveillance Report. 2010;41:33-5.
  • อุษา ทิสยากร. ไขสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส แจแปนนิส. ใน: อุษา ทิสยากร, จุล ทิสยากร, บรรณาธิการ. กุมารเวชศาสตรเขตรอน. กรุงเทพฯ: ดีไซร จํากัด; 2536. น.89-97
  • วรรณี ลิ่มปติกุล, อุษา ทิสยากร. การติดเชื้อ Japanese Encephalitis Virus ที่โรงพยาบาลสงขลา. วารสารวิชาการเขต 2541;9:65-71.
  • Weekly epidemiological record. Japanese Encephalitis. 2015;90:69-88.
  • อ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ.โรคไข้สมองอักเสบ.บทความความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาอาย
116  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรโพธิสัตว์ มีสรรพคุณ-ประโยชน์ ที่สามารถรักษาโรคปวดกระดูกได้ด้วย เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2018, 11:17:23 pm
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2.png" alt="" border="0" />
สมุนไพรโพธิสัตว[/size][/b]
โพธิสัตว์ Aleurites moluccana (Linn.) Wild.
ชื่อพ้อง Jatropha moluccana Linn.
บางถิ่นเรียกว่า พระโพธิสัตว์ (จ.กรุงเทพฯ) กือระ (มลายู-ยะลา) ปูรัด (จังหวัดสตูล) มะเยา (เหนือ).
  ไม้ใหญ่ ขนาดใหญ่ สูง 10-20 มัธยม ยอดอ่อน ใบ รวมทั้งช่อดอกมีขนรูปดาวปกคลุม. ใบ โดดเดี่ยว เรียงแบบบันไดเวียนห่างๆตามปลายกิ่ง รูปไข่ถึงรูปหอก หรือ รูปข้าวหลามตัดป้อมๆปลายใบเรียวแหลม ขอบของใบเรียบ เป็นคลื่นบางส่วน หรือ มี 3-7 แฉก ปลายแฉกมน หรือ แหลม โคนใบมน หรือ ตัด เส้นใบ 3-7 คู่ เส้นใบคู่ข้างล่างออกมาจากโคนใบ โคนใบตรงที่ชิดกับก้านใบ มีต่อม 2 ต่อม ใบแก่ข้างบนหมดจด ข้างล่างมีขนรูปดาว สีขาวนวล ก้านใบยาว 8-14 ซม. มีขน. ดอก สีขาว ออกเป็นช่อที่ยอด ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่บนต้นเดียวกัน หรือ ต่างต้นกัน ก้านดอกสั้น. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอกเพศผู้ กลีบรองกลีบมีขนหนาแน่นเหมือนผ้ากำมะหยี่ แยกเป็น 3 กลีบ ยาวราว 2 มม. กลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับแกมขอบขนาน ภายในมีขน เกสรผู้มี 15-20 อัน ก้านเกสรสั้น มีขน อับเรณูตั้งตรง เกสรผู้ตั้งอยู่บนฐานซึ่งมีขน. ดอกเพศเมีย กลีบรองกลีบดอก รวมทั้งกลีบราวกับดอกเพศผู้ บนฐานดอกมีต่อมเรียงสลับกับกลีบดอกไม้ เห็นได้ชัด รังไข่ 2-5 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่ปลายแยกเป็น 2 แฉก. ผล ค่อนข้างกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 ซม. ผิวสีเขียวมะกอก เรียบ เปลือกดก มี 1-2 เม็ด. เมล็ด มีเปลือกแข็ง เป็นร่อง เนื้อในสีขาว มีน้ำมันมากมาย.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นจากที่ราบในป่าดิบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 350 ม.
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำต้มเปลือก กินเป็นยาฝาดสมาน และก็แก้บิด ใบ เผาให้ร้อน ใช้พอกแก้ปวดตามข้อ ผล กินได้เมื่อทำให้สุก เป็นยาเย็น บำรุงร่างกายรวมทั้งกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เมล็ด เนื้อเม็ดเมื่อหีบ ให้น้ำมันถึง 60% มีคุณประโยชน์แตกต่างจากน้ำมันทัง (Tung Oil) มาก ใช้แทนกันมิได้ มีคุณลักษณะดูดความชุ่มชื้นก้าวหน้าเป็นพิเศษ นำไปใช้ในการผลิตสบู่ ทำน้ำมันชักเงา ฯลฯ ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรอยแผล รับประทานก่อนนอกขนาด 1-2 ออนซ์ เป็นยาระบายอย่างอ่อนแทนน้ำมันละหุ่งได้  เปลือกเม็ดตำเป็นยาพอกหัวแก้ปวด ลดไข้ พอกบาดแผลเล็กๆน้อยๆและก็พอกตามข้อ แก้ปวด
117  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ยาสมุนไพร เม้าเเดง ตามตำหรับโบราณ สามารถนำมาเป็นยาเสริมกำลังได้อีกด้วย เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2018, 02:33:41 pm

สมุนไพรเม้าแด[/size][/b]
เม้าแดง Lyonia ovalifolia (Wall.) Drude
ชื่อพ้อง pieris ovalifolia D. Don เม้าแดง (เชียงใหม่).
     ไม้ใหญ่ ขนาดเล็ก สูง 4-8 มัธยม เปลือกเรียบ ลอกออกเป็นแผ่นเล็กๆกิ่งเกลี้ยง. ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ ปลายแหลม โคนกลม หรือ มน ขอบของใบเรียบ กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 ซม. เส้นกลางใบ และเส้นกิ้งก้านใบนูน เส้นกิ้งก้านใบมีข้างละ 6-8 เส้น ข้างล่างมีขน ก้านใบยาว 3-10 มม. เกือบหมดจด. [url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
[/url] ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 5-10 ซม. มีใบประดับที่โคนช่อดอก ก้านดอกยาว 3-4 มิลลิเมตร มีขนน้อย กลีบรองกลีบ 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบและก็แยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบเชื่อมชิดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบและแยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ มีขนเล็กน้อย เกสรผู้ 8-10 อัน ก้านเกสรยาว มักมีขน รวมทั้งมีต้องอย ลักษณะซึ่งคล้ายเขาเล็กๆ2 อัน อยู่ใกล้ปลายก้าน อับเรณูรูปไข่ หรือ รูปขอบขนาน เมื่อแก่จะมีรูปเปิดออกทางด้านบน เกสรเมียข้างในมี 5 ช่อง. ผล กลม เส้นผ่านศูนย์กลางราว 5 มม. แก่จัดจะแตกตามยาว มีเมล็ดจำนวนหลายชิ้น.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือ แล้วก็ตะวันออกเฉียงเหนือ.
คุณประโยชน์ : ใบ รวมทั้ง ผล กินได้ บำรุงร่างกาย แต่ทั้งต้นมีพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นยอดอ่อน ใช้เป็นยาฆ่าแมลง ใบแห้งทำเป็นยาผง ทาแก้โรคผิวหนังบางชนิด

Tags : สมุนไพร
118  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชาข่อย เป็นสมุนไพรตามตำหรับยาว่า เป็นยาที่มีสรรพคุณ สามารถเเก้ไข้ได้ดีอีกด้วย เมื่อ: เมษายน 30, 2018, 11:56:39 am
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2.jpg" alt="" border="0" />
สมุนไพรชาข่อ[/size][/b]
ชาข่อย Acalypha siamensis Oliv. ex Gang
ชื่อพ้อง A. evrardii Gagnep.; A. fruticosa Ridl.
บางถิ่นเรียกว่า ชาข่อย ชาฤาษี (กลาง) กาใส่น้ำ ชาญวน (กรุงเทพฯ) จ๊าข่อย (เหนือ) ชาป่า (ปัตตานี) ผักดุก ผักดูด (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์).
    ไม้พุ่ม สูงโดยประมาณ 1-2 ม. ลำต้น แล้วก็กิ่งไม้เรียวเล็ก ไม่มีขน (เว้นเสียแต่ก้านใบและช่อดอก). ใบ เดี่ยว เรียงสลับกัน รูปข้าวหลามตัด กว้าง 1.5-3 ซม. ยาว 4-6.5 เซนติเมตร ปลายใบมีติ่งปลายมนยื่นยาวออกไป โคนใบสอบแคบ; ขอบใบหยักมน เส้นใบมี 4-5 คู่ เส้นบางมากมาย คู่ล่างสุดออกมาจากฐานใบ; ก้านใบยาวประมาณ 1-3 มม. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
ดอก สีเขียว เล็ก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และที่ยอด ช่อดอกยาว 2.5-4.5 เซนติเมตร มีขน ดอกเพศผู้ออกทางตอนบนของช่อ ดอกเพศภรรยามีเพียงแค่ 2-3 ดอก ออกที่โคนช่อ. ดอกเพศผู้ เล็ก ติดเป็นกลุ่มเล็กๆ; กลีบรองกลีบ 4 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม ขอบกลีบมีขน; เกสรผู้มีประมาณ 10 อัน ก้านเกสรมีขน ใบแต่งแต้มรูปหอก ปลายแหลม. ดอกเพศภรรยา มีใบประดับประดาขนาดใหญ่ห่อหุ้มอยู่ รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 1 หน่วย. ผล แก่แห้ง และแตก เล็ก ยาว 1-2 มิลลิเมตร มีรยางค์เหนียวหนืด. เม็ด ค่อนข้างกลม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบแล้ง และก็ปลูกเป็นรั้ว.
สรรพคุณ : ต้น ทั้งต้นตำเป็นยาพอกร่างกายใช้ลดไข้  ใบ น้ำสุก หรือ ชงใบ ใช้แทนใบชาได้ กินเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยย่อย แก้น้ำเหลืองเสีย ไตพิการ และก็ขับเยี่ยว ยาชงใบ และก็ดอก กินเป็นยาขับปัสสาวะ
119  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เมื่อย ยังเป็นสมุนไพรเเก้พิษได้ดีอย่างยอดเยี่ยม เมื่อ: เมษายน 30, 2018, 10:44:54 am

สมุนไพรเมื่อ[/size][/b]
ปวดเมื่อย Gnetum montanum Markgraf
บางถิ่นเรียกว่า เมื่อย (ตราด) ม่วย (จังหวัดเชียงราย อุบลราชธานี) มะม่วย (จังหวัดเชียงใหม่) แฮนม่วย (เลย)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันและก็ตามข้อจะบวมพอง ใบ ลำพัง เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานปนรูปไข่ มีขนาดแตกต่างกันมาก แต่กว้างไม่เกิน 12 ซม. ยาวไม่เกิน 20 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบกลม มน หรือ แหลม ขอบของใบเรียบ เนื้อเรือใบแข็งครึ้ม หรือ ค่อนข้างหนา เมื่อแห้งสีออกดำ เส้นใบโค้ง ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดรวมทั้งตามลำต้น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพ[/color] ช่อดอกแตกกิ่งก้านสาขามา แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็เพศเมีย ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบศูนย์กลาง ช่อดอกเพศผู้ กว้างประมาณ 0.4 ซม. ยาวราวๆ 3 เซนติเมตร แต่ละชั้นมีราว 20 ดอก ช่อดอกเพศเมีย แต่ละชั้นมี 5-7 ดอก ผล รูปรี กว้างราว 1 เซนติเมตร ยาว 1.5 ซม. เมื่อสุกสีแดง ก้านผลอ้วน ยาวราวๆ 0.2 เซนติเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในระดับค่อนข้างสูงจากน้ำทะเล 50-1,800 มัธยม เจอในทุกภาคของประเทศ ยกเว้นภาคกึ่งกลาง
สรรพคุณ : ราก น้ำต้มรากกินแก้พิษบางประเภท รวมทั้งแก้ไข้ไข้มาลาเรีย

Tags : สมุนไพร
120  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขายพริกไทยดำสรรพคุณอันเเสนดี ที่จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป เมื่อ: เมษายน 30, 2018, 08:57:04 am

เรามี(ขายพริกไทยดำ)นอกจากจะเป็นเครื่องเทศชูรสของกินที่คนไทยรู้จักกันมาอย่างเป็นเวลายาวนาน
แล้วก็นิยม(ขายพริกไทยดำ) ที่ได้รับการยอมรับ และถูกใช้เป็น พืชสมุนไพร สำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆของแพทย์แผนตะวันออก มานานหลายสิบปีแล้วซึ่งโดยทั่วไปแล้วได้(ขายพริกไทยดำ) แล้วก็ถูกใช้ประโยชน์กับ การดูแลและรักษาโรคต่างๆตัวอย่างเช่น โรคกระเพาะ ไส้ แก้ปวด แก้อักเสบ ฯลฯสำหรับในช่วงที่ความสวยสดงดงามนี้ (ขายพริกไทยดำ) ได้รับการยินยอมรับ และก็ความไว้ใจจากกลุ่มของคนที่ต้องการ ลดน้ำหนัก ว่าเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพร ที่มีผู้นิยมขายมากที่สุด
(ขายพริกไทยดำ)คุณประโยชน์แสนพิเศษ สำหรับเพื่อการช่วยสำหรับในการลดน้ำหนักได้อย่างยอดเยี่ยม
จนกระทั่ง มีผลิตภัณฑ์ (ขายพริกไทยดำ)ลดความอ้วน ออกมาให้มองเห็นมหาศาลในตอนนี้สำหรับในวันนี้ จะขอพาคุณผู้หญิงไปเจาะลึก ถึงจุดเด่น ข้อด้อย ของ พริกไทยดำ กัน…
(ขายพริกไทยดำ)ช่วยลดน้ำหนักมีดียังไง
นักค้นคว้าในประเทศสหรัฐฯ ค้นพบว่า มีการ(ขายพริกไทยดำ) คุณลักษณะสำหรับการช่วยต้านทานความอ้วน เนื่องจากว่า สำหรับในการ(ขายพริกไทยดำ) มีส่วนประกอบของสารไพเพอร์รีน
ซึ่งจะมีจุดแข็งในเรื่องของ ความฉุน และก็รสชาติที่เผ็ดร้อน ที่ช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมยีนส์ ซึ่งปฏิบัติภารกิจควบคุม การก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ให้ลดลง พร้อมทั้งทำลายเซลล์ไขมันเก่า ที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย ให้มีปริมาณน้อยลง
ผลที่ได้ก็คือ น้ำหนักตัวต่ำลง ตามไปด้วย อวัยวะส่วนต่างๆที่เคยหย่อนยานคล้อย ก็จะมีความกระชับเข้ารูปเยอะขึ้น
ยังมีการ(ขายพริกไทยดำ) จะมีคุณสมบัติช่วยสำหรับการลดความอ้วนดังต่อไปนี้ช่วยกำจัดเซลล์ไขมันที่อยู่ในร่างกายโดยการทำให้เซลล์ไขมันเก่า ที่สะสมอยู่ในร่างกายตาย พร้อมด้วย ควบคุมการเกิดขึ้นใหม่ของเซลล์ไขมัน ทำให้ผอมลงและก็กลับมาอ้วนอีกยากขึ้นช่วยให้ระบบการทำงานด้านการย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆโดยกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงาน ที่ได้รับจากการรับประทานอาหาร ไปใช้ได้อย่างเร็วเพิ่มมากขึ้น และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการเผาผลาญพลังงาน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการสั่งสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งเป็นสำเหตุสำคัญ ที่ส่งผลให้เกิดความอ้วนขึ้น
วิธีการใช้พริกไทยดำเพื่อลดหุ่นถึงแม้ว่าการ(ขายพริกไทยดำ) จะไม่ใช่ ยาลดน้ำหนัก โดยตรง แต่ว่าก็เป็นสมุนไพรชั้นยอด ที่จะช่วยให้รูปร่างของคุณให้สวยสดงดงามเพรียวลม โดยส่วนใหญ่แล้วการรับประทานพริกไทยดำ เพื่อลดความอ้วน มักนิยมใช้การบรรจุพริกไทยดำป่นละเอียด รวมกับ(ขายพริกไทยดำ)สมุนไพรอื่นๆไว้ในแคปซูล หรือทำการอัดเป็นเม็ด เพื่อสบายต่อการกิน
สำหรับเพื่อการ(ขายพริกไทยดำ) มีจุดแข็งในเรื่องของรสชาติที่เผ็ดร้อน ส่งผลต่อเซลล์ไขมันให้ดำเนินการน้อยลง พร้อมกับยังทำลายเซลล์ไขมันเก่า ที่อยู่ภายในร่างกายได้อีกช่วยให้กระเนื่องจากว่าอาหารหลั่งกรดได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ระบบการย่อยของอาหารปฏิบัติงานเจริญ โดยเหตุนี้ (ขายพริกไทย)ดำผลที่ได้รับคือ ไขมันที่ลดลง แล้วก็ยังทำให้ผิวหนังกระชับมายิ่งขึ้นอีกด้วยซึ่งในตอนนี้ มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดความอ้วน โดยการใช้พริกไทยดำ เป็นส่วนประกอบหลักออกมาวางจำหน่ายและ(ขายพริกไทยดำ)อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวแม้กระนั้นจริงๆแล้ว การ(ขายพริกไทยดำ) มาใช้สำหรับในการลดหุ่นนั้น เรามี(ขายพริกไทยดำ)สามารถซื้อหามาแปรรูป ให้เป็นผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนได้ด้วยตัวเอง โดยมีแนวทางง่ายๆดังต่อไปนี้
วิธีการทำแคปซูลพริกไทยดำ เพื่อใช้ในการกินด้วยตัวเอง
เนื่องมาจาก สามารถหาองค์ประกอบมาทำเองได้ อย่างไม่ยากนักในราคาที่ถูก โดยเริ่มจากการหาซื้อแคปซูลไม่ ซึ่งหาซื้อได้จากร้านขายยาโดยธรรมดา
แล้วนำพริกไทยดำป่นละเอียด ที่หาซื้อได้จากร้านขายยาแผนโบราณ แล้วนำพริกไทยดำ มากคอยกเข้าไปในแคปซูลให้เต็ม
แล้วหลังจากนั้นให้เอามารับประทาน ก่อนที่จะกินอาหาร ราวๆ 10 นาที โดยการกินครั้งละ 2-4 แคปซูล เพื่อสมรรถนะ สำหรับในการเผาผลาญพลังงานและก็ไขมัน
แต่ว่าห้ามกระทำการรับประทานหลังอาหาร โดยเด็ดขาด เพราะจะก่อให้รู้สึกร้อน แล้วก็มีลักษณะอาการเรอ
กินพริกไทยดำจำนวนมากๆติดต่อกันนานๆระวังโรคมะเร็งสอบถามหา
แม้ พริกไทยดำ จะมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์มาก สักเท่าใด แต่หากกระทำรับประทานเข้าไปภายในร่างกาย ไม่น้อยเลยทีเดียวๆเพื่อลดน้ำหนักแล้ว ก็ย่อมที่จะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ด้วยเหมือนกัน
เพราะว่าการขายพริกไทยดำ มีสารสารอัลคาลอยด์ ไพเพอร์ริน เมื่อไปสู่ร่างกายก็จะถูกทำปฏิกิริยา เปลี่ยนเป็น สารก่อมะเร็งในกลุ่มของ เอนไนโตรโซไพเพอร์ริดีน
เมื่อทำบริโภคเป็นระยะเวลาติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะมีผลให้เกิดการสะสมสารเป็นพิษ จนถึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งสูง
แต่ปกติแล้ว สารที่เป็นพิษพวกนี้ มีโอกาสที่ร่างกายจะได้รับน้อยมาก ถ้าหากใช้พริกไทยดำ เป็นเพียงแค่เครื่องปรุงสำหรับเพื่อการกินอาหารตามธรรมดา เนื่องจากว่าร่างกายจะสามารถกำจัดออกได้เอง ตามธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านี้ ป่วยเป็นโรคตา มีอาการเจ็บคอ หรือเป็นโรคริดสีดวงทวาร ไม่สมควรกินพริกไทยดำมากเกินไป เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้อาการโรคเหล่านั้น เกิดการกำเริบขึ้นได้
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ขายส่งพริกไทยดำ

Tags : รับผลิตพริกไทยดำ,ผลิตอาหารเสริม
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 44
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย