กระทู้ล่าสุดของ: มม

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3
1  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรหญ้าพง เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2019, 09:35:10 pm
[/b]
สมุนไพหญ้าพง[/url][/size][/b]
หญ้าดง Sorghum halepense (L.) Pers.
บางถิ่นเรียกว่า หญ้าพง ต้นหญ้าปง (ภาคเหนือ) อ้อยลา (ไชยบาดาล)
 ไม้ล้มลุก -> พวกหญ้า อายุนับเป็นเวลาหลายปี ลำต้นสูง 50-150 เซนติเมตร แตกแขนง ชอบมีสีนวลขาว เหง้าใต้ดินสีขาว อาบน้ำ มีกาบห่อหุ้ม ที่ข้อมีขนเป็นฟู กาบหุ้มห่อข้อที่โคนมีขน
ใบ -หญ้าพง> ใบแรกที่เกิดมักจะเป็นกาบสี่เหลี่ยมรูปยาวแคบ มีขน รวมทั้งตลบกลับไปด้านหลัง ยาวพอกับกาบของใบที่ 2 กาบใบสะอาด มีลายตามยาว ที่รอยต่อระหว่างใบและก็กาบมีลิ้นใบยาว 2.5-3.5 มม. บางๆเว้าไม่เรียบร้อย ใบแบน กว้าง 8-25 มม. ยาว 30-70 ซม. ขอบใบมีขนสาก ที่โคนใบด้านบนมีขนเป็นกระจุก เส้นกึ่งกลางใบสีออกขาวเห็นได้ชัด
ดอก -หญ้าพ[/b][/i]> ออกที่ยอด เป็นช่อกระจัดกระจายโปร่งๆยาว 15-50 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขาแผ่ออก มีขนสาก ตามง่ามมีขนละเอียด ช่อดอกย่อย (spikelet) สีเขียวอ่อน หรือสีม่วง เป็นมัน ติดเป็นคู่ๆตามศูนย์กลาง ดอกหนึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ไร้ก้านดอก ส่วนอีกดอกหนึ่งเป็นดอกเพศผู้ มีก้านดอก ช่อดอกย่อยที่ไร้ก้านช่อ ยาว 4.5-5.5 มม. รูปไข่ มีขนราบเป็นมัน ระหว่างที่ดอกบานจะมีขนยาวๆ1 เส้น ยื่นยาวออกไป 1-1.5 เซนติเมตร หล่นง่าย ช่อดอกย่อยที่มีก้านยาว 5-7 มม. ปลายแหลม อับเรณูสีเหลืองทองคำ ยาว 2-2.5 มิลลิเมตร ปลายเกสรเพศเมียมีขนยาวละเอียดเป็นพูคล้ายขน โค้งงอ ยาว 3-3.5 มิลลิเมตร สีทอง หรือสีน้ำตาลแดง
เม็ด -หญ้าพง> รูปไข่อ้วน สีน้ำตาลอมแดง ยาว 2.5-2.75 มม.
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16961461/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%87]
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นทั่วๆไปในป่าผลัดใบ
สรรพคุณ
ต้น -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16961461/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%87]หญ้าพ[/i]> ใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ แต่ว่าควรจะมีการเก็บเกี่ยวทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อนนำไปให้สัตว์กินมิฉะนั้นสัตว์อาจตายได้ (16, 19) เม็ด น้ำสุกกินเป็นยาเย็น แล้วก็ขับเยี่ยว
2  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรสะระแหน่ญี่ปุ่น เมื่อ: เมษายน 24, 2019, 04:24:45 pm
[/b]
สมุนไพรสะระแหน่ญี่ปุ่น
สะระแหน่ญี่ปุ่น Mentha arvensis L. var. piperascens Malinv.
บางถิ่นเรียกว่า สะระแหน่ญี่ปุ่น ต้นน้ำมันหม่อง มินต์ญี่ปุ่น (กรุงเทพฯ)[/size][/b]
ไม้ล้มลุก -> อายุหลายปี ต้นสูง 20-40 ซม. มีขนประปราย
ใบ -สะระแหน่ญี่ปุ่น> เดี่ยว ออกตรงข้ามรูปไข่ รูปไข่ค่อนข้างแคบ หรือ รูปขอบขนาน กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 2-5 ซม. ปลายโคนสอบ ขอบจักเป็นฟันเลื่อย มีต่อมเป็นจุด ๆ และมีขนทั้งด้านบนและด้านล่าง ก้านใบยาว 3-10 มม.
ดอก -สะระแหน่ญี่ปุ่[/b][/i]> ออกเป็นช่อกระจุกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกสั้น ก้านดอกย่อยสั้นกว่ากลีบเลี้ยง เกลี้ยง หรือมีขนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2.5-3 มม. ปลายแยกเป็นแฉกแหลม 5 แฉก มักจะมีขนยาวที่คอหลอด ที่แฉกมีขนรูปสามเหลี่ยมแคบ ๆ ปลายเรียวแหลม กลีบดอกสีขาว หรือชมพูอ่อน เชื่อมติดกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 4-5 มม. ปลายหลอดแยกเป็น 4 แฉกเท่า ๆ กัน เกสรเพศผู้มี 4 อัน ก้านเกสรตรง ยาวเท่า ๆ กัน อับเรณูเป็น 2 พู เรียงขนานกัน
ผล -สะระแหน่ญี่ปุ่น> ขนาดเล็ก รูปรีแบนเล็กน้อย ยาว 0.7 มม. ฐานสอบป้าน ๆ และเป็นสามเหลี่ยม
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960667/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99]
[/b]
นิเวศน์วิทยา
สามารถปลูกได้ในแทบทุกภาคของประเทศ ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบน้ำมากแต่ไม่แฉะ ชอบแสงมาก อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 25º-30º­ C
ํสรรพคุณ
ใบ -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960667/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99]สะระแหน่ญี่ปุ่[/i]> กินได้ใช้แต่งรสอาหาร เช่น ใส่ยำต่าง ๆ ใบแห้งเป็นยาฆ่าเชื้อโรคพอกแก้ปวดข้อ กินเป็นยาเย็น ขับลม บำรุงธาตุ ขับระดู ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และบำรุงปลายประสาท สกัดให้น้ำมันมินต์มี menthol 80-90%
ทั้งต้น -> ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม กินแก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ

Tags : สะระแหน่ญี่ปุ่น
3  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรใบระนาด เมื่อ: เมษายน 13, 2019, 01:49:25 am
[/b]
สมุนไพรใบระนาด
ชื่อพื้นเมืองอื่น ใบระนาด , ผักระบาด (ภาคกึ่งกลาง) เมืองมอน (จังหวัดกรุงเทพมหานคร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Argyreia nervosa (Burm.f.) Bojer
ชื่อพ้อง Argyreia speciosa (L.f.) Sweet
ชื่อตระกูล CONVOLVULACEAE
ชื่อสามัญ Bai rabaat.
ลักษณะทั่วไปทางพฤกษศาสตร์
ไม้เถา (ExC) -> ลักษณะเลื้อยยาว ตามลำต้นรวมทั้งกิ่งมีขนนุ่มสีขาวหรือน้ำตาลปนเหลือง หนาแน่น มียางเหนียวสีขาว
ใบ -ใบระนาด> เป็นใบคนเดียว ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปกลม กว้าง 8-25 เซนติเมตร ยาวราวๆ 10-30 เซนติเมตร ปลายใบมน แหลมหรือแหลมเป็นหาง มีติ่งเล็กสั้น โคนใบรูปหัวใจเว้าลึก แผ่นใบเกลี้ยงหรือค่อนข้างจะสะอาด ด้านท้องใบมีขนเหมือนเส้นไหมสีขาว เทาหรือน้ำตาลปนเหลือง หนาแน่น เส้นกลางใบ และก็เส้นใบจะชัดเจนทางด้านท้องใบใบระนา[/b][/i] เส้นแขนงใบมีมากไม่น้อยเลยทีเดียวเรียงขนานกันเป็นขันบันได ก้านใบสั้นกว่า หรือยาวเท่ากับตัวใบ
ดอก -> ออกชิดเป็นช่อ ก้านช่อดอกแข็ง ยาวถึง 20 ซม. ก้านดอกสั้นเป็นเหลี่ยม ใบตกแต่งใหญ่ ลักษณะรูปไข่ขอบขนาน หรือรูปรี ยาว 3.5-5 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลมคม ภายนอกมีขนนุ่มปุกปุย ข้างในสะอาด หลุดหล่นง่าย กลีบรองกลีบดอกไม้รูปรีกว้าง ปลายใบมนหรือแหลม และสองกลีบนอกยาว 15 มัธยมม ส่วนสามกลีบในสั้น ด้านนอกนั้น มีขนสีขาวนุ่มหนาแน่น ภายในเกลี้ยง กลีบดอกไม้ใหญ่ เชื่อมติดกันเป็นรูปท่อหรือกรวย ยาว 6 ซม. สีม่วงแกมชมพู ลาบกลีบจะเป็นแฉกตื้นๆที่บริเวณกึ่งกลางกลีบแต่ละกลีบมีขนุ่มหนาแน่น ก้านเกสรผู้มีขนปุกปุยที่โคน
ผล -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960591/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94]ใบระนาด
> ลักษณะกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2เซนติเมตร ปลายมีติ่งสีน้ำตาลอมเหลือง
นิเวศวิทยา
มีถิ่นเกิดในประเทศประเทศอินเดีย ในประเทศไทยกำเนิดจากที่รกร้างว่างเปล่า ชายเขาดงดิบ และก็ป่าเบญจพรรณทั่วๆไป โดยมากปลูกขึ้นร้านเป็นไม้ประดับแล้วก็บังร่มเงาได้ดี
การปลูกและขยายพันธุ์
เป็นไม้กลางแจ้ง ถูกใจแสงอาทิตย์จัด จะขึ้นเกาะพาดตามต้รไม้ใหญ่ๆเติบโตได้ดีในดินร่วยซุยที่มีอินทรียวัตถุมากมาย ขยายพันธ์ุด้วยการทำหมันทาบกิ่ง หรือการปักชำ
[/b]
ส่วนที่ใช้ รส และสรรพคุณ
ราก -ใบระนาด> รสจืดเฝื่อน เป็นยาขับน้ำเหลืองเสีย บำรุงแก้ไขข้ออักเสบ กระตุ้นความกำหนัด ขับฉี่ แก้โรคเท้าช้าง โรคอ้วนที่่มีเหตุที่เกิดจากการสั่งสมไขมันมาก
ใบ -> รสเฝื่อน ใช้พอกฝีและ[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960591/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94]ใบระนา[/i]บาดแผลแก้อักเสบ แก้โรคผิวหนังทั่วไป น้ำคั้นหยอดหูแก้หูอักเสบ
วิธีการใช้และก็ปริมาณที่ใช้

  • เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ใบสด 4-7 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเอามาโขลกให้ละเอียด ใช้ทาและก็พอกรอบๆที่เป็น วันละ 2-3 ครั้ง บ่อยๆ จนกระทั่งจะหาย
4  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / สมุนไพรหมีเหม็น เมื่อ: เมษายน 10, 2019, 07:06:15 am
[/b]
สมุนไพรหมีเหม็น
หมีเหม็น Litsea glutinosa C.B. Rob.
บางถิ่นเรียกว่า หมีเหม็น มะเย้อ ยุบเหยา (เหนือ, ชลบุรี) กำปรนบาย (ซอง-จันทบุรี) ดอกจุ๋ม (ลำปาง) ตังสีพนา (พิษณุโลก) ทังบประมาณวน (ปัตตานี) มือเบาะ (มลายู-ยะลา) ม้น (ตรัง) หมี (จังหวัดอุดรธานี, ลำปาง) หมูทะลวง (จันทบุรี) หมูเหม็น (แพร่) เสปี่ยขู้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หมีเหม็น (จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี)
ไม้พุ่ม -> สูง 2-5 ม. กิ่งไม้มีสีเทา
ใบ -หมีเหม็[/b][/i]> เดี่ยว ออกเรียงสลับ ชอบออกเป็นกรุ๊ปหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ใบรูปรี หรือรูปไข่กลับ หรือออกจะกลม กว้าง 4-10 เซนติเมตร ยาว 7-20 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม หรือ กลม โคนใบสอบเป็นครีบหรือกลม ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ข้างบนหมดจดวาว ข้างล่างมีขน เส้นใบมี 8-13 คู่ ข้างล่างเห็นได้ชัดกว่าข้างบน ก้านใบยาว 1-2.5 เซนติเมตร มีขน
ดอก -> ออกตามง่ามใบเป็นช่อ แบบซี่ร่ม ก้านช่อยาว 2-6 ซม. มีขน ใบเสริมแต่งมี 4 ใบ มีขน ก้านดอกย่อยยาว 5-6 มิลลิเมตร มีขน ดอกเพศผู้ ช่อหนึ่งมีโดยประมาณ 8-10 ดอก กลีบรวมลดรูปกระทั่งเหลือ 1-2 กลม หรือไม่เหลือเลย กลีบรูปขอบขนาน ขอบกลีบมีขน เกสรเพศผู้มี 9-20 อัน เรียงเป็นชั้นๆก้านเกสรมีขน ชั้นในมีต่อมกลมๆที่โคนก้าน ต่อมมีก้าน อับเรณูรูปรี มี 4 ช่อง เกสรเพศเมียเป็นหมันอยู่ตรงกลาง ดอกเพศภรรยา กลีบรวมลดรูปจนถึงไม่มี หรือเหลือเพียงแค่หมีเหม็นนิดหน่อย เกสรเพศผู้เป็นหมันเป็นรูปช้อน เกสรเพศเมียไม่มีขน รังไข่รูปไข่ ก้านเกสรเพศเมียยาวราว 1-2 มิลลิเมตร ปลายเกสรเพศเมียรูปจาน ผล กลม เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีดำ ผิววาว ก้านผลมีขน
[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960620/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%99]
[/b]
นิเวศน์วิทยา
ขึ้นในป่าเบญจพรรณเปียกชื้น แล้วก็ป่าดงดิบทั่วไป
สรรพคุณ
ราก -> เป็นยาฝาดสมาน รวมทั้งยาบำรุง
ต้น -[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960620/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%99]หมีเหม็น[/url]> ยางเป็นยาฝาดสมานแก้บิด ท้องเดิน กระตุ้นความปรารถนาทางเพศ ทาแก้พิษแมลงกัดต่อย แก้ปวด บดเป็นผงผสมกับน้ำหรือน้ำนม ทาแก้แผลอักเสบ และเป็นยาสมานแผล ใบ มีเยื่อเมือกมาก ใช้เป็นยาฝาดสมาน รวมทั้งแก้อาการระคายเคืองของผิวหนัง หมีเหม็นตำเป็นยาพอกรอยแผลเล็กๆน้อยๆ
ผล -> กินได้และให้น้ำมัน เป็นยาเช็ดนวดแก้ปวด rheumatism
เมล็ด -> ตำเป็นยาพอกฝี
5  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เต่าในประเทศไทย เมื่อ: มีนาคม 27, 2019, 06:11:04 pm
[/b]
เต่าในประเทศไทย
เต่าที่พบในประเทศไทย
มีอย่างต่ำ ๒๒ ประเภท (ไม่รวมตะพาบ) จัดอยู่ใน ๕ ตระกูล เป็น
๑.สกุลเต่าทะเล(Cheloniidea) พบ ๔ ประเภทเป็น เต่าตนุ(เต่าแสงแดด) เต่าหญ้า เต่ากระ แล้วก็เต่าหัวโต เป็นเต่ากระดองแข็ง มีแผ่นเกล็ดปกคลุม บางทีอาจเรียงต่อกัน(อาทิเช่น เต่าตนุ) หรือซ้อนกันน้อย (เป็นต้นว่า เต่ากระ) ขาหน้าแผ่เป็นครีบสำหรับว่ายน้ำ ขาหลังเป็นครีบกว้างสำหรับใช้เป็นหางเสือ
๒.วงศ์เต่าเฟื่อง(dermochelyidae) เจอเพียงแต่ชนิดเดียว คือ เต่าเฟือง (มักเรียกกันผิดเป็น “เต่ามะเฟือง”) เป็นเต่ากระดองอ่อน มีสันยาวเรียกตัวบนภายหลังคอลงไปถึงก้น ๕ สัน ข้างตัวอีกข้างละสัน รวมเป็น ๗ สัน ใต้ท้องมีอีก ๕ สัน สันที่ใต้ท้องจะเลือนหายไปเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนสันบนข้างหลังหายไปบ้างเมื่อเทียบกับอายุยังน้อย บนหัวตัวอ่อนมีเกล็ด แม้กระนั้นจะหายไปเมื่อโตขึ้น มีหนังปกคลุมแทน ขาหน้าแผ่เป็นครีบสำหรับว่ายน้ำ ยาวกว่าขาของเต่าสมุทรอื่นๆขาหลังเป็นครีบกว้างๆสำหรับใช้เป็นหางเสือ และก็ใช้ขุดหลุมเมื่อจะออกไข่
๓.วงศ์เต่าน้ำจืด(Emydidae) เจอขั้นต่ำ ๑๓ ประเภท ดังเช่นว่า เต่ากระอาน เต่าลายตีนเป็ด เต่าหับ เต่าแดง (เต่าใบไม้) เต่าหวาย เต่าบัว เต่าจักร เต่าท้องนา เต่าจัน เต่าปากเหลือง เต่าดำ เต่าทับทิม และก็เต่าแก้มแดง เต่าในสกุลนี้สามารถหดหัวเข้าไปไว้ในกระดองได้หมด ขาแบน นิ้วรวมทั้งเล็บยาวกว่าเต่าบก ระหว่างนิ้วมีแผ่นพังผืดกางไม่มากก็น้อย บนหัวปกคลุมด้วยหนัง ไม่เป็นเกล็ดเหมือนหัวเต่าบก แต่รอบๆกำดันนั้น ข้างหลังบางทีอาจลายทำให้ดูคล้ายเกล็ด

๔.ตระกูลเต่าปูลู(Platysternidae) เจอในประเทศไทยเพียงประเภทเดียว เป็นเต่าปูลู มีลักษณะสำคัญเป็นกระดองบนกับกระดองด้านล่างเป็นคนละชั้น ยึดติดกันด้วยพังผืด กระดองทั้งสองแบนเข้าหากันมากมาย โดยยิ่งไปกว่านั้นที่หน้าอก หัวโต หดหัวเข้าไปในกระดองมิได้ หัวปกคลุมด้วยแผ่นซึ่งไม่แบ่งได้เป็นชิ้นเกล็ดเหมือนเต่าอื่น ระหว่างนิ้วมีพังผืดบ้าง แม้กระนั้นไม่เต็มนิ้ว นิ้วมีเล็บแหลมทุกนิ้ว เว้นนิ้วก้อย หางยาวมาก มีเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมปกคลุมบนหาง
๕.สกุลเต่าบก(Testudinidae) พบ ๓ ชนิด คือ เต่าหก เต่าเดือย และ เต่า[/i]เหลือง เต่าในสกุลนี้ต่างจากเต่าน้ำในวงศ์อื่นๆตรงที่ขาทั้ง ๔ กลม ไม่มีพังผืดยึดระหว่างนิ้ว เพราะว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ขาว่ายน้ำ มีเกล็ดบนหัวรวมทั้งที่ขา

Tags : เต่า
6  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / เขากวางอ่อน เมื่อ: มีนาคม 25, 2019, 01:37:38 pm
[/b]
เขากวางอ่อน
เมื่อกวางผลัดเขา เขากวางแยกหลุดจากตอเขา ผิวหนังบริเวณรอบๆตอเขาจะรุ่งโรจน์ขึ้น มาปิดแผลข้างใน ๔-๕ วัน เลือดจะเริ่มเข้าไปหล่อเลี้ยง กับมีสารประกอบแคลเซียมพอกสะสมขึ้น เขาใหม่จะปกคลุมด้วยหนังนุ่มๆและขนสั้นๆสีน้ำตาลเสมือนผ้ากำมะหยี่ เขาลักษณะนี้เรียกว่า เขากวางอ่อน[/url]” ซึ่งหักได้ง่าย เมื่อหักจะมีเลือดไหล กวางบางตัวบางทีอาจจนตายได้ หากเลือดออกไม่หยุด ในระยะที่มีเขาอ่อน กวางจะทำมาหากินอยู่ที่โล่งแจ้งหรือที่โล่ง โดยเลี่ยงไม่เข้าไปในป่าทึบหรือป่าหนาม เขากวางอ่อนเป็นเครื่องยาที่พักเป็นตำราเรียนยาแห่งประเทศสหรัฐประชาชนจีน บางทีอาจได้จากเขาอ่อนกวาง ๒ ประเภท เป็น
๑.กวางดอกเหมย (sika deer) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cervus Nippon Temminck
๒.กวางแดง (red deer) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cervus elaphus Linnaeus
เขากวางอ่อนนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
pilose antler มีชื่อยาในภาษาละตินว่า Cornu Cervi Pantotrichum เป็นเขากวางอ่อนที่พึ่งผลิออก ด้านในเขายังไม่เป็นกระดูกแข็งสำหรับในการตัดเขากวางนั้น ใช้เลื่อยตัดทิ้ง โดยเริ่มตัดเขาอ่อนเมื่อกวางแก่ตั้งแต่ ๓ ปีขึ้นไป ตัดได้ปีละ ๑-๒ ครั้ง เมื่อตัดแล้วต้องนำไปแปลสภาพทันที เริ่มด้วยการล้างเอาสิ่งสกปรกที่ติดมาพร้อมกับขนบนเขากวาง แล้วบีบเลือดที่ติดมาอีกส่วนหนึ่งส่วนใดออกไป ต่อจากนั้นก็เลยใส่ลงในน้ำเดือด ๓-๔ ครั้ง ทีละ ๑๕-๒๐ วินาที เพื่อขับเลือดให้หมด แล้วก็เลยเอามาตากหรืออบให้แห้ง นอกนั้นยังอาจตัดเขากวางติดกับหัวกะโหลก แต่ว่าจะใช้กับกวางที่ป่วยไข้หรือมีอายุมากแล้วเท่านั้น เขากวางอ่อนที่มีคุณภาพดีควรจะเป็นเขาสมบูรณ์ (ขนละเอียด สีน้ำตาลอ่อนไม่หัก) มีน้ำหนักค่อย ข้างล่างไม่มีรอยแยก หน้าตัดมีรูพรุนแน่น สีเหลืองเปลือกข้าว ส่วนที่มีขนหยาบไม่สมบูรณ์ หน้าตัดมีสีเทาคละเคล้าแดง เป็นประเภทที่มีคุณภาพรองลงมา
[/b]
แบบเรียนยาจีนว่า
มีรสหวาน มีฤทธิ์ร้อน เป็นยาบำรุงชั้นดี ดังคำจีนโบราณที่ว่า “ยามเมื่อหมดเรี่ยวแรง หายาใดๆมิได้ ถ้าได้กิเขากวางอ่อน[/url]แล้ว หากแม้ไม่มีแรงก็ช่วยทำให้ฟื้นคืนได้” เขากวางอ่อนมีคุณประโยชน์เป็นยาบำรุงเลือด บำรุงกำลังทำให้กระดูกและก็เอ็นแข็งแรง แก้อาการเหน็ดเหนื่อย ตาลาย หูตึง ตามัว หัวเข่าเจ็บ และก็ที่สำคัญเป็น ช่วยเสริมความสามารถทางเพศ แก้โรคน้ำเชื้อไหลเองแบบไม่รู้ตัวเป็นประจำแก้รอบเดือนมามากเปลี่ยนไปจากปรกติ บำรุงท้อง (ทำให้เด็กในครรภ์สงบ) แก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง โดยยิ่งไปกว่านั้นที่เกิดกับผู้สูงวัย โดยทั่วไปใช้บดเป็นผุยผง กินครั้งละ ๑-๒.๕ กรัม กับน้ำสุกจะใช้ดองเหล้า หรือปั้นเป็นยาลูกกลอนก็ได้ เพราะเขากวางอ่อนเป็นยาบำรุงที่มีฤทธิ์ร้อน จึงห้ามใช้กับผู้เจ็บป่วยที่จับไข้ ถ่ายหรืออ้วกเป็นเลือด นอกเหนือจากนั้น คนเป็นความดันโลหิตสูงหรือรูปแบบการทำงานของตับเปลี่ยนไปจากปรกติก็ไม่ควรรับประทานเยอะเกินไป
7  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / แมงมุม เมื่อ: มีนาคม 23, 2019, 02:54:33 am
[/b]
แมงมุม
แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์จำพวกแมงหลายชนิด
แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์พวกแมงหลายประเภทในวงศ์ ทุกจำพวกจัดอยู่ในอันดับ Araneae มีชื่อสามัญว่า spider รับประทานสัตว์เป็นอาหาร มีขนาดนาๆประการตามแต่ประเภท พวกที่หนขนาดเล็กอาจมีลำตัวยาวเพียง ๐.๗ ซม. ส่วนพวกที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง ๙ ซม. พวกที่พบตามบ้านที่พักแล้วก็ก่อความเปรอะเปื้อนรุงรังมักเป็นที่อยู่สกุล Pholcus หลายอย่าง (สกุล pholcidae )
แมงกับแมลง
ในทางวิชากีฏวิทยา คำ “แมง” กับ “แมลง” สื่อความหมายไม่เหมือนกัน รวมทั้งมักเรียกงงงวยกัน คำ “แมง”ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลายอย่าง ซึ่งเมื่อเติบโตเต็มกำลังแล้ว ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วน เป็น ส่วนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่ง กับส่วนท้องอีกส่วนใดส่วนหนึ่ง มีขา ๘ หรือ ๑๐ ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก ดังเช่นว่า แมงป่อง แมงดาทะเล ส่วนคำ “แมลง” ใช้เรียกชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเติบโตเต็มกำลังแล้ว ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนอย่างชัดเจน เป็น ส่วนหัว ส่วนอก รวมทั้งส่วนท้อง มีขา ๖ ขา เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพียงพวกเดียวที่มีปีก อาจมีปีก ๑ หรือ ๒ คู่ ไหมมีปีกเลยก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากมายชนิดที่สุดในโลก เป็นต้นว่า แมลงสาบ แมลงวัน
ชีววิทยาของแมงมุม
แมงมุมมีลำตัวแบ่งได้ ๒ ส่วน ท่อนหัวกับส่วนอกชิดกันเป็นส่วนเดียวปกคลุมด้วยแผ่นแข็งทั้งยังข้างหลังรวมทั้งข้างล่าง มีตาเล็กๆข้างละหลายตา ลางชนิดอาจมีได้ถึง ๘ ตา อยู่ใกล้ๆกัน (เว้นเสียแต่บางประเภทที่ไม่มีตา ซึ่งมักเป็นที่อาศัยอยู่ในที่มืด ตัวอย่างเช่นในถ้ำ) ที่ปากมีเขี้ยวเป็นอวัยวะคู่ มีรูปร่างคล้ายปากคีบหรือคีมหนีบใช้คีบ จับ หรือยึดเหยื่อเป็นอาหารได้ ประกอบด้วยปล้องฐานปล้องเดียว ส่วนปลายอาจมีรูปล่อยพิษซึ่งเชื่อมต่อถึงต่อมพิษที่ฐานปาก นอกจากนั้นที่ปากยังมีอวัยวะคู่ทรงเหมือนขา แต่สั้นกว่าและก็มักแบนกว่า (มักเจริญดีและเห็นได้ชัดในเพศผู้ที่ยังไม่โตเต็มที่และในตัวเมีย) ไม่มีหนวด มีขา ๔ คู่ ที่ขามักมีโครงสร้างพิเศษให้ใช้ถักใยได้ ดังเช่นว่า มีแผ่นแบนอยู่ระหว่างง่ามเล็บ ส่วนท้องอาจกลมหรือยาวสุดแท้แต่จำพวกของแมงมุมที่ปลายมีท่อเป็นรูเปิดสำหรับปล่อยใยได้ บริเวณข้างล่างของส่วนท้องข้อที่ ๒ รวมทั้ง ๓ มีอวัยวะปฏิบัติภารกิจเป็นจมูกสำหรับหายใจ ซึ่งมักเป็นช่อง ข้างในมีแผ่นบางๆเรียงซ้อนกันเหมือนกระดาษหนังสือ ส่วนใหญ่ที่ชาวไทยเห็นนั้น มักเป็นประเภทถักใยกีดกั้นผ่านของสัตว์เพื่อจับรับประทานเป็นของกิน เมื่อมีสัตว์มาติดใยแล้วก็ดิ้นรน แรงสะเทือนจะไปถึงตัวผู้ครอบครองรังซึ่งมีสายตาไม่ดีก็จะติดตามทิศทางของแรงสั่นสะเทือนนั้นเข้าหาเหยื่อ กัดเหยื่อ และปล่อยน้ำพิษทำให้เหยื่อสลบ ก่อนจะรับประทานเป็นของกิน
แมงมุมในประเทศไทย
แมงมุมที่พบในประเทศไทยมีมากมาย จัดอยู่ในหลายวงศ์ แต่ทุกวงศ์จัดอยู่ในอันดับเดียวกัน เป็น Araneae ประเภทที่พบในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีพิษแรงถึงกับกัดคนให้เจ็บหรือตายได้ ยกตัวอย่างเช่น
๑.แมงใย หรือ ตัว เป็นที่พบตามบ้านเมืองและก็ถักใยจนถึงดูเลอะเทอะสกปรกและรกรุงรัง มักเป็นพวกที่จัดอยู่ในสกุล Pholcus หลายประเภท (สกุล Pholcidae ) เหล่านี้มักมีลำตัวสีน้ำตาลหรือสีเทาทึบ ข้างหลังท้องสีมักเข้ม บางจำพวกมีลาย โดยมากมีลำตัวยาว ๔-๕ มม. ขายาวกว่าลำตัวมาก เป็นยาวราว ๕-๖ เซนติเมตร ทำให้ดูโย่งเย่งแล้วก็เปราะบาง จึงมีชื่อสามัญว่า daddy long-leg spider คนประเทศไทยบางถิ่น เรียก เถ้าถ่าน เพราะเหตุว่าถักใยทำให้รกรุงรังรวมทั้งมีฝุ่นผงหรือขี้เถ้ามาติด ที่พวกนี้ถักทอไว้ในบ้าน โดยเฉพาะในห้องครัว หรือที่อยู่ใกล้เตาไฟ ซึ่งมีขี้เขม่าไฟหรือขี้เถ้าติดอยู่ด้วยกัน แพทย์โบราณใช้เป็นเครื่องยา เรียก ต้นหญ้ายองไฟ
๒. แมงมุมทำหลาว เป็น พวกที่ถักใยนอกบ้าน พบได้มากตามแปลงพืชหรือตามเรือกสวนไร่นา เป็นที่จัดอยู่ในสกุล Tetragnatha หลายอย่าง (ตระกูล Tetragnathidae ) ซึ่งราษฎรเรียก ทำหลาว เพราะว่าเมื่อตกอกตกใจ พวกนี้จะวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังใบไม้ ยื่นขา ๒ คู่แรกไปข้างหน้า ขาคู่ที่ ๔ ยื่นไปด้านหลังอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ขาคู่ที่ ๓ ใช้ยึดเกาะยืนตั้งฉากกับลำตัว มองคล้ายผู้ที่จัดเตรียมพุ่งแหลนลง น้ำ พวกนี้ดักจับเพลี้ยจักจั่นรับประทานเป็นของกิน จัดเป็นสัตว์ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
๓. แมงมุมก๋า หรือ ตัวก๋า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Heteropodae venatoria (Linnaeus ) จัดอยู่ในตระกูล Sparassidae มีชื่อสามัญว่า banana spider ( เนื่องจากมักพบก๋านี้ในโกดังเก็บกล้วย ) เป็นขาดกลาง เพศผู้ลำตัวยาว ๑.๕-๒ ซม. ตัวเมียมีลำตัวยาว ๒.๕-๓ เซนติเมตร ขายาว ๕-๖ เซนติเมตร หัว อก ขา รวมทั้งท้องสีน้ำตาล ตาสีคล้ำ ที่ข้างหลังอกมีแถบสีดำหนาพิงตามขวางด้านหน้า และแถบเป็นง่ามคล้ายรูปตัววี (V) ด้านปลายอีก ๑ แถบที่สันหลังท้องมีเส้นสีน้ำตาลแก่พาดมาถึงตรงกลาง อาจพบจุดสีน้ำตาลแก่เป็นลายข้างๆ ข้างละ ๔-๕ จุด มีขนสีน้ำตาลอ่อนบริเวณหน้าและขา ทำให้ดูน่ากลัว ชนิดนี้ไม่ถักใย ออกหากินโดยการจับเหยื่อโดยตรง เจออาศัยอยู่ตามอาคารบ้านเรือนหรือตามคลังสินค้า เป็นที่มีสาระ เพราะว่าถูกใจรับประทานแมลงสาบ
๔. แมงมุมมดแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myrmarachne formicaria Linnaeus จัดอยู่ในสกุล Salticidae เป็นจำพวกที่มีรูปร่างเอาอย่างสัตว์อื่น มักพบและก็มีชุกตามจังหวัดชายฝั่งทะเล ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดชลบุรีหรือระยอง มีรูปร่าง ขนาด แล้วก็สีสันใกล้เคียงกับมดแดง รวมทั้งชอบอาศัยผสมปนเปอยู่กับมดแดง แต่ว่าไม่เหมือนกันตรงที่เมื่อเหล่านี้กระโดด จะถักใยทิ้งตัวเพื่อเปลี่ยนที่ได้ เมื่อพิจารณาอย่างประณีตมุ่งมั่น จะพบว่าจำนวนขาและก็ลักษณะอื่นๆไม่เหมือนกับมดแดง
[/b]
ประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ “ต้นหญ้ายองไฟ”และ “แมงมุมตายซาก” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้
๑.ต้นหญ้ายองไฟ แพทย์แผนไทยรู้จักใช้แมงมุม{หยากไย่|ใยเหนือเตาไฟในครัวของบ้านไทยในบ้านนอกอดีตสมัย (เตาไฟใช้ฟืนใช้ถ่าน) ที่มีคราบเขม่า ขี้เถ้า และฝุ่นเกาะอยู่ด้วยนี้ หมอโบราณเรียก หญ้ายองไฟ บางแบบเรียนเรียกเป็น ไฟ หรือ หยักไย่ไฟ ก็มี ใช้เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง
ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า หญ้ายองไฟมีรสเค็ม ขื่น มีคุณประโยชน์แก้โลหิต ฟอกเลือด กระจายโลหิตอันเป็นลิ่มเป็นก้อน ขับเลือดรอบเดือน
ตำรายาไทยหลายขนานเข้า “ต้นหญ้ายองไฟ” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างยา ๒ ขนาน ขนานแรกเป็นยาแก้กษัยอันเกิดเพื่อโชธาตุชื่อ “สันตัปปัคคี” ซึ่งบันทึกไว้ในพระคู่มือไกษย ดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่งเล่า หากมันให้จุกเสียดปวดขบเปนกำลัง ให้เอา พริกเทศ ๑๐๘ เม็ด พริกล่อน ๑๐๘ เม็ด ผักกระชับเอาทั้งยังต้นรากใบลูกเอาสิ่งละ ๑ บาท หญ้าไซย้อย ๑ ต้นหญ้าไซแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท หญ้ายองไฟ ๑ บาท ไพลแห้ง ๑ บาท ตำเปนผง ละลายน้ำเหล้า น้ำส้มซ่า น้ำขิง น้ำมะนาว น้ำกระเทียมก็ได้ เปลี่ยนแปลงให้ชอบโรคนั้นเถอะ อีกขนานหนึ่งเป็นยาขับเลือดของสตรีซึ่งมีบันทึกไว้ภายใน พระคู่มือมหาโชตรัต ดังนี้ อนึ่งเอา หัศคุณเทศ ๑ แก่นแสมทะเล ๑ ต้นหญ้ายองไฟ ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ บดละลายสุรากิน ใหขับเลือดดีนักแล ตำรับยาบางขนาน เจ้าของตำรับอาจเขียนตัวยาไว้เป็นปัญหาให้แปลความหมายกันเอาเอง ตัวอย่างเช่น ยาแก้บิดขนานหนึ่ง เจ้าของยาให้ตำรับยาไว้ว่า “ลุกใต้ดิน รับประทานท่า อยู่หลังคา ขี้ค้างรู คู่อ้ายบ้า” ซึ่งหมายถึง “รากเจตมูลเพลิง ๑ ผักเป็ด ๑ หญ้ายองไฟ ๑ คนติดยาฝิ่น ๑ เหล้าเป็นน้ำกระสาย”
๒. แมงมุมตายซาก หมอแผนไทยใช้ที่ตายแล้วซากแห้งสนิท ไม่เน่าเหม็นและไม่ขึ้นรา เป็นเครื่องยาในยาไทยโบราณหลายขนาน ตัวอย่างเช่น “ยานากพด” ซึ่งมีบันทึกไว้ภายในพระหนังสือปฐมจินดาร์ ดังนี้ ยาชื่อนากพด ท่านให้เอา ใบหนาด ๑ พริกไทย ๑ เบี้ยจั่นเผา ๑ ขิง ๑ รังสุนัขร่าเผา ๑ แมงมุมตายซาก ๑ ลำพัน ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ แก้ทรางทั้งสิ้น แก้ละอองพระบาท แก้ตะพั้น ทั้งรับประทานอีกทั้งชะโลมดีนัก

Tags : แมงมุม
8  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / กุ้ง เมื่อ: มีนาคม 22, 2019, 10:43:17 am
[/b]
กุ้ง
กุ้งเป็นชื่อเรียกสัตว์น้ำไร้กระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย
กุ้งเป็นชื่อเรียกสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย ชั้นเคดาโพดา (order Decapoda) มีหลายสกุล สัตว์เหล่านี้หายใจด้วยเหงือก ลำตัวยาว แบน หรือ กลม แบ่งเป็นบ้องๆเปลือกที่ห่อหุ้มท่อนหัวและอกหุ้มลงมาถึงอกปล้องที่ ๘ โดยมากกรีมีลักษณะแบนข้าง ก้ามที่ขาอยู่ที่ส่วนหัวและก็อก มี ๑๐ ขา เจอได้อีกทั้งในน้ำจืด ตัวอย่างเช่น กุ้งหลวง กุ้งก้ามเกลี้ยง และก็ในน้ำทะเล ดังเช่น กุ้งว่าวจุฬาดำ
กุ้งในประเทศไทย
กุ้งที่เจอในประเทศไทยมีมากหลายจำพวก แต่ว่าที่มีขนาดใหญ่และก็บริโภคกันทั่วๆไป อาทิเช่น
๑.กุ้งหลวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macrobrachium rosenbergii (de Man)
จัดอยู่ในวงศ์ Palaemonidae
มีชื่อสามัญว่า giant freshwater prawn หรือ giant prawn กุ้งใหญ่ กุ้งก้ามกราม กุ้งก้ามคราม ก็เรียก ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียซึ่งเรียกกันว่า กุ้งก้ามกราม
กุ้งประเภทนี้เป็นกุ้งน้ำจืดขนาดใหญ่ ขนาดวัดจากโคนก้านตาถึงปลายหางยาว ๑๕-๒๕ ซม. ลำตัวสีครามทั้งยังเข้มรวมทั้งจางสลับกันเป็นลายพิงขวางลำตัว ขาคู่ที่ ๒ เป็นขาก้ามขนาดใหญ่ สีน้ำเงินหรือสีฟ้าอมเหลือง ใช้ป้องกันตัว รวมทั้งกอดรัดตัวเมียในขณะผสมพันธุ์ ส่วนปลายของกรีเรียวงอน ฟันกรีด้านข้างล่างมี ๘-๑๕ ซี่ มีกระเพาะอยู่กึ่งกลางทางข้างบนใต้เปลือกหัว ลำไส้ทอดตามสันหลังไปถึงหาง หัวใจอยู่ถัดจากส่วนท้ายของกระเพาะอาหารไปถึงส่วนท้ายของเปลือกหัว มีตับทำหน้าที่สร้างน้ำย่อย เรียก มันกุ้ง อยู่ทางข้างหน้ารอบๆด้านข้างของส่วนหัว ตับมีไขมันประกอบอยู่มากมายเป็นส่วนที่นิยมกินกันในหมู่คนไทย ตัวเมียที่พร้อมจะผสมพันธุ์ได้จะมีรังไข่สุกในบริเวณใจกลางของเปลือกหัว มีสีส้มหรือสีเหลือง สังเกตได้ง่ายประชาชนเรียก แก้วกุ้ง กุ้งก้ามกรามกินทั้งยังสัตว์รวมทั้งพืชเป็นของกิน จำนวนมากเป็นหนอนน้ำต่างๆ รากพืช ซากพืช หาอาหารโดยการสูดดมรวมทั้งสัมผัส ถ้าเกิดไม่ได้กินอาหารจะกินกันเอง กุ้งชนิดนี้หาเลี้ยงชีพตลอดวัน แต่ว่าจะคล่องแคล่วมากมายตอนกลางคืน เหมือนเคยอาศัยอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนอง สระ ที่มีทางน้ำติดต่อกับสมุทร ผสมพันธุ์แล้วก็ตกไข่รอบๆน้ำกร่อยปากแม่น้ำเมื่อตัวอ่อนโตพอก็จะว่ายน้ำกลับไปยังรอบๆแหล่งน้ำจืดชืด
๒. กุ้งก้ามเกลี้ยง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macrobrachium sintangensis ( de Man )
จัดอยุ่ในตระกูล Palaemonidae
มีชื่อสามัญว่า Sunda river prawn
กุ้งแม่น้ำขาแดง ก็เรียก กุ้งชนิดนี้เป็นกุ้งน้ำจืด ขนาดวัดจากโคนก้านตาถึงปลายหางยาวราว ๙ ซม. ลำตัวสีน้ำตาลหรือสีฟ้าปนเขียว เปลือกหัวเรียบ กรีเรียวงอน ฟันกรีด้านบนมี ๙-๑๓ ซี่ ข้างล่างมี ๒-๖ ซี่ ขาคู่ที่ ๒ มีขนาดใหญ่กว่า โดยมีความยาวใกล้เคียงกับลำตัว รวมทั้งมีปื้นสีน้ำตาลกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อมๆขอบภายในของโคนปล้องที่ ๗ ของขาคู่นี้หนตุ่ม ๒-๓ ตุ่ม เฉพาะบุคคลคนที่โตเต็มวัยมีขนนุ่มเหมือนกำมะหยี่สีส้มปนแดง ปกคลุมบริเวณรอยต่อระหว่างบ้องต่างๆของขาคู่ที่ ๓, ๔ แล้วก็ ๕ เหมือนเคยอาศัยอยู่ตามแม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำจืดที่มีทางน้ำติดต่อกับทะเล สืบพันธุ์แล้วก็วางไข่รอบๆน้ำกร่อยปากแม่น้ำ
[/b]
๓. กุ้งว่าวกุลาดำ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Penaeus monodon Fabricius
จัดอยู่ในสกุล Penaeidae
มีชื่อสามัญว่า tiger prawn jumbo หรือ grass prawn
กุ้งว่าวจุฬาหรือ กุ้งแขกดำก็เรียก กุ้งประเภทนี้เป็กุ้ง[/url]ทะเลขนาดใหญ่ ขนาดวัดจากโคนก้านตาถึงปลายห่งยาวราว ๓๐ ซม. ลำตัวสีน้ำตาลปนเขียวและมีแถบสีแก่กับสีจางพาดขวางตลอดลำตัว เปลือกหัวหมดจด ไม่มีขน ฟันกรีด้านบนมี๗-๘ ซี่ ด้านล่างมี ๓ ซี่ ช่องข้างกรีทั้งสองด้านแคบแล้วก็ยาวไม่ถึงฟันกรีซี่ในที่สุด เป็นกุ้งที่ตัวโต มักอยู่ในพื้นที่ที่กระเป๋านทรายปนโคลน รับประทานอีกทั้งพืชและก็สัตว์เล็กๆในน้ำเป็นของกิน เมื่อโตเต็มที่จะอพยพจากชายฝั่งไปยังทะเลลึก ๒๐-๓๐ เมตร เพื่อผสมพันธุ์แล้วก็ตกไข่ ตัวอ่อนที่โตพอก็จะอพยพมาหากินยังริมตลิ่ง
ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ “มันกุ้ง” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในตำรับยาแผนโบราณหลายขนาน ยกตัวอย่างเช่น ยาขนานหนึ่งในหนังสือเรียนยาแผ่นจารึกวัดราชโอรสาราม ให้ยาแก้ฝีดาษอันเกิดในเดือน ๑๑ เดือน ๑๒ และเดือน ๑ เข้า “น้ำมันหัวกุ้ง” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ ขนานหนึ่งเอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำมันรากถั่วภู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสลด ให้ยอดขึ้นหนองสวยดีนัก
9  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อีกา เมื่อ: มีนาคม 22, 2019, 09:05:12 am
[/b]
อีกา
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Corvus macrorhynchos Wagler
จัดอยู่ในตระกูล Corvidae
ที่พบในประเทศไทยมี ๒ ประเภทย่อย คือ ชนิดย่อย Corvus macrorhynchos macrorhynchos Wagler กับชนิดย่อย Corvus macrorhynchos levaillantii Lesson มีชื่อสามัญว่า large-billed หรือ jungle crow
ชีววิทยาขออีกา[/url][/size][/b]
อีกาเป็นนกขนาดกึ่งกลาง ความยาวของตัววัดจากปากถึงปลายหางราว ๕๓ เซนติเมตร มีสีดำตลอดตัว มองเห็นวาวเมื่อมีแสงสว่างจัด มีปากใหญ่ สันบนโค้งมากขาแข็งแรง รับประทานอาหารทุกชนิด พบได้ในทั่วทุกภาคของประเทศไทย ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ได้ตั้งแต่เขตกลางเมืองจนกระทั่งเขตป่าเขา

Tags : อีกา
10  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ไอ้เข้ เมื่อ: มีนาคม 21, 2019, 11:24:08 pm
[/b]
ไอ้เข้
ไอ้เข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่
มีผัวหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายแล้วก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ เป็นประจำทำมาหากินในน้ำ จระเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ปักษ์ใต้เรียกเข้ ในแบบเรียนยาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกในภาษาอังกฤษว่า crocodile
ในทางสัตวานุกรมเกณฑ์นั้น ตะไข้ที่จัดอยู่ในวงศ์ (Crocodylidae) มีทั้งสิ้น ๒๒ จำพวก แบ่งออกได้เป็น ๓ วงศ์ย่อย คือ
๑. สกุลย่อย (Crocodylinae) มีทั้งหมด ๑๔ ชนิด จัดแบ่งเป็น ๓ สกุล ที่พบในประเทศไทยมี ๒ สกุล คือสกุล(Crocodylus) มีทั้งหมดทั้งปวง ๑๒ จำพวก พบในประเทศไทยเพียง ๒ ประเภท แล้วก็สกุลตะโขง (Tomistoma) มีเพียง ๑ จำพวก
๒.ตระกูลย่อยจีน (Alligatoriane) มัทั้งปวง ๗ ประเภท แยกเป็น ๔ สกุล ไม่เจอในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ Alligator
ที่จัดอยู่ในสกุลย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในวงศ์ย่อย Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า alligator ลักษณะโดยธรรมดาคล้ายกันแต่แตกต่างที่ alligator มีส่วนหัวกว้างกว่า ปลายปากกลมมนกว่า ฟันบนครอบฟันข้างล่าง ฟันข้างล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด เพราะเหตุว่าฟัน ๒ ซี่นี้สอดลงในรูที่ฟันข้างบน ส่วน crocodile มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า ฟันบนและก็ฟันข้างล่างเรียงตรงกัน ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉียงออกมาด้านนอก เห็นได้แม้เวลาปิดปาก
๓.สกุลย่อยตะโขงประเทศอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแต่ ๑ สกุล รวมทั้งมีเพียงแค่ ๑ ชนิดเพียงแค่นั้น คือตะโขงประเทศอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin) เจอตามแหล่งน้ำจืดแล้วก็แม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูเขาฏาน แล้วก็ประเทศพม่า แต่ว่าไม่พบในไทย
แต่ก่อนเจอ[url=https://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/16960467/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89-]จระเข้[/url][/color]อยู่ตามป่าริมน้ำ ลำห้วย ลำคลอง หนอง บึง เคยมีเยอะๆ ก็เลยมีการจับมากินเป็นอาหารและก็ใช้ส่วนต่างๆของมาเป็นเครื่องยาสมุนไพร ปัจจุบันเมื่อมีคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติแล้วก็สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งที่จำเป็นจะต้องจริงได้แก่การใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินสำหรับเลี้ยงชีพและที่พักอาศัย และก็ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้จำนวนในธรรมชาติน้อยลงมากจนเกือบสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คงพบบ้างตามแหล่งน้ำในเขตอนุรักษ์บางพื้นที่ แต่ เป็นโชคดีที่แม้ว่าจวนสิ้นซากไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว แต่ว่านักธุรกิจของเราก็บรรลุเป้าหมายสำหรับเพื่อการเพาะพันธุ์ ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น กลายเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดอยากได้ และก็ให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์ชนิดนี้ในธรรมชาติ ผลิตจากที่เพราะว่าประเภทขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ดี หรือหนังแปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ที่ดึงดูดนักท่องเทียวทั้งที่เป็นชาวไทยรวมทั้งเป็นคนต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมปีละไม่น้อยเลยทีเดียวๆ
ไอ้เข้ในประเทศไทย
ไอ้เข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในตระกูล Crocodylidae มี ๒ สกุล รวม ๓ จำพวก คือ สกุล (Crocodylus) มี ๒ ประเภท เป็นต้นว่า น้ำจืดหรือบึง (Crocodylus siamensis Schneider) กับน้ำทะเลหรืออ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider) รวมทั้งสกุลตะโขง (Tomistoma ) มี ๑ ชนิด คือ ตะโขงหรือปากกระทุงเหว Tomistoma schleielii (S. Muller) สัตว์เหล่านี้มีสามีหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกก้อนขี้หมา หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายแล้วก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำจะฟาหางได้เมื่อขาหลังถึงพื้นแค่นั้น)
๑.ตะไข้น้ำจืด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus siamensis Schneider
เป็นขนาดปานกลาง ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นเป็นมีแถวเกร็ดนูนบนด้านหลังหอย รวมทั้งมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตาทั้ง ๒ ข้าง ประเภทนี้พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนในที่ราบ หนอง บ่อน้ำ แล้วก็แม่น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบึงที่แยกออกมาจากแม่น้ำ และก็ลำธารที่ไหลเอื่อยๆที่มีฝั่งเป็นโคลน เคยพบได้ทั่วไปที่บ่อน้ำบอระเพ็ด แต่ปัจจุบันนี้เกือบจะไม่เจอในแหล่งธรรมชาติเลย ประเภทนี้รับประทานปลาเป็นของกินหลัก โตสุดกำลังเมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ผสมพันธุ์ในช่วงธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ตัวเมียตกไข่ในเดือนเมษายนและพ.ค. ตกไข่ครั้งละ ๒๐-๔๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน
๒.ตะไข้น้ำเค็ม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus porosus Schneider
เป็นขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาที่ยังมีเผ่าพันธุ์อยู่ในตอนนี้ ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร รอบๆท้ายทอยไม่พบแถวเกร็ดนูนดังเช่นว่าที่เจอในสมุทรน้ำจืด และก็บริเวณหน้าผากมีสันจางคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าพบกัน เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก (ก้อนขี้มา) เพศผู้โตเต็มที่เมื่ออารุราว ๑๖ ปี ส่วนตัวภรรยาโตสุดกำลังเมื่ออายุราว ๑๐ ปี ตัวเมียวางไข่ครั้งละราวๆ ๕๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๘๐-๙๐ วัน
ลักษณะที่แตกต่าง ไอ้เข้น้ำจืด ไอ้เข้น้ำเค็ม
๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่ได้ส่วนสัดนัก เรียวยาว ได้ส่วนสัดกว่า
๒.ท่อนหัว รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง และเป็นสันมากยิ่งกว่า รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ปากยาวกว่า
๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว
๔.บริเวณกำดัน มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด
๕.ขาหลัง พังผืดเห็นไม่ชัด มีพังผืดเห็นได้ชัดเสมือนขาเป็ด
๓.ตะโขง หรือ ปากนกกระทุงเหว เป็นพันธุ์ที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma schlegeill (S. Muller) เป็นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวเหมือนปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่ายน้ำ ประเภทนี้เจอเฉพาะทางภาคใต้ของไทย มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำแล้วก็หนองน้ำจืดที่มีบริเวณติดต่อกับแม่น้ำ บางทีอาจพบได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าพบปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาประเภทสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพลุโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แต่พบเพียงแค่ที่ละ ๑-๒ ตัว จำพวกนี้รับประทาน ปลา รวมทั้งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภทเป็นของกิน โตสุดกำลังเมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียวางไข่ครั้งละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน และฟักเป็นตัวในช่วงฤดูฝน
๔.ไอ้เข้ลูกผสม เป็นผสมระหว่างน้ำจืดกับน้ำทะเล คนประเทศไทยเป็นผู้สำเร็จสำหรับในการผสม ๒ ชนิดนี้ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน ลูกผสมมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด แล้วก็นิสัยที่ดุร้ายเสมือนน้ำทะเล แม้กระนั้นมีขนาดโตกว่า (เมื่อโตเต็มกำลังมีปริมาณยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากยิ่งกว่า ๑,๒๐๐ กิโลกรัม) จัดเป็นประเภทที่มีขนาดโตที่สุดในประเทศไทย พันทางเริ่มวางไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี วางไข่ราวทีละ ๓๐-๔๐ ฟอง มากกว่าการวางไข่ของน้ำทะเล ไข่มีขนาดเล็ก เปลือกไข่บาง อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมากมาย เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีตกไข่ราวทีละ ๓๐ –๕๕ ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่ดกกว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และเมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปตกไข่ทีละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง
[/b]
ชีววิทยาของจระเข้ไทย
นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าเกิดแล้วก็มีพัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐ ล้านปีกลาย ปัจจุบันนี้มีในโลกนี้ราว ๒๒ ประเภท กระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆในเขตร้อนทั่วทั้งโลก โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในช่วงฤดูร้อนหรือในเวลากลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในช่วงฤดูหนาวจึงออกมาตากแดด เหมือนเคยชอบนอนบนริมตลิ่งน้ำที่เงียบสงบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหรืออากาศ ได้แก่ ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าคะนองหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด ตะไข้จะส่งเสียงร้องออกมาจากคอคล้ายเสียงคำรามของสิงโต และก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่ว่าโตเต็มกำลังและผสมพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปีขึ้นไป เราสามารถจำแนกประเภทเพศผู้และก็ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะด้านนอกเมื่อแก่ตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำแค่นั้น ฤดูผสมพันธุ์มักเป็นหน้าหนาว เป็นในราวเดือนธันวาคมถึงก.พ. เมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียรวมทั้งตวัดข้างหลังหางรัดตัวภรรยา ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที ตัวเมียมีท้องราว ๑ เดือน รวมทั้งเริ่มวางไข่ในราวมีนาคมถึงพฤษภาคมตัวเมียจะเลือกทำเลที่ตั้งที่สมควร ไม่เป็นอันตราย และใกล้แหล่งน้ำ แล้วปัดกวาดเอาใบไม้รวมทั้งหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ ซม. กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร สำหรับออกไข่ หลังจากนั้นก็เลยขุดหลุมตรงกลางแล้วออกไข่ โดยใช้เวลาออกไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อตกไข่เสร็จก็เลยกลบให้แน่น ไข่มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดบางส่วน แต่ว่าเล็กมากยิ่งกว่าไข่ห่าน ตัวเมียตกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่แต่ละประเภทก็แตกต่างกัน เมื่อครบกำหนดช่วงเวลาฟัก ลูกจะร้องออกจากไข่ เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป เมื่อแม่ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็จะขุดค้นไปในรังจนถึงไข่ ลูกใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา ตัวที่ไม่อาจจะเจาะเปลือกไข่ได้ แม่จะคาบไข่เอาไว้ภายในปากรวมทั้งขบให้เปลือกแตกออก ลูกแรกเกิดมีขนยาว ราว ๒๕-๓๐ เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวราว ๒๐๐-๓๐๐ กรัม มีฟันแหลมแล้วก็ใช้กัดได้แล้ว และมีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นอาหารได้อีกราว ๑0 วัน เมื่อของกินหมดรวมทั้งเริ่มหิว ก็จะหาอาหารกินเอง มีระบบย่อยอาหารที่ดีเยี่ยม สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ เมื่อโตสุดกำลังมีฟัน ๖๕ ซี่ ฟันด้านล่าง ๓๐ ซี่ เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่แตกออกขึ้นมาแทนที่ในระยะเวลาไม่นาน ฟันเป็นกรวยซ้อนกันเป็นชุดๆอยู่ข้างในเหงือก ๓ ชุด มีลิ้นใกล้กับพื้นปาก เมื่ออ้าปากจะเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วๆไปที่พื้นปากข้างล่าง บริเวณนั้นเป็นจุดที่ใช้บอกความไม่เหมือนของรสของกินที่รับประทานเข้าไป ส่วนลึกในโพรงปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อคุ้มครองป้องกันน้ำถูกคอเมื่ออยู่ในน้ำ จมูกอยู่ส่วนโค้งของปลายด้านบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้ เวลาดำน้ำจะปิดสนิทเพื่อปกป้องน้ำเข้าจมูก หายใจและดมกลิ่นด้วยจมูก ในโพรงปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น
มี ๔ ขา แต่ว่าขาสั้น ดูไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาข้างหลังมีนิ้วข้างละ ๔ นิ้ว ไม่สามารถคลานไปไหนได้ไกลๆแม้กระนั้นในระยะสั้นๆทำเป็นเร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อต้อง สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายน้ำได้ อย่างเงียบกริบ เวลาจับเหยื่อในน้ำ ะเคลื่อนตัวเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ เสมือนท่อนไม้ลอยน้ำมา เมื่อได้จังหวะรวมทั้งระยะทางพอเหมาะก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างเที่ยงตรง เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยกิน ฟันมีไว้สำหรับจับเหยื่อและก็ฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป ไม่ได้มีไว้สำหรับบดอาหาร
สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วประคองตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำแล้วก็หางโบก แต่สำหรับการพุ่งตัวรวมทั้งว่ายด้วยความรวดเร็วนั้น ใช้เพียงแค่หางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า มีความรู้และความเข้าใจสำหรับการแลเห็นที่ดีและไวมาก สามารถดูภาพได้ ๑๘๐ องศา ทั้งยังสามารถเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของมีความไวและก็เร็วพอที่จะผสานกับนกที่บินผ่านไป ยังลืมตาและแลเห็นในน้ำได้ เมื่อตะไข้มุดน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อคุ้มครองการเคืองตา ยังมีหูที่รับเสียงได้ดี หูเป็นร่องอยู่ข้างนัยน์ตา ๒ ข้าง นอกจากนี้ยังรับทราบอันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ที่สามารถรับความรู้สึกจากการเขย่ากระเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ในธรรมชาติอยู่รวมกันเป็นฝูงหรืออย

Tags : จระเข้
11  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ชีววิทยาของลิ่น เมื่อ: มีนาคม 21, 2019, 11:59:44 am
[/b]
ลิ่น
ลิ่น หรือนิ่ม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม[/size][/b]
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Manis javanica Desmarest
มีชื่อสามัญว่า Malayan pangolin
จัดอยู่ในวงศ์ Manidae
ชีววิทยาของลิ่น
ลิ่นมีลำตัวและหายาว เวลาเดินหลังจะโค้ง ท่อนหัวและหางจะยืดตรง ความยาวของลำตัววัดจากปลายปากถึงโคนหาง ๕๐ -๖๐ เซนติเมตร หางยาว ๕๐ – ๘๐ เซนติเมตร มีน้ำหนักตัว ๖-๙ กิโลกรัม ท่อนหัวเล็ก ปากยาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดแข็ง ใต้เกล็ดแต่ละเกล็ดมีขนเป็นเส้นๆ เกล็ดละ ๒ – ๓ เส้น เกล็ดสีเหลืองถึงสีน้ำตาลเข้ม บริเวณใต้คาง ท้อง ด้านในขาจะไม่มีเกล็ด มีเล็บยาว ปลายแหลมแข็งแรง เหมาะกับรื้อฟื้นดินแล้วก็รังปลวก ไม่มีฟัน มีลิ้นเป็นเส้นยาว หางปกคลุมด้วยเกล็ด ม้วนงอจับกิ่งไม้ได้ สัตว์ประเภทนี้โตเต็มที่รวมทั้งผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๑.๕ ปี มีท้องนานราว ๑๔๐ วัน คลอดลูกครั้งละ ๑ – ๒ ตัว ลูกที่เกิดใหม่จะเกาะติดไปกับแม่ โดยใช้ขาหน้ารวมทั้งขาหลังกอดโคนหางแม่ไว้แน่น ลูกลิ่นดูดนมแม่ตรงรักแร้ โดยที่แม่นอนเอียงหรือนอนหงาย และก็หย่านมเมื่ออายุราว ๓ เดือน ลิ่นอายุยงยืนราว ๑๐ ปี ลิ่นกินมด ปลวก รวมทั้งแมลงเป็นของกิน ถูกใจออกหากินในค่ำคืน ส่วนกลางวันหลบนอนอยู่ในโพรงดิน เวลานอนจะม้วนหรือม้วนตัวกลม ใช้หางเกี่ยวก้านไม้ได้ รวมทั้งสามารถปีนต้นไม้ได้ โดยใช้เล็บตีนช่วย ประสาทรับกลิ่นและเสียงดีเยี่ยม โดยเฉพาะประสาทรับกลิ่นซึ่งช่วยในการหาอาหาร แม้กระนั้นประสาทตาไม่ดีพบได้ในทุกภาคของประเทศไย ในเมืองนอกเจอถึงที่เหมาะลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และก็อินโดนีเซียสัตว์ในสกุลเดียวกันนี้ที่อาจพบในประเทศไทยอีกชนิดหนึ่ง คือ ลิ่นจีน อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Manis pentadactyla Linnaeus มีชื่อสามัญว่า Chinese pangolin
[/b]
คุณประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไยใช้เกล็ดลิ่นในตำรับยาน้อยมาก แตกต่างจากยาจีนซึ่งหมอมักใช้ลิ่นเข้าตำรับยา เกล็ดลิ่นเป็นเครื่องยาที่มนตำรับยาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนการันตีไว้ มีชื่อยาในภาษาละตินว่า Squama Manitis มีชื่อสามัญว่า pangolin scale เกล็ดลิ่นที่ใช้ในยาจีนได้จากลิ่นจีน แม้กระนั้นในขณะนี้เกล็ดลิ่นจากเมืองไทย ภูมิภาคอินโดจีน รวมทั้งแหลมมลายู ถูกส่งเข้าไปขายในประเทศจีนปีละมากมายๆ จำนวนมากเป็นในรูปเกล็ดที่คั่วในทรายกระทั่งพองก็ดีแล้วการเตรียมเกล็ดลิ่นสำหรับใช้เป็นเครื่องยานั้น บางทีอาจทำได้ ๓ แนวทาง เป็น ๑. ใช้เกล็ดแห้ง ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแดดให้แห้ง ๒. ใช้เกล็ดแห้งที่สะอาดแล้ว คั่วในกระทะทรายที่ร้อนมาก กระทั่งเกล็ดลิ่นพอง ทิ้งให้เย็น ล้างให้สะอาด แล้วทำให้แห้ง หรือ ๓. เอาเกล็ดลิ่นที่คั่วกับทรายที่พองสุดกำลังแล้ว จุ่มไปในน้ำส้มสายยกทันที แล้วเอาออกทำให้แห้ง เมื่อจะประยุกต์ใช้ปรุงยาก็ให้บดเป็นชิ้นเล็กๆ
หนังสือเรียนยาจีนว่า
เกล็ดลิ่นมีรสเค็ม เย็นบางส่วน แสดงฤทธิ์ต่อเส้นตับและกระเพาะอาหาร มีสรรพคุณ คือ ๑. กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตรวมทั้งทำให้ประจำเดือนสม่ำเสมอ ก็เลยใช้กับสตรีในภาวการณ์ขาดระดูแล้วก็มีก้อนในท้องเพราะว่าเลือดคั่ง ๒. ไล่ “ลม” ที่ก่อโรครวมทั้งขจัดการอุดกันใน “เส้น” ก็เลยใช้แก้ลักษณะของการปวดและชะตามแขนขา ๓. กระตุ้นน้ำนม ก็เลยใช้กับสตรีซึ่งไม่มีน้ำนมเลี้ยงลูก แล้วก็ ๔. ลดการบวมและก็ช่วยขจัดหนองจึงใช้แก้บาดแผลฟกช้ำดำเขียวต่างๆ แผลบวมมีหนอง มักใช้ในขนาด ๔.๕ – ๙ กรัม ต้มน้ำกิน นิยมใช้เกล็ดที่คั่วจนถึงพอดีแล้ว แต่ว่าการใช้กับสตรีในระหว่างท้อง ควรที่จะใช้ด้วยความระวัง

Tags : ลิ่น
12  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / อีแอ่น เมื่อ: มีนาคม 18, 2019, 01:33:24 am

อีแอ่น
[/size][/b]
อีแอ่นเป็นชื่อไทยแท้ของนก ๒ สกุล
(ปัจจุบันคนไทยมีความคิดเห็นว่าชื่อ “อีแอ่น” ไม่สุภาพหรือไม่เนื่องจาก จึงเปลี่ยนเป็นชื่อ“นางแอ่น” หรือ“นกแอ่น” เหมือนกันกับ“กา” เป็น “นกกา” หรือ “อีแร้ง” เป็น “นกแร้ง”) เป็น ตระกูล Apodidae (ชั้น Apodiformes) กับสกุล Hirundinidae (อันดับ Passeriformes)
อีแอ่นรับประทานรังเป็นนกในวงศ์ Apodidae ส่วนนกในสกุล Hirundinidae หลายชนิดเรียก “อีแอ่น” ด้วยเหมือนกัน แม้กระนั้นนกที่จัดอยู่ในวงศ์หลังนี้ทำรังด้วยดิน ไม่มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมอยู่ประการใด และก็นกตาพอง (Pseudochelidon sirintarae Thonglongya) ที่มีผู้ตั้งชื่อให้ใหม่เป็นนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร อันเป็นนกถิ่นเดียวของไทย พบที่สระบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันนี้เป็นนกหายากและก็มีจำนวนน้อยหรือบางทีอาจจะสิ้นพันธุ์ไปและได้
อีแอ่นหิมาลัย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia brevirostris (Horsfield) มีชื่อสามัญว่า Himalayan swiftlet จำพวกนี้ทำรังด้วยต้นหญ้ารวมทั้งพืชประเภทต่างๆมีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมเพียงเล็กน้อย อีแอ่น ๒ จำพวกแรก คือ อีแอ่นกินรังกับอีแอ่นรับประทานรังก้นขาว ทำรังด้วยน้ำลายล้วนๆก็เลยเป็นรังนกที่มีคุณภาพบรรเจิด เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วก็เป็นที่ต้องการของตลาด แพงแพงมาก ส่วนรังของอีแอ่นประเภทอื่นในสกุลเดียวกันนี้ไม่เป็นที่นิยมของตลาด โดยยิ่งไปกว่านั้น ๒ จำพวกข้างหลัง คือ อีแอ่นท้องขาวและกอีแอ่น[/url]หิมาลัย
อีแอ่นรับประทานรังเป็นนกที่อาศัยอยู่ในถ้ำหินปูนหรือถ้ำหินทรายตามเกาะต่างๆตามทะเลหรือตามริมตลิ่งต่างๆหรืออาจพักอยู่ตามอาคารบ้านเรือนต่างๆดังเช่นว่า อาคาร โบสถ์ แล้วก็บินออกมาจากถิ่นในตอนเวลาเช้ามืด ไปพบกินตามแหล่งน้ำในหุบเขาหรือตามป่า โดยบินไม่หยุดตลอดวัน ห่อนกลับมายังถิ่นที่อยู่ในตอนเวลาเย็นหรือค่ำ นกพวกนี้สามารถบินโดยใช้เสียงสะท้อนกลับ (echolocation) จึงไม่ชนกับเครื่องกีดขวางใดๆแม้ว่าถิ่นที่อยู่มืดมิด ราวปริมาณร้อยละ ๘๐ ของของกินเป็นแมลง โดยยิ่งไปกว่านั้นมดมีปีก ในช่วงฤดูฝนนั้น ของกินของนกพวกนี้เป็นนกแทบทั้งสิ้น อีแอ่นกินรังที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชข้อมูลต่อไปนี้สำเร็จงานของการศึกษาเรียนรู้ของรศ.โอภาส ขอบเขตต์ ราชบัณฑิต ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนก ซึ่งได้รายงานต่อห้องประชุมราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ แห่งราชบัณฑิตยสถาน ตอนวันที่ ๗ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช๒๕๔๔ ในหัวข้อเรื่อง “อีแอ่นรับประทานรังในอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช” ก่อนที่จะท่านกำลังจะถึงแก่บาปเพียงแต่ ๕ เดือนเศษ

อีแอ่นรับประทานรังในอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประเภท Colocalia fuciphaga (Gmelin) หรือ eible – nest swiftlet ในราว ๕๐ ปีที่ผ่านมา อีแอ่นกินรังได้เข้ามาอาศัยและสร้างรังในบ้านข้างหลังหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียก “บ้านร้อยปี” โดยเริ่มเข้ามาพักพิงที่ชั้น ๓ อันเป็นชั้นบนสุด เจ้าของบ้านก็เลยย้ายมาอยู่ที่ชั้น ๒ ต่อมาจำนวนนกมีเป็นจำนวนมากจนกระทั่งรุกพื้นที่ชั้น ๒ เจ้าของบ้านก็เลยย้ายมาอยู่ที่ชั้น ๑ ซึ่งเป็นร้านค้า แต่เดี๋ยวนี้บ้านหลังนี้มีนกอยู่เต็มทั้งยัง ๓ ชั้น โดยเจ้าของบ้านล้มเลิกกิจการและก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นๆ แต่กลับมาเก็บรังนกทุกเดือน โดยเฉลี่ยได้รังนกราวเดือนละ ๖ กิโลกรัม (ค่าโลละ ๕๐๐๐๐-๗๐๐๐๐ บาท) ในตอนนั้นอีแอ่นรับประทานรังไปอาศัยอยู่รอบๆโบสถ์ของสงฆ์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ โดยที่เดิมที่ทางวัดมิได้เก็บรัง แม้กระนั้นปัจจุบันนี้คณะกรรมการวัดก็เก็บรังนกขายเช่นเดียวกับบ้านร้อยปี โดยได้รังนกเฉลี่ยราวเดือนละ ๒ กก.
ในตอน ๕ ปีให้หลัง อีแอ่นรับประทานรังบริเวณตลาดอำเภอปากพนังได้เพิ่มขึ้น จนกว่าเข้าไปอยู่ในอาคารสูงๆหลายอาคารทางฝั่งด้านตะวันออก(ฝั่งบ้านร้อยปี) ส่วนฝั่งทางตะวันตก(ฝั่งวัด) ก็มีบ้าง แต่ว่าน้อยกว่ามากมาย ปัจจุบันมีการก่อสร้างตึกสูง๑๐ชั้น มากกว่า ๑๐ ตึก แต่ละอาคารใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า ๕ ล้านบาท โดยหวังให้อีแอ่นเข้าไปอาศัยสร้างรัง รวมแล้วมีตึกที่สร้างขึ้น โดยหวังว่าอีแอ่นกินรังจะเข้าไปสร้างรังไม่น้อยกว่า ๕๐ ตึก แต่ว่าอีแอ่นก็ไม่ได้เข้าไปอาศัยทำรังทุกตึก
เพราะเหตุใดอีแอ่นจึงเลือกตึกใดตึกหนึ่งเพื่อทำรัง คำตอบนี้ยังไม่หาคำตอบได้แม้กระนั้นจากการเรียนรู้พบว่า อีแอ่นจะเข้าไปทำรังในอาคารสูงตั้งแต่ ๑-๗ ชั้น ตึกส่วนมากมักมีสีเหลืองไข่ไก่ แม้กระนั้นลางตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จแล้ว ยังเป็นสีก้อนอิฐ ก็มีนกเข้าไปอาศัยรวมทั้งทำรัง ส่วนแนวทางการเข้าออกของอีแอ่นนั้น พบว่ามีแทบทุกทิศทาง ไม่แน่นอน แต่ว่าทางเข้าออกของนกโดยส่วนมากเป็นทิศใต้ค่อนไปทางทิศตะวันตก
แม้กระนั้น อุณหภูมิและก็ความชื้นภายใต้ตึกน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่นกเลือกอาศัยแล้วก็สร้างรัง พบว่าตึกที่นกอาศัยจะอยู่ระหว่าง ๒๖- ๒๙ องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ไม่ต่ำยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ ๗๕ (อยู่ปริมาณร้อยละ ๗๙-๘๐ ) ผนังอาคารจำต้องไม่น้อยกว่า ๓๐ ซม. ภายในมีอ่างน้ำรอบๆหรือแทบรอบ ไม่มีหน้าต่าง แม้กระนั้นมีช่องลมให้นกเข้าออกขั้นต่ำ ๒ ช่อง ซึ่งอุณหภูมิรวมทั้งความชื้นสัมพัทธ์ในตึกเหล่านี้ใกล้เคียงกับถ้ำธรรมชาติที่นกจำพวกนี้ใช้เป็นที่อาศัยแล้วก็สร้างรัง สำหรับในการเก็บรังนกนั้น เจ้าของบ้านเก็บก่อนที่นกจะออกไข่ คือราว ๓๐ วัน หลังจากนกเริ่มสร้างรัง แล้วก็เก็บทุกๆเดือน แต่ว่าถ้าเป็นรังที่นกออกไข่แล้ว ก็จะปล่อยให้นกวางไข่ถัดไปจนครบ ๒ ฟอง แล้วปลดปล่อยให้ไข่ฟัก รวมทั้งเลี้ยงลูกอ่อนกระทั่งลูกบินได้ก็เลยจะเก็บรัง
13  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / คณาเภสัช เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละโยชน์อย่างน่าทึ่ง เมื่อ: มีนาคม 15, 2019, 02:23:59 pm
[/b]
คณาเภสัช[/size][/b]
สำหรับเพื่อการประกอบยาหรือปรุงยานั้น แพทย์ผู้ปรุงยาจำเป็นต้องรู้จักวัตถุต่างๆที่จะเอามาปรุงเป็นยา ในทางมุมต่างๆและแนวทางการปรุงยา (การปรุงยา) เป็นปฐม โดยธรรมดาแพทย์ปรุงยาจำเป็นต้องรู้จักหลักใหญ่ๆ๔ ประการ อย่างเช่น เภสัชวัตถุ รู้จักตัวยา เป็นวัตถุธาตุนานาจำพวกที่จะประยุกต์ใช้ประกอบเป็นยาสำหรับแก้โรค ทั้งพฤกษวัตถุ สัตววัตถุ และก็ธาตุวัตถุสรรพคุณเภสัช รู้จักสรรพคุณแล้วก็โทษของวัตถุธาตุที่จะนำมาใช้ปรุงเป็นยาตลอดจนเครื่องยาต่างๆที่ใช้หลายครั้งในยาไทย แบ่งประเภทและชนิดตามรส คณาเภสัช รู้จักพิกัดยา คือ ยาหลายสิ่งหลายอย่างที่มีชื่อแตกต่าง รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกัน การปรุงยา รู้จักแนวทางการปรุงยาหรือการประกอบยาตามแบบตำราเรียนโบราณ เภสัชวัตถุ เภสัชวัตถุอันหมายถึงวัตถุธาตุนานาจำพวกที่จะนำมาใช้เป็นยาบำบัดโรคนั้น โบราณแบ่งประเภทและชนิดตามที่มาที่ไปของวัตถุที่ประยุกต์ใช้เป็นยาได้ ๓ ชนิดใหญ่ๆคือ
๑.ต้นไม้วัตถุ ได้แก่ชนิดพฤกษชาตินานาชนิด ทั้งประเภทต้น ประเภทเถาหรือเครือคณาเภสัช จำพวกหัว ชนิดผัก ชนิดต้นหญ้า ประเภทพืชพิเศษ (เห็ดและพืชชั้นต่ำอื่นๆ)
๒.สัตววัตถุ ดังเช่นสัตว์นานาประเภท ทั้งๆที่ทั้งตัวหรือเพียงลางส่วน ประยุกต์ใช้เป็นเครื่องยา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก หรือสัตว์อากาศ
๓.ธาตุวัตถุ เป็นต้นว่าแร่ธาตุต่างๆที่ประยุกต์ใช้เป็นเครื่องยา ทั้งๆที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหรือประสมขึ้น โบราณว่าสรรพวัตถุอันมีอยู่ในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากธาตุทั้งยัง ๔ ย่อมใช้เป็นยาบำบัดโรคได้ทั้งหมด แม้กระนั้นจะมีคุณประโยชน์มากมายน้อยกว่ากันเช่นไร ขึ้นกับจำพวกของวัตถุนั้นๆแพทย์ผู้ปรุงยาต้องรู้จักเภสัชวัตถุในเนื้อหา ๕ ประการ เป็นรู้จักรูปยา รู้จักสียา รู้จักกลิ่นยา รู้จักรสยา แล้วก็รู้จักชื่อยานี้ จึงจะสามารถนำเอาเครื่องยาที่ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ภายในตำรับยา มาปรุงเป็นยาซึ่งสามารถแก้โรคนั้นนั้นๆได้
[/b]
คุณประโยชน์เภสัช
สรรพคุณคณาเภสัชหมายคือสรรพคุณทางยา ของเภสัชวัตถุดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ว่าจำเป็นที่จะต้องรู้รสอย่างก่อนจะรู้สรรพคุณยา ด้วยเหตุว่ารสยาจะแสดงสรรพคุณยา เมื่อรู้จักยาแล้ว ก็เลยจะรู้จักคุณประโยชน์ยานั้นอปิ้งกว้างๆได้ ในเรื่องรสยานี้โบราณแบ่งรสยาวออกเป็น ๓ รส ตั้งเป็นประธานก่อนเป็น
๑.รสเย็น ประจำหน้าร้อน (คิมหันตฤดู) แก้ในกองเตโช สมุฏฐาน ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ต่างๆเพราะเหตุว่าไข้ตัวร้อนจัดเกิดในฤดูร้อน อย่างเช่น อย่าที่ปรุงด้วยเกสรดอกไม้ (ที่ไม่ร้อน) รากไม้ต่างๆ(ที่ไม่ร้อน) เขาสัตว์ต่างๆเขี้ยวสัตว์ต่างๆรวมทั้งของที่เผาหรือสุ่มให้เป็นถ่าน ฯลฯ
๒.รสร้อน ประจำฤดูฝน (วสันตฤดู) เบื่อแก้ในกองวาโยสมุฏฐาน แก้ลมต่างๆเป็นส่วนมาก ทำให้แน่นท้อง จุกเสียด แล้วก็แก้ลมในกองธาตุทุพพลภาพ เพราะโรคลม โดยส่วนมาก เกิดในฤดูฝน ได้แก่ ยาที่ปรุงผสมด้วยเบญจกุล ตรีกฏุก ฝึกหัดคุณ ขิง ข่า หัสคุณทั้งคู่ ดองดึง ใบกระเพรา เป็นต้น
๓.รสอ่อนโยน ประจำฤดูหนาว (เหมันตฤดู) แก้ในกองอาโป สมุฏฐาน ระงับเสมหะ แก้โลหิตทุพพลภาพ ดังเช่น ยาที่ปรุงหวังด้วยโกษฐ์อีกทั้ง ๕ เทียนอีกทั้ง ๕ กฤษณา กระลำพัก ชลูด อบเชย ขอนดอก ฯลฯ เมื่อปรุงเป็นยาแล้วจะได้ยารสสุขุม ดังเช่นว่า ยาหอม
14  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ขมิ้นอ้อยเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์เเละสรรพคุณเเละประโยชน์ เมื่อ: มีนาคม 05, 2019, 08:32:32 am
[/b]
ขมิ้นอ้อย
ชื่อสมุนไพร ขมิ้นอ้อย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ว่านขมิ้นอ้อย,ขมิ้นเจดีย์ (ทั่วๆไป),ว่านเหลือง(ภาคกลาง),ขมิ้นชัน(ภาคเหนือ),ขี้มิ้นหัวขึ้น(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ),ละเมียดละไม(เขมร),สากเบือ(ละว้า)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoe
ชื่อสามัญ Zedoary,Indian arrow root, Long zedoaria,Luya-Luyahan, Shoti
ตระกูล ZINGIBERACEAE
ถิ่นกำเนิดขมิ้นอ้อย
ขมิ้นอ้อยเป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปเอเชียอีกชนิดหนึ่ง โดยเช้าใจกันว่ามีถิ่นเกิดในแถบเอเซียอาคเนย์โดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศต่างๆในแถบแหลมอินโดจีน ได้แก่ ไทย ประเทศพม่า ลาว เขมร มาเลเชีย และอินโดนีเซีย ฯลฯ ต่อมาได้มีการแพร่ระบาดพันธุ์ไปยังอินเดีย,เวียดนาม,จีน แล้วก็ไต้หวัน สำหรับในประเทศไทยมีชื่อเสียงดีตั้งแต่ในอดีตกาลแล้วเนื่องจากว่าได้มีการนำมาใช้คุณประโยชน์ทางด้านสมุนไพรรวมทั้งด้านอาหารจนกว่าถึงเดี๋ยวนี้
ลักษณะทั่วไขมิ้นอ้อย[/url][/size][/b]
ขมิ้นอ้อยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุหลายปีมีเหง้าอยู่ใต้ดินแล้วก็มีรากน้อยที่รอบๆเหง้ารากกลมมีเนื้อนุ่มภายใน ทั้งนี้มีลักษณะทั่วๆไปคล้ายกับขมิ้นชันแต่มีลำต้นที่สูงกว่ารวมทั้งขนาดเหง้าและก็ใบก็ใหญ่กว่า โดยต้นจะมีความสูงราวๆ 1-1.2 เมตรลำต้นตั้งตรง แตกหน่อมาก ส่วนเหง้ามักโผล่ขึ้นมาเหนือดินบางส่วน เหมือนเจดีย์ทรงกลมสูงหลายชั้นๆ(จึงเป็นต้นเหตุของชื่อขมิ้นขึ้นหรือขมิ้นเจดีย์) รูปแบบของเหง้ามีลักษณะเป็นรูปกลมรี มีความยาวประมาณ 18-24 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 7-11 ซม. ผิวข้างนอกเป็นสีขาวแกมเหลือง ส่วนเนื้อในเป็นสีเหลืองอ่อน ใบดอก เป็นใบคนเดียวเรียงสลับรอบลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอกปนรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแคบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มและก็มีเส้นนูนตามลายของเส้นใบ เส้นกึ่งกลางใบเป็นร่องนิดหน่อยรวมทั้งมีแถบสีน้ำตาล ผิวข้างหน้าเรียบ ส่วนทางด้านท้องใบจะมีขนนุ่มเล็กน้อย ก้านใบเป็นกาบห่อกับลำต้น นานเป็นลำต้นเทียมมีความยาวเป็น 1 ใน 3 ของใบ กึ่งกลางก้านเป็นร่องลึกตลอดความยาว ดอก มีดอกเป็นช่อ ก้านดอกจะยาวแล้วก็พุ่งออกมาจากเหง้าที่อยู่ใต้ดิน ช่อดอกมีความยาวประมาณ 15เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ช่อดอกมีใบแต่งแต้ม และก็ดอกมักเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน กลีบดอกไม้มีลักษณะกลมเป็นรูปไข่สีเขียว ตรงปลายของช่อดอกจะเป็นสีชมพูหรือสีแดงอ่อน ส่วนดอกสีเหลืองจะบานจากข้างล่างขึ้นบน และจะบานทีละโดยประมาณ 2-3 ดอกในช่วงฤดูฝน ผล มีลักษณะเป็นรูปไข่ เหมือนกันกับผลของขมิ้นชัน แต่ว่าจะมีกลิ่นแรงน้อยกว่า
ดังนี้ในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์และขมิ้นชันกันมากโดยเหตุนั้น จึงขอนำเสนอข้อแตกต่างระหว่างกับขมิ้นชัน ซึ่งสามารถแยกไม่เหมือนกันที่หลักๆได้ดังต่อไปนี้
ข้อแตกต่าง
ขมิ้นชัน
ขนที่ท้องใบ
ไม่มี
มีนิ่มๆ(บางพันธุ์)
เหง้าจะขึ้นมาเหนือดินเมื่อถึงหน้าแล้ง
ไม่ขึ้นอยู่ใต้ดิน
ลอยขึ้นมาเหนือดิน
ขนาดเหง้า
เล็ก
ใหญ่กว่ามากมายเป็นทรงกระบอกมีกิ่งก้านสาขารูปไข่ ยาวแตกออกข้างๆทั้ง 2 ด้านของเหง้าใหญ่
สีของเหง้าเมื่อแก่
แก่กว่า(เป็นสีเหลืองจำปา)
อ่อนกว่า(สีเหลือง)
กลิ่นของเหง้าเมื่อแก่
ฉุนกว่า
อ่อนกว่า
การขยายพันธุ์ขมิ้นอ้อย
การขยายพันธุ์ขมิ้นอ้อยสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เหง้าปลูกโดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
การเตรียมดินแปลงปลูก สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
o แปลงปลูกแบบที่ราบ จะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี มีความเอียงเอี้ยง
o แปลงปลูกแบบยกรอง ในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม หรือที่ราบต่ำ ควรชูร่องสูงประมาณ 25 ซม.ความกว้างราวๆ 100-150 เซนติเมตร ความยาวขึ้นกับความเหมาะสมของพื้นที่ และระยะระหว่างร่องราวๆ 50 ซม.
การเตรียมพันธุ์ ใช้เหง้าแก่ที่ปราศจากจากโรคและแมลง (อายุราว 1 ปี) เอามาตัดราก และล้างชำระล้างให้เรียบร้อยแล้วตัดเป็นท่อนๆโดยให้มีตาบริบูรณ์ 3-5 ตา และก็ป้ายปูนแดง หรือปูนขาวที่รอยตัดคุ้มครองป้องกันเชื้อโรคเข้าทำลาย หรือชุบท่อนจำพวกด้วยสารเคมีเพื่อคุ้มครองป้องกันโรคแล้วก็แมลงที่ติดมากับหัวชนิด
กระบวนการปลูก ใช้เหง้าที่ตระเตรียมไว้ เอามาปลูกภายในแปลง หรือบางทีอาจจะเพาะให้ตาผลิออกก่อนก็ได้ โดยนำไปเอาไว้ภายในที่ร่มและก็ให้ความชุ่มชื้น กระทั่งขมิ้นชันแตกหน่อ ก่อนปลูกควรรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกโดยประมาณ 250 กรัมต่อหลุม
o ระยะปลูกระหว่างต้นแล้วก็ระหว่างแถว 30x50 เซนติเมตร แล้วหลังจากนั้นกลบดินและปกคลุมแปลงดัวยฟางหรือต้นหญ้าคา เพื่อคุ้มครองปกป้องการงอกของวัชพืชรักษาความชุ่มชื้นในดิน
o ระยะเวลาปลูก เริ่มปลูกไว้ในช่วงหน้าฝน ราว พ.ค.-เดือนกรกฎาคม
ส่วนประกอบทางเคมี
ในเหง้าของขมิ้นอ้อยพบ สารกรุ๊ปเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วยcurcumin, bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin, dihydrocurcumin, tetrahydrodemethoxycurcumin, tetrahydrobisdemethoxycurcumin , Curzerene, Furanodiene, Furanodienone, Zederone, Zedoarone
ยิ่งไปกว่านี้ยังเจอน้ำมันระเหยง่าย สารหลักเป็นสารกลุ่ม sesquiterpene ดังเช่นว่า epicurzerenone 46.6%, curdione 13.7% dehydrocurdione ,epiprocurcumenol ,1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-1,4,6-heptatrien-3-one, procurcumenol
คุณประโยชน์ขมิ้นอ้อย
ในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์ในการเอามาทำเป็นเครื่องเทศ หรือเครื่องปรุงของกินโดยมักจะนิยมประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ในด้านนี้มากยิ่งกว่าขมิ้นชันเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุว่ามีกลิ่นที่ไม่ฉุนมากเสมือนขมิ้นชันโดยอาหารที่นำยมนำมาเป็นส่วนประกอบหรือเครื่องปรุง ตัวอย่างเช่น ขนมเบื้องญวน,ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง,ข้าวเหนียวเหลือง ฯลฯ ส่วนประโยชน์ทางด้านสมุนไพรของนั้นตามตำรายาไทยบอกว่า เหง้ามีรสฝาดขื่น แก้ไข้ปวดเหมื่อยตามตัว แก้เสลด แก้อ้วก แก้โรคหนองใน สมานไส้ ขับลม ขับฉี่ แก้ท้องเดิน ใช้เป็นยาพาราท้องแก้ริดสีดวงทวาร ,แก้ฝึกหลบใน ใช้ข้างนอกเอาเหง้าตำละเอียด พอกแก้บวมช้ำบวม แก้กลยุทธ์ อักเสบ ใช้รักษาแผล,ฝี แก้พิษโลหิต รวมทั้งบรรเทาอาการปวด รักษาอาการเลือดคั่ง เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก รักษาประจำเดือนมาผิดปกติ แก้ตกขาว ขับรอบเดือน เหง้าผสมใบเทียนกิ่ง แล้วก็เกลือเล็กน้อยตำละเอียด พอกห่อหุ้มเล็บ เป็นยากันเล็บถอดช่วยบำรุงผิว
ส่วนอีกตำราหนึ่งเจาะจงถึงกับขนาดการใช้ว่าเหง้ามีรสเผ็ดขม เป็นยาอ่อนโยน ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม ช่วยกระจายเลือด รักษาอาการเลือดคั่ง หรือเลือดไหลเวียนไม่สบาย เส้นเลือดในท้องตัน ช่วยแก้เลือดเป็นพิษ แก้พิษเลือด ใช้เป็นเป็นยาชำระเลือด แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้ท้องร่วงท้องร่วง ช่วยสมานไส้ ช่วยขับเยี่ยว ใช้ขับน้ำคร่ำข้างหลังคลอดบุตร ช่วยแก้อาการโรคหืดหอบหายใจไม่ปกติ ฯลฯ
นอกจากนั้นตามบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในกลุ่มลักษณะของระบบทางเท้าหายใจ อาทิเช่น ตำรับ “ยาประสะมะแว้ง” มีสรรพคุณของตำรับคือใช้บรรเทาอาการ ไอ มีเสมหะ ทำให้เปียกแฉะคอ ขับเสมหะ ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาลักษณะของการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของเหง้าร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณรักษาเมนส์มาไม่บ่อยนักหรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาลักษณะของการปวดระดู และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
แบบ/ขนาดวิธีใช้
เหง้าสดราว 2 แว่น นำมาบดผสมกับน้ำปูนใส ประยุกต์ใช้ดื่มเป็นยารักษาอาการท้องเสีย เหง้าเอามาหั่นเป็นแว่นๆ(เหง้าสดหรือตากแห้งก็ได้) นำมาต้มกับน้ำเป็นยาดื่มแก้โรคกระเพาะ
แก้หัดหลบใน โดยใช้เหง้า 5 แว่น และต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มกับน้ำและก็น้ำปูนใส แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารตอนเช้าแล้วก็เย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
รักษาอาการ ปวดบวม แก้บวม ฟกช้ำ แก้ช้ำใน แก้อักเสบ แก้อาการเคล็ดลับขัดยอก ข้อเคล็ดลับอักเสบ แล้วก็บรรเทาอาการปวด ด้วยการใช้เหง้าขมิ้นใหม่ๆนำมาตำอย่างรอบคอบ แล้วเอามาพอกบริเวณที่มีอาการบวม จะช่วยทุเลาอาการปวดบวม บวมช้ำได้
ใช้รักษาอาการหวัด ด้วยการใช้หัว อบเชยเทศ และพริกหาง นำมาต้มแล้วเติมน้ำผึ้งใช้รับประทานเป็นยาแก้หวัด
ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เหง้า พริกไทยล่อน รวมทั้งเปลือกยางแดง นำมาผสมกันทำเป็นยาผง แล้วก็ค่อยนำไปละลายในน้ำยางใส ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วชี้ ใช้รับประทานเช้าแล้วก็เย็น
ช่วยแก้ลักษณะของการปวดระดูของสตรี ด้วยการใช้เหง้าหนักประมาณ 12 กรัม, ขมิ้นชัน 10 กรัม, คำฝอย 6 กรัม, ฝางเสน 8 กรัม, เม็ดลูกท้อ 8 กรัม, หง่วงนอนโอ้ว 8 กรัม และโกฐเชียง 10 กรัม นำมาต้มกับน้ำหรือใช้ดองกับเหง้าเป็นยารับประทาน
เหง้าเอามาหุงกับน้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว แล้วเอามาใส่แผล จะช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังยังช่วยทุเลาอาการบวมช้ำบวมได้อีกด้วย
ใช้รักษาฝี ฝีหนองบวม ด้วยการใช้เหง้าสด, ต้นรวมทั้งเม็ดของเหงือกปลาแพทย์ อย่างละเท่ากัน นำมาตำรวมกันจนละเอียดแล้วก็ใช้พอกยามเช้าเย็น
แก้ฝีในมดลูกของสตรี ด้วยการใช้เหง้าโดยประมาณ 3 ท่อน, บอระเพ็ด 3 ท่อน, ลูกขี้กาแดง 1 ลูก (เอามาผ่าเป็น 4 ส่วน แล้วก็ใช้เพียงแค่ 3 ซีก) แล้วเอามาต้มรวมกับเหล้า ใช้รับประทานเป็นยาแก้ฝีในมดลูก
บำรุงผิว นำ กระชาก พริกไทย หัวหญ้าแห้วหมู มาทุบรวมกันแล้วดองด้วยน้ำผึ้ง กินก่อนนอนทุกคืน จะช่วยให้ผิวสวย
ส่วนอีกตำราหนึ่งกำหนดถึงขนาดการใช้ว่า รักษาโรคใช้ข้างใน ให้นำเหง้ามาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยา โดยใช้ทีละประมาณ 5-10 กรัม หากใช้เป็นยารักษาด้านนอก ให้นำมาบดเป็นผุยผงหรือทำเป็นยาเม็ดตามตำรายาที่ปรารถนา
[/b]
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย การเรียนฤทธิ์สำหรับในการต้านจุลชีพที่พบในช่องปากของ โดยการเปรียบเทียบกับสินค้าบ้วนปากในตลาด 5 จำพวก ทำการวิจัยในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดเอทานอล 70% ของเหง้า ทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Streptococcus mutans, Enterococcus faecalis, Staphylococcus aureus แล้วก็ Candida albicans โดยใช้สมการการถดถอยแบบเส้นตรง (linear regression method) สำหรับเพื่อการวัดการน้อยลงของเชื้อได้ 99.999% ข้างใน 60 วินาที ผลการทดลองพบว่า สารสกัดของขมิ้นอ้อย มีคุณภาพสำหรับในการยั้งเชื้อได้เสมอกันกับสินค้า ในตลาด ดังเช่น สูตร CP+EO(cetylpyridinium chloride (0.5 mg/mL), chamomile, myrrh tinctures, oils of Salvia melaleuca แล้วก็ eucalyptus) แล้วก็สูตร EO (thymol (0.6 mg/mL), eucalyptol (0.92 mg/mL), menthol (0.42 mg/mL) และ methyl salicylate (0.6 mg/mL) มีการเรียนรู้ใช้น้ำมันหอมระเหยทดลองในหลอดทดลอง พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียมึงรมบวก โดยเฉพาะ Staphyloccus aureus ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการได้รับเชื้อในคนไข้ที่ติดเชื้อโรคเอชไอวี แล้วก็แกรมลบ แม้กระนั้นสำหรับเพื่อการทดสอบกับ S. aureus ใน agar plate พบว่าไม่มีฤทธิ์ เมื่อทดลองน้ำสุกกับ S. aureus โดยมีค่า MIC พอๆกับ 250 มิลลิกรัม/มล. พบว่าได้ผลสิ่งเดียวกัน เมื่อใช้สารสกัดคลอโรฟอร์มทดสอบกับแบคทีเรีย Staphylococcus, Streptococcus พบว่าไม่มีฤทธิ์ แล้วก็การนำสารสกัดเอทานอล (95%) ความเข้มข้น 100 มคก./แผ่น ทดลองกับ S. aureus ใน agar plate พบว่าไม่มีฤทธิ์ด้วยเหมือนกัน
ฤทธิ์แก้ปวดและก็ต้านทานการอักเสบ การเรียนรู้สารบริสุทธิ์ curcumenol ที่แยกได้จากสารสกัด dichloromethane จากเหง้าแห้งพบว่าออกฤทธิ์แรงในการลดอาการปวดในหนูถีบจักร ในหลายการทดสอบ ดังเช่นว่า Writhing Test , Formalin แล้วก็ Capsaicin โดยเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน diclofenac, aspirin และก็ dipyrone สำหรับในการทดสอบ Writhing Test ใช้กรดอะซิติเตียนกฉีดเข้าท้องของหนู เพื่อให้กำเนิดลักษณะของการเจ็บปวด ภายหลังให้สารทดสอบขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องแล้ว 30 นาที และนับปริมาณครั้งที่หนูเกิดการหดตัวของท้องและก็ตามด้วยการยืดกล้าม ภายในเวลา 20 นาที ข้างหลังฉีดกรดอะสิว่ากล่าวก ผลของการทดสอบพบว่าสาร curcumenol สามารถลดปริมาณการเกร็งของการเกิด writhingได้ดีมากยิ่งกว่าสารมาตรฐานทั้งยัง 3 ประเภท โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin และ dipyrone เท่ากับ 22, 38, 133รวมทั้ง 162 ไมโครโมล/กิโล เป็นลำดับ และก็การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดที่สัมพันธ์กับการอักเสบ (Inflammatory analgesia) โดยการฉีด formalin แล้วก็ capsaicin การทดลอง formalin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 3-15 mg/kg เข้าทางท้องหนู ต่อจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด formalin เข้าทางด้านใตนผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านซ้าย แล้วพิจารณาการกระทำการยกเท้าขึ้นเลียของหนู ใน 2 ตอนคือ first phase (0-5 นาที ภายหลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงลักษณะของการปวดแบบรุนแรง (acute pain) อีกตอนหนึ่งเป็น second phase (15-30 นาที ภายหลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงการอักเสบ (inflammation phase) พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการอักเสบระยะ second phase ได้ดีมากยิ่งกว่าสารมาตรฐานอีกทั้ง 3 จำพวก โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin รวมทั้ง dipyrone เท่ากับ 29, 34.5, 123 และ 264 ไมโครโมล/กก. เป็นลำดับ การทดสอบด้วย capsaicin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนู ต่อจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด capsaicin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังทางขวา แล้วพินิจความประพฤติปฏิบัติการชูเท้าขึ้นเลียของหนู ตรงเวลา 5 นาที พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการปวดรุนแรง ได้ดีมากว่ายามาตรฐาน diclofenac โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac รวมทั้ง dipyrone พอๆกับ 12, 47 รวมทั้ง 208 ไมโครโมล/กก. ตามลำดับ กลไกการออกฤทธิ์ลดปวด และก็ลดการอักเสบของสาร curcumenol นี้ไม่ได้ผ่าน opioid system เพราะว่าไม่ได้ผลการทดลองด้วยแนวทาง hot plate ศึกษาเล่าเรียนสาร sesquiterpenoides 2 ประเภท ที่สกัดได้จากเหง้า เมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ในหลอดทดลอง ในการยับยั้งแนวทางการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี COX-2 รวมทั้ง nitric oxide synthase (iNOS) (หากโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีทั้งยัง 2 ประเภทถูกกระตุ้น จะมีการสร้างสารที่เกี่ยวโยงกับการอักเสบได้แก่ พรอสตาแกลนดิน และไนตริกออกไซด์ เป็นลำดับ) โดยการทำการทดสอบกับเซลล์แมคโครฟาจ จำพวก raw 264.7 ของหนูถีบจักร ซึ่งถูกรั้งนำให้มีการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่า สารทั้ง 2 ประเภท เป็น beta-turmerone และ ar-turmerone มีฤทธิ์แรงสำหรับการยั้งแนวทางการทำงานของเอนไซม์ทั้งสองชนิดโดยยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีCOX-2ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 1.6 และก็ 5.2 microg/mL เป็นลำดับ แล้วก็ยับยั้ง iNOS โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.6 และ 3.2 microg/mLตามลำดับ
ฤทธิ์ลดอาการมึนเมา เรียนรู้ฤทธิ์ลดอาการเมาจากสารสกัดของโดยทดสอบป้อนสารสกัดขมิ้นอ้อย 5 ประเภทให้แก่หนูเม้าส์ผ่านทางหลอดสวนกระเพาะ เป็นต้นว่า สารสกัด 30% เอทานอล (ขนาด 500 และก็ 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน (n-hexane) (ขนาด 100 รวมทั้ง 300 มิลลิกรัม/กก.) ส่วนสกัดของที่ละลายใน เมทานอล (ขนาด 150 แล้วก็ 450 มก./กก.) ส่วนสกัดของที่ไม่ละลายในเมทานอล (ขนาด 250 และ 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) รวมทั้งสารสำคัญ curcumenone ที่สกัดแยกได้จากส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน โดยแนวทาง HPLC (ขนาด 3 10 รวมทั้ง 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ป้อนวันละ 2 ครั้ง นานต่อเนื่องกัน 7 วัน ในวันที่ 8 ของการทดลอง งดให้อาหารหนู 4 ชั่วโมงก่อนป้อนสารสกัดแล้ว 10 นาที กระทำป้อนแอลกอฮอล์ 40% ให้แก่หนูทุกตัว วัดค่าแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยชุดอุปกรณ์ Ethanol determination F-kit และก็วัดอาการเมาของหนูด้วยชุดอุปกรณ์ slip board machine ที่เวลา 15 30 60 120 180 รวมทั้ง 240 นาทีหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ผลการทดลองพบว่า สารสกัด 30% เอทานอลของขนาด 1000 มก./กิโลกรัม มีผลยั้งการเกิดอาการมึนเมาข้างหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ที่เวลา 60 แล้วก็ 120 นาที คิดเป็น 50 แล้วก็ 52.1% เป็นลำดับเมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับสารสกัด (กลุ่มควบคุม) ส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน ขนาด 300 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ส่งผลยับยั้งการเกิดอาการเมาข้างหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ที่เวลา 30 และก็ 60 นาที (35.7 แล้วก็ 45.6%) เมื่อเทียบกับหนูกรุ๊ปควบคุม แล้วก็สารสกัด curcumenone ทุกขนาด มีผลยับยั้งการเกิดอาการมึนเมาข้างหลังป้องแอลกอฮอล์ที่เวลา 30 60 แล้วก็ 120 นาที ยิ่งกว่านั้นยังพบว่า สารสกัด 30% เอทานอลของขนาด 1000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 60 นาทีหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% คิดเป็น 28.4% เมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม ส่วนสกัดของที่ละลายในเฮกเซน ขนาด 300 มก./กิโลกรัม ส่งผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 30 รวมทั้ง 60 นาทีข้างหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% (29.7 รวมทั้ง 31.0%) เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม รวมทั้งสารสกัด curcumenone ขนาด 3 10 รวมทั้ง 30 มิลลิกรัม/กก. ส่งผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 60 นาทีข้างหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% คิดเป็น 23.8 23.8 แล้วก็ 33.7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม แล้วก็การป้อนสารสกัด curcumenone ขนาด 10 แล้วก็ 30 มก./กิโลกรัม มีผลช่วยเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ADH (Alcoho dehydrogenase) ในตับหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% ที่เวลา 30 และก็ 60 นาที อีกด้วย ผลการค้นคว้าดังกล่าวทำให้เห็นว่า มีฤทธิ์ยับยั้งอาการเมาที่มีต้นเหตุที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ได้
ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนส่วนประกอบ รวมทั้งฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันระเหยง่าย ที่แยกได้จากเหง้าแห้งของ โดยใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ รวมทั้งสกัดด้วยตัวทำละลาย และทำการสกัดแบ่งแยกสกัดย่อยของน้ำมันระเหยง่าย โดยใช้แนวทาง silica gelฤทธิ์ต่อต้านการเกิดแผลเปื่อยยุ่ย มีการทดสอบฉีดสารสกัด (ไม่กำหนดประเภทสารสกัด) เข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ในขนาด 80 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวมาข้างต้นมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลเปื่อย
ฤทธิ์ทำให้สงบยับยั้ง สารสกัดเหง้าที่สกัดด้วย 80% เอทานอล โดยวิธีการหมัก นำมาทดสอบโดยการประเมินช่วงเวลาการนอนหลับ แล้วก็ความประพฤติปฏิบัติการเคลื่อนไหว (locomotor activity)ในหนูถีบจักรเพศผู้ พบว่าสารสกัดเหง้าขนาด 1 รวมทั้ง 2 กรัม/กิโลกรม ของน้ำหนักหนู โดยการป้อนทางปาก สามารถยืดระยะเวลาการนอนหลับของหนุถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้นอนหลับด้วยยา pentobarbital ขนาด 50 มก./กก. (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) นานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ยิ่งกว่านั้นยังพบว่า สารสกัดเหง้าขนาด 1 กรัม/กก. เมื่อป้อนทางปากสามารถลดความประพฤติปฏิบัติการเคลื่อนไหว ในหนูถีบจักรที่กระตุ้นด้วย methamphetamine ขนาด 3 มก./กิโลกรัม (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษมีการเล่าเรียนนำแป้งที่เตรียมจากขมิ้นอ้อยซึ่งมีระดับของโปรตีนสูง ไปทดลองให้เป็นอาหารกับหนูขาวตรงเวลา 6 วัน โดยให้ในขนาด 320 กรัม/กิโลกรัม พบว่ามีผลทำให้หนูทดลองตายทั้งหมด นอกจากนี้การใช้เหง้าสดมาสับอย่างถี่ถ้วนแล้วทำให้แห้ง นำไปให้เป็นอาหารกับหนูขาว ผลการทดสอบพบว่า หนูทดลองทั้งปวงมีน้ำหนักตัวต่ำลงอย่างเร็ว และก็ 2/5 ของหนูทดลอง ตายด้านใน 4 วัน แม้กระนั้นเมื่อทดลองให้กับไก่ ขนาด 100 และ 200 กรัม/กิโลกรัม ตรงเวลา 20 วัน พบว่าไก่ทั้งสิ้นรอดชีวิต แต่ว่ามีน้ำหนัก ปริมาณการกินของกินและก็สมรรถนะการย่อยของอาหารต่ำลง มีการการทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล (คิดเป็น 1,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ ทดสอบฉีดสารสกัดเอทานอล (50%) ทางหลอดเลือดดำให้กับสุนัข โดยให้ในขนาดต่างๆกัน พบว่าไม่มีพิษต่อหัวดวงใจ และเมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ในขนาด 10 กรัม/กก. พบว่าไม่มีพิษเหมือนกัน นอกเหนือจากนี้การให้สารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้วทางกระเพาะหนูถีบจักรในขนาดเหมือนเดิม พบว่าไม่มีพิษ ตรวจสอบและลองใช้น้ำต้ม ฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักรรวมทั้งลิงที่กำลังตั้งครรภ์ พบว่าไม่เป็นผลเปลี่ยนแปลงโครโมโซม (clastogenic effect) แต่ว่าการให้สารสกัดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทางปากของผู้ใหญ่ทั้ง 2 เพศในขนาด 4.6 ก./คน พบว่าเป็นพิษต่อ neuromuscular มีการสำรวจพิษฉับพลัน โดยใช้สารสกัดเอทานอล (50%) กรอกเข้าทางปากหนูถีบจักรและก็การทดสอบฉีดสารสกัดนี้เข้าใต้ผิวหนัง พบว่าไม่มีพิษอีกทั้ง 2 แบบ ใช้สารสกัดด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสุก ความเข้มข้น 100 มิลลิลิตร/แผ่น ทดสอบด้วย lymphocytes ของผู้คน พบว่าสารสกัดด้วยน้ำเกลือมีผลเปลี่ยนแปลงการแบ่งตัวของเซลล์ ในตอนที่น้ำสุกไม่มีผลดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว และก็เมื่อนำสารสกัดอีกทั้ง 2 จำพวกมาทดสอบกับ lymphocytes ของหนูถีบจักร พบว่าได้ผลในทางตรงกันข้าม
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีการทดลองน้ำสุกกับ Salmonella typhimurium TA100 ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 40 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ 100 มก./มล. และก็ 50 มก./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อนำสารสกัดดังที่กล่าวถึงแล้วทดลองกับ Bacillus subtitis H-17 (Rec+), M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อลายชนิด สารสกัดเมทานอลทดลองด้วย Bacillus subtitis H-17 (Rec+) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และเมื่อทดลองกับ S. typhimurium TA100 และ TA98 โดยใช้ความเข้มข้น 50 มก./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน ทดสอบน้ำต้มกับ B. subtitis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธ
15  Sitemap SMB / สินค้าอื่นๆ / ส้มโอเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างน่าทึ่่ง เมื่อ: มีนาคม 02, 2019, 03:08:44 am
[/b]
ส้มโอ
ชื่อสมุนไพร ส้มโอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน มะโอ,มะขุน(ภาคเหนือ),บักส้มโอ(ภาคอีสาน),ที่นาวโอ(ภาคใต้),ลีมาบาลี(มลายู),สังอู(กะเหรี่ยง),โกรัยตะทดลอง(เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus maxima (Burm.) Merr.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Citrus grandis (L.) Osbeck, Aurantium maxima Burm. ex Rumph.
ชื่อสามัญ Pomelo , Shaddock Pomelo
วงศ์ RUTACEAE
ถิ่นกำเนิส้มโอ[/url][/size][/b]
ส้มโอ เป็นพืชตระกูลเดียวกับส้มเขียวหวาน มะนาว มะกรูด ส้มเช้ง และก็ส้มเกรปฟรุต ก็เลยเป็นที่มาของชื่อสามัญของา Pomelo เป้าหมายความว่า ส้มที่มีผลเท่าฟักทองในภาษาดักข์ โดยมีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย,ไทย,อินโดนีเซีย,เมียนมาร์,ลาว,เขมร เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย การปลูกในประเทศไทยในทีแรกๆๆจะมีการปลูกบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในตอนเมืองหลวง แล้วก็ฝั่งธนบุรี ต่อมาจึงส่งเสริมให้ปลูกเยอะขึ้นทั่วภาคกึ่งกลาง เป็นต้นว่า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ที่สามารถปรับปรุงสายพันธุ์ได้มากมาย แล้วก็มีการเกื้อหนุนการปลูกไว้ในภาคต่างๆในเวลาต่อมา อาทิเช่น จำพวกขาวแป้น,ชนิดขาวพวง เป็นต้น
รวมทั้งในตอนนี้มีจังหวัดที่ปลูกมากมาย เช่น จังหวัดชุมพร นครปฐม นครศรีธรรมราช จังหวัดเชียงใหม่เชียงราย
นอกนั้นประเทศไทยถือเป็นแหล่งจำพวกที่มีสูงที่สุดในโลก รวมทั้งมีประเภทที่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพเยอะที่สุด รวมถึงยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีการส่งออกที่มีมูลค่ามากติดอันดับต้นๆอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปส้มโอ
ส้มโอจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้น มีลักษณะออกจะเป็นเหลี่ยม รวมทั้งมีรูปทรงที่ไม่แน่นอน มีความสูงของลำต้นโดยประมาณ 5-15 เมตร ลำต้นแตกกิ่งกิ้งก้านมาก กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ลำต้น และก็กิ่งมีหนามทรงอ้วน ยาวโดยประมาณ 1-5 เซนติเมตร ลำต้นมีทรงพุ่มไม้รอบๆส่วนปลายของลำต้น ขนาดทรงพุ่มราวๆ 3-4 เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา ส่วนแก่นไม้มีลักษณะเหนียว แต่ไม่แข็ง กิ่งหักได้ยาก
ใบแตกออกเป็นใบผู้เดียว เรียงวนสลับกันบนกิ่ง ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม แผ่นใบหนา และก็เป็นเป็นมัน กว้าง 10-12 ซม. ยาว 15-20 ซม. ใบประกอบด้วยแผ่นใบ รวมทั้งก้านใบ โดยก้านใบจะมีแผ่นใบขนาดเล็กที่เรียกว่า wing ส่วนแผ่นใบจะรูปร่างคล้ายรูปไข่ยาว หรือรูปโล่ ฐานใบแหลมป้าน ปลายใบมน และก็มีรอยเว้าตรงกลางเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบของใบจะมีหยักเล็กๆแผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นเงาวาว ส่วนแผ่นใบด้านล่างเป็นสีเขียวอ่อน และมีขนนุ่มปกคลุม
ดอก ออกเป็นช่อหรือออกเป็นดอกโดดเดี่ยว แทงออกบริเวณปลายของกิ่งอ่อน ประกอบด้วยช่อดอกที่เกิดบริเวณปลายยอด รวมทั้งตายอดข้างๆ แต่ละช่อมีดอก 1-20 ดอก ดอกมีขนาดใหญ่ และเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่ผสมเกสรในดอกตัวเอง แต่ละดอกมีขนาด 3-7 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงที่ฐานดอก 3-5 กลีบ ส่วนกลีบดอกไม้มีสีขาว กลีบมีรูปหอก จำนวน 4-5 กลีบ กว้างราวๆ 1.5 ซม. ยาวประมาณ 3.5-4.0 ซม. แผ่นกลีบดอกดก ด้านในกลีบมีเกสรตัวผู้ปริมาณ 20-25 อัน เรียงซ้อนกันเป็นวงกลมรอบรังไข่ และก็มีฐานเกสรเชื่อมชิดกันเป็นกรุ๊ป 4-5 กลุ่ม ส่วนข้างในสุดเป็นรังไข่ที่แบ่งเป็นช่องๆ11-16 ช่อง ทั้งนี้ ดอกส้มโอจะบานจากดอกส่วนปลายก่อน แล้วก็ทยอยบานในดอกโคนช่อ
ผลมีรูปร่างออกจะกลม บางชนิดมีขั้วผลเรียวแหลม ผลมีขนาดใหญ่ ขนาดผลประมาณ 10-13 ซม. ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเขียวอมเหลืองหรือสีเหลืองทองตามสายพันธุ์ เปลือกดกโดยประมาณ 1.5-2 ซม. แบ่งได้ 3 ชั้น ประกอบด้วยชั้นนอกสุด เรียกว่า flavedo มีสีเขียวอมเหลือง มีต่อมน้ำมันจำนวนมาก ชั้นต่อมา เรียกว่า albedo เป็นส่วนที่เป็นเยื่ออ่อนนุ่มสีขาวที่มีความหนามาก และก็ชั้นลำดับที่สามเป็นเยื่อของพูที่ห่อรอบเนื้อผล ส่วนเนื้อผลแบ่งออกเป็นกลีบๆเรียงติดกันเป็นวงกลม แต่ว่าแกะแยกออกมาจากกันง่าย เรียกลีบเนื้อผลว่า juice sac ข้างในกลีบจะชุ่มฉ่ำด้วยน้ำที่ให้รสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว
เมล็ดรวมกันอยู่ตรงศูนย์กลางของผล มีจำนวนตั้งแต่ 0-265 เมล็ด/ผล สุดแท้แต่สายพันธุ์ เม็ดมีอีกทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กสุด เม็ดมีรูปร่างแบน แล้วก็ผิวร่น เปลือกเมล็ดมีสีเขียวอมเหลือง แล้วก็เป็นร่องลึก ขนาดเม็ดกว้าง 0.6-1.2 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์ส้มโอ
สามารถเพาะพันธุ์ได้ ด้วยวิธีเพาะเม็ด การตำหนิดตา การทำหมัน และการแทงกิ่ง แต่ทั่วๆไปนิยมปลูกจากต้นชนิดที่ได้จากการทำหมันหรือการเสียบกิ่ง เนื่องจากจะได้ต้นที่ไม่สูง และก็ได้ผลตามประเภทดั้งเดิมที่ต้องการ
สำหรับพื้นที่ปลูกที่น้ำไม่ท่วมง่ายสามารถไถพรวนดินเป็นแปลงให้สม่ำเสมอทั่วๆไปได้เลย แต่หากเป็นพื้นที่ที่น้ำหลากง่าย ดังเช่น ที่ราบลุ่มทางภาคกึ่งกลางจะต้องขุดชูร่องแปลงเป็นแนวยาวให้สูงมากขึ้น โดยมีขนาดสันร่องปลูกกว้างราวๆ 6-7 เมตร และก็เป็นร่องน้ำกว้างประมาณ 1-1.50 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร กับทำคันกั้นน้ำรอบสวน
ส่วนการเตรียมหลุม และกรรมวิธีปลูก ให้ขุดหลุมปลูกขนาดราวๆ 50 ซม. พร้อมตากหลุมปลูก รวมทั้งดินที่ขุดขึ้นมานาน 10-14 วัน ควรจะเว้นระยะหลุมประมาณ 6-8 x 6-8 เมตร (แต่ส่วนใหญ่นิยมในระยะ 7×7 เมตร)
ภายหลังที่ตากดิน รวมทั้งหลุมปลูกแล้ว ให้นำหน้าดินเกลี่ยลงหลุม พร้อมโรยปุ๋ยหมักหรือวัสดุอินทรีย์คลุกผสมกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้ากัน ก่อนนำต้นชนิดลงปลูก โดยให้ระดับดินในหลุมสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับดินเดิมเล็กน้อย และก็โรยปิดด้วยฟางข้าวหรือเศษใบไม้ แล้วต่อจากนั้นนำไม้หลักปัก และผูกรัดต้นชนิดคุ้มครองป้องกันไม่ให้ต้นโยกหรือโอนเอียง โดยจะเริ่มติดดอกและก็ติดผลหลังการปลูกราว 4 ปี แล้วก็เริ่มเก็บผลได้ภายหลังจากติดดอกราวๆ 8 เดือน ทั้งนี้ในขณะนี้ ชนิดที่เป็นที่นิยมปลูกทางด้านการค้า อย่างเช่น
ชนิดทับทิมประเทศไทย เนื้อสีแดงเข้ม รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมยวนใจ เนื้อนุ่ม เปลือกบางสีเขียวเข้ม มีขนอ่อนปกคลุมทั่วผล ปลูกมากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
จำพวกขาวใหญ่ เนื้อขาวอมเหลือง รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะตัว เมล็ดน้อย นิยมนำมาปลูกที่จังหวัดสมุทรสงคราม
พันธุ์ทองคำดี ผลโต กลมแป้น ไม่มีจุก ที่ขั้วมีจีบเล็กน้อย รสหวาน ชุ่มฉ่ำน้ำ เนื้อสีชมพู เป็นพันธุ์ที่นิยมนำมาปลูกที่จังหวัดนครปฐม
ประเภทขาวพวง ผลกลม มีจุกสูง ผิวเรียบ สีเปลือกเขียวอ่อนอมเหลือง มีเมล็ดน้อย เป็นพันธุ์ดั้งเดิม
พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง ผลใหญ่ กลมสูง ก้นเรียบ
ประเภทขาวแตงร้าน ผลขนาดกึ่งกลางกลมแป้น เปลือกบาง เนื้อสีขาว นิยมนำมาปลูกที่จังหวัดชัยนาท และอยู่ในคำขวัญประจำจังหวัด
ชนิดปัตตาเวีย ปลูกมากทางภาคใต้
ชนิดท่าข่อย เป็นประเภทที่ปลูกมากที่จังหวัดพิจิตร
ส่วนประกอบทางเคมี
สารสำคัญที่เจอในเปลือกส้มโอ (อีกทั้งส่วนที่เขียวแล้วก็สีขาว) ส่วนมากจะเป็นสารกรุ๊ปของน้ำมันหอมระเหย แล้วก็สารกรุ๊ป flavonoids ได้แก่ naringenin, hesperetin, hesperidin, apigenin, poncirin และ eriocitin แล้วก็ยังพบสาร acridone, acronycine, anthranilate, bergamottin, camphor, citral, limonene, limonin, linalool, myricetin, nerol, nomilin, pinene, quercetin, rutin, scopoletin, umbelliferone รวมทั้งยังพบสารขมในเปลือกชื่อ naringin แล้วก็จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกที่สกัดได้จากวิธี TLC และ GC-MS พบว่ามี limonene เป็นองค์ประกอบหลัก รวมทั้งสารกรุ๊ป monoterpene อื่นๆจำนวนน้อยดังเช่น alpha-pinene, sabinene, beta-pinene, beta-myrcene, alpha-phellandrene, trans-carveol, cis-carveol รวมทั้ง carvone นอกเหนือจากนี้ในเนื้อยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังต่อไปนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของส้มโอ (100 กรัม)
พลังงาน 38 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 9.62 กรัม
เส้นใย 1 กรัม
ไขมัน 0.04 กรัม
โปรตีน 0.76 กรัม
วิตามินบี 1 0.034 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 2 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.22 มก. 1%
วิตามินบี 6 0.036 มิลลิกรัม 3%
วิตามินซี 61 มิลลิกรัม 73%
ธาตุแคลเซียม 4 มก. 0%
ธาตุเหล็ก 0.11 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแมกนีเซียม 6 มก. 2
ธาตุแมงกานีส 0.017 มก. 1%
ธาตุฟอสฟอรัส 17 มก. 2%
ธาตุโพแทสเซียม 216 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 1 มก. 0%
ธาตุสังกะสี 0.08 มก. 1%
% ร้อยละของจำนวนเสนอแนะที่ร่างกายอยากได้ในทุกๆวันสำหรับผู้ใหญ่
สรรพคุณส้มโอ
ส้มโอถือเป็นผลไม้สมุนไพรประเภทหนึ่ง ที่มีการนำมาทำประโยชน์ทั้งทางด้านของกินและด้านสมุนไพรมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว สำหรับในฐานะอาหารมีการใช้คือผลไม้สำหรับรับประทานซึ่งจะนำ เนื้อผลมารับประทาน โดยจะให้น้ำชุ่มฉ่ำหวานหรือหวานอมเปรี้ยวหรือนำเนื้อผลนำมาดัดแปลงเป็นน้ำปั่นหรือผสมทำไอติม รวมทั้งเอามาปรุงอาหาร อย่างเช่น ตำส้มโอ,ข้าวยำ ฯลฯ หรือนำส่วนใยสีขาวจากเปลือกนำมาสับ และก็ตากให้ ก่อนบดให้ถี่ถ้วนจนถึงเป็นผงอีกที แล้วประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารหวาน ได้แก่ ของหวานบ้าระห่ำ นอกเหนือจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆของอีกเช่นเปลือกด้านนอกของเอามาบดผสมสำหรับทำธูปหอม ธูปไล่ยุง หรือนำเปลือกชั้นในส่วนที่เป็นสีขาวมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าต่างๆได้แก่ สบู่เหลว , สบู่ , ครีมที่เอาไว้สำหรับบำรุงผิว หรือ นำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
ส่วนในด้านความเชื่อถือถือเป็นของเซ่นในพิธีไหว้พระจันทร์ที่สำคัญของคนจีน เพราะเหตุว่ามีความคิดว่าภายหลังไหว้ ถ้าเกิดผ่าผลออกแล้วกลางลูกแห้ง ไม่มีน้ำจะเป็นสัญลักษณ์ของโชคดี รวมทั้งสตรีที่ยังไม่สมรสจะนำส่วนของมาทาหน้า โดยเชื่อว่าทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง และก็หากรับประทานในคืนนั้นจะทำให้ตาเป็นประกายสวย สำหรับในฐานะสมุนไพร ส่วนมากจะใช้เปลือกมาทำเป็นยาสมุนไพร โดยในหนังสือเรียนยาไทยบอกว่า เปลือกผล มีรสปร่าหอม แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั่น ช่วยขับลม ขับเสลด แก้อึดอัด แก้จุกแน่นหน้าอก แก้ไอ แก้เจ็บท้องน้อยและก็โรคไส้เลื่อน แก้ลมในกองลมป่วง แก้ลมในกอง แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้อ้วก ตำพอกฝี ปรุงยาหอมแก้ลมเวียนหัว หน้ามืด ลายตา ใจสั่น แก้ลม ท้องขึ้นท้องเฟ้อพองเฟ้อ ต้มน้ำอาบแก้คัน รักษาโรคผิวหนังพวกผื่นคัน รวมทั้งปวดบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย
เว้นแต่ผิวส้มโอแล้ว ส่วนต่างๆของก็ยังมีสรรพคุณทางยาอีกได้แก่ ใบช่วยหยุดอาการปวดบวมจากแมลงกัดต่อย แก้อาการปวดท้อง รักษาโรคไส้อักเสบ ช่วยในการขับลม ลำคออักเสบปากอักเสบ ช่วยขับเสมหะ ราก เปลือก และแก่นลำต้น ช่วยขับพยาธิ ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยขับฉี่ เนื้อช่วยในการขับลม ช่วยเจริญอาหาร ช่วยทำให้กระชุ่มกระชวย แก้อาการเมาสุรา แก้ลำคออักเสบ
นอกจากนี้ผิว ยังจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” มี ผิว ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มจังหวัดตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะนาว หรือผิวมือ และก็ผิวมะกรูด มีคุณประโยชน์แก้ลมกองละเอียด กองหยาบคาย แก้เสลดโลหะ ใช้ปรุงยาหอมแก้ทางลม
แล้วก็ในบัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) ปรากฏการใช้ผิว ในยารักษากรุ๊ปอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับ ”ยาหอมเทวดาจิตร” ซึ่งมีส่วนประกอบของผิวอยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการแก้ลมหน้ามืด แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียนอาเจียน อ้วก แก้ลมจุกแน่นในท้อง บำรุงใจให้สดชื่น ส่วนในประเทศจีนมีการใช้เปลือกเป็นยาแก้ธาตุเปลี่ยนไปจากปกติ แก้ไอ และใช้ผสมในตำรับยาหอมของจีน
[/b]
แบบ/ขนาดวิธีใช้
เปลือก[url=https://www.disthai.com/17066273/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%AD]ส้มโ[/b][/i]เอามาตากแดดให้แห้งแล้วนำมาบดใช้ปรุงเป็นยาตามตำรับยาต่างๆเปลือกใช้ตำแล้วนำมาพอกเพื่อรักษาฝี ใช้รักษาโรคผื่นคันที่ผิวหนัง ใช้เปลือกผลครั้งละ 0.5-1 ผล หั่นเป็นชิ้นๆต้มกับน้ำอาบ หรือทาบ่อยๆรอบๆที่เป็น แก้อาการไอมีเสลด ด้วยการใช้ผลสดนำเมล็ดออก แกะเป็นชิ้นเล็กๆแช่กับน้ำเหล่าไว้หนึ่งคืน เสร็จแล้วก็ค่อยนำไปต้มให้เละแล้วผสมกับน้ำผึ้ง นำมากวนจนเข้ากันแล้วจิบรับประทานบ่อยๆแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำใบมากแล้วพอกแถวๆศีรษะ หรือนำใบมาตากแห้งใช้ชงดื่มแทนชา แก้เจ็บท้อง รักษาโรคลำไส้อักเสบ ช่วยขับลม หรือไม่ก็อาจจะนำใบสดมาขยี้ทาหยุดลักษณะของการปวดบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย และก็ขนาดการใช้ทั่วๆไป ที่ระบุในเภสัชตำรับจีนเท่ากับ 3-6 กรัม
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะ และลดการอักเสบ การทดลองฤทธิ์สำหรับการแก้ไอ ขับเสมหะ รวมทั้งลดการอักเสบของสารสกัด 4 ประเภท จากเปลือก ตัวอย่างเช่น สารสกัดน้ำ, 50% เอทานอล, 70% เอทานอล รวมทั้ง 90% เอทานอล ในหนูเม้าส์ พบว่ามีเพียงสารสกัดน้ำ รวมทั้ง 70% เอทานอล แค่นั้นที่มีผล โดยสารสกัดน้ำ ขนาด 1005 มก./กก.น้ำหนักตัว แล้วก็สารสกัด 70% เอทานอล ขนาด 493 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว จะส่งผลลดความถี่ของการไอในหนูที่ถูกรั้งนำด้วยน้ำแอมโมเนีย (ammonium liquor) เพิ่มการหลั่งสารฟีนอล เรด (ซึ่งแสดงถึงผลสำหรับเพื่อการขับเสลด) และลดการบวมที่ใบหูของหนูที่ถูกทำให้มีการบวมขึ้นรถ xylene ได้ ซึ่งสารสกัด 70% เอทานอล จะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดน้ำ
เอกสารอ้างอิง
ดร.ภญ.นิศารัตน์ ศิริวัฒนเมธานนท์,ดร.ภก.ภานุพงษ์ พงษ์ชีวัน.อันตรกิริยาระหว่างกับยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. ส้มโอ ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า225 - 229
ฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะและลดการอักเสบของสารสกัดจากเปลือกสารสกัดจากเปลือก.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
Myung K, Narciso JA and Manthey JA. (2008). Removal of furanocoumarins in grapefruit juice by edible fungi. Journal of Agricultural and Food Chemistry 56(24): 12064–12068.
Guo LQ. et al. (2007). Different roles of pummelo furanocoumarin and cytochrome P450 3A5*3 polymorphism in the fate and action of felodipine. Current Drug Metabolism;8(6):623-30
พิษต่อเซลล์มะเร็งของสารสกัดจากใบ.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
Anlamlert W, Sermsappasuk P, Yokubol D, Jones S. (2015). Pomelo Enhances Cyclosporine Bioavailability in Healthy Male Thai Volunteers. Journal of Clinical Pharmacology: 55(4) 377–383.
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดไข้มันในเลือดของส้มโอพันธุ์ต่างๆในประเทศไทย.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
.ฐานข้อมูลเครื่องยา.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ออนไลน์)
สารในน้ำมันหอมระเหยจากเปลือก.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)
(Pomelo)สรรพคุณและการปลูก.พืชเกษตรดอทคอม เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
สารสกัดในเปลือก.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล(ออนไลน์)

Tags : ประโยชน์ส้มโอ
หน้า: [1] 2 3
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย